Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กลร้ายในเงารัก - บทที่ 3 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11173173/W11173173.html

บทที่ 3

รถพยาบาลเปิดสัญญาณขอทางบนถนนสายสยดสยอง รถบรรทุกสิบล้อประสานงากับรถกระบะ แรงกระแทกหนักหน่วง ยังผลไปถึงรถตู้กับรถตู้ที่เบรกไม่ทัน ต้องพุ่งปะทะกันเต็มแรง แล้วแฉลบลอยละลิ่วลงจากสะพานลอยไปหนึ่งคัน และในคันนั้นล่ะ ที่ฝากร่างสลบเหมือดของดนัยดลไว้กับสวรรค์

หนุ่มใหญ่ใจดีอาการสาหัส บาดแผลภายนอกไม่ฉกรรจ์ได้เท่ากับสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง เขาขาดอากาศอีกเล็กน้อยตอนรถดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำ และกว่าที่เจ้าหน้าที่จะช่วยเหลือพากลับขึ้นมาบนฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อตรวจอาการโดยละเอียดแล้ว แพทย์ก็ลงความเห็นค่อนข้างแน่ชัดให้อคินใจแห้งว่า

"คนไข้จะมองไม่เห็นสักสองสามเดือน"

"ตาบอดหรือครับ"

"ไม่เชิงหรอกครับ แค่ว่าระบบสายตามีปัญหาเล็กน้อย"

"หลังจากนั้น เขาจะกลับมามองเห็นเหมือนเดิมใช่ไหมครับ"

"เราจะตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง แต่ต้องรอให้ร่างกายของเขาแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อย แต่ในระหว่างนี้ สภาพจิตใจของคนไข้อาจไม่ปกตินัก ญาติต้องอดทนและตั้งรับกับอารมณ์ของเขาให้ได้ อย่าเกรี้ยวกราดฉุนเฉียวตามเขาเป็นอันขาด"

อคินพยักหน้า เขาไม่ได้บอกหมอว่าตนไม่ใช่ญาติ ตำรวจเกาหลีติดต่อกับเขา เพราะโทรศัพท์มือถือของดนัยดล มันบังเอิญหล่นค้างอยู่บนสะพาน และสายสุดท้ายที่หนุ่มใหญ่โทรหาก็คือเขา

แพทย์กลับออกไป ทิ้งเขาไว้กับคนไข้บอบช้ำ ดนัยดลยังไม่ฟื้น บาดแผลฟกช้ำเพียงเล็กน้อย ไม่อาจกลบเกลื่อนความหล่อเหลาคมคายให้จางหาย

แต่ขากับแขนที่อยู่ในเฝือกนี่สิ ที่อคินลอบหวั่นวิตกว่า มันอาจจะพิการด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หนุ่มใหญ่ก็จะกลายเป็นชายพิการที่น่าสงสารที่สุด เพราะมันเกิดขึ้นตูมเดียวกับอุบัติเหตุสยดสยองเพียงวูบเดียว

"คุณต้องปลอดภัยนะ ต้องเข้มแข็งไว้ คุณพูดเสมอว่า คุณเป็นโลกทั้งใบของภรรยายาหยี ถ้าไม่มีคุณเสียคน เธอก็คงอยู่ไม่ได้ไปตามลำพัง ดังนั้น คุณต้องอยู่ต่อไปเพื่อเธอ แม้จะพิการก็ต้องอยู่ให้ได้ ผมจะคอยช่วยเหลือคุณเอง"

ชายหนุ่มกล่าวปลุกเร้าให้กำลังใจแผ่วเบา กุมมือใหญ่บวมเป่งที่น่าจะปกติกว่าอีกข้างที่อยู่ในเฝือก บาดแผลที่เห็น น่าจะเกิดจากการกรีดของกระจกหรือวัตถุมีคม แต่จะโดนตอนไหนก็สุดจะคาดเดา

"ผมจะโทรบอกภรรยาคุณดีหรือเปล่า เธอต้องตกใจมากเลย หรือว่าจะรอดูอาการคุณต่อไปอีกสักสองสามวัน บางที ถ้าคุณฟื้นแล้ว แข็งแรงดี คุณก็อาจจะติดต่อกับเธอเอง"

เขายังคงกล่าวเบาๆ คล้ายหารือขอความเห็น รู้สึกว่าตัวเองใจไม่แข็งพอที่จะโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวร้ายต่อภรรยายาหยีของหนุ่มใหญ่

นึกภาพออกเลยว่า ฝ่ายโน้นจะขวัญกระเจิงใจตระหนกมากแค่ไหน อาจจะหมดสติล้มฟุบหัวฟาดฟื้นแถวนั้น เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องไปเสียเปล่าๆ ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องรอสักระยะเถอะ

