Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักรบจันทรา ตอนที่ 11 ผู้ท่องกาลเวลา ติดต่อทีมงาน

การเดินทางเพื่อเก็บเงินของพวกการ์สามคนเริ่มขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ ที่ล่าช้าเนื่องจากผู้กล้าแสงตะวันหัวหน้าคณะเดินทางต้องใช้มนตร์เคลื่อนย้ายกลับไพน์เพื่อขนย้ายสัมภาระของทุกคนกลับมา แถมยืนกรานให้เขาไปแบมือของเงินค่าเดินทางจากน้องสาวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเสียอีก ตอนอยู่ที่ไพน์เขายังไม่เคยเจอกับผู้หญิงคนที่ว่าด้วยซ้ำ

“อยากไปเอาของหรืออยากเปล่งแสงได้เหมือนดวงตะวันตามชื่อ” การ์เงื้อดาบแสงตะวันพร้อมแสยะยิ้ม เพื่อนร่วมทางมองกองขี้เถ้าที่เคยเป็นต้นไม้ใหญ่แล้วยอมใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปไพน์แต่โดยดี ยิ่งดูเขายิ่งคิดว่าไบรอันคนนี้เป็นคนละคนกับไบรอันคนก่อน ปากมาก มองโลกในแง่ร้าย ดูซึมๆเหมือนไก่เป็นโรค

“น้องสาวเจ้าฝากมาให้ แหวนประจำตัวเชื้อพระวงศ์ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ของไพน์จะใส่มันไม่ได้ พระนางฝากมาบอกด้วยว่าคราวหน้าให้แวะนานกว่านี้อีกนิด”

ไบรอันโยนแหวนทองเหลืองวงหนึ่งให้การ์อย่างไม่ค่อยเต็มใจ เขาลองใส่แล้วจ้องมองหัวแหวน มันมีตราประทับเป็นรูปนกผงาดปีกแถมขนาดยังพอดีกับนิ้วของเขาอีกต่างหาก เพราะรำคาญที่ต้องใส่แหวนหลายวงจึงเก็บไว้ในซอกกระเป๋าที่ปลอดภัยที่สุด “แล้วที่เราต้องรีบกันอุตลุดก็เพราะใครกัน” การ์หรี่ตามองพยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน

“เจอกันที่เมืองแก้วผลึก อย่าให้ถูกฆ่าตายเสียก่อนล่ะ” ริเรียรวบผมเหลืองทองลวกๆก่อนจะแบกสัมภาระขึ้นบ่า หญิงสาวโบกมือให้ผู้กล้าแสงตะวันซึ่งจะไปทางลัดร่วมกับไลล่า แลนเซลท์ที่เวเบอร์นำมาฝากไว้เมื่อคืนก่อน ไบรอันถูกขู่ด้วยคำพูดและเวทมนตร์ของริเรียหลายหนกว่าจะยอมยกสัมภาระของนางอัศวินมังกรผู้วายชนม์ให้เพื่อนใหม่ใช้ขัดตาทัพ การ์ได้ยินนางบ่นว่าเหนื่อยโขให้ไปเจอกับกองทัพมังกรอีกรอบยังดีเสียกว่า

“หวังว่าตอนเจอกันที่เมืองแก้วผลึกท่านจะกลับเป็นผู้กล้าแสงตะวันเหมือนเดิมนะขอรับ” อลันยังยกย่องผู้กล้าแสงตะวันอย่างไม่เสื่อมคลาย แม้เพิ่งได้ยินคำนินทาถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคนปากหนักจากการ์มาหมาดๆ...


“เล่าต่อๆ” ริเรียเริ่มเล่าวีรเวรวีรกรรมของผู้กล้าแสงตะวันให้อลันฟังต่อจากเมื่อเช้า “จากนั้นหมอต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิงเข้าไปสืบข่าวในโอ๊คแลนด์ด้วย เสียดายที่ซักเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“เห็นบอกว่าอยากถล่มให้เหลือแค่ชื่อด้วย ไม่รู้แค้นอะไรนักกันหนา” เรื่องของมารีน่าตอนเข้าไปสืบข่าวในโอ๊คแลนด์ยังเป็นปริศนาสำหรับการ์ ตอนนั้นหมอนั่นเข้าไปทำอะไรกันแน่ และสายหมอกปริศนาที่ทำให้พวกเขาหลับอีก “น่าจะเกี่ยวกับนางสนมนะ บางทีเขาอาจไปชอบนางสนมในปราสาทก็ได้” การ์ออกความเห็นลอยๆ แต่ริเรียค้านกลับมาว่าไบรอันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

“ตกลงหมอนั่นไปทำอะไรที่โอ๊คแลนด์กันแน่ เจ้าคงรู้ใช่ไหมริเรีย”

“มันซับซ้อนและเกี่ยวกับจอมอสูร เอาเป็นว่าตอนนี้เล่นละครเป็นคณะผู้กล้าเดินทางปราบจอมปีศาจไปก่อนก็แล้วกัน ถึงเวลาค่อยเอาสองสิ่งนั้นจากเก็มและโอ๊คแลนด์ออกมาใช้”

“บอกหน่อยไม่ได้หรือท่านริเรีย ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน” ผู้กล้าอลันช่วยการ์ถาม ก่อนเพื่อนร่วมทางจะกลายเป็นคนปากหนักเหมือนผู้กล้าแสงตะวัน

“ตอนนี้จอมอสูรกำลังจับตามองพวกเราอยู่” ริเรียทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบลงถนัดใจ เหล่าสรรพสัตว์ข้างทางพลอยหยุดส่งเสียงไปด้วย

