11.
เช้านี้เกือบจะเหมือนปกติของครอบครัวนาวามาศ เด็กชายโขงกินมื้อเช้าเป็นข้าวผัดอยู่ที่ครัว เขมรัฐผู้เป็นพ่อจิบกาแฟ คุณหงส์คนเป็นย่าทำอะไรง่วนอยู่ที่อ่างล้านจาน
ปุริมารู้สึกชอบภาพที่เห็น แต่มองเลยสายตาผู้ชายสองคนตรงไปยังผู้อาวุโสที่สุด
“กู้ดมอนิ่งครับเจ๊”
รู้สึกว่าเด็กชายช่างฉลาด รู้ทัน ผลพวงจากคนเป็นพ่อแน่ ๆ พอเห็นเธอทำท่าไม่สนใจก็มีวิธีเรียกร้องจนจำต้องหันไปตอบ
“บองชู้ว”
คิ้วเข้มขมวดนิดนึง แต่แล้วก็ยิ้ม “อะไรนะ เจ๊อยากจะกินแจ่วบองเหรอ เช้า ๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนล่ะ”
“ฮ่า ฮ่า!” เขมรัฐหัวเราะลั่น แม้แต่คุณหงส์ยังยิ้ม
ปุริมาหน้าแดง “บ้าสิ บองชู้ว (Bonjour) เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าสวัสดีต่างหาก แจ่วบงแจ่วบองอะไรล่ะ”
“ปูนิ่มกินอะไรไหม กาแฟ นม ข้าวก็มีนะจ้ะ”
คุณหงส์รีบถามก่อนที่การโต้คารมจะลุกลาม ด้วยรู้นิสัยของคนบ้านตัวเอง คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรจ้ะ รองท้องซะหน่อยดีกว่า กาแฟก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันชงให้” ท่าทางกุลีกุจอทำให้ปฏิเสธไม่ลง เธอถอยมานั่งรอฟังเจ้าบ้านพูดเรื่อย ๆ
“ปกติฉันกับเจ้าโขงกินเช้ากันทุกเช้าอยู่แล้ว ส่วนนายเข้เขาคอกาแฟ”
ปุริมารับแก้วจากคุณหงส์แล้วกล่าวขอบคุณ มองเห็นเครื่องทำกาแฟตรงเคาทเตอร์ครัว และขวดโหลกาแฟหลากหลายยี่ห้อ
“สาว ๆ ซื้อมาฝากพ่อจนกินไม่ทันเลย สงสัยกะเก็บไว้ให้ผมกินตอนโตด้วย”
“โขง”
คนพูดคอหด ลืมไปว่าผู้เป็นย่ายังอยู่ จะว่าไปก็น่าเอ็นดูเหมือนกัน เด็กชายที่กำลังจะเป็นวัยรุ่น ก้ำกึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่พยายามจะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง
“เดี๋ยวฉันไปทำอะไรรอข้างนอก เรียบร้อยก็เรียกนะจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
คุณหงส์ถอดผ้ากันเปื้อนพับลวก ๆ พาดไว้กับเก้าอี้แล้วเดินออกไป เหลือแค่เธอกับสองพ่อลูกล้างโลกแล้วสิ จะรับมือไหวไหมนะ
“เดี๋ยวแม่ไปส่งคุณที่บ้านนะ”
ผิดคาดเมื่อคนเป็นพ่อเริ่มต้นด้วยประโยคเรียบ ๆ ปุริมาพยักหน้ารับรู้ พยายามจะไม่ต่อปากที่ทำให้ขุ่นเคืองอารมณ์
“ความจริงผมก็อยากไปส่งให้เองเหมือนกัน”
นั่น! พูดยังไม่ทันขาดคำ เขาแสร้งทำเสียงเศร้า เอาความไว้ใจคืนมา ตาบ้า
“ไม่กลัวเจอผอ.เหรอ”
“เดี๋ยวให้คุณนายหงส์ไปเคลียร์”
ปุริมายิ้มหมั่นไส้ นี่คงเป็นคำสั่งโดยตรงจากคุณหงส์มากกว่า ถ้าปล่อยให้ลูกชายซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘เสือ’ ประจำตำบลขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียนคงต้องได้เกิดเรื่องอื้ออึงเป็นแน่
พอพูดถึงโรงเรียนก็นึกได้ “ตายแล้ว! ฉันจอดรถทิ้งไว้ทั้งคืนเลย จะหายหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หายหรอก ถึงที่นี่จะบ้านนอกแต่เรื่องขโมยไม่มี”
“มีสิพ่อ”
โขงแทรกเข้ามา เขมรัฐขมวดคิ้ว “ที่ไหน”
