Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เงาจันทร์ บทที่ 1 ติดต่อทีมงาน

บทนำ <- http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11154024/W11154024.html

..........................



บทที่ 1 : บ้านหลังใหม่

“ขอบคุณครับที่ช่วย”

ดนัยยกมือไหว้ชายวัยกลางคนที่เขาจอดรถแวะถามทางไปบ้านเช่าเมื่อครู่ ที่พอเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะมุ่งหน้าไปทางไหนก็ทำสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ยังบอกทางไปให้โดยดี

สองข้างทางในถนนส่วนตัวสายนี้มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นให้ความร่มรื่น แสงแดดที่ส่องลงมากระทบพื้นดินนั้นทำให้บรรยากาศดูสดใส จนชายหนุ่มที่ขับรถไปเรื่อยๆ ถึงกับผิวปากออกมาอย่างครึ้มใจเมื่อกดสวิตส์เปิดกระจกรถ เพื่อรับเอาอากาศบริสุทธิ์ภายนอกเข้ามาแทนที่แอร์เย็นๆ ภายในรถ

ไอแดดที่ไม่ร้อนแรงเท่าใดนักปะทะใบหน้าคมสัน ผิวขาวอย่างคนที่ไม่ค่อยได้ออกมาเผชิญแดดนักเริ่มขึ้นสีระเรื่อ แต่ดนัยก็ยังไม่คิดที่จะยกกระจกรถขึ้น สายตาคมเหลียวซ้ายแลขวามองดูทัศนียภาพสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น

ที่กรุงเทพฯ มีอากาศอยู่สองฤดู คือร้อนกับร้อนมาก และแดดที่นั่นก็แผดกล้าเสียจนเขาที่ถือตัวว่าเป็นผู้ชาย ‘ลุยๆ’ คนหนึ่ง (ที่ไม่มีโอกาสได้ออกปฏิบัติการภาคสนามเสียที) แทบจะไม่กล้าย่างกรายให้โดนแสงอาทิตย์ร้อนแรง

แต่ที่นี่...เขายิ้มสดชื่นเมื่อลมเย็นๆ พัดมาต้องใบหน้า สูดอากาศแท้ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการฟอกจากเครื่องปรับอากาศอย่างชุ่มปอด ไอแดดที่ทอแสงอยู่ก็ไม่ได้ร้อนแรงจนจะเผาให้สุก แต่กลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วร่างกาย กระตุ้นให้จิตใจชายหนุ่มคึกคักยิ่งขึ้น

ฟอร์จูนเนอร์สีดำขับไปตามทางถนนสายเล็ก มุ่งหน้าไปจนถึงบ้านเช่าหลังนั้น...

...บ้านที่ไม่มีใครกล้ากรายผ่านมานาน...


‘เจ้าของบ้านเค้าบอกว่าบ้านหลังนี้ปลูกมาได้ 5 ปีแล้ว แต่เค้าไม่ได้อยู่ ต้องออกไปทำงานที่อื่น เลยคิดว่าทิ้งไว้เฉยๆ คงไม่ดี สู้ปล่อยเช่าดีกว่า ผมเพิ่งเห็นเค้าลงประกาศทางเน็ต เลยส่งให้พี่ดูน่ะ’

ดนัยมองบ้านหลังงามที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่ พลางคิดถึงข้อความที่รุ่นน้องส่งมาให้ทางเมล์โดยแนบเว็บไซต์ที่ลงรายละเอียดบ้านเช่าแห่งนี้มาด้วย รูปภาพเหล่านั้นไม่ได้เตะตาหรือดูสวยงามเท่าใด หากที่ชายหนุ่มตัดสินใจเช่า เป็นเพราะว่าบ้านหลังนั้นมีเฟอร์นิเจอร์ พื้นที่ค่อนข้างกว้าง อยู่ใกล้ที่ทำงานใหม่ของเขา และ...ราคาถูก

ถูกจนไม่น่าเชื่อว่าบ้านหลังนี้จะถูกปล่อยให้เช่าในราคาเท่านั้นได้ เพราะบ้านที่เป็นตัวตึกชั้นเดียวนั้นถูกออกแบบมาสำหรับการอยู่อาศัยของครอบครัวขนาดกลาง ตัวบ้านสีขาวออกเหลืองนวลๆ ตัดขอบคิ้วด้วยไม้สีน้ำตาลเข้มดูอบอุ่น ต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกอยู่ในบริเวณบ้านเพิ่มความสดใสให้กับบ้านน้อยให้น่ารื่นรมย์ยิ่งขึ้น