“เพราะมีเวเบอร์เข้ามาแทรกแซงทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด ทั้งเรื่องเส้นทางอนาคตที่ควรจะเป็น แล้วก็เรื่องของท่าน การ์ ที่ไบรอันเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าพวกเราคือคณะเดินทางของผู้กล้าเพื่อไม่ให้จอมอสูรลงมือได้ เวเบอร์ก็ออกโรงปกป้องท่านซึ่งกำเนิดมาเพื่อกำราบจอมอสูร หากจอมอสูรแสร้งส่งลูกน้องมาเป็นพวกเดียวกับพ่อท่านไบรอันก็จะมีโอกาสเปิดโปงเรื่องทั้งหมด หากจอมอสูรส่งสมุนมาช่วยเราก็เท่ากับแสดงเจตนาเป็นศัตรูกับเวเบอร์ซึ่งแข็งแกร่งสุดหยั่ง ดังนั้น ตราบใดที่พวกเรายังเล่นตามบทเดินทางไปปราบจอมปีศาจ จุดยืนของสองคนนั้นจะช่วยปกป้องเราจากจอมอสูรได้แน่นอน”

“เวเบอร์คนนั้นน่ากลัวมากเลยหรือ ร่างจริงเขามีแปดมือแปดตาหรือว่าแปลงร่างเป็นปีศาจได้”

“เขาเป็นอมตะ” การ์ตอบสั้นๆ “ตอนอยู่ที่ไครส์ หมอนั่นยืนให้แทงหัวใจกับปาดคอจนเลือดไหลทะลักยังไม่เป็นอะไร กลับยิ้มแฉ่งแล้วเชือดผู้กล้าแสงตะวันได้ในครั้งเดียว น่ากลัวพอไหม ข้าเล่าไปหรือยังว่าเจ้าปากหนักนั่นเคยตายไปแล้วหนหนึ่ง”

“โชคดีที่ไม่ได้เป็นศัตรู” อลันถอนหายใจอย่างโล่งอก ริเรียยิ้มแห้งๆเพราะมันไม่จริงเสียทีเดียว

“ใครบอกว่าไม่ใช่ศัตรู ตามบทเราต้องเดินทางไปกำจัดพ่อของข้าที่เป็นเจ้านายของเวเบอร์นะ สำหรับคณะเดินทางของเราหมอนั่นคือศัตรูหมายเลขหนึ่ง” การ์หัวเราะในลำคอ “ความจริงมีครั้งหนึ่งที่การ์ลูสเคยหลุดปากออกมาว่ามีคนที่จะมาเป็นศัตรูกับเวเบอร์ แต่ข้าลืมไปแล้ว”

“ตอนนี้เจ้าอยู่ในคณะเดินทางที่จะไปปราบพ่อของเจ้านะ ทำไมเวเบอร์ถึงอยากปกป้องเจ้านักล่ะ”

“เขามีความจงรักภักดีต่อท่านพ่อมากเสียจนไม่อยากทำร้ายลูกของท่าน” การ์ตอบ “คงอยากให้ข้าย้ายไปอยู่เคียงข้างท่านพ่อด้วย เลยไม่คิดร้ายกับข้า กับข้าแค่คนเดียวนะ”

“พูดมากเกินไปแล้ว” ริเรียหรี่เสียง

โชคดีที่พวกเขากำลังหาเรื่องอื่นมาคุย หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง เส้นผมสีเหลืองดวงตาสีมรกตของหญิงสาวดูคุ้นตาอย่างประหลาด สัมภาระที่นางแบกไว้บนหลังยิ่งประหลาดกว่าเพราะมันทำจากดำที่หนาจนคล้ายหนังมีสิ่งที่คล้ายโลหะติดอยู่ข้างๆด้วย หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับการ์ยิ้มอย่างโล่งอกที่มองเห็นพวกเขา

“เจอคนสักที ขอโทษนะเจ้าคะ ดินแดนนี้ใช่เรมิสต์หรือเปล่าเจ้าคะ” หญิงสาวพูดด้วยสำเนียงแปร่งๆ นางดูสวยอย่างประหลาด การ์กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“ใช่ เรมิสต์คือชื่อของดาวดวงนี้” การ์ตอบอย่างเป็นกันเองหญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาคิดว่านางอาจประสาทจนคิดไปว่าอยู่บนดินแดนอื่นเหมือนเวเบอร์ พอมองดวงตาสีมรกตของหญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรสักอย่างได้ “ข้าชื่อการ์ จัสติน”

“การ์...จัสติน...” หญิงสาวมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกับเขาคือวิญญาณพันปี หญิงสาวนักเดินทางมองเขาและริเรียสลับกัน รอยยิ้มยินดีแกมลำบากใจฉายอยู่บนใบหน้า มือที่บอบบางคลึงขมับเบาๆ “ขอโทษนะเจ้าคะ ตอนนี้พวกท่านกำลังเดินทางไปปราบจอมอสูรใช่ไหมเจ้าคะ ท่านคือนักรบจันทรา ส่วนท่านพ่ะ...ท่านไบรอันคือผู้กล้าแสงตะวัน ใช่ไหมเจ้าคะ”

“จอมปีศาจต่างหาก ใช่ไหมการ์ จอมปีศาจไม่ใช่จอมอสูร เวเบอร์คือศัตรูอันดับหนึ่ง” ริเรียช่วยแก้ให้เผื่อนางจะเป็นสายของจอมอสูร “เรากำลังเดินทางไปเมืองแก้วผลึกกัน”

“คนละยุคสมัย แต่อย่างน้อยก็เจอคนรู้จัก” หญิงสาวคำรามในลำคอ พลางกอดอกพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เท่าที่จำได้ คณะเดินทางผลุนผลันออกมาจากไพน์ด้วยเหตุผลเล็กน้อย แล้วก็ไปเมืองแก้วผลึกตามความคิดของท่านลุง จากนั้นก็ไปชิงดาบจอมกษัตริย์ของจริง...”

