Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 21 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 20 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11159265/W11159265.html

คุณ Tyra: มาต่อแล้วค่ะ ช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่ตามข่าวน้ำท่วม ^^"

================================================

       ชายหนุ่มผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์นั่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปสบตากับหญิงสาวข้างกาย ได้แต่แอบชำเลืองมองนางด้วยอาการคล้ายเด็กนักเรียนที่ทำผิดแล้วถูกครูจับได้ พอเห็นประกายวาวๆ จากดวงตาคู่สวยที่จ้องเป๋งตอบมา เขาก็ยิ้มแหย รีบดึงสายตากลับไปหาต้นเหตุที่ทำให้ ‘ความลับแตก’ แทบไม่ทัน

       ใบหน้าคร้ามเข้มของนายทหารหนุ่มดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ยิ่งเพ่งมองนานเข้าชายหนุ่มก็ยิ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน เสียเวลาทบทวนอีกเพียงชั่วครู่เขาก็นึกออก

       “เจ้าคือราฟ!”

       “พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารเจ้าของชื่อยิ้มกว้าง ค้อมศีรษะลงตอบรับด้วยความยินดี หากคนเอ่ยทักไม่ได้ยินดีไปด้วยเลยแม้แต่น้อย

       “แล้ว... เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

       “ตามหาฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

       “ตามหาข้า?” เอลเบอเรธทวนคำอย่างแปลกใจ “มันเรื่องอะไรกัน”

       “ท่านคาร์ลทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยือนลัสต์สโตน เลยสั่งให้กระหม่อมกับลูกน้องตามมาอารักขาพ่ะย่ะค่ะ”

       คำตอบแบบชัดถ้อยชัดคำของราฟทำให้ราชาหนุ่มนึกเดาเรื่องทั้งหมดได้ในทันที สีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจจึงกลายเป็นบูดสนิท เขารู้ดีว่าผู้อยู่เบื้องหลังที่ปรึกษาสูงวัยอย่างคาร์ลจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกันนาร์ เจ้าบ้านั่นคงจะนึกกังวลอะไรขึ้นมาก็เลยปากโป้งจนเสียเรื่อง ...มันน่าอัดให้น่วมชะมัด!



       หลังจากฐานะแท้จริงของเอลถูกเปิดเผย สถานภาพของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโจรขโมยม้า เขาก็ได้รับการปรนนิบัติดูแลจากคนรอบข้างอย่างดีชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เจ้าของบ้านพักผู้ซึ่งกลัวว่าตนจะถูกลงโทษฐานประทุษร้ายราชาแห่งกรีนแลนด์ ลงทุนจัดเตรียมห้องพักพร้อมอาหารเลิศรสเพื่อเอาใจชายหนุ่มโดยไม่คิดราคา นอกเหนือไปจากการตามหมอฝีมือดีมารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ทำให้เมลิอานาร์พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย แม้ว่าทุกคนอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเอลแนะนำว่านางคือนักบวช แต่พวกเขาก็ให้ความเคารพหญิงสาวเป็นอย่างดี และยินยอมตามใจเมื่อนางปฏิเสธที่จะรับการรักษาจากท่านหมอ

       รุ่งเช้า เมลิอานาร์รีบลุกขึ้นเก็บข้าวของเพื่อลงไปยังลานดินข้างคอกม้าเป็นคนแรก หลังจากได้พักผ่อนจนเต็มอิ่ม นางก็แข็งแรงพอที่จะใช้เวทมนตร์จัดการกับบาดแผลตรงสีข้างจนเกือบจะหายเป็นปกติ หญิงสาวเดินเล่นฆ่าเวลาไปพลางระหว่างรอคนอื่น รู้สึกอุ่นใจขึ้นมากที่ได้กลับมาสวมชุดนักบวชสีเทาเงินสะอาดสะอ้านอีกครั้ง

       อากาศยามเช้าเย็นสดชื่น ท้องฟ้ากว้างเบื้องบนเป็นสีน้ำเงินจัด แต้มด้วยปุยเมฆขาวลอยฟ่องราวกับกลีบดอกไม้ กลิ่นหญ้าหอมกรุ่นปะปนมากับสายลมผสมด้วยกลิ่นควันไฟจางๆ และกลิ่นขนมปังอบใหม่จากเตา เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บดังอยู่บนยอดไม้เหนือศีรษะ นานๆ ทีจึงมีเสียงม้าร้องแว่วมาให้ได้ยินสักครั้ง

