Onner Keyzer บทนำ -1/1 / คลอเล็คชั่น -นิยายสุกๆดิบๆ-
|
 |
สวัสดีครับ นิยาย สุกๆดิบๆนะครับ ถ้ายังไงรบกวนด้วยนะครับ พิมพ์ผิดเยอะมากมาย ขออภัยนะครับ ลงครั้งแรกนะครับ ขอบคุณมากครับ
บทนำ
บันทึกฉบับที่ 2 ออนเนอร์ คีย์เซอร์ ผมจำได้ว่า...มันเป็นปัญหาของโลกอีกใบ โลกที่เรียกว่า ดินแดนแห่งอิสระ ความอิสระ เสรีที่นำมาสู่การล่วงล้ำธรรมวิสัยของสิ่งมีชีวิต ฟรีเวิลด์ โลกของมหาอาณาจักรแห่งธรรมชาติ จิตวิญญาณ เทพยาดา อารยะธรรมอันหลากหลาย สงคราม ทำไมนะ สงครามมันถึงมีทุกที่ ทุกยุค ทุกแดน ทุกสถาน ไ ร้ความปรองดองสูญซึ่งความสามัคคี เชาว์ ยูเครส กษัตริย์แห่งอาณาจักรมืดใต้พิภพ ได้ประกาศสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตในฟรีเวิลด์ เพื่อนำทรัพยากรทุกสิ่งทุกอย่างมาสร้างอาณาจักรแห่งใหม่บนพื้นดินให้สูงเทียมสวรรค์ อีกสี่อาณาจักรใหญ่ได้ประชุมหารือกับอาณาจักรซันบราบิโลน ศาสนจักรแห่งนักเวชขาว เพื่อเข้ารวมสงครามครั้งนี้เพื่อรักษาปกป้องอาณาจักรตนกับประชากร แต่...ด้วยอำนาจมืดของ เชาว์ ยูเครส ได้บรรดาลให้ศพซากของผู้ที่ตายในสงครามที่เกิดขึ้นต่อมานั้น แปลงสภาพกลายเป็นทหารไร้วิญญาณซึงเป็นกำลังสงครามทับหน้าอยู่เสมอ เพิ่มจำนวนไพร่พลแห่งความมืดมนเรื่อยๆ จนการทำสงครามกินระยะเวลายาวนานส่งผลให้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คงไม่ต้องบอกว่าอะไรบ้าง กว่าสิบแปดปีที่สงครามนั้นเกิดขึ้นและทำลายล้างความเป็นอยู่อันน่าจะดำเนินได้อย่างปกติสุข ในปีก่อนนี้การรบครั้งใหญ่ที่รวมไพร่พลแห่งฟรีเวิลด์ ทุกอาณาจักรเพื่อเข้าทลายปราสาท อัลบรานีเซีย การรบครั้งนั้นกินเวลากว่าสิบสามวันสิบสามคืน กองทัพฟรีเวิลด์ภายใต้การนำทัพแห่งสี่กษัตริย์ใกล้จะแตกพ่ายรนถอยกันมานับแรมเดือน โดยมีไพร่พลมืดไล่ตามมาทำลายล้างอย่างไม่ลดละ ใกล้รุ่งของวันหนึ่งแห่งการร่นถอยนั้นเอง แสงทองแห่งแรกอรุณวันใหม่ได้สาดแสงส่องเป็นลำยาวกว้างกระจายความอบอุ่นและความหวังอย่างแก่กองทหารที่ยังมีชีวิตอยู่ ในแสงนั้นเองมีจุดดำสี่จุดบนท้องฟ้า กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้บริเวณที่สู้รบกัน ทั้งสี่คือราชันย์มังกรแห่งสี่มหาอาณาจักร สัตว์เทวะทั้งสี่ทะยานอยู่กลางแสงอรุณนั้นแล้วจึงกลางปีกร่อนลงมาจู่โจมไพร่พลมืดของเชาว์ ยูเครส เทวะเพลิงเผาผลาญกองทัพมืดกว่าครึ่งอีกทั้งเทวะธรณีที่แยกสูบเอากองกำลังดำ ไปพร้อมเทวะวารีที่ที่พวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้นดินกลาย เป็น คลื่นน้ำสาดซัดกองทัพมืด ให้ น้อยลงไปแทบทุกที จนต้องถอยร่นไม่เป็นขบวนทัพ เทวะวายุได้ก่อตัวขึ้นไล่หลังด้วยใต้ฝุ่นขนาดยักษ์ ท่ามกลางความฮึกเหิม ของเหล่าทหารฟรีเวิลด์ สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาก็ทะยานมาจากฝากฟ้าในทิศทางด้านหลังของกองทัพมืด สีนิลเลื่อมประกายดำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ เหล่าทหารฟรีเวิลด์ทีแรกก็แทบหยุดหายใจ หมดอาลัยตายอยาก บ้างทรุดตัวลงกลางสนามรบบางผละทิ้งอาวุธหนีไม่คิดชีวิต เมื่อมังกรสีดำซึ่งคือเจ้าวัตถุสีดำที่ลอยมาจากฝากฟ้านั้นเอง มังกรเทพทั้งสี่ว่าแต่ละตัวก็พอๆกลับบ้านสักหลัง แต่ทั้งสีมังกร รวมขนาดกันยังไม่ได้มีขนาดเท่าเจ้ามังกรดำตัวนี้เลยแม้แต่น้อย มฤตยูดำตัวนั้นได้โผเข้าปะทะกับมังกรทั้งสี่บนฟากฟ้าอย่างดุเดือด ทันใดนั้นมังกรทั้งสี่ก็เปล่งคลื่นพลังมหาศาลของตนโจมตีมังกรดำก็มิได้ทำให้สะทกสะท้านผิวมันเลยสักนิด ครั้นมังกรดำได้เปล่งพลังเพลิงสีดำ พลังของมังกรทั้งสี่ก็หาทำอันตราย มังกรดำได้เลย......สงครามยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดกองทัพของทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกและรับโดยยังคงมีสงครามมังกรอยู่กลางเวหาเหนือศีรษะของทุกคนเป็นเวลายาวนาน ใกล้รุ่งของวันต่อมานั้นเอง มังกรสีน้ำเงินได้เปล่งเสียงท่ามกลางสงคราม ทัพฟรีเวิลด์ทั้งหลายจงถอยทัพไปให้ไกลที่สุดเสียเถิด นะบัดนี้ข้าทั้งสี่จะขอสละชีวิตอันเป็นนิรันดร เพื่อยุติสงครามในครั้งนี้เสีย ราวกับว่าจะเกิดอวสาน ทัพประชาชนก็เริ่มร่นถอยอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อถึงเวลากลางคืนของวันนั้นเอง ณ จุดที่มีการสู้รบกันก่อนร่นถอยทัพ ก็ได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นอย่างอัศจรรย์ เป็นการระเบิดพลังชีวิตของมังกรทั้งสี่เพื่อยุติสงคราม ว่ากันเช่นนั้น....ภายหลังจากนั้นสงครามเริ่มจะยุติเนื่องจากการระเบิดครั้งใหญ่ส่งผลให้กองทัพของเชาว์ ยูเครส สูญเสียไปเกือบทั้งหมด ที่เหลือก็มีแค่ทหารกองกำลังป้องกันปราสาทที่มีไม่ถึงพันนาย ทำให้ต้องล่าถอยกลับไป เพื่อรอวันประกาศศึกครั้งใหม่...ที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นอีกสักวันหนึ่ง หลังจากที่สงครามยุตินั้น อาณาจักรซันบราบิโลน ศาสนจักรแห่งนักเวชขาว ผู้ไว้ซึ่งความเป็นกลางและความเมตตาได้ร่วมกับกษัตริย์ ทั้งสี่อาณาจักรใหญ่และหัวหน้าชนเผ่าต่างๆเพื่อ รวมพลังสถิตอักษร ลงในกระดาษศักดิ์สิทธิ์จัดเล่มเป็นหนังสือ โดยประมวลรวมเวชมนต์คาถา ไว้รวมสี่ตำรา ฝากเก็บไว้ในมือของผู้สี่อาณาจักร เพื่อเป็นความหวังจะป้องกันการพรากความอิสระไปจากฟรีเวิลด์ แต่กระนั้นเองการใดมิทราบได้ก่อนที่ทั้งสี่ประมวลเวชจะก่อร่างสร้างตัวนั้น ได้มีพลังอำนาจแห่งโลกบางอย่างออกมาจากแต่ระประมวลก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปเล่มสีดำประกลายม่วง ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าคล้ายจะพรุ่งลอยไปทิศทางอาณาจักร อัลบรานิเซีย....โดยเรื่องยังเก็บไว้เป็นความลับ....เรื่อยมา.....
วันนี้แม่นั้น ทิฟ่าหยิ่งซะไม่มีเลยเชียว เห็นว่าเป็นเจ้าหญิง หรอกนะ....ไม่งั้นเราจะ...ไม่เลี้ยงเลย ปัดโถ!! พูดแล้วโมโห, คลังกร้า เป็นเพื่อนที่ดีแต่ยังสื่อสารกันลำบาก... นี่นะเหรอผู้พิทักษ์ประมวลแห่งไฟ...ว่างๆก็คงจะเผ่าเมืองเล่นเป็นแน่...โตแต่ตัว, วินดี้ เจ้าภูตน้อยตัวกลมประจำประมวล สุดจะขี้โม้.....เก่งแต่คุย...ไร้สาระ..แต่ก็น่ารักดีไม่ค่อยเหงา, เออดีล ก็ น่ารัก อ่อนโยน ไร้เดียงสา แต่ผมคิดว่า เธอไม่น่าจะมาประสบชะตากรรมเดียวกับผมเลย..............เฮ่อ...........กลับมาที่ใย ทิฟ่า ผู้หญิงอะไร สุดจะเอาแต่ใจ สร้างแต่ปัญหา หาแต่เรื่อง เรื่องยุ่ง ๆ ๆ ทั้งนั้น................................................. แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย อยากกลับบ้านจัง.........................................................................ไม่เป็นมันแล้วผู้พิทักษ์ประมวลแห่งลม ไม่เห็นสบายเลย..............
หวังว่าคงจะได้เขียนฉบับต่อไปอีกถ้า ไม่ตายเสียในการเดินทางไป เซนเตอร์โซน ออนเนอร์ คีย์เซอร์
.................................................................................................