“เดี๋ยวคณะเดินทางจะไปชิงดาบจอมกษัตริย์หรือ พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปไหนต่อจากเมืองแก้วผลึก” ริเรียปรายหางตามองหญิงสาว “แถมรู้เรื่องจอมอสูรอีก เจ้าคือใคร”

“ข้าก็แค่เดาเล่นๆเจ้าค่ะ” หญิงสาวแค่นหัวเราะ “แล้วไม่ทราบว่าเมืองแก้วผลึกไปทางไหนหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เดินทางต่อ”

“เราก็จะไปเมืองแก้วผลึกอยู่แล้ว เดินทางไปด้วยกันก็ได้รับรองปลอดภัย” ริเรียยังไม่วายสงสัยหญิงสาวคนนี้ จากท่าทางตอนครุ่นคิดทำให้การ์นึกออกว่านางดูคล้ายเจ้าคนปากหนักไบรอัน บรู๊ค ทั้งเส้นผมและดวงตาถอดแบบมาจากหมอนั่นไม่มีผิด เสียแค่โครงหน้าที่ไม่คล้าย

หญิงสาวขบกรามครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็หยุดนิ่งราวกับนึกเรื่องสำคัญได้ แววตาสีมรกตฉายแววมุ่งมั่นแรงกล้ายิ่งดูคล้ายไบรอันเข้าไปอีก จนถึงตอนนี้เองที่การ์เพิ่งนึกออกว่ามีแค่ตระกูลบรู๊คเท่านั้นที่มีดวงตาสีมรกตแบบนี้

“ตกลงเจ้าค่ะ ข้าจะเดินทางไปเมืองแก้วผลึกกับพวกท่าน” อยู่ดีๆหญิงสาวก็นิ่งแทบไม่แสดงอาการกระวนกระวายอย่างเมื่อครู่ “ข้าชื่ออลิเซียเจ้าค่ะ อลิเซียเฉยๆ” หญิงสาวพยักหน้าราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหากบอกชื่อสกุลออกมา เค้าความปากหนักยิ่งทำให้เหมือนผู้กล้าแสงตะวันเข้าไปอีก

“เจ้ามาจากที่ใดหรือ สหายข้าเคยเล่าว่ามีเพียงสายเลือดตระกูลบรู๊คเท่านั้นที่มีดวงตาสีเขียว” ริเรียซัก หญิงสาวใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาทีบอกว่าเป็นญาติห่างๆกับไบรอันจึงมีดวงตาสีเดียวกัน “เดินทางกันดีกว่าเจ้าค่ะท่านนักรบจันทรา เดี๋ยวท่านอลันจะพาอ้อมไปทางรังมังกรหลังน้ำตาลทาง หนะ เหนือ” หญิงสาวรีบปิดปากตัวเองสบถสาบานว่าจะไม่พูดพล่อยๆออกมาอีก

“รู้ได้อย่างไรว่าข้าจะพาไปรังมังกรเขียวหลังน้ำตาลทางเหนือของที่นี่” ผู้กล้าอลันซักบ้าง “ฤดูนี้พวกมังกรจะทิ้งรังแล้วลงใต้ไปเขตอบอุ่น แถบรังจะมีทั้งเศษไข่และเกล็ดให้เก็บไปขายเกลื่อนไปหมด” หญิงสาวครุ่นคิดชั่วครู่แล้วตอบกลับมาอย่างมั่นใจ

“ลางสังหรณ์เจ้าค่ะ คงคล้ายกับที่ท่านผู้กล้าแสงตะวันที่มีพลังพยากรณ์ เพราะเราเป็นญาติกันนี่นา”

“อาจเสียมารยาทแต่ขอข้าถามสักหน่อยนะ พวกไบรอันจะไปถึงเมืองแก้วผลึกอย่างปลอดภัยไหม” การ์คิดลองทำเหมือนตอนการ์ลูส ยิงคำถามให้เจ้าตัวเผลอหลุดปากออกมาเอง

“ไปถึงอย่างปลอดภัยทั้งคู่เจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับไบรอันเจอกันได้อย่างไร”

“ท่านการ์วิ่งไล่ท่านโฟเรียจนไปพบกับท่านไบรอันเจ้าค่ะ”

“รู้หรือเปล่าว่ามารีน่าคือใคร”

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

“เวเบอร์มีที่มาอย่างไรกันแน่”

“ค่อนข้างซับซ้อนเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ทั้งหมดหรอกนะเจ้าคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“แล้วเจ้าคิดว่าไลล่าเป็นคนแบบไหน” การ์ยิ้มกริ่ม

“ท่านไลล่าเป็นแม่ที่ใจดีมากเลยเจ้าค่ะ ทั้งสวยทั้งเก่งต่อสู้กับท่านเวเบอร์ได้สูสี เสียแค่ทำอาหารสู้ท่านริเรียกับท่านพ่ะ...มะ ได...” หญิงสาวแค่นหัวเราะอีกครั้งเพราะเผลอหลุดเรื่องสำคัญออกมาเสียดื้อๆ

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชื่อจริงของการ์ลูสคือโฟเรีย รู้อีกว่าข้าพูดถึงไลล่าคนไหน แถมยังรู้ว่านางทำอาหารสู้ริเรียไม่ได้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าริเรียทำอาหารเป็นด้วย” การ์รู้สึกถึงรังสีสังหารจากบุคคลที่เพิ่งกล่าวถึง “แล้วยังรู้ที่มาของเวเบอร์อีก ทั้งที่ขนาดไบรอันยังมองไม่เห็น เจ้าเป็นใครกันแน่!” การ์คำรามลั่น เป็นอีกครั้งที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นของตน

“เดี๋ยวก่อนๆ...ขอเวลานอก” หญิงสาวพยายามตั้งสติจนในที่สุดก็สงบลงได้ เขาคิดว่าต่อจากนี้คงหลอกถามอะไรนางไม่ได้อีกแล้ว “ลองเป็นอย่างนี้คงต้องบอกความจริงเสียแล้ว” หญิงสาวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้าคือร่างทรงหนึ่งของนางผู้หยั่งรู้แห่งเมืองแก้วผลึก”

“อย่ามาเฉไฉ ไหนว่าเป็นแค่คนเดินทางอย่างไรละ” การ์นิ่วหน้าเมื่อคู่สนทนาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หญิงสาวที่เหมือนกับไบรอันยืนนิ่งเชิดหน้าราวกับเป็นนางพญา

“ข้ามีหน้าที่นำทางผู้กล้าแสงตะวันและท่านหญิงริเรียแห่งเก็มไปยังวิหารแก้วผลึก จึงไม่อยากเปิดเผยฐานะก่อนถึงเวลาทำงาน ก็แค่นั้น” หญิงสาวเชิดหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน อลันแอบกระซิบว่านางคล้ายนางผู้หยั่งรู้แห่งเมืองแก้วผลึกจริงๆ