       เด็กรับใช้สองคนเดินหอบฟ่อนหญ้าและถังใส่น้ำหายลับเข้าไปในโรงเรือนยาว เมลิอานาร์มองตามหลังพวกเขา แล้วตัดสินใจก้าวตามเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยของเจ้าโอนิกซ์เสียเลย

       ภายในโรงม้าซอยแบ่งเป็นช่องเล็กๆ ทั้งสองฝั่ง กั้นกลางด้วยทางเดินกว้างประมาณสี่ศอก ทอดยาวจากประตูด้านหน้าขนานแนวคอกจนทะลุประตูหลัง เจ้าม้าดำตัวที่หญิงสาวกำลังมองหาถูกผูกไว้ไม่ไกลจากทางเข้านัก มัน ‘ดูดี’ ขึ้นเป็นกองจนนางต้องแอบอมยิ้ม เดิมทีรูปร่างของเจ้าโอนิกซ์ก็สวยงามสมส่วนอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการดูแลเอาใจใส่ในฐานะ ‘ม้าขององค์ราชา’ ขนสีดำสนิทก็ยิ่งเป็นมันปลาบสะอาดสะอ้านกว่าม้าตัวอื่น เท่านั้นยังไม่พอ ในรางใส่อาหารของมันยังมีทั้งแอปเปิ้ลและแครอทกองไว้จนพูนสูง แตกต่างจากหญ้าแห้งธรรมดาของม้าตัวที่ผูกอยู่ติดกันอย่างเห็นได้ชัด

       “หน็อย... ศักดินาจริงนะเจ้า”

       เมลิอานาร์ใช้นิ้วชี้จิ้มจมูกของเจ้าม้าที่ยื่นออกมาเหนือแผงกั้นอย่างหมั่นไส้ ทำให้เสียงหัวเราะหึๆ ของใครบางคนดังขึ้นทางเบื้องหลัง หญิงสาวหันขวับไปมองตาขุ่น ปากอ้าเตรียมโวยเพราะจำเสียงคุ้นหูนั้นได้แม่น หากพอเห็นอีกฝ่ายถนัดตา ริมฝีปากที่เผยอขึ้นน้อยๆ ก็ต้องหุบลง

       ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า สวมเสื้อคลุมเดินทางตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วงเข้ม ปักเส้นทองเป็นลวดลายตามชายและขอบแขนอย่างหรูหรา ที่เห็นอยู่ภายใต้รอยแหวกของเสื้อตัวยาว คือเชิ้ตผ้าไหมเนื้อนิ่มสีขาวเป็นเงาวาว เข้ากันดีกับกางเกงเนื้อหนาสีน้ำตาลไหม้ สอดส่วนปลายซ่อนอยู่ในรองเท้าบู้ทหนังนุ่มสีดำขัดจนมันวับ หนวดเครารกเรื้อบนใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงรอยเขียวจางๆ เหนือริมฝีปากสีสดที่แย้มเยื้อนอย่างอารมณ์ดี รับกับดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายระยับและเส้นผมสีทองยาวระบ่า รูปลักษณ์อันโอ่อ่าชวนมองของชายหนุ่มเหมือนจะตอกย้ำว่าเขาคือ ‘ราชาเอลเบอเรธ’ ไม่ใช่ ‘เอล’ เพื่อนร่วมทางนิสัยกวนประสาทที่หญิงสาวเคยรู้จัก

       เมลิอานาร์ค้อมกายลงถวายคำนับราชาหนุ่มพอเป็นพิธี ก่อนตวัดสายตาผ่านร่างสูงไปจับจ้องอยู่ที่ผนังว่างเปล่าอีกฝั่ง ปฏิกิริยาเย็นชาของนางทำให้รอยยิ้มกระจ่างตาหายวับไปจากใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายราวกับพระอาทิตย์ถูกเมฆบัง คิ้วเข้มหนาเหนือดวงตาคมกริบขมวดมุ่นเข้าหากันทันที

       “ท่านโกรธข้าหรือ” ชายหนุ่มถาม “โกรธข้าเรื่องอะไร”

       นั่นสิ...