โทรศัพท์มือถือของดนัยดลมันอยู่ในมือแล้ว แค่ว่าอคินกดเบอร์ภรรยายาหยี เขาก็จะเห็นภาพของพุธชมพูยิ้มหวานอยู่บนหน้าจอแล้ว

แต่เพราะเขาเลือกทำอย่างหลัง เขาจึงตัดสินใจกดปุ่มปิดเครื่อง แล้ววางมันไว้บนโต๊ะหัวเตียงดังเดิม จากนั้น ก็ค่อยลุกไปหยุดหน้าระเบียง กอดอกเคร่งขรึม หากแต่ใจกลับกระวนกระวายกับเหตุการณ์ที่จะเกิดแก่เพื่อนหนุ่มต่างรุ่นในวันพรุ่งนี้



ลมกระโชกแรงเข้ามาทางหน้าต่าง ปัดกรอบรูปแต่งงานที่ตั้งประดับอยู่บนชั้นไม้สีฟ้าอ่อนหล่นแตกเปรื่องกลางพื้น แม่บ้านตาโต ยกมือทาบอก ขณะที่คุณผู้หญิงรีบวิ่งมาเก็บด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เธอยังร้องเร่งให้แม่บ้านรีบไปปิดหน้าต่าง เพราะฝนหนักข้างนอกสาดเข้ามาเกือบถึงชุดรับแขก

"อนงค์ มาเก็บกวาดตรงนี้ให้เรียบร้อย"

พุธชมพูเรียกสาวใช้อีกคนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เธอรีบขึ้นมาห้องนอน เปิดลิ้นชักข้างเตียง ล้วงกล่องอุปกรณ์จุกจิกออกมาเปิดฝา แล้วหยิบกรอบไม้สีฟ้าอ่อนที่ยังใหม่เอี่ยมอยู่ในกล่องลายหัวใจสีชมพูมาทดแทนกรอบชำรุด

แต่เพราะไม่ทันระวัง หรืออาจเป็นเพราะจิตใจที่ไม่เป็นสุข ตั้งแต่เห็นกรอบรูปร่วงพื้นนั่นเอง ทำให้เศษกระจกบาดนิ้วจนเลือดไหล

"แย่จริงๆ "

เธอพึมพำนิ่วหน้า แสงตาแลวาวด้วยความหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เพราะเลือดหยดหนึ่งหล่นกระทบกรอบหน้าคมคายของสามีเข้าพอดี ภรรยาหายใจขัดอย่างประหลาด แต่มืออีกข้างก็รีบดึงกระดาษทิชชูมาซับว่องไว โดยไม่ใส่ใจกับบาดแผลบนนิ้วซุ่มซ่ามสักนิด

"ทำไมจู่ๆ ฝนก็ตกหนักไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้นะ ทั้งที่วันนี้ แดดก็ดีออกนี่นา"

กรอบรูปอันใหม่ถูกหยิบติดมือมาด้วย ขณะที่ย้ายมาหยุดสำรวจสภาพอากาศแปรปรวนใกล้หน้าต่าง

ละอองหนากับเม็ดฝนเกาะพราวทั่วกระจก ฟ้าร้องหนักและแลบแสงวาบวาวเป็นระยะ แข่งกับสายลมที่กวัดแกว่งปัดกิ่งก้านใบของมวลแมกไม้เอนลู่น่ากลัว บางครายังได้ยินเสียงหวีดหวิวแผ่วๆ ตามหลังมาอีกด้วย

พุธชมพูถอนใจเฮือก พลางยกนิ้วขึ้นสำรวจบาดแผล เลือดหยุดไหลแล้ว แผลก็เล็กนิดเดียว แต่ถ้าโดนน้ำก็คงแสบ ติดพลาสเตอร์ไว้สักหน่อยก็น่าจะดี

เธอย้อนกลับมานั่งพับขาข้างเตียงอีกครั้ง เพื่อทำแผลให้ตัวเองอย่างว่องไว เหลือบไปเห็นโทรศัพท์บนหมอน ก็นึกว่าน่าจะโทรหาสามี บอกเล่าเหตุการณ์วุ่นวายทางนี้ให้เขาฟัง เผื่อว่าอารมณ์หงุดหงิดประหลาดมันจะสร่างลงบ้าง

"อ้าว ปิดเครื่องหรือ" เธอบ่น แววตาฉายความเสียดายแกมผิดหวังลึกๆ "ปกติพี่ดนัยไม่เคยปิดเครื่องนี่นา แอบทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง แล้วไม่อยากให้พุธโทรกวนขัดจังหวะใช่ไหม อย่าให้จับได้นะ"

เธอพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ต่อการหันเหความหงุดหงิดที่เกาะติดอยู่ในอารมณ์ ด้วยการเค้นวาจาสัพยอกไร้สาระออกมา แล้วปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะขำๆ

แต่ยามชำเลืองไปจับใบหน้าเปื้อนยิ้มของสามีในกรอบใหม่ ใจคอมันก็ตะครั่นตะครอไม่เป็นสุขเสียจริงๆ แล้วเธอก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน



ฟ้าหลังฝนเหนือหลังคาบ้านพิณพิไล ไม่สดใสตามที่ควรจะเป็น เพราะเลยกำหนดไปเกือบสามวันแล้ว แต่พุธชมพูกลับติดต่อกับสามีไม่ได้ เขาปิดโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา

เธอลองโทรไปรบกวนเพื่อนในแวดวงธรุกิจของเขา ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้ติดต่อกับเขาหลายวันแล้ว เพราะทราบว่าเขาเดินทางไปเกาหลี

"คุณผู้หญิงคะ ขนมอบได้ที่แล้วค่ะ" แม่บ้านร้องเตือน เมื่อเห็นว่าเจ้านายสาวนั่งเท้าคางใจลอย

"อ้อ ขอบใจนะ แม่พิศกับอนงค์จัดการต่อแทนฉันที ฉันจะออกไปโทรหาพี่ดนัยสักประเดี๋ยว"

"นั่นสิคะ" แม่บ้านทอดเสียงปรารภ "ปกติแล้ว คุณผู้ชายไม่เคยผิดเวลาแบบนี้เลย หรือว่างานทางโน้นจะขลุกขลักเสียก็ไม่รู้นะคะ"

"งานขลุกขลักก็ไม่เห็นเป็นไร แค่โทรศัพท์กลับมาบ้านสักสองสามนาทีเอง แต่นี่น่ะ พี่ดนัยปิดเครื่องไปเลย"

'แม่พิศ' พยักหน้าหงึกๆ พลางถอนใจตามหลังร่างโปร่ง ที่เดินสวนทางกับ 'อนงค์' สาวใช้หน้าหวาน หลานสาว 'นายอุ่น' คนสวนฝีมือฉมัง ที่คุณผู้ชายโปรดปรานนักหนา

"คุณผู้หญิงหน้างออีกแล้วนะป้า" อนงค์เปรยๆ แววตาก็เป็นกังวล

"ฮื่อ คงจะหงุดหงิดที่ติดต่อคุณผู้ชายไม่ได้นั่นแหละ เอ้อ แต่ป้าว่ามันแปลกเหมือนกันนะ ปกติคุณผู้ชายก็ไม่เคยปิดเครื่องนา จะเดินทางไกลแค่ไหน ก็ต้องโทรกลับมาอ้อนโน่นนี่กับคุณผู้หญิงแทบจะเกินสามเวลาหลังอาหารเสียด้วยซ้ำ"

"นั่นสิ แต่หนนี้สิ ทำไมเงียบกริบ"

แม่บ้านสาวใช้พยักหน้าหงึกๆ ให้กัน ร้อง 'ฮื่อ' เนือยๆ พร้อมกัน แล้วค่อยหันไปเอาใจใส่กับขนมอบ ซึ่งทายว่า รสชาติในถาดนี้ก็คงไม่กลมกล่อมดั่งใจ เพราะคนทำอารมณ์ไม่นิ่งพอ



สิบวันแล้วที่ไม่สามารถติดต่อกับสามีได้ พุธชมพูจึงร้อนใจนั่งไม่ติด เธอมายืนหน้าบอกบุญไม่รับบนศาลาหลังน้อย มองคนสวนทำงานด้วยแววตาเฉื่อยชา

โทรศัพท์มือถือถูกกำจนร้อนปนชื้น เธออยากจะขว้างมันทิ้งลงสระเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะการสื่อสารมันชุ่ยมาก กดเบอร์สามีไปกี่ทีต่อกี่ที มันก็ทำเฉยดื้อด้าน

ขณะกำลังหมกมุ่นกังวลกับการเงียบหายไปอย่างผิดปกติของสามี 'กาญจน์แก้ว' ก็โทรศัพท์เข้ามาอวดเสียงร่าเริง เพราะเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้ช่วยฝ่ายขายเป็นผู้จัดการ

"เป็นยังไงจ๊ะ ฉันเคยประกาศไว้ว่ายังไง เมื่อปีกราย จำได้ไหมพุธ ฉันบอกว่าจะขยับตัวเองเป็นผู้จัดการให้ได้ภายในปีหน้า แล้วเป็นยังไงจ๊ะ ฉันทำสำเร็จจริงๆ "

"ยินดีด้วยนะ"

"แน่นอน ฉันโทรมาก็เพื่อจะฟังประโยคนี้จากเธออยู่แล้ว อ้อ เจ้านายบ่นคิดถึงเธอแน่ะ ฝ่ายโฆษณาห่วยแตกลงทุกวัน ตั้งแต่สาวเก่งอย่างเธอลาออกมาเป็นคุณนายให้คุณดนัย"

"ฉันก็คิดถึงเพื่อนที่สตูดิโอเหมือนกัน"