แต่...อาจเป็นเพราะแทนที่รอบบ้านหลังนี้จะมีเพื่อนบ้านอุ่นหนาฝาคั่ง กลับกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ หลายๆ ต้นที่ยืนต้นเรียงราย  ถนนทางเข้าที่เป็นถนนส่วนบุคคลนั้นก็ทำให้เขารู้สึกว่าบ้านหลังนี้ถูกตัดการติดต่อจากโลกภายนอกอย่างไรชอบกล

มีความเยือกเย็นอย่างประหลาด...ที่ทำให้ดนัยรู้สึกเย็นวาบ แล่นปราดไปตามไขสันหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไปพริบตา ทิ้งร่องรอยของความไม่แน่ใจบางประการให้เกิดขึ้นในสมองของชายหนุ่ม

...ทำไมของดีๆ ถึงมีใครอยากปล่อยในราคาถูก ถ้าของนั้นไม่มีตำหนิ...

เอาเถอะ...ชายหนุ่มยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจอะไรนักเมื่อเลื่อนรถเข้าไปในที่จอดได้เรียบร้อยแล้ว ร่างสูงอย่างคนที่ออกกำลัง (ในฟิตเนส) อยู่เป็นประจำเปิดท้ายรถของตนเอง ก่อนเริ่มขนของออกมากองไว้รวมกันจนหมด แล้วก็ค่อยทยอยเอาเข้าบ้านทีละอย่างสองอย่างด้วยความรวดเร็ว...แล้วลดความเร็วลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาขน

จนเมื่อขนของเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอย่างรู้เวลา ดนัยหยิบขึ้นมาดู ก่อนที่จะปัดๆ เตียงในห้องนอนของตัวเองเล็กน้อยแล้วล้มตัวลงนอนแผ่อย่างหมดแรง พลางกดรับโทรศัพท์ไปด้วย

“ไงดนู”

“บ้านใหม่เป็นไงพี่”

“ok สวยถูกใจ สวยกว่ารูปที่แกส่งมาให้ด้วยซ้ำ น้ำไฟใช้ได้ทุกอย่าง แถมยังสะอาดเอี่ยมเหมือนมีใครมาทำความสะอาดไว้ให้งั้นแหละ”

“หูยยยย...ดีสิพี่ อย่างงั้นทีนี้ผมก็จะได้ไปพักกะพี่บ้าง” คนที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องชองชายหนุ่มทำเสียงกระตือรือร้น “อยู่หอในน่ะ จะแย่งอากาศหายใจกันตายอยู่แล้ว”

ดนัยหัวเราะ คิดสภาพการแย่งอากาศหายใจที่น้องชายว่าไม่ค่อยออกเท่าไหร่เพราะเขาโชคดีที่ได้เข้ามหา’ลัยที่อยู่ใกล้บ้าน เลยไม่ต้องออกมาอยู่หอพักเหมือนเพื่อนนักศึกษาอีกหลายๆ คน

“แต่เขาว่ากันว่าอยู่หอในนี่ได้ประสบการณ์ชีวิตดีนะ”

“ได้พอแล้วพี่ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวว่ามีพวกโรคจิตแอบถ่ายคลิปเวลาอาบน้ำด้วย ผมละสยอง...” ท้ายประโยคลากเสียงยาวอย่างที่ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวสยองจริงๆ

“...ยิ่งหน้าตาดีๆ หล่อๆ อย่างผมนี่ก็ยิ่งตกเป็นเป้า เฮ้อ...”