       เมลิอานาร์ขบริมฝีปากล่างอย่างขัดใจ ...นางโกรธเขาเรื่องอะไรกันแน่?

       โกรธที่เอลปิดบังความจริงเอาไว้ หรือว่าโกรธเพราะเขาคือราชาแห่งกรีนแลนด์ที่นางไม่เคยนึกนิยมชมชอบ หญิงสาวก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ ถ้าเป็นด้วยสาเหตุประการแรก นางย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเขา เพราะตนเองก็มีเรื่องปิดบังชายหนุ่มอยู่เช่นกัน แต่ถ้าเป็นเพราะสาเหตุหลัง... นางยิ่งไม่สมควรจะโกรธเข้าไปใหญ่ ก็ใครบ้างเล่าที่เลือกเกิดได้

       “ข้า เอ๊ย กระหม่อมไม่ได้โกรธ” เมลิอานาร์บังคับตัวเองให้ตอบออกไปอย่างที่ควรตอบ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายสวนคำกลับมาทันควัน

       “ไม่โกรธอะไรกัน ท่านโกรธอยู่เห็นๆ”

       เอลเบอเรธพยายามขยับกายให้เข้าไปอยู่ในสายตาของหญิงสาว แต่อีกฝ่ายก็ยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นจนได้ ประโยคถัดไปของชายหนุ่มจึงเข้มข้นขึ้นตามแรงอารมณ์

       “ถ้าไม่โกรธ ก็หันมามองหน้าข้าสิ ข้ากำลังพูดกับท่านอยู่นะไม่ใช่ผนังว่างเปล่าพวกนั้น”

       ได้ผล ดวงตาวาวๆ ตวัดกลับมาจ้องหน้าเขาทันที

       “ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ...กระหม่อมโกรธ พอพระทัยหรือยัง”

       “พอใจที่ท่านโกรธข้าน่ะหรือ... ไม่เลย ข้าอยากให้ท่านรู้เอาไว้ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกท่าน แล้วข้าก็ไม่สบายใจด้วยที่ไม่อาจบอกความจริงกับท่านได้ แต่มันจำเป็น ตัวท่านเองก็ไม่เคยถามสักคำว่าข้าเป็นใครนี่นะ อยู่ๆ จะให้ข้าบอกท่านว่าข้าคือราชาแห่งกรีนแลนด์ มันก็คงจะดูพิลึก”

       ...แล้วไอ้การแต่งตัวเป็นสาวใช้ประจำวิหารตั้งแต่แรกนี่ ไม่ ‘พิลึก’ เลยงั้นสินะ...

       เมลิอานาร์นึกค่อนในใจ รู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายจนอดตวัดวัดหางตาค้อนไม่ได้ โดยหารู้ไม่ว่ากิริยาเช่นนั้นทำให้หัวใจคนมองเต้นผิดจังหวะไปอย่างไรบ้าง

       “ก็ได้... ข้ายอมรับว่าข้าผิด” น้ำเสียงของเอลเบอเรธดูเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย เขาเว้นจังหวะเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อ

       “แต่ท่านเองก็มีเรื่องปิดบังข้าอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

       ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินงามของอีกฝ่าย คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย ทำให้คนฟังถึงกับหน้าถอดสี

       “ระ...เรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีอะไรปิดบังพระองค์สักหน่อย”

       “แน่ใจหรือท่านเมล ลองคิดดูให้ดีๆ สิ หรือต้องให้ข้าพูดออกมาตรงๆ ว่าที่จริงแล้วท่านไม่ได้เป็น...”

       “เรื่องนั้นกระหม่อมอธิบายได้พ่ะย่ะค่ะ” เมลิอานาร์ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจนจบประโยค แต่รีบตอบสวนออกไปทันที นางรู้ดีว่าโทษของการหลอกลวงเบื้องสูงนั้นหนักหนาสาหัสแค่ไหน ต่อให้นางไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องที่ตนเองเป็นผู้หญิง แต่การปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดโดยไม่พยายามจะแก้ไขความเข้าใจของเขาให้ถูกต้องก็ยังต้องถือว่ามีความผิดอยู่นั่นเอง

       ราชาหนุ่มจ้องมองอาการร้อนรนของหญิงสาวด้วยแววตาทอยิ้ม เขายกมือห้ามพลางขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมเฉย ซ่อนความขบขันเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงจริงจังอย่างแนบเนียน

       “ไม่ต้องอธิบายหรอกท่านเมล ข้าเข้าใจ ตอนนั้นท่านอยู่ต่อหน้ากันน์นี่นะ ท่านก็คงจะพูดความจริงลำบาก”

       ...เอ๊ะ!?...