กาญจน์แก้วรู้สึกผิดสังเกตกับเสียงเนิบเนือยของเพื่อนรักเล็กน้อย

เพราะตั้งแต่พุธชมพูลาออกจากงานโฆษณาให้กับบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่ง เพื่อมาเป็นแม่ศรีเรือนอย่างเต็มตัว โทรมาคุยทีไร น้ำเสียงของเธอเป็นต้องเบิกบานราวกับโลกทั้งใบ มันย้อมด้วยสีฟ้า ซึ่งเป็นสีโปรดของสามีทีเดียว แต่ทำไมวันนี้ น้ำเสียงเหมือนสีฟ้าอมเทาพิกล

"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำเสียงเหมือนแบกโลก ทะเลาะกับพ่อคุณหรือจ๊ะ" เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จึงไม่ต้องอ้อมค้อมกับข้อสงสัย กาญจน์แก้วจึงถามโพล่งออกมาตรงๆ

"ทะเลาะก็ดีน่ะสิ" พุธชมพูย้อน ปลายเสียงเริ่มสั่นเครือ เพราะรู้สึกอึดอัดกับแรงหงุดหงิดภายในเต็มที

"แล้วทำไมหรือ"

"พี่ดนัยไม่โทรหาเลย แล้วนี่ก็เลยกำหนดกลับมาตั้งหลายวันแล้วด้วย ปกติเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้"

"อ้อ ที่แท้ก็ห่างยาหยียอดดวงใจหรอกหรือ อภิโถคุณพุธชมพู แต่งงานกันมาตั้งห้าปีแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังหวานซาบซ่านจนห่างหายหลายวันไม่ได้อีก เอ้อ ถ้าเป็นเมื่อก่อน กุ๊กกิ๊กกับนายอคินก็ว่าไปอย่าง"

พุธชมพูใช้ความเงียบเป็นเครื่องบอกอารมณ์ เพื่อนช่างแหย่จึงพลันรู้ทันทีว่า เธอไม่พอใจเข้าแล้ว จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน พลางแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปว่า

"แหม ฉันก็แค่หลุดปาก อย่าโกรธเลยน่า ฉันก็รู้หรอกว่าเธอจะไม่ยอมยกโทษให้นายอคิน นี่ถ้าอยู่ต่อหน้าละก็ ฉันจะตบปากตัวเองให้เธอดูเลยนะ"

"ไม่เป็นไร แค่นี้ก่อนได้ไหม ฉันอยากนั่งเงียบๆ สักพัก"

น้ำเสียงตัดบทกระด้างออกอย่างนั้น มีหรือที่กาญจน์แก้วจะไม่ยอมถอย หล่อนหัวเราะแห้งๆ อีกครั้ง ก่อนจะล่ำลาไม่ค่อยเต็มเสียง

นึกฉุนตัวเองเหมือนกัน ที่อุตส่าห์โทรมาอวดตำแหน่งใหม่แท้ๆ ตอนโทรเข้ามา บรรยากาศครึกครื้นดีออก แต่พอตอนจบ ทำไมมันอึมครึมเหมือนสีฟ้าอมเทาอีกแล้ว



พุธชมพูสูดหายใจเข้าปอดลึกยาวสองสามครั้ง เพื่อระงับความพลุ่งพล่าน หมอกควันอดีตเริ่มแผ่คลุมลงมา จนสวนหย่อมตรงหน้าแลหม่นและน่าชิงชังไปในทันที ตาเรียวหวานก็พานตวัดค้อนพาลๆ ร่างโปร่งหมุนกลับแล้วกระแทกนั่งด้วยกิริยาฉุนเฉียว

การกระทำหยาบหยามของอคินเมื่อหลายปีก่อน ก็พลันค่อยหวนคืนกลับมากระทุ้งความผิดหวังระคนชิงชังที่นึกว่าลืมได้สนิทแล้ว เป็นเพราะกาญจน์แก้วคนเดียว หล่อนไม่น่าพาดพิงชื่อชายเจ้าอารมณ์คนนี้ออกมาเลย

อคินในวันวานเป็นหนุ่มหล่อคมคายที่เฝ้าพะเน้าพะนอขอความรักจากเธอ จนเธอใจอ่อน ยอมให้เขาลิขิตความสัมพันธ์ไปอย่างเอาแต่ใจ เขารู้จักแต่ความปรารถนาของตัวเอง ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้าง ความรู้สึกและความจำเป็นของคนอื่น โดยเฉพาะเธอ ซึ่งเขาบอกว่า 'รักหมดหัวใจ'

บิดาของเธอกระมังที่มีสายตาแหลมคม มองคนไม่เคยผิด ท่านมองออกว่า เธอต้องหมดความสุขไปทั้งชีวิตแน่ๆ ถ้าขืนโอนอ่อนให้ความรักของอคินบงการเรื่อยไป ท่านพยายามขัดขวางและทำลายความรักของเขา หว่านล้อมให้เธอเลิกคบหาอย่างเด็ดขาด