1. ภาระ
ณ ชายป่าออสเนส.................ด้านเหนือ เป็นป่าดำที่มีต้นไม้พืชนานาพันธุ์ ลักษณะจะเป็นพันธุ์ไม้ประเภทป่ายุคก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น คือมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไปเป็นบริเวณกว้างบริเวณพื้นด้านล่างมีพืชจำพวก เฟรินท์ บรรยากาศหนาวเย็น มีความชื้นสูงประกอบกับการที่พืชมากมายเจริญเติบโตในเชิงแย่งกันโตเพื่อแย่งแสงแดดยามกลางวันที่คงจะส่องไม่ทั่วถึงเรียกได้ว่าป่าทึบดึกดำบรรด์ มากกว่าจะเรียกว่าป่าโปร่ง ขณะนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแต่ยังหาความสว่างได้ไม่ ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งนั้น วัตถุทรงกลมมีแสงในตัว เรืองแสงสีเขียวครามอ่อนๆ คล้ายหลอดไฟกลมๆสีเขียวอ่อนๆ มันกำลังลอยวนไปวนมาเหนือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่นั้น เบื้องล่างลงมาจากที่ดวงไฟสีเขียวนั้นลอยอยู่ มีร่างของมนุษย์นอนอยู่กับพื้นในท่าขดตัวตะแคงข้างภายใต้ผ้าคุมสีน้ำตาลอ่อน..มีลักษณะซึ่งน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ผมสีน้ำตาลเข้ม ผิวเหลือง คงสูงไม่มากนัก...ไม่นานนักก็มีเสียงเปล่งออกมาจากเจ้าดวงไฟสีเขียวอ่อนนั้น ฟังสำเนียงอาการกวีกวาด ออนเนอร์ ๆ ๆ ๆ ๆ ลุกขึ้นสิ.... รีบลุกขึ้นได้แล้ว อันตรายกำลังจะมาแล้ว เร็วเข้าสิ ออนเนอร์!! ไม่นานนั้นเองเสียงจากดวงไฟดวงนั้นก็คงจะไปกระทบโสตของเด็กหนุ่มผู้นั้น คงจะชื่อ ออนเนอร์ เขาเริ่มขยับกายไปมาช้าๆ ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นก็คงจะกวาดมือไปมาคล้ายๆกับควานหาอะไรสักอย่าง มือของเขาที่วาดไปมารอบๆตัวเขานั้นสัมผัสได้แต่ต้นหญ้าและพืชพันธุ์ นานาชนิด เอ้ย!!.อะไรกันเนี่ย นี่ที่ไหนงะเขาอุทานพร้อมกับลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับพยายามกวาดสายตามองรอบๆบริเวณก็แล้ว พบว่าตัวเองมาอยู่ท่ามกลางป่า ป่าอะไรสักอย่าง มีลักษณะทึบเสียจนแสงจันทร์จากท้องฟ้าส่องแสงลงมาได้ไม่ เนื่องจากเหล่าต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านขยายออกไปเป็นวงกว้างปิดฟ้าได้ทั้งผืน ทันใดนั้นเอง ที่เขาได้พบกลับเจ้าดวงไฟสีเขียวครามนั้น ซึ่งลอยมาอยู่ตรงข้ามกับใบหน้าของเขาห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุต เขาสังเกตได้ทันใดเลยว่าเป็นวัตถุทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลลูกขนาดประมาณหนึ่งกำมือ เรืองแสงได้และน่าจะมีชีวิตด้วย เพราะมีทั้งลูกตาและปาก สรุปแล้วน่าจะเป็นผีหรือวิญญาณ ไม่ทันที่เขาจะได้ตกใจอีกรอบ เจ้าตัวน้อยเรืองแสงนั้นก็พูดในภาษาที่ ออนเนอร์เข้าใจได้ว่า ออนเนอร์...เร็ว..หนีเร็วไม่ทันแล้ว ออนเนอร์ อันตรายกำลังจะมา ตามฉันมาเร็ว เร็วเข้า!! แทนที่จะตกใจตื่นกลัวกลายมาเป็นความประหลาดใจที่มีตัวอะไรก็ไม่รู้มาพูดกับตนได้ หลังจากที่พูดจบเจ้าตัวน้อยนั้นก็ ลอยไปอย่างรวดเร็วพรุ่งตรงไปในความมืด น้ำเสียงที่เขาสัมผัสได้นั้นเป็นเสียงแหลมเล็กที่แฝง ความเป็นมิตร แต่ยังไม่น่าไว้วางใจนัก เขาเริ่มจะพยุงกายขึ้นมองออกไปรอบๆและเริ่มสำรวจตัวเอง เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีอ่อนๆและยังมีผ้าคลุมสีน้ำตาลอีก ซึ่งแน่นอนเขายังไม่รู้เพราะมันมืด กางเกงเป็นกางเกงเดินป่าสีน้ำตาลอ่อนส่ วนรองเท้าเป็นรองเท้าหนังหุ้มข้อเท้าสีน้ำตาลเข้ม ทั้งเครื่องแต่งกายเป็นของที่เขา มาอยู่ ซึ่งเป็นของใช้ส่วนตัวของเขาเองแทบทั้งสิ้นยกเว้นกระเป๋าแบบสะพายเฉียงที่ทำจากผ้าใบสีขาวมีสัญญาลักษณ์สีเขียวคล้ายกับรูปดาบและม้ามีปีก และเขายังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนัก แต่ไม่ทันไร เนื่องจากตาของเขาเริ่มปรับสภาพการมองเห็นให้ดีขึ้นภายในความมืด จึงทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมของป่ารอบๆตัวได้บ้าง ประกอบกับแสงยาม รุ่งที่ เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองเขารู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบ้างอย่างมาบดบัง แสงอันน้อยนิดในพื้นที่ ที่เขายืนอยู่นั้น เขาลืมสิ่งที่เจ้าตัวน้อยพูดไว้ก่อนที่จะลอยหายไปซะสนิทใจ เขาหันไปมองข้างหลังให้หายสงสัย แต่สิ่งที่พบนั้น ทำให้เขายืนตัวแข็ง อ้าปากข้าง แทบหยุดหายใจกันเลยทีเดียว ยักษ์ชัดๆ ในใจของออนเนอร์เปร่งเสียงตอบตนเอง ยักษ์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับออนเนอร์นั้นสูงเกือบสองเท่าของออนเนอร์ ออนเนอร์เป็นเด็กหนุ่มที่สูงประมาณ170ชม.ไม่ขาดไม่เกิน มีร่างกายกำยำใหญ่โตมากคงไม่ใช่มนุษย์แน่นอน แค่ลำแขนของมันข้างเดียวก็ใหญ่กว่าลำตัวของออนเนอร์ซึ่งข่อนข้างผอม ในมือข้างขวาของยักษ์ตนนั้นยังถือท่อนอะไรสักอย่าง มีลักษณะเป็นท่อนซุงหรือลำต้นของต้นไม้สักต้น คงใช้เป็นอาวุธ ดวงตาสีแดงสดเมื่อกระทบกลับแสงจันทร์ที่บังเอิญเล็ดลอดส่องมากระทบ โอ้พระเจ้า อะไรกันเนี่ย ฝันแน่ๆ เบื้องลึกของจิตใจเขาคิดเช่นนั้น ไม่ทันจะได้สังเกตอะไรได้อีก ยักษ์ตนนั้นขยับกายเปล่งเสียงร้องลั่น ดังกระหึมไปทั้งบริเวณ เพียงแค่เสียงร้องก็บ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตร ออนเนอร์เริ่มตั้งสติได้ ทันใดก็นึกถึงคำที่เจ้าตัวน้อยพูดไว้เมื่อสักครู่ ก็หันหลัง แล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ตามไปยังทิศทางที่เจ้าตัวน้อยนั้นลอยไป วิ่ง และวิ่ง ไม่นึกอะไรอีก !! โดยมีเจ้ายักษ์ตนนั้นไล่หลังมาทันที เขาพยายามวิ่งไปเรื่อยๆแต่มันก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อสภาพแวดล้อมในทิศทางที่วิ่งไปเป็นป่า มีพืชพันธุ์เป็นสิ่งกีดขวาง ตรึม ตรึม ตรึม ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงฝีเท้าของเจ้ายักษ์ที่กวดไล่หลังมาเรื่อยๆ ออนเนอร์ตื่นเต้นสุดขีด หัวใจของเขาเต้นแรงและเร็วมากวิ่งมาได้สัก20กว่าน่าที เขาก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้ายักษ์ตนนั้นตามมาทุกขณะ แสดงว่าที่หนีมานั้น ไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองทิ้งกันเลยแต่อย่างใด ออนเนอร์คิดไปสารพัดอย่าง รวมทั้งความคิดที่ว่า มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป เพราะในขณะที่วิ่งมานั้นสิ่งกีดข้างต่างไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ขรุขระพืชที่มีหนามแหลมหรือแม้กระทั้งกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา ทำให้เกิดแผลถลอก ฟกช้ำตามร่างกาย อีกรู้สึกได้ว่าเจ็บและเหนื่อยมากๆ และก็ต้องวิ่งหนีต่อไป บรรยากาศรอบๆก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ขณะที่วิ่งต่อมาเรื่อยๆ เขาสังเกตเห็นแสงสีเขียว ตรงโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาจึงวิ่งเบี่ยงไปทางซ้ายไปยังตำแหน่งของแสงนั้น เมื่อวิ่งไปใกล้เห็นเจ้าตัวน้อยลอยเข้ามาหาแล้วตะโกนบอกว่า ตามมาทางนี้....