ชายหนุ่มผู้พี่ถึงกับขำพรืด “นี่ไปอยู่มหา’ ลัยมาเป็นเทอมแล้ว ยังไม่เลิกหลงตัวเองอีกหรือนู”

“ม่ายอ่ะ...ขืนรอให้คนอื่นมาหลงคงอีกนาน หลงตัวเองไปก่อนน่ะดีแล้ว” น้องชายตัวดีปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะเหอะๆ “ว่าแต่ตกลงนะ ถ้าพี่เข้าที่เข้าทางเมื่อไหร่ ผมจะขอไปนอนบ้างเป็นบางครั้งแล้วกัน”

“โอเค ว่างเมื่อไหร่ก็มาละกัน”

สายโทรศัพท์หลุดไปแล้วเมื่อดนัยยกโทรศัพท์ออกจากท่าแทบหู กะนอนพักแป๊บเดียวก่อนจะลุกขึ้นมาจัดของคร่าวๆ ภายในบ้านให้เรียบร้อย เพราะวันพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงานที่ใหม่เป็นวันแรก...

เปลือกตาของชายหนุ่มปิดลง เกือบพร้อมๆ กันนั้นด้วยความอ่อนล้า...ดนัยก็เข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด


เมื่อดนัยตื่นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็อดที่จะตกใจกับดวงตะวันที่คล้อยต่ำลงมาไม่ได้...

เขาคงเหนื่อยกับการขนของมากเกินไป พอปิดตาปุ๊บก็หลับสนิทปั๊บ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นเกือบค่ำแล้ว ชายหนุ่มตาลีตาเหลือกลุกขึ้นจากที่นอน ก่อนเหลือบตามองกองข้าวของภายในห้องอย่างอ่อนใจ...

...คงต้องค่อยๆ ทำไปเท่านั้นแหละ...

ดนัยเดินออกจากห้องพลางมองนาฬิกาข้อมือ...เกือบห้าโมงเย็น แต่ที่นี่ฟ้ามืดเร็วเพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ชายหนุ่มหยิบเอากุญแจรถเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปหาซื้อของกินมากักตุนไว้ พร้อมๆ กับหาอะไรใส่ท้องตัวเองด้วย

ดีที่บ้านเช่าของเขานั้นมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน ซึ่งนั่นรวมถึงโทรทัศน์สีเครื่องใหญ่สภาพดี ตู้เย็นขนาดกลางและเครื่องใช้ในครัวที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าครบครัน ครบเสียจนเขาแอบคิดว่าเจ้าของบ้านเหมือนจะไม่เอาอะไรติดตัวไปเลย นี่ถ้าเขาเห็นเสื้อผ้าเหลือไว้ในบ้านซักตัวแล้ว...ชายหนุ่มคิดขำๆ กับตัวเองว่าเขาคงสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของบ้านหอบผ้าผ่อนหนีอะไรในบ้านซักอย่างแน่ๆ

ฟอร์จูนเนอร์สีเดียวกับรัตติกาลแล่นออกจากห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางเมือง ด้านหลังรถนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ เต็มไปหมด ซึ่งรวมถึงอาหารทั้งสดและแห้งที่เขากะเอาไปกักตุนไว้ใส่ตู้ไว้ทานหลายๆ วันด้วย

เมื่อครู่ตอนที่เขาจ่ายเงิน หลายๆ คนมองอย่างสงสัยใคร่รู้เมื่อเห็นกองข้าวของของเขาที่นำมาคิดเงินที่เคาร์เตอร์ โดยเฉพาะอาหารที่มากเสียจนเหมือนจะเก็บไว้ขึ้นราคาตอนเกิดภัยพิบัติกระนั้น

แต่ชายหนุ่มก็ไม่หยี่หระสายตาชาวบ้านชาวช่อง ยังคงลากรถเข็นที่เต็มไปด้วยข้าวของที่ล้นออกมาและเจ้าตัวต้องหิ้วไว้ด้วยไปเก็บไว้ในท้ายรถ ก่อนที่จะออกรถเพื่อไปหาอาหารเย็นทาน และถือโอกาสสำรวจเมืองใหญ่ที่เขามาอยู่ในยามราตรีด้วย

จังหวัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆ แห่งหนึ่ง และเป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญของภาคทีเดียว สถานที่สำคัญทางราชการที่เป็นระดับภาคก็มาตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ เมื่อรวมเข้ากับจำนวนนักท่องเที่ยว จำนวนผู้คนที่ทะลักล้นเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ ก็พอที่จะทำให้จังหวัดนี้กลายเป็นเมืองที่คล้ายๆ กรุงเทพฯ เข้าไปอีกแห่ง ดีแต่ว่าที่นี่ยังมีต้นไม้ มีผู้คน มีวัฒนธรรมที่ดีงามที่คนท้องถิ่นยังรักษาไว้อย่างเหนียวแน่น ชายหนุ่มจึงรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างเมืองฟ้าอมรที่ยิ่งใหญ่ทว่าร้อนเร่ากับเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาแต่ว่ามีความร่มเย็นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เขาขับรถผ่านแหล่งสถานบันเทิงยามค่ำคืน สังเกตเห็นนักท่องเที่ยวที่ส่วนมาเป็นชาวต่างประเทศมากกว่าคนไทยกำลังนั่งฟังเพลงในร้านเหล้าที่มีอยู่ติดๆ กัน มีสาวน้อยที่นุ่งน้อยห่มน้อยปกปิดร่างกายอวบอัดค่อยคลอเคลีย...ภาพนี้เขาก็เห็นจนเจนตา ไม่ได้ชอบ...ไม่ได้ชังกับสิ่งที่เห็น รู้สึกเพียงแค่ความเฉยชาและการปลงตกกับสภาพเสียมากกว่า

คนเราย่อมมีสิทธิ์ที่จะดิ้นรนกับชีวิตตัวเอง...ก็อย่างที่มีคนว่า ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป...

แต่จะดิ้นแบบไหน...ก็แล้วแต่จะเลือกทางกันเอง

ดนัยขับรถพาตัวเองไปจนถึงตลาดโต้รุ่ง ที่นั่นเขาเห็นร้านรถเข็นมากมายที่เรียงรายกันอยู่แน่นขนัด กลิ่นหอมที่ลอยอวลมากับอากาศทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหาที่หยุดรถแทบไม่ทัน เมื่อจอดรถสนิทและตรวจตราว่าตัวเองล็อกรถเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงก็เดินเลือกร้านที่จะฝากท้องมื้อเย็นอย่างสบายอารมณ์

เมื่อเดินไปจนเมื่อย ชายหนุ่มก็เลือกที่จะนั่งอยู่บนโต๊ะของร้านบะหมี่ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลายเขามากที่สุด รอบะหมี่หมูแดงต้มยำของโปรดอย่างเงียบๆ มือหนาคว้าหนังสือพิมพ์หัวสีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านฆ่าเวลารออาหารให้มาเสียที

เมื่อบะหมี่ร้อนๆ หอมกรุ่นส่งกลิ่นอวลกระทบจมูก รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนริมฝีปากในทันที ดนัยรู้สึกได้ถึงน้ำย่อยในกระเพาะที่เริ่มทำงานมานานตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะมาเลือกร้านนี้เสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มไม่ชอบทานอาหารในศูนย์อาหารของห้าง ไม่ได้รังเกียจหากจะต้องทานอาหารในร้านอาหารบนห้างเช่นกัน...แต่กินคนเดียวมันก็เหงาๆ พิกล...

ตะเกียบในมือที่ถูกยกขึ้นชะงักกึกเหนือเส้นบะหมี่ไม่กี่มิลลิเมตร เมื่ออยู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นจากโต๊ะที่อยู่เยื้องๆ กันเบาๆ แผ่วๆ แต่รบกวนโสตประสาทยิ่งนัก

ก่อนที่ความอยากรู้จะก่อตัวขึ้นมาเกินห้ามทัน ชายหนุ่มแอบเหลือบตาไปดูต้นกำเนิดเสียง อยากรู้จริงว่าใครหนอที่กล้าร้องไห้ต่อธารกำนัล โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าเสียงร้องไห้ในร้านอาหารนั้นจะทำให้คนอื่นทานอาหารไม่ลง

ผู้หญิง...น่ารักด้วย...นี่คือสิ่งแรกที่ดนัยคิดเมื่อเหลือบตามองคนร้องไห้ ผมยาวประบ่าที่ปล่อยสยายนั้นคลี่ลงมาปิดบังใบหน้าเนียนนั้นไว้แต่แรก วงหน้าสวยก้มต่ำนิดๆ เหมือนเจ้าตัวพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดกำลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมของเจ้าหล่อนก็แดงก่ำ น้ำใสๆ กลิ้งออกมาจากตาสวยนั้นหยดแล้วหยดเล่า จมูกกับแก้มแดงๆ พร้อมกับริมฝีปากบางที่ขบเม้มกันแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นกระแทกใจดนัยอย่างจัง...