แต่เพราะเธอเองที่สงสารว่าเขาโดดเดี่ยว เพื่อนพ้องในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยชอบนิสัยเอาแต่ใจแกมดุร้ายของเขา ฐานะยากจนก็เป็นอีกเหตุผลที่เพื่อนเศรษฐีตั้งแง่รังเกียจ นอกจากเธอแล้ว เขาไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้างเลยจริงๆ

อคินหยิบฉวยความสงสารที่ไร้ขีดจำกัดของเธอมาเป็นเครื่องบีบคั้นและกดดันให้เธอต้องเลือก เขาพร่ำพูดแต่ว่า เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ โดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลว่า เธอก็ไม่อาจทอดทิ้งบิดาขี้โรคไปมีความสุขกับเขาได้

"ทำไมไม่ได้ คุณอาไม่ชอบเรา แล้วพุธจะให้เราอยู่ร่วมกับท่านในบ้านหลังเดียวกันได้ยังไง เราไม่มีความสุขหรอก ท่านก็ไม่มี ยิ่งเห็นหน้าเรา ท่านก็จะยิ่งเครียด พอดีพอร้าย เส้นเลือดในสมองแตก ก็จะมาโทษว่าเพราะเราอีก"

"ทำไมพูดแบบนั้น ที่แช่งอยู่นั่นน่ะ พ่อของพุธนะ"

"ไม่ได้แช่ง พูดเหตุผลให้ฟังไง อย่าเฉไฉเลย เราไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ไม่ไช่หรือ เราคุยกันว่าแต่งงานแล้ว เราจะย้ายออกไป"

"พุธก็บอกแล้วว่าทำไม่ได้ พุธจะไม่ทิ้งพ่อไปไหน อคิน โลกมันใบใหญ่นะ มันมีอย่างอื่นอีกมากมายนอกเหนือจากความรัก เราจะอยู่ในโลกใบนี้ด้วยสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวไม่ได้ แล้วพุธก็จะไม่ยอมให้ความรักมาอยู่เหนือพ่อ"

"หมายความว่า พุธยอมที่จะทอดทิ้งเรา เลิกกับเรา แล้วเลือกที่จะอยู่กับพ่อ ไม่อยู่กับเราหรือ"

เธอรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าในจิตใจจนอยากสะบัดหน้าหนีชายที่มองเห็นแต่ความปรารถนาของตัวเองเป็นใหญ่

เขาจะเป็นผู้นำครอบครับที่ดีได้ยังไง ในเมื่อเขาคิดแต่จะลบหลู่เสาหลักในชีวิตของเธอ เขาไม่เคยหยุดตรองให้ลึกซึ้งว่า ถ้าไม่มีบิดา แล้วเธอจะมีชีวิตเป็นตัวเป็นตนให้เขาบอกรักหมดหัวใจได้ยังไง

"ยังไม่กลับไปอีกหรือ"

บิดาออกจากห้องนอนด้วยสภาพโผเผ อาการป่วยของท่านค่อนข้างย่ำแย่มากในปีนั้น แต่เพราะเสียงทุ่มเถียง มันคงดังลอดเข้าไปถึงห้องนอน ท่านจึงต้องออกมายุติ

"คุณอาไปนอนเถอะครับ"

"เธอนั่นแหละ กลับไปเสียที เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือ เธอเองก็ยินดีจะพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถเป็นเสาหลักที่ดีให้กับลูกสาวฉันได้ภายในห้าปีนี่ แล้วทำไมยังมาสร้างปัญหาดึกดื่นอย่างนี้อีก"

"ผมตัดสินใจตามเพื่อนไปทำงานที่เมืองนอก อีกสามวันจะออกเดินทาง"

"ก็ดีแล้วนี่"

"ผมแค่ต้องการกำลังใจ อยากให้ตัวเองมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่มั่นคง คุณอาอนุญาตให้พุธจดทะเบียนสมรสกับผมก่อนได้ไหม"

"เธอนี่.. "

"อีกห้าปี ผมสัญญาว่าจะกลับมาจัดพิธีแต่งงานให้เอิกเกริกสมเกียรติ"

นั่นคือความต้องการเอาแต่ใจแฝงความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ อคินไม่ต้องการกำลังใจ หรือสิ่งยึดเหนี่ยวที่มั่นคง หากต้องการกักขังเธอไว้เป็นเชลยเสน่หา และความต้องการของเขา มันก็ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่ความสงสารจริงใจที่เธอมีให้

แต่เหตุผลเพียงเท่านี้ มันยังทำให้เธอผิดหวังระคนชิงชังไม่ได้เท่ากับการหยาบคายต่อบิดา เขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ช่าง แต่การผลักจนท่านล้มศีรษะฟาดกับขอบตู้ไม้ ก็ทำให้ท่านช็อกจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลกันอย่างโกลาหล