เร็วเข้า อีกไม่นานก็จะออกจากป่าออสเนสได้แล้ว พร้อมกลับลอยตัวมาอยู่บนไหล่ของเขา ทางไหนละ เจ้าตัวน้อย แล้วไม่นำไปล่ะ มาเกาะอยู่บนไหล่แล้วจะรู้ไหมละว่าไปทางไหน วิ่งตรงไปเนี่ยแหละน่า......อีกอย่างข้าชื่อ วินดี้ ไม่ใช่เจ้าตัวน้อยอย่างที่เจ้าเรียก ออนเนอร์ไม่พูดอะไรอีก วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ด้วยความเหนื่อยล้าและความตื่นตกใจอะไรหลายๆอย่าง ในขณะที่วิ่งไป วินดี้ก็ร้องตะโกนเชียร์ เร็วสิ เดี๋ยวมันก็ตามทันหรอก เร็วสิ เร็วอีก เร็ว นั้นหลบกิ่งไม้ด้วยมันโดนฉันนะ เร็ว..... เร็ว...... ออนเนอร์เริ่มโมโหแต่ก็ไม่อยากพูดอะไรโต้ตอบเพราะเหนื่อยสายตัวแทบขาด เร็วอีกสิ ออนเนอร์ ยังมีเสียงจาก วินดี้ อะไรกันเล่า นี่ก็วิ่งมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง ยังไม่ถึงอีกเหรอ เร่งอยู่ได้สบายนักสินะ เกาะไหล่ฉันอยู่นี่หว่า ไม่กี่อึดใจหลังจากวิ่งผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งมาได้ ออนเนอร์ ก็พบว่าเบื้องหลังของตนเป็นผืนป่า แต่เบื้องหน้าเป็นทุ่งพืชที่เป็น พุ่มสูงเพียงเมตรเศษและมองออกไปถัดจากทุ่งนี้ก็เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างใหญ่ไพรสานมองต่อไปได้เรื่อยๆสุดลูกหูลูกตา............... แล้วไหนที่ซ่อน ที่ปลอดภัย หรือคนช่วยล่ะ เราหนีมันพ้นแล้วใช่ไหม เจ้าตัวน้อย วินดี้ ข้าชื่อ วินดี้ ....อืม...เจ้าต้องคลานผ่านป่าพุ่มไม้นี้ไปแล้ว แล้ววิ่งไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวนั้นเรื่อยๆพวกยักษ์มันก็จะเลิกตามเองแหละ อะไรนะ ยังต้องหนีอีกเหรอเนี่ยสิ้นประโยค ออนเนอร์ รีบทรุดตัวอยู่ในท่าคลาน แล้วคลานไปรื่อยๆผ่านพรุ่มไม้หนานั้นไป คลานไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นมาไม่ไกลนัก พร้อมทั้งเสียง ตรึง!!ตรึง!! อยู่ไปมาคล้ายกลับเสียงของการกระทบหรือกระแทก เดาว่าเป็นการใช้กระบองฝาดไปกับพุ่มไม้ แบบสุ่มหมายให้โดนเขา มันตามมาแล้ว ออนเนอร์ เจ้าเร่ง ฝีท้าวหน่อยนะ แล้วก็เบี่ยงไปทางซ้ายด้วย ไม่งั้นมันจะเจอเรา หรือไม่ก็โดนมันเอากระบองฝาดตายกันทั้งคู่ วินดี้ กระซิบบอก ไม่บอกก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละน่า เคลื่อนตัวออกไปได้สักครู่หนึ่ง ขณะที่คลานไปเรื่อยก็รู้สึกเหมือนพื้นที่ข้างหน้ามีเงาที่เป็นจุดเล็กๆและเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ออนเนอร์ หยุดฉะงักทันทีที่สังเกตเห็น ตรึม!!! โครม!!เสียงท่อนซุงขนาดใหญ่ลอยลงมาจากข้างบนลอยมากระแทกกับพื้นห่างจากหน้า ออนเนอร์ ไปเพียงไม่ถึงเมตร ฝุ่นคลุ้มกระจายทั่งทั้งบริเวณนั้น ออนเนอร์ หน้าซีดฝืดแทบทรุดลงกับพื้น มันเล่นถอนต้นไม้โยนสุ่มใส่เราเลยนะเนี่ย ระวังหน่อย อันตรายเลยนะเนี่ย เหนื่อย..... วินดี้ ฉันไม่ไหวแล้ว ออนเนอร์พูดด้วยเสียงสั่น อีกไม่กี่สิบเมตรเองนะ ไปต่อเหอะน่า ตายที่นี้ ก็ไม่ได้กลับบ้านไม่รู้ด้วยนะ ออนเนอร์ ออนเนอร์ ไม่พูดจาอะไรอีกกัดฟันคลานต่อไปเรื่อยๆอย่างยากลำบาก มอมแมมไปหมดทั้งตัว คลานมาได้ไม่นานนักก็โผล่ออกมาจากแนวป่าพุ่มไม้ได้ ออนเนอร์ หันกลับไปมองเจ้ายักษ์ ตนนั้นมันยังวุ่นอยู่กับการฝาดกระบองสุ่มไปเรื่อยๆ ด้านหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มองไปได้ไกลแสนไกลมีพื้นที่เป็นเนินสูงต่ำสลับกันไปแล้วยังมีต้นไม้ขึ้นเป็นกลุ่มบ้างเป็นพุ่ม อยู่ในทุ่งกว้างนี้ พุ่มไม้ในทุ่งสักพุ่มไปหลบในนั้นสมองของเด็กหนุ่มสั่งการเช่นนั้น เขาเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยเหมือนการวิ่งด้วยปลายเท้าเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด วิ่งไปได้ไม่ไกลนักก็มีเสียงคำรามดังมาจากด้านหลัง วินดี้ หันกลับไปดูแล้ว ตะโกน เสียงดังว่า ออนเนอร์ หลบเร็ว ออนเนอร์ เหลียวกลับไปด้านหลัง ต้นไม้ขนาดเขื่องลอยมา ที่เขา ลอยมาในลักษณะขวาง ลอยมาทั้งต้น ห่างจากเขาไม่เกิน2ช่วงตัว เขาตัดสินใจกระโดดพุ่งตัวไปทางซ้าย ไปยังด้านยอดของต้นไม้ต้นนั้น เนื่องว่าถ้ากระโดดไปทางขวาคงไม้พ้นช่วงลำต้นแน่ๆ เขาจึงรอดพ้นจากการโดนตันไม้ทับ แต่ก็โดนส่วนที่เป็นกิ่งก้านซัดฝาดเข้าไป ตามแรงที่โยนมาก็ไม่ถึงกับแขนขาหักแต่ก็คงจะเจ็บมากพอสมควรทีเดียว ในช่วงไม่เกินวินาทีนั้นเจ้ายักษ์ตนนั้นไม่รอดูผลงาน วิ่งตามมาในทันที เพราะความใหญ่โตก็เลยงุ่มง่าม แต่ก็ไม่ทำให้การเคลื่อนที่ของมันช้าลงไปเลย ออนเนอร์วิ่ง สามก้าว มันก้าวเพียงก้าวเดียวเท่านั้นในระยะทางเท่ากัน ออนเนอร์ สลัดตัวออกมาจากกิ่งไม้ใบไม้ของยอดไม้ได้ ก็เห็นเจ้ายักษ์วิ่งตามมาใกล้แล้ว เขาก็เริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง แต่รู้สึกขัดๆที่ข้อเท้าซ้าย คงจะแพรงจากเหตุการณ์อันตรายเมื่อสักครู่นี้ ยักษ์เริ่มกวดไล่หลังใกล้เข้ามาเรื่อย ออนเนอร์วิ่งไปหันหน้าลีหันขวางไปเรื่อยเริ่มสังเกตเห็นว่า เอ้า วินดี้ วินดี้ ที่เคยทรงตัวอยู่ที่ไหล่ด้านซ้ายของเขาไม่ได้อยู่ต่ำแหน่งเดิม เขาหันหลังกลับในทันทีก็พบว่าเจ้ายักษ์ ไล่ตามมาทันในระยะ ไม่เกินห้าเมตร ยักษ์ตนนั้นชูแขนข้างที่ถือกระบองท่อนซุง อยู่ในถ้าเตรียมฝาดมาที่ออนเนอร์ เขาจะทำอะไรได้นอกจากกลับหลังวิ่งอีกครั้งแต่ก้าวมาได้เพียงสี่ห้าก้าว สายตาเขาก็สังเกตเห็นความเหลื่อมของทุกหญ้าข้างหน้าเขา ว่ามีความสูงต่ำ ระหว่างพื้นที่ เขาวิ่งอยู่กับที่ถัดไปอีกสี่ห้าเมตร ไม่เกินก้าวต่อไปเขาก็พบว่าข้างหน้าเขาเป็นหน้าผาเตี้ยๆ แต่ก็ประมาณสี่ห้าเมตรเลยทีเดี๋ยว ตกไปก็คงถ้าไม่ขาหัก ก็ต้องนอนมอบไปอีกสี่ห้าวันเลยทีเดียว ชั่วอึดใจโดยไม่หันกับไปมองด้านหลังเขากระโดดพรุ่งตัวไปทางขวา เสียววินาทีที่เขาพรุ่งตัวไปจากพื้นก็มีเสียง ตรึม !! .... มันคือเสียงของการฝาดกระบองลงมากลับพื้น ถ้าเขาไม่กระโดดหลบไปนั้นก็อาจจะไม่ได้มานั่งหอบอยู่ข้างๆเจ้ายักษ์ น่าจะให้มันฝาดนะเนี่ย เปลียง!เดียวจอดจะได้หมดเวร หมดกรรม ออนเนอร์ หมดแรงแล้ว ผยุ่งกายขึ้นมาอย่างอยากลำบาก เจ้ายักษ์เมื่อรู้ตัวว่าพลาดเป้า ก็หันมาคว้ากระบองขึ้นหมายจะฝาดซ้ำลงมา ที่ ออนเนอร์ ในบัดดล วินดี้ เจ้าตัวน้อยก็ลอยมาจากด้านหลังเจ้ายักษ์ บินวนรอบไปหน้าของเจ้ายักษ์ที่กำลังจะเด็ดชีวิต ออนเนอร์ เหมือนแมลงวันตอมซึ่งก็ทำได้เพียงก่อกวนสร้างความรำคาญเพื่อถ่วงเวลาให้ออนเนอร์หนี ออนเนอร์ สังเกตเห็นว่า เจ้ายักษ์คงฝาดกระบองลงมาแน่จึงเบี่ยงตัวหลบด้วยการกลิ้งตัวไปด้านข้างในทันทีที่กระบองฝาดลงมาที่พื้นน้ำหนักตัวของมันประกอบ กับการฝาดกระบองลงไปบนพื้น ในบริเวณริมหน้าผาที่ไม่สูงนักที่เหมือนเป็นพรมแดนอะไรซักอย่างก็ได้เกิดการทรุดตัวของเนื้อดินผังทลายลง ทั้งหมดเสียการทรงตัวแล้วล่วงทะไหลลงมาตามหน้าผาชันที่ชันประมาณ70องศา ออนเนอร์ โชคดีหน่อยที่เขายังมีสติ พยายามคว้าเอาแง่หินหรือกิ่งไม้ตามหน้าผาเพื่อชะลอการถะไหลลื่นนั้น แต่กว่าจะถึงพื้นได้ก็เป็นไปอย่างลำบากพอสมควร เมื่อลงมาถึงทุ่งหญ้า เขาเห็นวินดี้ ดิ้นกระแด่วๆอยู่ด้านข้างร่างของเจ้ายักษ์ซึ่งนอนคว่ำอยู่ลักษณะมึนกับการกระแทกที่ลงมาถึงพื้น แต่ก็คงไม่เป็นอะไรมากเพราะจากร่างการอันใหญ่โตนั้นก็แค่เหมือนคนธรรมดากระโดดลงจากำแพง อาจไม่เจ็บอะไรมากแต่ก็คงเป็นโอกาสหนีที่ดี ออนเนอร์ วิ่งไปที่ วินดี้ ที่ดิ้นอยู่ วินดี้ เป็นไงบ้าง ตายยังเนี่ย ไปก่อนนะ เฮ้ย...