ถ้าไม่ติดที่ผู้ชายท่าทางดุดันที่นั่งอยู่ตรงข้ามหล่อนคนนั้น...

ร่างสูงล่ำสัน ผิวคร้ามแดด กำลังนั่งหันหลังให้เขา ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ กระนั้นเขาก็สัมผัสโทสะของอีกฝ่ายได้รางๆ
ชายคนนั้นเหมือนจะพยายามพูดเสียงต่ำๆ ดนัยเดาว่าเขาคงพยายามทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเงียบเสียงลง หากแต่ไม่ได้ผล...แทนที่ร่างน้อยนั้นจะหยุดสะอื้น กลับยิ่งน้ำตาร่วงเผาะมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

ทำเอาคนเฝ้ามองรู้สึกปวดใจ จนลืมความหิวของตัวเองไปเลย

บะหมี่หมูแดงต้มยำถูกละเลยไม่สนใจ เพราะเจ้าของมันกำลังมองตรงไปยังชายหญิงคู่นั้น ดุจเดียวกับคนอื่นๆ ในร้านที่จ้องมองไปในจุดเดียวกัน สายตาอยากรู้อยากเห็นพากันจดจ้องมองดู ผู้หญิงบางคนก็เจือปนความสงสาร แต่ก็ยังจ้องตาไม่กระพริบ ดุจดังกำลังลุ้นว่าจะมีละครสนุกอะไรเกิดขึ้นอีก

ก็เพราะสายตาสิบกว่าคู่จดจ้องมองดูที่เดียวกันนั่นแหละ ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นจุดสนใจเหลียวมองรอบๆ กาย ใบหน้าหล่อเหลาพอสมควรเข้มขึ้น ก่อนจะหันไปตวาดใส่หญิงสาวที่ยังปิดหูปิดตาร้องไห้ไม่เบานัก

“พอได้แล้ว! อยากให้คนอื่นมองมากรึไง!

มือบางลดลงจากใบหน้าหน่อยๆ เผยให้เห็นดวงตาที่มีน้ำใสๆ เอ่อคลอแล้วหยด...หยดแล้วหยดเล่า ก่อนที่เธอจะหันไปมองคนอื่นเหมือนกัน...

ริมฝีปากบางสั่นระริกเมื่อเอ่ยเสียงเครือ “วาไม่ได้...ไม่ได้อยากให้ใคร...มะ...มองนะคะ!”

“งั้นก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว!” อีกฝ่ายดูเหมือนกำลังจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ ดนัยสังเกตเห็นว่ามือหนาของฝ่ายนั้นรวบเป็นกำปั้นอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างหนัก

“แล้วทำไมคุณต้องตวาดวาด้วยล่ะ”

หญิงสาวส่งเสียงสะอื้น เอ่ยถามด้วยเสียงที่ไม่ได้เบาไปกว่าชายหนุ่มเท่าไหร่

“เธออย่าทำเรื่องเล็กให้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ได้มั้ย! น่ารำคาญรู้รึเปล่า!”

ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเริ่มสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว ดนัยเห็นจากปลายหางตาว่าคนที่อยู่โต๊ะใกล้ๆ เริ่มขยับออกห่าง แต่ทุกคนก็ยังคงตามติดเรียลลิตี้โชว์สดๆ ต่อไปอย่างตาไม่กระพริบ

ชายหนุ่มสังเกตเห็นหญิงสาวร่างเล็กคนนั้นเผยอปากค้างน้อยๆ ดุจจะตกตะลึงกับความหยาบคายของคนตรงหน้า...

...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นได้เรียนรู้ ‘ความรัก’ ในอีกแง่หนึ่งกระมัง...