"พุธ เราไม่ตั้งใจ เชื่อเรานะ เราแค่พยายามจะดึงมือคุณอาออก พุธก็เห็นว่าท่านผลักเราออกจากห้อง เรายังคุยกับพุธไม่จบเลย ท่านเป็นพ่อที่เอาแต่ใจเกินไป กดขี่และปิดกั้นอิสรภาพของลูกอย่างถืออำนาจบาตรใหญ่"

"นี่แน่ะ"

เธอไม่นิยมการจบปัญหาด้วยการลงไม้ลงมือ แต่ทุกถ้อยคำละล่ำละลักของอคินในคืนนั้น มันผลักความก้าวร้าวให้ทะลุพรวดออกมาจากอารมณ์อดกลั้น

เธอตบหน้าเขาไปสองฉาด อยากให้เขาสำนึกว่า เขาเกือบจะฆ่าบิดาของเธอ คืนนั้น หมอบอกให้เธอทำใจไว้ห้าสิบห้าสิบเสียด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้เธอผิดหวังชิงชังในตัวเขาตั้งแต่คืนนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ได้ยังไง

แล้วจากคืนนั้น เธอก็ไม่สนใจอีกแล้วว่า อคินจะไปไหน ทำอะไร ไกลหรือใกล้ หรือหากว่าเขาจะหนีหายไปให้พ้นจากเส้นทางชีวิตของเธอได้เลยก็ยิ่งดี

เธอปรารถนาอย่างนั้น ไม่นึกเสียดายหรือเสียใจกับความใจดีใจอ่อนของตัวเอง ที่เคยหยิบยื่นความสงสาร ยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเขาเรื่อยมา

หากจะค้างคาใจอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นความจริงที่ยังไม่ได้บอกกล่าวให้ชัดเจนว่า เธอไม่เคยรักอคินนั่นล่ะ เพราะความสงสารจากใจของเธอ มันถูกแปรเป็นความรักลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อยู่ในหัวใจอ้างว้างดวงนั้น

แล้วตลอดเวลาที่คบหาเป็นเพื่อน เขาก็เข้าข้างตัวเองว่าเธอเป็นยอดดวงใจเรื่อยมา แต่สำหรับเธอ อคินเป็นเพียงเพื่อนชายร่วมมหาวิทยาลัยที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภวังค์อดีตในห้วงคำนึงก็วิ่งหนี พุธชมพูตะปบด้วยมือสั่น ไม่เคยตื่นเต้นกับเสียงเรียกเข้าของสามีเช่นนี้มาก่อนเลย ทันทีที่กดปุ่มรับสาย ก็รีบกรอกเสียงสั่นเครือด้วยความดีใจลงไปทันที

"พี่ดนัย ทำไมเงียบหายไป ทำไมปิดเครื่องคะ พุธโทรติดต่อพี่ดนัยไม่ได้เลย เพื่อนพี่ดนัยก็ติดต่อไม่ได้ พี่ดนัย.. "

"ใจเย็นครับ ค่อยพูดค่อยจา อย่าโหมไม่หายใจแบบนี้ เดี๋ยวพี่ช็อกนะ"

"พี่ดนัย พุธร้อนใจนะคะ ทำไมยังมาพูดเล่นอีก"

"พี่สบายดี งานทางนี้ขลุกขลักเล็กน้อยถึงปานกลาง พี่ต้องตามลูกค้าไปติดเกาะตั้งหลายวัน ไม่มีสัญญาณเลยยาหยีที่รัก อย่าโกรธนะ นี่พอกลับเข้าฝั่งปุ๊บ โทรหาเลยนะนี่ ยังไม่เข้าที่พักเลยด้วยซ้ำ คิดถึง"

พุธชมพูน้ำตาร่วง รู้สึกเบาโหวงบนสองบ่า หัวใจหนักอึ้งก็พลอยโปร่งโล่งเหมือนไร้ภูเขามากดทับ เธอยิ้มได้กว้างขึ้น แม้แก้มนวลจะยังเปื้อนน้ำตาปีติ

"พูดจริงนะคะ ไม่โกหกพุธใช่ไหม หลายวันที่ผ่านมา พุธกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย"

"ทูนหัว ไม่มีโกหกสักคำ ทางนี้ขลุกขลักวุ่นวายจริงๆ เชื่อพี่นะ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พี่จะรีบกลับไปรับขวัญทันที"

"จริงนะคะ"

"ครับที่รัก พี่ไม่เคยโกหกเราเลยสักครั้งไม่ใช่หรือ อ้อ หรืออยากให้มีครั้งแรก พี่ทำได้นะ โกหกมันทำไม่ยากหรอก"