“แล้วเหตุใดตอนแรกจึงทำท่าทางแปลกๆละ ถามด้วยว่าที่นี่คือเรมิสต์หรือเปล่า” ริเรียขมวดคิ้วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา

“ข้าเพิ่งกลับจากภารกิจในต่างดินแดน พลังของข้ายังอ่อนด้อยจึงควบคุมประตูสู่สถานที่ปลายทางได้ไม่ดีนัก เห็นอยู่ว่าข้าโผล่ออกมาไกลจากวิหารแก้วผลึกมากแค่ไหน” หญิงสาวผู้มีนามว่าอลิเซียทำหน้านิ่งขึงราวกับเป็นร่างทรงจริงๆ “ข้าใช้พลังในการเดินทางข้ามห้วงมิติเวลาจนพลังเวทเหลือไม่มาก ขืนเปิดเผยตัวมีแต่จะเจอภัย คราวนี้จะยอมให้ข้าเดินทางไปด้วยไหม” หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจเหมือนกับรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นคงบอกได้ว่าเหตุใดพวกเราจึงหุนหันเดินทางออกมาจากไพน์ และเหตุการณ์ระหว่างนั้น” ริเรียหรี่ตาอย่างมีเลศนัย

หญิงสาวยักไหล่หัวเราะในลำคอ “ท่านผู้กล้าแสงตะวันทำให้นางมังกรครึ่งมนุษย์เจ็บช้ำอย่างหนัก นางอัศวินมังกรและท่านผู้กล้าแสงตะวันจึงบังคับให้พวกท่านเดินทางตามนางมังกรครึ่งมนุษย์ตนนั้นมาจนถึงหุบเขาเอลฟ์ใต้ นางมังกรครึ่งมนุษย์ฆ่าตัวตายสังเวยความรัก นางอัศวินมังกรถูกท่านเวเบอร์แทงตรงหัวใจจนสิ้นชีพ ระหว่างที่พวกท่านถูกพัดมาหาผู้กล้าอลัน ท่านหญิงไลล่าก็ถือกำเนิดขึ้นจากซากศพเพื่อเป็นคู่ต่อสู้ของท่านเวเบอร์ตามความต้องการขององค์จอมเทพแห่งอิเดน ท่านเวเบอร์ที่เข้ามายุ่งกับประวัติศาสตร์ของเรมิสต์แล้วจึงต้องเป็นคนนำนางมาฝากให้พวกท่านดูแลในฐานะคู่ปรับของเขา และเพราะท่านผู้กล้าแสงตะวันใช้เงินเกินตัวพวกท่านจึงแยกออกเป็นสองทาง ท่านผู้กล้าแสงตะวันและท่านหญิงไลล่าไปทางลัด ส่วนพวกท่านมาทางอ้อมเพื่อล่าสมบัติไปขายเป็นทุนเดินทางที่เมืองแก้วผลึก วันที่สามนับจากวันนี้พวกท่านจะไปสมทบกับท่านผู้กล้าแสงตะวันที่เมืองแก้วผลึกโดยใช้ขนปีกของท่านโฟเรีย คืนนี้จะเกิดการปะทะกันระหว่างท่านผู้กล้าแสงตะวันกับท่านเวเบอร์แต่ไม่มีใครตาย จะให้ข้าเปิดอนาคตให้ดูล่วงหน้าเลยไหม”

สตรีผู้อ้างว่าเป็นร่างทรงของนางผู้หยั่งรู้ยิ้มอย่างมีชัย การ์มองเห็นประกายประหลาดในดวงตานาง มันเปล่งประกายเหมือนกับตอนที่เจ้าปากหนักอธิบายเรื่องต่างๆให้เขาฟัง นางไม่ได้โกหกแค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง และเขาคงไม่มีปัญญาทำให้นางเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ หากทำได้คงจัดการทำกับเจ้าปากหนักไบรอันก่อนเป็นคนแรก หญิงผู้นี้เหมือนกับไบรอันทุกกระเบียดนิ้วไม่ว่าจะเป็นหน้าตาท่าทาง และนิสัยปากหนักจนน่าหมั่นไส้

“หมายความว่าอย่างไรที่พูดว่าถือกำเนิดจากซากศพ” การ์ภาวนาให้นางเผลอพูดส่วนสำคัญออกมามากกว่านี้อีกนิด

“เมื่อไปถึงวิหารแก้วผลึกพวกท่านก็จะได้รู้ทุกสิ่ง สาเหตุที่เวเบอร์เข้ามายุ่มย่ามกับดินแดนนี้โดยไม่ตั้งใจ ความจริงเกี่ยวกับท่านผู้กล้าแสงตะวันกับนางผู้หยั่งรู้ ตัวตนของท่านหญิงไลล่า และหนทางช่วยบิดาของท่าน ท่านนักรบจันทรา” หญิงสาวทำให้การ์อยากยกฉายาไบรอันที่สองให้ “คราวนี้จะออกเดินทางต่อได้หรือยัง ข้าคิดว่าที่พวกท่านได้ฟังมากจนเกินพอแล้วด้วยซ้ำ สำหรับตอนนี้นะ”

“ตกลง แต่...” ริเรียกอดอก “เจ้ามีอะไรต้องบอกเราอีกหรือไม่ ในตอนนี้”

“ขอแค่ท่านนักรบจันทราและท่านริเรียจดจำชื่อของข้าไว้ก็พอเจ้าค่ะ”

เมื่อหญิงสาวยื่นคำขาดการ์ก็คิดวางแผนรอโอกาสเหมาะๆถามว่านางคือใครกันแน่ นางไม่มีทางเป็นร่างทรงอะไรนั่นแน่นอน ตอนนี้เขาต้องทำให้นางเชื่อว่าเขาไม่สงสัยแล้วด้วยการซักถามเกี่ยวกับกระเป๋าแปลกๆที่นางสะพายอยู่ เป็นกระเป๋าเล็กๆที่ทอจากผ้าหนาละเอียด ด้านข้างมีแถบมันวาวคล้ายโลหะติดเป็นแถบตามแนวขวางตรงปลายมีโลหะอันเล็กๆติดอยู่คล้ายที่จับ  