ดนัยถอนหายใจ ถอนสายตาจากฉากตรงหน้ากลับมาอยู่ตรงชามบะหมี่ของตนเอง ชายหนุ่มกวักมือเรียกคนเสิร์ฟ (ที่ก็ยืนมองคู่นั้นตาค้างอยู่เหมือนกัน) ให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะสั่งให้ห่อบะหมี่ชามนี้ใส่ถุง เพื่อที่จะเอาไปทานที่บ้าน

...ตอนนี้ที่นี่บรรยากาศไม่เหมาะแก่การทานอาหารสุดๆ

เมื่อเด็กเสิร์ฟหนุ่มนำถุงพลาสติกบรรจุอาหารของเขามาให้แล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน เตรียมก้าวเดินออกไปนอกร้าน แต่เสียงกรีดร้องดังที่ตามมากลับตรึงเท้าชายหนุ่มไว้ทันควัน

“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง!” ตอนนี้ดวงตากลมสวยนั้นลุกวาวด้วยแรงโทสะ ร่างบางตบโต๊ะดังปังจนทุกคนในร้านต่างสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน “เรื่องเล็กอย่างนั้นเหรอ! เรื่องเล็กอย่างนั้นใช่มั้ย! คุณจะบอกว่าแค่เรื่องแฟนไปควงสาวอื่นเข้าม่านรูดนี่เรื่องเล็กอย่างนั้นเหรอ?!”

คราวนี้ดวงตาหลายๆ คู่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง) หันไปจับอยู่ที่ชายหนุ่มตรงข้ามอย่างไม่ชอบหน้าขึ้นมาทันควัน ผู้หญิงบางคนหันมาทำตาวาวใส่คู่ของตัวเองด้วย

“ก็เธอไม่ยอมฉันเองนี่ จะทำยังไงได้ล่ะ! จะรอจนถึงวันแต่งงาน...ทุเรศ! อยากขึ้นค่าตัวไม่ว่า ผู้หญิงอย่างเธอผ่านมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยังจะมาสะดีดสะดิ้งหวงตัวอีก!”

เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นก็หมดความยับยั้งชั่งใจแล้วเช่นกัน จึงได้ผรุสวาทคำหยาบระคายอย่างนั้นออกมาได้อย่างรุนแรง ด่าทอหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามโดยไม่ได้คิดเลยว่าคำด่านั้นจะทำให้คนอื่นมองตัวเองอย่างสมเพชในความคิดขนาดไหน...

อีกครั้งที่หญิงสาวดูเหมือนจะตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่มตรงหน้า น้ำตาร่วงรินลงมาอีกครั้ง...พร้อมๆ กับการโผถลาข้ามโต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนเงื้อมือตบใบหน้าชายหนุ่มเสียงดัง!

“คนอย่างคุณมันเลวที่สุด! น่ารังเกียจน่าขยะแขยง! ฉันไม่น่าหลวมตัวมาคบกับคุณเลย!”

ชั่วแวบนั้น...ดนัยเห็นสายตาคมวาวด้วยโทสะของผู้ชายร่างสูง และมือที่เงื้อขึ้นอย่างรวดเร็วของเขา...

“เพียะ!!!”

ใบหน้าคมสันของชายหนุ่มสะบัดไปตามแรงปะทะของมือใหญ่ ซีกหน้านั้นแดงเถือกขึ้นทันควัน ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนทั้งร้าน

คนก่อเหตุชะงักค้าง ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้พรวดพราดเข้ามาขวางเขาเอาไว้ แต่พริบตาต่อมาเขาก็ชี้หน้าดนัยพลางเยาะหยันหญิงสาวที่ตอนนี้ยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหลัง

“นี่ไง! ไอ้นี่ก็คงเป็นผู้ชายของเธออีกคนล่ะสิท่า โธ่เอ้ย...ทำมาเป็นใส่ซื่อบริสุทธิ์ ที่แท้ก็...”

“หยุดพล่ามได้แล้วนะคุณ”

ดนัยพูดเสียงเย็น จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว “ด่าประจานผู้หญิงเสียๆ หายๆ อย่างนี้มันน่าทุเรศว่ะ ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเขาสมเพชไปมากกว่านี้ก็ขอโทษผู้หญิงเค้าซะ!”

“เรื่องของกรูกับมัน มรึงไม่ต้องมายุ่ง!”

“ยุ่งไม่ยุ่งกรูก็โดนมรึงตบไปแล้ว” เมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ภาษาสมัยพ่อขุน เขาก็เอาบ้าง “กรูมากินข้าวดีๆ แมร่ง:-)ทะเลาะกันกลางร้าน ทะเลาะไม่ว่าจะลงไม้ลงมือ มรึงเหลียวมองรอบๆ ตัวมรึงหน่อย...อายเขามั้ย!”