       คนฟังชักงง “ทรงหมายถึงตอนไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”

       “ก็ตอนที่กันน์พาท่านไปพบข้าเป็นครั้งแรกที่ห้อง แล้วยังตอนที่อยู่ในวิหารด้วยกันอีกไงล่ะ เขาบอกว่าท่านเป็นนักบวช ท่านเองก็ไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ทั้งที่ความจริงแล้วท่านเคยบอกข้าว่าท่านไม่ใช่นักบวช”

       หญิงสาวอ้าปากค้าง

       “ทำไม ข้าพูดอะไรผิดหรือท่านเมล”

       “ไม่... ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนึกว่า...”

       “นึกว่าอะไร” ราชาหนุ่มกลั้นยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นอาการลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกของอีกฝ่าย

       “นึกว่า... เอ่อ นึกว่าฝ่าบาททรงลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้วน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

       “ข้าไม่ลืม เพียงแต่ไม่คิดจะเอาผิดท่านเพราะถือว่าเราต่างก็โกหกกันคนละครั้ง ...แต่จำไว้ว่าต้องไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก”

       เมลิอานาร์ฝืนรับคำด้วยรอยยิ้มแห้งแล้ง แม้จะโล่งอกที่ความลับสำคัญยังไม่แตก แต่ต่อจากนี้นางคงต้องเพิ่มความระวังตัวเป็นสองเท่า ไม่สิ สามเท่าเลยดีกว่า และควรจะอยู่ให้ห่างจากราชาหนุ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

       เอลเบอเรธพยักยิ้มอย่างพอใจ

       “ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปกันเถอะท่านเมล ทุกคนรออยู่”

       หญิงสาวยังไม่ทันได้ตอบ ก็ถูกคว้าข้อมือลากให้เดินออกไปสู่ลานดินด้านนอกพร้อมกันเสียแล้ว...


       
        จริงอย่างที่เอลว่า นายทหารหนุ่มและลูกน้องทั้งสี่ยืนรออยู่แล้วที่หน้าคอกม้า หากนอกจากพวกเขา ยังมีชายแปลกหน้าท่าทางเหนื่อยอ่อนอิดโรยอีกผู้หนึ่ง พอเห็นผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามารวมกลุ่ม ราฟก็ค้อมกายลงถวายคำนับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ลูกน้องของเขารีบกระทำตามผู้เป็นนาย พลางขยับกายให้อยู่ในท่าที่สำรวมยิ่งขึ้น

       “มีอะไรหรือราฟ”

       เอลเบอเรธสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบมาพากลจากบรรยากาศรอบกาย เขากวาดสายตามองนายหทารแต่ละคน จนมาหยุดอยู่ที่ชายแปลกหน้าในเครื่องแต่งกายรัดกุมหากมอมไปด้วยฝุ่นแบบคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย

       “คนผู้นี้เป็นใคร”

        ชายแปลกหน้าจ้องมองเจ้าของคำถามด้วยอาการตาเหลือกค้างราวกับเห็นผี เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง หากทำได้เพียงแค่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ ราฟจึงตัดปัญหาด้วยการกราบทูลเสียเอง

       “เขาชื่อวิลพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนส่งข่าวจากลินเด็น เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสักครู่”

       “คนส่งข่าว?” องค์ราชาเลิกพระขนงอย่างแปลกพระทัย

       “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ลินเด็นอย่างนั้นหรือ ใครเป็นคนส่งเขามา”

       “ท่านคาร์ลพ่ะย่ะค่ะ วิลบอกว่าเจ้าชายกันนาร์ทรงถูกจับด้วยข้อหากบฏ ”

        “อะไรนะ!”