“นำทางไปเลยอลัน” การ์เร่งให้เดินทางต่อ แล้วก็กระแซะเข้าไปถามเอาดื้อๆ “เป็นกระเป๋าสัมภาระที่แปลกดีนะ”

“นี่คือเป้สะพายหลัง ใช้เครื่องจักรทำขึ้นอย่างซับซ้อน ไม่ได้ทำจากผ้าหรือหนังสัตว์ตามธรรมชาติ” หญิงสาวนักเดินทางตอบอย่างร่าเริงเหมือนมีพลังไม่จำกัด

“แล้วนั่นหนังหรือ ที่เป็นซี่ๆตรงด้านข้าง” การ์ลองจับแถบสีเข้มที่เชื่อมต่อสัมภาระทั้งสองส่วนเอาไว้

“นี่คือซิป...เอาเป็นว่ามันสร้างขึ้นด้วยเครื่องจักร ทำให้สามารถเปิดปิดกระเป๋าได้อย่างนี้” หญิงสาวเอื้อมมือไปจับโลหะอันเล็กๆรูดขึ้นลง ให้เห็นว่ามันเป็นช่องเปิดปิดแสนสะดวก

“นี่คืออะไรหรือ” การ์เห็นบางสิ่งลอดออกมาจากช่องเปิดด้านนอกสุดจึงถือวิสาสะดึงออกมา

สิ่งนั้นเป็นกระดาษหนาจนคล้ายหนัง ด้านหนึ่งเป็นสีขาวมีตัวอักษรแปลกๆเป็นแถบ อีกด้านมันวาวราวผิวกระจก บนนั้นมีรูปของนักเดินทางผู้นี้กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง รูปบนกระดาษแผ่นนั้นชัดเจนและสดใสราวกับเวทมนตร์ เสื้อผ้าของคนในรูปก็ดูประหลาด ยังไม่นับลักษณะของอาคารด้านหลังและตัวหนังสือประหลาดๆบนเสื้อด้วย มันดูเหมือนภาพวาดที่คงรายละเอียดได้เหมือนจริง

“มันคือภาพถ่ายตอนที่ข้าไปทำภารกิจที่ต่างแดนเจ้าค่ะ ในรูปคือเจ้าของบ้านที่ข้าไปพักด้วย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆที่เขาไม่คุ้นเคย แล้วภาพถ่ายมันเป็นอย่างไร เขาเตรียมคำถามนี้ไว้ในใจ

“ท่านนักรบจันทราเจ้าคะ ท่านคิดอย่างไรกับคนที่อยู่คนละโลกคนละมิติกัน” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่หยั่งวัดไม่ได้

“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าสนใจว่าในดินแดนอื่นเป็นอย่างไรมากกว่า จะเหมือนกับโลกที่เราอยู่แค่ไหน วัฒนธรรมแตกต่างกับเราไหม พวกเขาดำรงชีพกันอย่างไร ข้าอยากไปดูด้วยขาของตัวเองให้เห็นกับตา แต่แค่ทวีปใหญ่ทวีปเดียวก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชีวิตข้าแล้ว โลกอื่นคงไม่มีหวังหรอก” การ์ส่งแผ่นกระดาษคืนให้ แล้วยืนมือไปหักกิ่งไม้รายทางเป็นสัญลักษณ์

คณะเดินทางถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง หญิงสาวตาสีมรกตเหม่อมองอยู่ชั่วครู่แล้วหันมายิ้มให้ การ์สงสัยว่านางอยากได้คำตอบแบบไหนและความจริงนางอยากถามว่าอะไร ในเมื่อไม่รู้จะตีสนิทกับหญิงสาวอย่างไรดีจึงหันมานินทาผู้กล้าแสงตะวันให้เพื่อนเก่าฟังต่อ หญิงสาวนักเดินทางยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อเล่าว่าเขาต้องสู้กับการ์ลูสในความฝันโดยที่เขาไม่ต้องการ...


พอพวกเขาเดินผ่านต้นเมเปิ้ลที่กำลังผลัดใบ จมูกนักเดินป่าของการ์ได้กลิ่นสาบรุนแรงเมื่อลมเปลี่ยนทิศ มีสัตว์ร้ายกำลังย่องตามพวกเขามาโดยมีพุ่มไม้น้อยใหญ่ขวางระหว่างทางด่านกับสัตว์ร้ายตัวนั้น แต่ยังไม่รู้เจตนาว่าบังเอิญหรือจงใจ ริเรียกับอลันเห็นการ์หยุดพูดก็เงียบตาม

“จะให้ไล่หรือล่าเจ้าคะ” หญิงสาวนักเดินทางพูดเบาๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ “พวกท่านกำลังต้องการหนังกับชิ้นส่วนสัตว์วิเศษไปขายไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่อยากฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเรา เดี๋ยวข้าจะให้การ์ลูสช่วยไล่ให้”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปลอกหนังกันดีกว่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวดีดนิ้ว การ์เห็นประกายไฟฟ้าสีครามเล็กๆตอนที่เสียงดีดนิ้วดังขึ้น “เจ้าตัวนี้ตามพวกเรามาพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าควรให้ท่านเป็นคนตัดสินใจ”

หญิงสาวพาทุกคนเดินตัดพุ่มเบอร์รี่แห้งๆไปยังหินก้อนใหญ่ ข้างบนหินก้อนนั้นมีเสือแมลงนอนหมอบอยู่ มีควันออกจากจมูก ปาก และหูสีเหลืองสลับดำ ขาทั้งหกกระตุกน้อยๆขาหลังมีรอยไหม้เป็นจุดเล็กๆ ตาสีเหลืองดุดันจ้องพวกเขาอย่างหมายชีวิตก่อนจะดับลงพร้อมชีวิตของตัวมัน ริเรียจ้องมองอย่างไม่เชื่อสายตา เสือแมลงสามารถกันเวทมนตร์ได้ด้วยขาทั้งหกที่สามารถดูดซับธาตุทั้งสี่ได้อย่างรวดเร็ว