พุธชมพูหัวเราะกลั้วกับน้ำตาร่วงอีกสองสามหยด สามีอารมณ์ขันได้ทุกเวลาจริงๆ เธอโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอเขา แต่งงานเรียบง่ายและอยู่กินอย่างมีความสุข ก่อนบิดาจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ท่านบอกกับเธอว่า

"คุณดนัยจะเป็นที่พึ่งที่ดีของลูก พ่ออ่านสายตาที่เขามองลูกออก นอกจากความพึงใจแบบที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิงแล้ว พ่อยังเห็นแววเมตตาเอ็นดูเหมือนพี่ชายมองน้องสาวแฝงอยู่ในนั้นด้วย หากลูกได้สามีที่จะเป็นได้ทั้งแสงสว่างและร่มเงาแก่ชีวิต พ่อก็คงนอนตายตาหลับ"

ท่านกล่าวไว้ไม่มีผิดแม้แต่คำเดียว ดนัยดลเป็นสามีที่ให้ได้ทั้งแสงสว่างและร่มเงาแก่ชีวิต เธออบอุ่นและร่มเย็นไปกับทุกย่างก้าวที่เคียงไปข้างๆ เขา

วันหน้าจะเป็นยังไง เธอตอบไม่ได้ แต่เกือบห้าปีของชีวิตสมรส เธอกล้าพูดได้เต็มปากว่า ไม่เคยมีน้ำตาแห่งความโศกเศร้าเสียใจหลั่งจากการกระทำของเขาเลยแม้แต่หยดเดียว

ภรรยากอดโทรศัพท์แนบอก รอยยิ้มบนริมฝีปากจิ้มลิ้มบ่งบอกถึงความโล่งใจ แววตาหม่นหมองอยู่หลายวันค่อยฉายประกายสดใสขึ้น สวนหย่อมและสนามหญ้าที่แลหม่นหมดสวยไปเมื่อครู่ก่อน ยามนี้ ค่อยย้อนกลับมาเขียวขจีสดชื่นดังเดิม



แต่สามีกลับกอดโทรศัพท์ด้วยน้ำตานองหน้า เสียใจที่จำเป็นต้องโกหกภรรยายอดยาหยี เพราะทนไม่ได้กับการให้เธอรับรู้ข่าวร้ายอันน่าตระหนก มันอาจจะไม่ตลอดไป และยาวนานแค่สองถึงสามเดือน แต่สองตาพิการก็ไม่ใช่ข่าวดีที่ภรรยาจะแบกรับไหว เขาจึงจำใจปกปิดไว้ก่อน

รอให้ร่างกายแข็งแรงจนหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เขาค่อยกลับบ้านไปให้เธอรู้และเห็นกับตาเลยจะดีกว่า เธอคงเสียขวัญ แต่อย่างน้อยก็มีเขาอยู่คอยอ้าแขนโอบกอดปลอบประโลมไม่ใช่หรือ

"คุณดนัยเข้มแข็งจังนะครับ ยาหยีที่รักของคุณนี่ ช่างเป็นสาวที่โชคดีที่สุดในโลกชะมัด" อคินปรารภชื่นชมอยู่ข้างเตียง

"ไม่มีทางเลือกนี่ครับ ผมรักเธอ ทนไม่ได้แน่ๆ หากต้องฟังเธอร้องไห้อย่างเสียขวัญ แล้วผมก็อยู่ทางนี้ กอดเธอไม่ได้"

"บ้านของคุณมันคงย้อมสีชมพูทั้งหลังละสิ หวานกันเสียขนาดนี้"

"สีฟ้าครับ ผมชอบสีฟ้า ที่รักของผมก็บังเอิญชอบสีเดียวกันด้วย บ้านของเราจึงสว่างกว้างโล่งและสดใสเหมือนความรักของเรา"

อคินทำปากยื่นคล้ายจะบอกว่า 'อืม ไม่เลวเลย' พลางลุกไปรินน้ำมาให้คนไข้ตาพิการดื่ม สงสารว่าหนุ่มใหญ่ร้องไห้เงียบๆ อยู่นาน บางครั้ง ความรักหวานชื่นของเพื่อนต่างรุ่นคนนี้ ก็ทำให้นึกอยากเห็นหน้ายาหยีที่รักคนนั้นเสียจริงๆ

น่าเสียดาย ที่ในวันแต่ง เขาติดภารกิจอยู่กับเจ้านายจอมเขี้ยว ปลีกตัวไปร่วมอวยพรไม่ได้เลย ทายว่าคงจะสวยมาก เคยได้ยินดนัยดลเปรยๆ เหมือนกันว่า 'สวยมาก เท่าที่สายตาของผมจะประทับใจ'

เสียงฝีเท้าที่ห่างจากเตียง ทำให้ดนัยดลต้องเงี่ยหู หนุ่มใหญ่ใจดีหงุดหงิดนิดหน่อยกับการคาดเดาตลอดเวลา อาจเพราะว่ายังไม่เคยชินกับโลกมืดอย่างที่คุณหมอบอกแกมปลอบใจนั่นล่ะ