       เสียงอุทานไม่ค่อยนักหลุดออกมาจากพระโอษฐ์ ดวงพักตร์คมคายมีร่องรอยตกพระทัยฉายชัด

       ราฟถ่ายทอดเรื่องราวจากม้าเร็วให้ราชาแห่งกรีนแลนด์ฟังโดยละเอียด ก่อนสรุปว่า

       “พระนางแอนน์ทรงร้องขอให้เปิดประชุมสภาผู้ครองแคว้นเพื่อพิพากษาโทษเจ้าชายกันนาร์แล้วพ่ะย่ะค่ะ การประชุมจะมีขึ้นที่จัตุรัสเมืองก่อนงานเทศกาลต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง”

       “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นน่ะสิ”

       “พ่ะย่ะค่ะ”

       “จริงๆ เล้ย...” ราชาหนุ่มส่งเสียงคำรามในพระศออย่างหงุดหงิด “เอาละราฟ ไปเตรียมม้าได้แล้ว เราต้องรีบออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้”

       ราฟค้อมศรีษะรับพระบัญชา

       เพียงอึดใจเดียว ม้าทั้งหกตัวก็เตรียมพร้อมอยู่บนลานดินหน้าคอก เมลิอานาร์กวาดตามองเทียบจำนวนม้ากับจำนวนคน แล้วรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่คนอื่นจะทันอ้าปาก

       “ม้าขาดไปตัวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าตามไปทีหลังก็ได้ พวกท่านรีบพาฝ่าบาทเสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”

       เอลเบอเรธไม่ยอมหลงกลอีกฝ่ายง่ายๆ เขาปรายตามองหญิงสาวอย่างรู้เท่าทัน เรื่องอะไรจะยอมให้เมลเดินทางกลับลินเด็นตามลำพัง ทำอย่างนั้นนางก็สบายไปน่ะสิ ในเมื่อนางกล้าหลอกลวงเขา ก็สมควรจะต้องได้รับการ ‘เอาคืน’ ให้สาสมเสียก่อนถึงจะถูก เพราะฉะนั้น..

       “ไม่ได้” ชายหนุ่มตอบเสียงหนักด้วยมาดของราชาแห่งกรีนแลนด์ “ท่านยังมีภารกิจที่สำคัญรออยู่ ต้องกลับไปพร้อมพวกเรา”

       เขาเว้นระยะเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของหญิงสาว ก่อนพูดต่อหน้าตาเฉย

       “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านนั่งไปบนหลังเจ้าโอนิกซ์กับข้า เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นม้าของท่าน ถือเสียว่าข้าขออาศัยไปด้วยคน ท่านคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ”

       “ปะ...”

       ปฏิเสธสิ! เมลิอานาร์อยากจะปฏิเสธใจแทบขาด หากไม่อาจทำได้ เพราะทันทีที่เอลเบอเรธพูดจบ นายทหารทุกคนก็พร้อมใจกันเดินเรียงแถวไปขึ้นม้าของตนราวกับนัด ซ้ำยังก้มลงมองนางที่ยังยืนเฉยอยู่ที่เดิมเหมือนจะถามว่า ‘มัวชักช้าอะไรอยู่ท่าน ทำไมไม่ขึ้นม้าสักที’ จนหญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินหน้ามุ่ยตรงไปหาเจ้าโอนิกซ์ที่ราชาหนุ่มทรงถือบังเหียนคอยอยู่แล้ว

       “ท่านหนีข้าไม่พ้นหรอกท่านเมล อย่าพยายามเสียให้ยาก” เอลเบอเรธกระซิบแค่พอให้อีกฝ่ายได้ยิน พลางผายมือไปทางเจ้าม้าหนุ่มด้วยท่าทีล้อเลียน

       “เชิญ”

       เมลิอานาร์จำใจสอดเท้าเข้าไปในโกลน โหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างกระแทกกระทั้น พอนางทรงตัวเรียบร้อย ประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็โหนพระองค์ตามขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง จากนั้นเจ้าโอนิกซ์ก็ถูกกระตุ้นให้ควบทะยานไปสู่ถนนใหญ่สุดฝีเท้า มีม้าของราฟและลูกน้องพุ่งตามมาติดๆ

       เพียงพริบตาเดียวขบวนม้าทั้งหกตัวก็หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้เพียงฝุ่นดินที่ฟุ้งตลบอยู่ในแสงแดดยามเช้า...

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 54 11:06:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com