ยังไม่ตาย..แค่ยังบินไม่ได้...ขอฉันขี่ไหล่หน่อยก็พอ ออนเนอร์ รีบคว้า วินดี้ ขึ้นมาวางไว้บนไหล่แล้วออกวิ่งต่อไป แต่ก็เป็นแค่การกระผกกระเผกหนีซะมากกว่าจะวิ่งเพราะได้รับบาดเจ็บจากการหนีมาทอน เวลานี้เป็นเช้าแล้ว แสงสีทองของแดดสาดส่องลงมาให้ไออุ่นแก่สรรพสิ่ง ออนเนอร์ เจ้ายักษ์มันบาดเจ็บนะรู้เปล่า ขามันโดนหินแหลมทิ่มไปที่หน้าขาข้างขวา ใครจะไปสังเกตล่ะ วินดี้ เอาตัวให้รอดก็พอแล้ว กร้า!!!!!!กร้า!!!!!! เสียงของเจ้ายักษ์ร้องด้วยความโกรธแค้น ออนเนอร์ มันลุกขึ้นมาอีกแล้วนะ รีบหน่อย ไหนว่ามัน เจ็บไง.....ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย เอาล่ะ ไม่ต้องหนีแล้ว เปิดกระเป๋าซิ เอามันออกมา อะไรล่ะ ในกระเป๋าเนี่ยนะออนเนอร์ ยังกัดฟันคงเดินเร็วไปเรื่อยๆพร้อมกับเปิดกระเป๋าสีขาวไปนั้น หนังสืออะไร แล้วมาอยู่ในนี้นะเหรอ โอ้....ไม่นะ ปืน ผา หน้าไม้ อะไรไม่มีเหรอ ต้องการอาวุธ!!!......ไม่ใช่หนังสือ.... เออนะ ทำตามที่บอกก็แล้วกัน เปิดประมวล วินดี้ ออกคำสั่ง ออนเนอร์ยัง งง แต่ก็เริ่มเปิดประมวลเล่มนั้น ไม่เห็นมีอะไรเลยล่ะ มีแต่กระดาษเปล่า ฉันว่าทิ้งไว้นี่แล้วยังจะวิ่งเบาตัวกว่าอีก พูดมากจริงเว้ย...ต้องจุติอักษรก่อน เอาเลือดของผู้ใช้หยดลงไปในประมวลสักหยด ตลกและ บ้าอะเปล่าเนี่ย ใครจะไปทำงั้นงะ ก็เลือดตามตัวเจ้ามีตั้งเยอะไม่ลองละ.....ลองดูสิ ออนเนอร์ สำรวจตามร่างกายตัวเองก็พบว่าบาดแผลจากการหนีมาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงมานี้ มันชั่งเยอะเหลือเกินมีเลือดซึมตามแขนและขา ออนเนอร์ จึงใช้นิ้วหัวแม่มือขวาปราดเลือดที่ข้อศอกซ้ายโดยถลกแขน:-)่อน แล้วนำเลือดที่ติดนิ้วมือไปแปะลงบนปกหนังสือเล่มสีน้ำตาล เล่มนั้น เขา สังเกตเห็นลอยเลือดนั้นซึมลงไปในปกหนังสือ แล้วไม่นานหนังสือก็เปล่งแสงสีเขียวครามขึ้น ส่วนที่เป็นสีน้าตาลของหนังสือเริ่มลอกออกเรื่อยเหมือนถูกเผาไหม้จากแสงสีเขียวนั้น จนทำให้กลายเป็นหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปกหนาสีเขียวครามมีขีดสามขีดและรูปม้ามีปีกกำลังพยศ สัญญาลักษณ์เดียวกับกระเป๋าสีขาว และยังมีรวดลายต่างๆดูสวยงามในขณะที่ออนเนอร์กำลังตะลึงอยู่โดยยืนตัวแข็งนิ่งในความมหัศจรรย์ วินดี้ก็ตะโกนบอกว่า ออนเนอร์เปิดประมวลสิ เปิดแล้วอ่านอักษรสิ ในขณะเดียวกันนั้นเจ้ายักษ์ก็ได้ปราดเข้ามาใกล้ระยะไม่เกิน3ช่วงตัวเงื้อไม้กระบองนั้หมายจะทำลายทั้งสองให้ได้ เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็จึงเปิดหนังสือเล่มนั้นหรือประมวลตามที่วินดี้บอก ก็พบว่าแผ่นแรกไม่มีอะไรเลยแต่ในแผ่นที่สองนั้นมีอักษรประหลาดที่ออนเนอร์ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่สองบรรทัด แต่เมื่อเขาจ่องมองลงไปเรื่อยๆเขารู้สึกลึกๆว่าจะอ่านได้ เหมือนมันดังก้องอยู่ในจิต ใจของเขา ยังไงต่อ ล่ะเขายังก้มมองดูอักษรอยู่พร้อมกับเอ่ยถามวิ้นดี้ อ่านมันสิ !!ออนเนอร์ เจ้ายักษ์มันเข้ามาใกล้แล้ว วินด์ โบว์ล็อก ไซโครวรัสออนเนอร์ตะโกนออกมาดังลั่น แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้นเจ้ายักษ์ได้เข้ามาประชิดและได้เหวี่ยงกระบองมาที่ออนเนอร์ ในใจของทั้งคู่บังเกิดความกลัวถึงที่สุดในฉับพัน ขณะที่กระบองฝาดมาก่อนจะถึงทั้งคู่ห่างเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ ด้วยเหตุอันใดมิทรามได้ กระบองนั้นค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ไม่ขยับเลย เจ้ายักษ์ก็อึ้งงัน ...