“ก็พ่อไง โจรขโมยหัวใจสาว ๆ”
พูดแล้วก็ตบมือให้มุกตัวเอง ปุริมาอดหัวเราะไม่ได้ คนเป็นพ่อเหลือบมอง
“ให้คะแนนที่พูดได้ถูกใจ แต่หักออกเพราะมาพูดต่อหน้าสาวอีกคน เพราะฉะนั้นเท่าทุนไม่ได้ไม่เสีย”
“โธ่” เจ้าตัวแสบแกล้งโอด หันมาทางอีกคน
“เจ๊ เมื่อคืนหลับสบายไหม”
“ก็ดี"
“แต่ผมนอนไม่หลับเลย พ่อไม่เล่านิทานแถมยังมากรนให้ฟังอีก อีกอย่างนะ ผมตื่นเต้นที่รู้ว่าเจ๊นอนร่วมบ้านน่ะ”
ลับหลังคนเป็นย่าเจ้าตัวแสบก็แผลงฤทธิ์จนได้ เขมรัฐอดไม่ไหวโยกศีรษะลูกชายแรง ๆ “สร้างสรรค์จริงนะเรื่องแบบนี้ ทำไมเรื่องเรียนไม่สร้างสรรค์นี้บ้าง หือ”
“ลูกใครก็เหมือนกันคนนั้นล่ะ”
“พ่อเก่งทุกอย่างเว้ย”
ตลอดเวลาหญิงสาวสังเกตการต่อปากของพ่อลูก ถึงจะดูปีนเกลียวแต่ก็แฝงความอบอุ่น เธอเห็นทั้งสองคนหัวเราะและยิ้มให้กันราวกับเพื่อนเล่น นี่หรือเปล่านะการเลี้ยงลูกที่สามารถเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง พอมาคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง เธอมีพ่อที่พูดคุยกันได้แต่ก็อยู่ห่างกัน กับแม่ใกล้ชิดแต่มีเรื่องปกปิดและขัดแย้ง
อยู่ดี ๆ ก็อิจฉา ปุริมาถอนหายใจ รีบจัดการกาแฟ เธอควรจะไปถึงบ้านก่อนพ่อกลับมา ไม่งั้นต้องโดนซักไซร้ยืดยาว
ทั้งหมดเตรียมตัว ปุริมาไปกับคุณหงส์ เจ้าโขงขึ้นไปนั่งเอ้เต้บนรถจิ๊บ
“เจอกันที่โรงเรียนนะครับเจ๊ เดี๋ยวผมแวะไปหาความรัก เอ้ย ความรู้ที่ห้องสมุด
รถเคลื่อนตัวออกไปก่อนที่หญิงสาวจะตอบกลับได้ทัน ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนสุดขีด เลี้ยงกันมาแบบไหน คุณหงส์ปวดหัวแค่ไหนกันนะกับสองพ่อลูกคู่นี้
“ชินซะแล้วล่ะ แต่บางทีก็ต้องเสียงดังอยู่เหมือนกัน บทว่าจะกวนก็เข้าขากันเสียยิ่งกว่าอะไร”
ปุริมาไม่ได้ถามแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้าออก จึงเล่าระหว่างที่ขับรถมาตามทาง “อย่างว่านะล่ะ คุมทั้งแพทั้งฟาร์ม คนงานแต่ละคนก็ใช่ย่อย จะให้มาเหนียม ๆ เรียบร้อยก็ไม่ทันพวกมัน อีกอย่าง...แม่เขาก็เป็นแบบนั้น”
แม่เขา... “หมายถึง...คุณ”
“ฉันดูแพมาก่อน เป็นคนสอนนายเข้เอง ถึงตอนนี้จะแก้ตัวแทนนิสัยลูกชายก็ไม่ทันแล้ว เพราะเรื่องงานเขาก็ไม่ทำอะไรให้ผิดหวัง”
มีเรื่องราวหลายอย่างที่ปุริมาอยากรู้ ครอบครัวนี้มีจุดกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน แต่ต้องรักษามารยาทไม่เอ่ยปาก ถ้าคำถามเดินทางไปถึงเจ้าตัว เดี๋ยวได้โมเมว่าเธอสนใจเขาเสียอีก ดีขนาดไหนแล้วที่ยังถูกเข้าใจว่ามีตำแหน่งเป็น ‘ภรรยา’ ของผอ.จึงมีความเกรงใจอยู่บ้าง บางทีอาจจะต้องถืออาวุธชิ้นนี้เอาไว้ก่อน
“ขอบคุณนะคะคุณหงส์”
ปุริมาหายใจโล่งเมื่อพบว่าผู้เป็นพ่อยังไม่กลับมา คนขับรับไหว้ “ให้ฉันไปส่งที่โรงเรียนเถอะนะ ฉันรอได้”
“ไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ เดี๋ยวหนูเรียกรถไปเองดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ”
“งั้นก็ตามใจ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