อีกฝ่ายหันไปมองรอบๆ เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมาอย่างอยากรู้อยากเห็นของคนทั้งร้าน ชายหนุ่มก็ตวาดก้อง “มองหาพ่อมรึงเหรอ”

“ไม่ได้มองหาพ่อ มองหาเชี่ย!”

เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังลอยๆ ได้ยินกันไปทั่วร้าน ใบหน้าของชายหนุ่มแดงจัด เตรียมเดินไปเอาเรื่องอีกฝ่ายทันควัน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็แน่เหมือนกัน เธอลุกขึ้นประจันหน้ากับผู้เข้ามาหาเรื่องอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ผู้ชายที่มาด้วยก้าวยาวๆ ไปบังร่างนั้นควักบัตรตำรวจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ทำร้ายร่างกาย ก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะ หมิ่นประมาท ไปคุยกันที่โรงพักดีกว่ามั้ย?”

พูดพลางคว้าข้อมือร่างสูงนั้นมาใส่กุญแจมือดังกริ๊ก ท่ามกลางเสียงโวยวายที่ดังลั่น ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวคนนั้นก็เดินเข้ามาหาดนัยและร่างบางที่ตอนนี้มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ

“ขอเชิญคุณทั้งสองคนไปให้การที่โรงพักด้วยนะครับ”

“ครับ...”

หมดกัน...กว่าจะถึงบ้านบะหมี่ที่ดูน่าอร่อยนี้ก็อืดหมดพอดี...ดนัยคร่ำครวญในใจ แต่เมื่อเหลียวมองผู้หญิงที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจอยู่ข้างหลังเขา ชายหนุ่มก็กล่าวเสียงอ่อนโยนอย่างต้องการจะปลอบประโลม

“ไปโรงพักด้วยกันนะครับ...”

“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ”



กว่าจะให้การที่โรงพักเสร็จก็กินเวลาเกือบชั่วโมง

ดนัยขับรถพาหญิงสาวที่ตอนนี้เขาได้รู้ว่าเธอชื่อพันทิวาไปส่งที่คอนโดขนาดปานกลาง ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุเมื่อครู่เท่าไหร่ หญิงสาวยังเฝ้าขอบคุณเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สลับกับเสียงสะอื้นเล่าสาเหตุของเรื่องคร่าวๆ ให้เขาฟัง

“...เราคบกันได้ไม่นานค่ะ แค่สองเดือนเอง ตอนแรกเขาก็ดีกับวาทุกอย่าง แต่...หลังๆ เขาเริ่มเรียกร้องเอากับวามากขึ้น...”

พันทิวาปาดน้ำตา น้ำเสียงเจือสะอื้นยังเล่าต่อไป “วาไม่ยอม...วาผิดมากเหรอคะ...เขาไปหาผะ...ผู้หญิงคนใหม่ เป็นน้องนักศึกษาฝึกงาน...ขะ...เขาพากันเข้าม่านรูด เพื่อนวาไปเห็นเลยเอามาเล่าให้วาฟัง ว่าก็ลองถามเขาตรงๆ...”

ใบหน้าหวานแหงนเงยขึ้นสบตาชายหนุ่มที่เหลียวมองอย่างเห็นใจ “แล้วก็เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละค่ะ”

“คุณไม่ผิดหรอกนะ อย่าโทษตัวเองเลยคุณวา”

“วาไม่คิดเลย...ว่าเขาจะเป็นคนอย่างนี้ วาหลงผิดไปจริงๆ ที่คบกับเขา”

“ต่อไปนี้คุณก็ไม่ต้องยุ่งกับเขาแล้วนะครับ” ดนัยให้คำแนะนำ...บางส่วนในใจส่วนลึก...บอกว่าเขากำลังพยายาม ‘แยก’ หญิงสาวคนนี้กับผู้ชายที่น่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากแล้วว่าเป็น ‘อดีต’ “พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ต้องไปพบเจอ ไม่ต้องไปสนใจเขาอีก”

“เขาเป็นหัวหน้างานของวาเองค่ะ วาคงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอเขาไม่ได้ ยกเว้นถ้าวาจะลาออกเสียเอง”