“คงได้หลายสิบเหรียญเงินเลยละ เสือแมลงตัวขนาดห้าศอก” อลันพูดขึ้นลอยๆ ริเรียถามอย่างสุภาพว่าหญิงสาวฆ่าเสือตัวนี้ได้อย่างไร

“ไฟฟ้าเจ้าค่ะ ข้าส่งสายฟ้าเข้าสู่ร่างกายของเสือตัวนี้ผ่านไอน้ำในอากาศ ถ้ามีประจุไฟฟ้าในอากาศมากกว่านี้จะง่ายกว่า นี่ข้าต้องใช้สายฟ้าที่มีความแรงสูงมากจึงจะส่งเข้าไปได้ ตอนนี้อวัยวะภายในของเสือตัวนี้เกรียมกำลังดีเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากทำให้หนังมีรอยไหม้” หญิงสาวพูดถึงสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจอีกแล้ว ไฟฟ้ากับประจุไฟฟ้าคืออะไร แล้วส่งสายฟ้าไปกับไอน้ำในอากาศมันเป็นอย่างไร “ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าลองส่งสายฟ้าเข้าไปในร่างกายได้ก็ไม่ใช่คู่มือ ให้ข้าช่วยถลกหนังไหมเจ้าคะ”

การ์มองแววตาสีมรกตใสซื่อแล้วปฏิเสธ แม้อลันจะช่วยได้ไม่มากแต่เขาไม่อยากให้ผู้หญิงมาทำงานสกปรกแบบนี้ การกรีดตัดแบบเก้ๆกังๆของอลันทำให้หญิงสาวฉวยมีดมาช่วยทำแทน เขาสะดุดกับวิธีลงมือของนางตั้งแต่วิธีการกรีดคอและผ่าท้อง มันเหมือนกับวิธีที่เขาเรียนรู้มาไม่มีผิด แถมหญิงสาวยังไม่ยี่หระต่อเลือดและกล้ามเนื้อที่ไหม้เกรียมแม้แต่นิด

“เรียนวิธีถลกหนังมาจากไหนหรือ”

“ความจริงข้าไม่ควรบอก ท่านลุงของข้าเป็นคนสอนเจ้าค่ะ ความจริงข้าแอบไปนั่งดูตอนท่านลุงสอนพี่ข้าแล้วจำมา ตอนนั้นโดนท่านป้าดุด้วยว่าควรทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากกว่านี้” หญิงสาวแลบลิ้น คอยระวังไม่ให้ขนสีเหลืองสลับดำเปื้อนเลือดก่อนเอาไปผึ่งแห้ง...


โชคดีที่มีผู้ใช้เวทมนตร์อยู่ถึงสองคนจึงไม่ต้องเสียเวลาผึ่งแผ่นหนังนานนัก อลันม้วนแผ่นหนังผูกเข้ากับสัมภาระแล้วเดินทางกันต่อ อลันบอกกับการ์ว่าแค่หนังเสือแผ่นเดียวก็ขายได้เงินมากพอแต่เขาไม่อยากหยุดตอนนี้ ถึงจะตัดทางไปเมืองแก้วผลึกได้ก่อนก็ต้องรอเจ้าปากหนักนั่นอยู่ดี

“เจ้าว่าเราน่าจะไปทางไหน” ริเรียลองหยั่งความคิดหญิงนักเดินทางดูเมื่อถึงสามแยก เจ้าหล่อนยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วชี้ไปข้างหน้าที่เป็นทางตรงสายยาวผ่านป่าโปร่งไกลลิบ

“ทางซ้ายไปรังมังกรอพยพ ถ้าตรงไปจะโผล่กลางทางถิ่นของยูนิคอร์นเขาเงินซึ่งขายได้เงินเยอะกว่า” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ

“ทางซ้าย” การ์เสนอความเห็น “ข้าไม่อยากฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่เป็นอันตราย” ในเมื่อผู้นำกลุ่มจำเป็นออกความเห็นทุกคนย่อมทำตาม

คณะเดินทางเดินไปตามทางด่านที่ลาดชันกว่าเพื่อไปยังรังมังกร ยังไม่ถึงกลางทางก็เย็นย่ำเสียก่อน จำต้องหาพื้นที่เล็กๆก่อกองไฟเป็นที่หลับนอน หญิงนักเดินทางสร้างโดมเวทมนตร์สีฟ้าอ่อนให้พวกเขาด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว “เก่งนี่” การ์ใช้ดาบแสงตะวันสร้างกองไฟเอ่ยชม นางผู้นี้คงเป็นคนสนิทกับนางผู้หยั่งรู้กระมังจึงได้เก่งอย่างนี้

“ยังเทียบท่านผู้กล้าแสงตะวันและท่านเวเบอร์ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากสองท่านนั้นเอาจริงแม้เป็นเทือกเขาใหญ่สองท่านนั้นยังสามารถถล่มให้ราบได้ในข้ามคืน” หญิงสาวเปิดกระเป๋าของตนแล้วหยิบห่อผ้าขนาดย่อมๆออกมาคลี่เป็นถุงผ้าหนา แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆสอดขาเข้าไปนอนในถุงผ้านั้น “ขออภัยที่ไม่ได้นอนพื้นด้วยนะเจ้าคะ ข้ากำลังติดใจถุงนอนใหม่พอดี”

พูดถึงข้ามคืนแล้วการ์ก็นึกถึงสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้บอก คืนนี้จะมีการปะทะกันระหว่างผู้กล้าแสงตะวันกับเวเบอร์ เขาไม่อยากนึกภาพเลยว่าจะต่อสู้กันดุเดือดขนาดไหน บางทีที่นอนของเจ้าปากหนักอาจกลายเป็นทะเลเลือด ไม่แน่พวกเขาอาจได้ยินเสียงด้วยหากโชคดี คิดแล้วก็หลับตานอนปล่อยอลันอยู่โยงเป็นคนแรก...


พอถึงตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้นการ์ถึงรู้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องวกไปอีกทาง ม้ามีเขาท้องแก่ติดกับดักนายพรานอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลำตัวอุ้ยอ้ายโขยกเขยกพยายามหนีพวกเขาแต่พันธนาการเหล็กไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ฟันเหล็กสี่ซี่ขบกัดลงบนข้อเท้าข้างหนึ่งจนเลือดอาบ การ์ช่วยปล่อยออกจากกับดักเช่นทุกครั้งที่เขาพบสัตว์ติดกับ แทนที่ม้าเขาเงินจะวิ่งหนีมันกลับนั่งแผละลงกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ถาโถม

“ประเดี๋ยวจะรักษาขาให้ อยู่นิ่งๆนะ” หญิงนักเดินทางคุกเข่าลงรักษาบาดแผลที่ขาหน้าให้ด้วยเวทมนตร์ แสงสีทองอาบทั่วขาหน้าที่บาดเจ็บเร่งการรักษาในทันที คราวนี้เจ้าม้าครางเอาคางเกยขาหน้าเหมือนหมดกำลังจะลุกยืน “ลุกขึ้นสิ เดี๋ยวนายพรานก็กลับมาหรอก” การ์คำรามเบาๆด้วยความหวังว่ามันจะรีบลุกวิ่ง หากแต่เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่กำลังหลุดลอยออกจากร่างสีขาวบริสุทธิ์

“ขนปีกเสียดแทง วายุโหมแรง ตะวันม่วงแกร่งกล้า ข้าขอเอ่ยนามให้สำแดงฤทธิ์ด้วยพันธะสัญญาพิเศษผ่านมิติเวลา จอมจักรพรรดิวิหคเพลิง โฟเรีย” หญิงสาวทำเหมือนกับชาวคณะเดินทางคนใหม่ทำเมื่อคืนไม่ผิดเพี้ยน สิ่งที่ปรากฏหลังกลุ่มเมฆหมอกสีดำหายไปคือขนนกสีฟ้าใส การ์สาบานได้ว่าเหมือนกับขนปีกของการ์ลูสทุกกระเบียดนิ้ว “สิ่งที่มอบพลังชีวิตให้ยูนิคอร์นได้มีแต่ยูนิคอร์นด้วยกันเท่านั้น ข้าจะพาพวกเราไปหาฝูงที่ใกล้ที่สุด เสียดายยูนิคอร์นป้องกันมนตราขั้นต่ำได้จึงต้องใช้เจ้านี่ จับมือกันไว้แน่นๆล่ะ”

แค่มองก็พอเดาได้ว่าหญิงสาวจะใช้วิชาอะไรสักอย่างพาพวกเขาไปหาฝูงม้ามีเขาที่ใกล้ที่สุด การ์รีบฉวยมือของริเรียและอลันไว้ทันที เขาเคยเคลื่อนที่ด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้ายแล้วแต่ไม่รู้ว่าวิธีของหญิงสาวจะเหมือนกันหรือไม่ หญิงสาวนักเดินทางชำเลืองตามองชาวคณะเดินทางแล้วโยนขนนกสีฟ้าขึ้นเหนือหัว พวกเขาทั้งสี่และม้ามีเขาถูกปกคลุมด้วยกลุ่มแสงสีฟ้าก่อนความรู้สึกรุนแรงดั่งพายุถาโถมอย่างบ้าคลั่งจะประดังเข้ามาอย่างฉับพลัน การ์หลับตาปี๋ภาวนาให้การเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้นสักที

“ลืมตาได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านนักรบจันทรา” การ์สาบานได้ว่านางพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ ม่านแสงสีฟ้าสลายไปให้เห็นป่าสนกว้าง ม้ามีเขาฝูงเล็กๆกำลังจ้องมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง

การ์คิดว่าตัวเองเคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดมาหลายครั้งหลายหนแต่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด ม้ามีเขาตัวหนึ่งในฝูงค่อยๆก้าวเดินมาหาแม่ม้าที่แววตาเริ่มฝ้ามัว หญิงสาวค่อยๆก้าวถอยออกมาให้ทั้งสองตัวรู้ว่านางไม่ได้มาทำร้าย เขาสีเงินของม้าหนุ่มสัมผัสกับเขาสีเงินของม้าท้องแก่ ดวงแสงเล็กๆส่องประกายขึ้นแล้วดับวูบพร้อมชีวิตของม้าสาว หัวม้าหลุบตกลงพื้นหญ้า ทว่าม้าน้อยในท้องของมันกลับดิ้นและคลอดออกมาเองดังปาฏิหาริย์ ม้ามีเขาตัวน้อยๆที่ชุ่มโชกด้วยน้ำคร่ำค่อยๆพยุงตัวขึ้นยืนอย่างยากเย็น ระหว่างนั้นมือของริเรียที่จับกับเขาอยู่บีบเข้ามาแรงขึ้นกว่าเดิม

เมื่อลูกม้าแสนซนตัวใหม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยขาของตนการ์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดว่าม้าตัวที่มาช่วยคงถ่ายเทพลังชีวิตให้กับลูกม้าในท้องทำให้มันคลอดออกมาเองได้ ม้าน้อยใช้จมูกดุนร่างที่ไร้วิญญาณจนม้าอีกตัวใช้จมูกดันหัวมันเบาๆราวกับบอกว่าไม่มีประโยชน์ จนมั่นใจแล้วว่าเจ้าม้าน้อยจะไม่ไปสะกิดร่างที่ไร้วิญญาณอีกก็ใช้เขาสีเงินสวยเขี่ยศพของเพื่อนม้ามาทางพวกเขา

“ให้พวกเรา อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวพูดราวกับอ่านความคิดของม้าตัวนั้นได้ และเป็นอย่างที่นางคิด ม้าตัวนั้นพยักหน้าแล้วพาลูกม้าไปเข้าฝูงอย่างไม่ค่อยยินยอม “มันคงอยากให้เราเป็นสิ่งตอบแทน ทั้งเขาและขน ตัดไปตามสบายเลย” หญิงสาวหักนิ้วแล้วยืนเหยียดกายอย่างอารมณ์ดี

“ตรงนั้นคือสามแยกเมื่อวานนี่นา” ริเรียเพ่งมองหินที่นางนั่งพักตอนเจอทางแยกเมื่อวาน “ที่เจ้าบอกว่าตรงมาคือถิ่นของยูนิคอร์นเขาเงิน คือที่นี่หรือ”

“เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเราจะต้องมาทางนี้ ตอนเจอทางแยกจึงพูดดักทางไว้อย่างนั้น” การ์ใช้ดาบแสงตะวันตัดเขาบนหัวม้าได้ในครั้งเดียว “เดี๋ยวพาไปส่งที่เดิมด้วย ข้าไม่อยากยุ่งกับสิ่งมีชีวิตที่ช่วยตัวเองไม่ได้แบบนี้”

“เจ้าค่ะท่านนักรบจันทรา” การ์หวังว่าจะเห็นท่าทางเสแสร้งหรือประชดบ้าง แต่หญิงสาวนักเดินทางผู้นี้กลับยิ้มอย่างร่าเริงเหมือนกับเป็นเด็กน้อยใสซื่อไร้เดียงสา พอรู้ว่าเผลอยิ้มมากเกินพอดีเจ้าหล่อนก็ทำเฉยเสมองข้างทางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ตกเย็นกว่าพวกเขาจะกลบฝังศพม้ามีเขาตัวนั้นเสร็จ อลันแนะว่าควรตัดทางถิ่นของม้ามีเขาเพื่อไปแถบรังของวิหคสายฟ้า เนื่องจากการ์ยังเสียดายระคนอยากเห็นรังของมังกรเขียวหลังน้ำตาลจึงให้หญิงนักเดินทางช่วยใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปยังจุดที่พบกับดักเพื่อพักค้างคืนก่อนไปทางรังมังกรในวันรุ่งขึ้น

ปรากฏว่ารังมังกรเขียวหลังน้ำตาลเป็นแค่พื้นราบรูปแอ่งกระทะ ข้างล่างเต็มไปด้วยเศษซากกิ่งไม้และหินที่เคยเป็นรังของฝูงมังกรมาก่อน ไม่ได้มีความพิเศษไปมากกว่ารังมังกรพันธุ์อื่นที่การ์เคยเห็นเลยสักนิด แถมต้องทนกลิ่นเหม็นเหมือนซากเน่าในระหว่างขุดคุ้ยหาเกล็ดและแผ่นหนังตามพื้นดินอีก

“แล้วเจ้าคิดว่ารังมังกรควรเป็นแบบไหนกัน” อลันมุ่ยหน้า หอบเกล็ดสีเขียวหม่นไว้เต็มอ้อมแขน

“ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอสมบัติหรืออะไรทำนองนั้นหรอก” การ์ถอนหายใจเฮือก “แต่มันธรรมดามากๆ ยกเว้นเรื่องกลิ่น ไม่สงสัยเลยว่าจมูกข้าจะไม่สามารถรับกลิ่นได้อีกหลังจากงานนี้”

ริเรียกับหญิงสาวมัดถุงใส่เกล็ดและเปลือกไข่มังกรไม่ทันเสร็จก็ถูกหัวหน้าคณะจำเป็นดึงดันให้ใช้มนตร์เคลื่อนย้ายกลับไปที่ๆฝังศพม้ามีเขาเมื่อวานเพื่อจะได้หลีกกลิ่นร้ายแรงไปให้ไกลที่สุด ไม่สนใจคำแนะนำของอลันที่ว่ายังมีหนองน้ำสีโคลนอยู่ถัดไปอีกไม่ไกล

“ข้ามีสังหรณ์ว่าที่นั่นจะกลิ่นแรงพอกับที่นี่” การ์ตัดบท “และเผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาดไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวเจ้านั่นเผลอใช้มือเติบอีกจะลำบากหาเงินกันอีกหน” เขาเหลือกตาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ข้าว่าแค่นี้คงมากพอแล้ว หนังเสือแมลง เขาและขนยูนิคอร์นสดใหม่ เกล็ดและเปลือกไข่มังกรสีเขียวหลังน้ำตาลอีกเป็นตัน” ริเรียยกถุงผ้าบรรจุสินค้าพร้อมขายอย่างยากลำบากเพราะขนาดที่ใหญ่โต “แล้วเจ้าคิดอย่างไรละ อลิเซีย”

“หลังจากนี้พวกท่านจะต้องเสียเงินบ่อยมากเลยเจ้าค่ะ หาเผื่อไว้ก็ไม่เลว” หญิงสาวนักเดินทางใช้มนตร์เคลื่อนย้ายพาพวกเขาไปยังหลุมศพของยูนิคอร์นโชคร้าย อลันกับการ์ใช้ไม้คานสอดหามถุงผ้าเดินนำคณะเดินไปหาที่พักแรม...

อีกหนึ่งวันกับการแอบหลบๆซ่อนๆเก็บขนสีเหลืองทองของวิหคสายฟ้าในรังบนต้นไม้ทำให้การ์รู้สึกเบื่อ เขาไม่ชอบทำงานซ้ำซากอยู่กับที่ๆเดียวแบบนี้นานๆ สุดท้ายในเช้าของอีกวันจึงยอมแพ้ริเรียที่ต้องการเอาของมีค่าที่หาได้ไปแลกเงินที่เมืองแก้วผลึกโดยเร็ว หญิงนักเดินทางใช้ขนนกสีฟ้าอีกครั้งทำให้เขานึกขึ้นมาได้ มันตรงกับที่หญิงสาวบอกตอนเจอกันไม่มีผิด พวกเขาจะไปเมืองแก้วผลึกด้วยขนนกในอีกสามวันหลังจากวันที่ได้พบกับนาง

“นี่คือขนของจักรพรรดิวิหคเพลิงโฟเรียเจ้าค่ะ ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายแบบเจาะจงตัวบุคคลหรือสถานที่ที่ไม่เคยไป โฟเรียตัวเดียวกับการ์ลูสล่ะค่ะท่านนักรบจันทรา” หญิงนักเดินทางโยนขนนกขึ้นเหนือหัวพร้อมนามของผู้กล้าแสงตะวัน แสงสีฟ้าและแรงลมมหาศาลเข้าปะทะพวกเขาอีกครั้ง คราวนี้การ์ลืมตาเพราะอยากรู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหน...

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 08:52:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com