อคินอุทานอย่างเหลือเชื่อแกมทึ่งให้เขาหัวเราะ ในวันแรกที่เขาฟื้น แล้วทราบชะตากรรมช่วงสั้นๆ ที่เขาต้องผจญไปอย่างมืดๆ ด้วยอาการสงบ

"ผมละเชื่อเลย ถ้าเป็นผมนะ ป่านนี้ คงโวยวายห้องแตกไปแล้ว หมอกับพยาบาลก็คงเข้าหน้าผมไม่ติดหรอก แต่คุณดนัยมาแปลกมาก แค่พยักหน้าแล้วก็เงียบ ให้ตายเถอะ จิตปกติหรือเปล่านี่"

"ปกติดีครับ"

เขาบอกกลั้วหัวเราะเศร้าๆ การยอมรับก็ไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกสะเทือนใจไม่ใช่หรือ นอกเหนือจากความรู้สึกนี้ เขายังลอบเจ็บๆ กับแอบหวั่นๆ เสียด้วยซ้ำเพราะตระหนักเสมอว่า ตนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ภรรยาพักพิงอย่างสุขสบาย

แต่หากโพธิ์ไทรต้นนี้ มันหยุดการเจริญเติบโต เลิกผลิกิ่งก้านใบ อีกหน่อยมันคงจะโกร๋น เปิดช่องให้แสงตะวันร้อนกล้า สายฝนเย็นเยือก และน้ำค้างเหน็บหนาว กรูกันลงมาทำร้ายยาหยีทูนหัวของเขา จนหมดความสุขความสบาย แล้วเขาจะไม่ขมขื่นกับสภาพนั้นได้หรือ

"คุณจะทำยังไงหลังจากออกจากโรงพยาบาล" อคินเดินกลับมาย้อนถามข้างเตียง

"กลับบ้านสิครับ" คำตอบที่ให้ไปตรงๆ ทำลายทั้งภวังค์และกิริยาครุ่นคิดแทน ของคนถามจนแตกกระเจิง

"แค่นั้นหรือ คุณน่าจะตอบอะไรที่ผมน่าจะหนักใจแทน อย่างเช่นว่า ไม่รู้สิ ยังนึกไม่ออก ตั้งรับไม่ได้ บอกไม่ถูก คงต้องอยู่บ้านสักระยะ อาจจะปิดบริษัทไปก่อน หรือโอนให้คนอื่นทำไปพลางๆ หรืออะไรที่ไม่ใช่แค่ว่ากลับบ้านสิครับ"

"ผมจะปิดบริษัททำไม หมอก็ยืนยันว่าภายในสองถึงสามเดือน ระบบสายตาก็น่าจะกลับมาเป็นปกติไม่ใช่หรือ หากจำเป็นก็ต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งผมก็พร้อมเสมออยู่แล้ว"

"สองถึงสามเดือน เวลาพูดมันฟังสั้นแป๊บเดียวเอง แต่ผมจะเตือนคุณว่า คุณต้องอยู่ในภาวะพิการ อยู่นิ่งๆ ในโลกมืดเป็นเวลาถึงเก้าสิบวันโดยประมาณ หนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยนาทีโดยประมาณ และเจ็ดล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นหกพันวินาทีโดยประมาณ มันยาวมากเลยสำหรับคุณ"

"แล้วผมมีทางเลือกอื่นให้ดิ้นรนมากไปกว่าการยอมรับหรือคุณอคิน"

"มี ผมจะกลับเมืองไทยกับคุณ" อคินบอกในสิ่งที่ตนครุ่นคิดอย่างไตร่ตรองมานานหลายวันออกมา "ผมจะลาออกจากงานทางนี้ หุ้นทางนี้ก็จะขาย แล้วนำเงินไปลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับคุณทางโน้น ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนใจกับข้อเสนอที่เคยคะยั้นคะยอผมอยู่หลายหนเมื่อหลายปีก่อน"

ดนัยดลยิ้มบาง พร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสกับอีกฝ่ายด้วยความยินดี เพราะอุปนิสัยใจดี และมองโลกในแง่ดีเรื่อยมาของเขากระมัง ทำให้เขากลับคิดไปว่า ภาวะพิการชั่วคราว มันก็ดีไปอย่าง เพราะอย่างน้อย ก็ช่วยให้หนุ่มไทยใจสลายคนนี้ ยอมกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที

แล้วถ้าสวรรค์จะต้อนรับการกลับบ้านในครั้งนี้ ด้วยการโรยเนื้อคู่มาช่วยดามใจให้หนุ่มหล่อสักคน มันก็จะเป็นเรื่องดีที่แสนวิเศษที่สุดบนเส้นชะตาเคราะห์ร้ายเส้นสั้นๆ เส้นนี้ของเขา

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 17:13:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com