เพียงเสียววินาทีต่อมานั้น ออนเนอร์รู้สึกได้ถึงลมที่พัดมาจากทุกด้านอย่างรวดเร็วจนมองเห็นฝุ่นตามลมที่พัดมาก่อร่างสร้างรูปเป็นกำแพงขนาดใหญ่พอๆกับโล่ของทหารขนาดเขื่องๆ กางกันระหว่างเขากับเจ่ายักษ์ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีจากกระบองนั่นได้ และหลังจากนั้นก็เริ่มทวีความหนาแน่นและรุ่นแรงขึ้นในฉับพันจนเกิดการระเบิดขนาดย่อม แรงระเบิดผลักเจ้ายักกระเด็นไปสี่ห้าเมตรโดยถึงกับลอยตัวลงกระแทกกับพื้นแต่แรงอัดนั้นหามีผลกับออนเนอร์ไม่ แต่วินดี้กระเด็นลอยไปไกลเลยทีเดียว พลังอะไรกันเนี่ย....วินดี้...วินดี้....อ้าวหายไปไหนหว่า เอ้ย!!ลอยไปซะไกลเชียวออนเนอร์เดินเซๆไปหาวินดี้ อะไรกันออนเนอร์ ใครให้นายอ่านทั้งสองบรรทัดพร้อมกันเล่า... ชั่งเหอะ ตอนนี้หนีก่อนเหอะจริงอย่างที่วินดี้พูดเจ้ายักษ์มันกำลังลุกขึ้นอีก เลือดสีม่วงไหล่ทะลักออกมาจากบาดแผลที่หน้าขาข้างขวา มันยังไม่ตายอีกเหรอ....ฉันไม่ไหวแล้ว .... ....วินดี้ เมื่อกี้นี้ตอนท่อง คาถา ทำไมมันเหนื่อยกว่าวิ่งมาเมื่อกี้นี้อีกนะ หือ หือ หือออนเนอร์เริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นทันที เจ้ายักษ์ยังไม่ล่ะความพยายามเดินส่ายอาดๆมาหาออนเนอร์ พร้อมกับกำมือจะทุบออนเนอร์ ไม่เกินเสี้ยววินาที วินดี้แปลงกายป็นดาบสีบรอนเขียวยาวเกือบเมตรออนเนอร์หัวไว ใช้สองมือจับด้ามดาบไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายจึงแทงปลายดาบสวนไปที่กำปั้นของเจ้ายักษ์ ฉวัวะ....!! กร้า....!!...... เสียงแห่งความเจ็บปวดของเจ้ายักษ์ดังลั่นทันทีที่ปลายดาบวินดี้แทงลึกลงไปกว่าครึ่ง วินดี้กลายร่างกลับมาเป็นร่างเดิมพยายามลอยตัวขึ้นไปเหนือร่างของเจ้ายักษ์สูงประมาณ10เมตรแล้วกายล่างเป็นดาบอีกครั้งใช้แรงดึงดูดของโลกเป็นแรงทำให้ดาบพุ่งลงมาหมายจะปลักลงที่หัวของเจ้ายักษ์นั้น ในขณะที่ดาบพุ่งลงมานั้น เหตุการณ์ที่ทำให้ออนเนอร์แทบหยุดหายใจไปเลยนั้นก็เกิดขึ้น มฤตยูร่างยักษ์เบี่ยงตัวหลบได้ทันควันและยังเอาท่อนแขนอันใหญ่โตปัดกลางตัวดาบ กระเด็นไปไกลเลยทีเดียว ความหวังสุดท้ายที่เป็นทางรอดเดียวในความรู้สึกได้หมดลง นี่เราต้องตายจริงๆใช้ไหม เขากำลังจะหมดสติ เจ้ายักษ์หันกลับมาสนใจที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีน้ำเงินพุ่งเป็นเส้นตรงมาจากด้านหลังของออนเนอร์ พุ่งไปยังเจ้ายักษ์แล้วเกิดการระเบิดขึ้นเสียงดังราวกับฟ้าผ่าร แรงอัดระเบิด ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นครุ้งไปด้วยฝุ่นควัน ในขณะที่เจ้ายักษ์ทรุดอยู่กับพื้นอยู่ในท่าคุกเข่า ก็มีสิ่งมีชีวิตพุ่งออกมาจากม่านฝุ่นจากด้านไหนก็ไม่ทราบได้ หมาป่า มันเป็นหมาป่าแน่ๆ แต่ทำไมตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ เท่าเสือโคร่งตัวเขื่องๆเลยนะ.........ดี ตายก็ดี จะได้ตื่นจากฝันบ้าๆนี้สักทีนั้นคือภาพและความนึกคิดสุดท้ายที่ออนเนอร์จำได้........ก็มีแค่นี้ ก่อนที่ตนจะหมดสติ ...................................................................................................................................................
จากคุณ |
:
Tes&Tim
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ต.ค. 54 16:07:15
|
|
|
|