“ค่ะ อ้อ คุณหงส์คะ” เธอนึกได้ รีบเดินไปหาก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อคุยกับคนขับ “เรื่องนี้คุณหงส์อย่าบอกผอ.ได้ไหมคะ”
ดวงตาทอดมองเธออย่างอ่อนโยน “ฉันเข้าใจ แต่ปูนิ่มก็ไม่ควรปิดบังนะ เพราะมันเป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ผอ.จะได้ช่วยระวังให้ด้วย"
ปุริมายิ้มนิดหนึ่ง อีกฝ่ายให้เกียรติและไม่ลืมว่าเธอเป็นใคร “หนูไม่อยากให้งานผอ.เสียค่ะ อย่างน้อยก็ให้อาคารสร้างเสร็จก่อน”
“น่ารักจัง” คุณหงส์ชม สีหน้าฉายแววเอ็นดูลึกซึ้ง “ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ของลูกชาย ปูนิ่มก็เป็นผู้หญิงแบบที่ฉันอยากได้มาเป็นสะใภ้เหมือนกันนะ”
ปุริมาอึ้ง กระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปลับตา
วันต่อมา
ในห้องรับแขกของโรงเรียนผอ.คเชนทร์รับซองเอกสารที่ชายอีกคนส่งให้ พอเปิดดูเห็นกระดาษซึ่งเขียนตัวเลขอยู่ในซองก็เงยหน้ามองคนให้ที่นั่งตรงกันข้าม
“ผมเห็นว่าผอ.กำลังสร้างโรงยิม แต่งบประมาณไม่พอ ผมก็เลยอยากจะให้เงินสนับสนุนครับ”
เขาเป็นชายหนุ่มวัยสี่สิบกลาง ๆ แต่งตัวง่าย ๆ ด้วยเสื้อยืดโปโลกับกางเกงยีนส์ ทว่าเป็นของมีราคา รวมไปทั้งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับทั้งหลายบนกายบ่งบอกฐานะ ท่าทางอวดตัว นัยน์ตาเป็นประกาย รอยยิ้มแพรวพราวอย่างนักธุรกิจ
“ขอบคุณมากครับ แต่ต้องแลกกับอะไรสักอย่างใช่ไหม”
แม้ว่าคเชนทร์จะอ่านใจออกและพูดตรง ๆ ประวีณยังไม่มีท่าทางจะโกรธ เลือกรักษามารยาทด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อนว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดช่างขบขัน
“อย่าคิดว่าเป็นเรื่องแลกเปลี่ยนอะไรแบบนั้นสิครับ มันฟังดูไม่ดีเลย แค่เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
“ผมนึกว่าคุณลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก”
คนต้นเรื่องยิ้มเยือกเย็น “ผมเคยลืมไปช่วงหนึ่งว่าผอ.ดูแลโรงเรียนอยู่ครับ ถ้าผมไม่ลืม เราคงคุยกันได้เสียตั้งแต่ตอนนั้น”
ครั้งแรกที่เคยมากับคนเป็นพ่อ ประวีณมองเห็นว่าที่ดินผืนงานติดเขาที่เป็นโรงเรียนอยู่ตอนนี้ต่อไปราคาจะถีบตัวสูงขึ้น ตอนนั้นก็มีข่าวลือว่าโรงเรียนประสบปัญหาเรื่องการเงิน ทว่าเนื่องจากบิดาเสียกระทันหัน เขาเลยไปรับช่วงต่อบริหารรีสอร์ตทางภาคตะวันตกเสียหลายปี จนนึกขึ้นได้อีกครั้ง โรงเรียนก็ผ่านวิกฤตมาได้ หนำซ้ำยังขยายสร้างอาคารเรียนเพิ่มได้อีก
นักธุรกิจหนุ่มจึงเลือกวิธีนี้หวังจะละลายความใจแข็งของผอ.คเชนทร์ลง อย่างไรเสียก็ยังมีพื้นที่ซึ่งยังไม่ได้ก่อสร้างเหลืออีก
“ผมดีใจที่คุณเห็นความสำคัญกับโรงเรียน แต่...จะดีกว่านี้ถ้าคุณไม่เอาเรื่องที่ดินมาเกี่ยวข้องกัน”
“ผอ.ก็อย่าเพิ่งมองผมในแง่ร้ายสิครับ ผมจะทำแบบนั้นกับเด็ก ๆ ได้ยังไง”
“ผมชอบให้คุณพูดตรง ๆ มากกว่า”