พันทิวาที่ตอนนี้หยุดสะอื้นแล้วพูดขึ้นอย่างใคร่ครวญ ก่อนตัดสินใจแน่วแน่

“วาจะลาออกค่ะคุณดนัย”

ดนัยหันมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ อีกครั้ง แววตาวาวโรจน์อย่างนั้น...เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นเกินไป

“อย่าทำลายอนาคตของตัวเองเพราะผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งเลยครับ ผมว่าคุณน่าจะมีวิธีหลีกเลี่ยงดีกว่านั้น...” ชายหนุ่มชะลอรถให้จอดลงหน้าคอนโดที่พักของหญิงสาว ก่อนหันมาพูดหนักแน่น “จริงๆ แล้วผมว่าคุณน่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตอนนี้เขายังอยู่ที่โรงพักรอคนมาประกันตัวอยู่เลย คุณก็ใจเย็นๆ รอดูสถานการณ์พรุ่งนี้เถอะครับ แต่ผมจะบอกอย่าง...ไม่มีใครอยากให้ภาพลักษณ์บริษัทของตัวเองเสียหายด้วยการจ้างคนแบบนั้นไว้หรอก...คุณคอยดูก็แล้วกัน”

“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะคุณดนัย”

น้ำเสียงสั่นๆ บ่งบอกความไม่แน่ใจของหญิงสาวหมดสิ้น ใบหน้าคมสันที่มีรอยแดงแถบหนึ่งบนผิวแก้มจึงยิ้มบางๆ ให้กับร่างบางตรงหน้า

“ผมหวังว่ามันจะดีกว่านั้นด้วยซ้ำแหละ”

คราวนี้รอยยิ้มบางๆ แต่หวานราวกับดอกไม้แรกแย้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากได้รูปของหญิงสาว พร้อมกับคำขอบคุณแผ่วเบาทว่าจับใจคนฟัง...

“ขอบคุณนะคะที่ทำให้วารู้สึกดีขึ้น...”


ดนัยผิวปากมาตลอดทางกลับบ้าน

ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างกระจ่าง แสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างให้เห็นถนนสายน้อยที่ทอดยาวสู่บ้านหลังใหม่ของเขา...

ร่างสูงขับรถไปเรื่อยๆ รื่นรมย์ไปกับความเย็นของอากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาว แสงจันทร์ที่ส่องกระทบต้นไม้ใหญ่สองข้างทางทำให้เกิดเป็นเงาตะคุ่มๆ รูปทรงแปลกๆ ชวนให้คนจินตนาการเพริดคิดไปได้ต่างๆ นาๆ
แต่พอดีว่าเขาไม่ใช่คนจินตนาการเก่งกาจอะไร เงาตะคุ่มๆ ของแมกไม้ที่รายรอบจึงทำให้เขารู้สึกได้เพียงว่า...

“มีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างทางตอนกลางคืนนี่...ทำให้ถนนมืดขึ้นแฮะ”

ชายหนุ่มมองตรงไปยังทางข้างหน้า แสงไฟสาดจับเส้นทางที่ไร้สิ่งกีดขวาง...

ลมพัดกรูเข้ามาโดยไร้เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก...เย็นอย่างประหลาด

ฟอร์จูนเนอร์สีดำเลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอด ชายหนุ่มลงจากรถ ในมือถือถุงบะหมี่ที่ตอนนี้น่าจะขึ้นอืดไปแล้ว แต่เขาก็หิวพอที่จะไม่ถือสา...อีกอย่าง...จะได้เป็นการระลึกถึงการทำตัวเป็นสุภาพบุรุษช่วยหญิงงามครั้งแรกในชีวิตด้วย

จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกเย็นยะเยือก...ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว...

ดนัยหันกลับไปมองข้างหลังช้าๆ...

แสงจันทร์กระจ่าง...เผยให้เห็นร่างบางในชุดม่วงเข้มเกือบดำ กำลังหันกลับมาช้าๆ ด้วยท่วงท่าเหมือนคนกำลังร่ายรำกลางงานใหญ่...


...ก่อนจะหันมาสบตากับเขา...

แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 54 18:51:23

แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 54 18:40:35

จากคุณ : ส้มเช้งเองจ้า
เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 18:39:57




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com