แววตาคนฟังทอแสง พอเห็นสายตามากประสบการณ์ยิ้ม ๆ เหมือนจะอ่านใจออก ซ้ำยังใช้คำพูดประชดประชันจึงไม่ค่อยพอใจ หากก็เก็บอาการ เขาเสนอขอซื้อเพียงที่ดินเล็กน้อย แต่ก็มีแผนว่าจะค่อย ๆ ตะล่อมให้เจ้าของพื้นที่ยอมรุกคืบเพิ่มอาณาเขต
น้ำหยดลงหินทุกวันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคน
“ก็ได้ครับ ผมอยากได้ที่ดินของผอ. แต่ก็หวังแค่จะทำเป็นบ้านพักตากอากาศเล็ก ๆ เท่านั้นเอง เอาไว้พักผ่อนกับครอบครัวเพราะที่นี่อากาศดี ผมยินดีให้ผอ.เสนอราคา ซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินสนับสนุนตรงนี้ด้วย”
สีหน้าคเชนทร์ยังยิ้มไม่เปลี่ยน สายตาจับจ้องตัวเลขบนกระดาษในมือ ประวีณได้แต่รอ กระทั่งอีกฝ่ายจัดเก็บใส่ซองเลื่อนกลับคืนมาให้
“ผมขอปฏิเสธ”
ไอร้อนถูกจุดขึ้น “ทำไมครับ น้อยไป”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ เงินจำนวนเท่านี้สามารถก่อสร้างโรงยิมเนเซียมเต็มรูปแบบได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน ซ้ำยังจะมีเงินจากการขายที่ดินอีกก้อนไว้สำรองได้อีก
“ตอนนี้โรงเรียนผมยังมีขนาดเล็กอยู่ ที่ดินมันเลยเหลือรกตาไปหน่อย แต่ผมก็อยากเก็บไว้ สักวันถ้ามีทุนพอจะได้ขยับขยายน่ะครับ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผอ.ก็บอก ผมยินดีขายคืน”
คเชนทร์กดความระอุให้สีหน้าตัวเองยังเยือกเย็น เขาไม่มีทางเชื่อว่านักธุรกิจอย่างประวีณจะทำเช่นนั้น คำที่พูดออกมาก็เพียงเพื่อให้เขายอมไปในขั้นต้นก่อนเท่านั้นเอง
“อย่าถึงกระนั้นเลยครับ ผมไม่อยากให้เราต้องมาเสียความรู้สึกกัน ของที่เราอยากได้ กว่าจะได้มาก็ยากลำบาก เป็นผมผมก็ไม่ให้ใครต่อหรอกครับ”
คราวนี้นักธรุกิจหนุ่มลุกพรวด หน้าแดง มือกำแน่น โทสะเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
“ผมหวังดีนะ”
คเชนทร์ลุกตาม “ผมก็ขอบคุณแล้วไงครับ”
“สรุปว่าไม่ตกลง”
อีกฝ่ายส่ายหน้าจริงจัง ประวีณเหยียดยิ้ม
“แล้วผอ.จะเสียใจกับการปฏิเสธครั้งนี้ คิดเหรอว่าลำพังผอ.คนเดียวกับเงินไม่กี่ล้านจะสร้างโรงยิมให้เสร็จได้!!”
นักธุรกิจหนุ่มคว้าซอง หันหลังก้าวยาว ๆ ไปที่ประตู กระชากเปิดแล้วเดินออกไปโดยที่เจ้าของห้องไม่ทันได้ส่ง ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจบรรเทาความเคร่งเครียดจากการเจรจา
รถของผู้มาเยือนลับสายตาไปแล้ว แต่คเชนทร์ยังยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ เขายืนอยู่ตรงระเบียง จากมุมนี้มองเห็นอาณาเขตโรงเรียนได้เกือบทั้งหมด ยามบ่ายมีเด็กนักเรียนอยู่ที่สนาม กำลังเรียนวิชาพละศึกษา บางกลุ่มเรียนในโรงยิม ในห้องเรียน ได้ยินเสียงเด็กอ่านตามคำบอกจากเด็กชั้นประถม และเสียงเจี๊ยวจ๊าวฟังไม่ได้สรรพจากห้องเรียนอนุบาล เรื่องวันนี้ คงเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่เป้าหมายคือที่ดินผืนงามสำหรับทำรีสอร์ต
คงต้องรับมือกับเล่ห์ธุรกิจจากปริญญาอีกหลายรูปแบบ
......ต่อค่ะ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
วันออกพรรษา 54 10:18:33
|
|
|
|