ลอร์คานยังคงยืนนิ่งอยู่ ทุกสิ่งรอบตัวเขากลับสู่สภาพเดิมแล้ว บางทีคงเพราะอำนาจของมีด หรือเพราะอะไรอื่นใดที่สิงโตทรายก็ไม่ทราบเช่นกัน เสียงหัวเราะนั้นอ้อยอิ่งอยู่ชั่ววินาที ครั้นแล้วจึงค่อย ๆ จางหาย เป็นเครื่องเตือนว่าเขาไม่ได้ฝันไป
ชายหนุ่มไม่แน่ใจในสภาพรอบตัวนัก เขาไม่รู้จักเวทมนตร์ ทั้งยังไม่ใคร่ชอบเช่นเดียวกับคนทรายส่วนใหญ่ กระนั้น คนทรายแห่งเกาะ:-)็มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและภูตผีค่อนข้างซับซ้อน เรื่องอย่างนักบวชแห่งน้ำผู้ทำนาย วิหารที่ถูกสาปแช่ง หรือสัตว์ภูตรับใช้ ล้วนเป็นสิ่งที่ลอร์คานได้ฟังเสมอมาแต่ครั้งเยาว์วัย
เขาคิดว่าบางทีสถานที่แห่งนี้คงคล้ายวิหารสาปสูญ หรือที่บูชางูน้ำที่อันเซลมา เป็นโบราณสถานเก่าแก่ซึ่งยังคงทรงพลัง ผ่านกาลเวลามาพร้อมกับความทรงจำ บางทีหญิงไม่มีสีแปลกประหลาดคนนั้นคงเป็นวิญญาณที่สิงสู่อยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจก้าวเดิน คราวนี้เขาได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตน ไม่มีเสียงคนคุยกัน ไม่มีอะไร
ก้าวไปไม่นาน ก็เห็นแสงสลัวอีกครั้ง ตามแสงไปจึงพบโถงอีกโถงหนึ่ง ใหญ่กว่าเมื่อครู่ มันคงเป็นโถงใหญ่ของสถานที่แห่งนี้แล้วกระมัง
แต่ขณะที่จะเข้าไปนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงแว่วมา เสียงอันคุ้นเคย
...
เมราลไม่อาจใช้เวทมนตร์ตามคำที่เคลบอกได้ เธอถูกกำไลของทัคทวาพันธนาการไว้ ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายหญิงสาวจึงมีความจำเป็นต้องอ้างว่าตนยังไม่ฟื้นฟูจากพิธีเดินทางเมื่อวานดีนัก พลังยังไม่ใคร่สมดุล จึงขอให้นักบวชที่มาด้วยกันเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ดีกว่า หัวหน้านายทหารฟังเช่นนั้นแล้วก็ไม่ว่าอะไร ส่วนทัคทวา...แน่นอนว่าต้องมองดูอยู่ตลอดเวลา
"พวกท่านจะทำอะไร" เขาถามขณะที่นักบวชปรึกษากัน
"จะทำฟองใสที่กักอากาศไว้ได้ ให้พวกเราอยู่ข้างใน" เมราลอธิบายเรียบ ๆ "จากนั้นจะส่งลงไปใต้น้ำ"
จ้าวเกาะลาตาเลิกคิ้วหน่อยหนึ่ง แต่ยามที่นักบวชโคแรนนิอิดเชิญเขาให้ยืนในมณฑลพิธี กับเมราล เคล และทหารลาตาอีกสามคน จ้าวเกาะก็ยอมตามโดยดี เขาเบิกตานิดหนึ่งเมื่อเกิดฟองใสขึ้นรอบตัวจริง ๆ ถึงกับยื่นมือไปสัมผัส แต่แล้วกลับพบว่าผนังของฟองมิได้เปราะบางดังฟองสบู่อย่างที่คิดไว้ พวกนักบวชลงคาถาให้ติดต่อได้ และคาถาสำหรับดึงฟองกลับทันทีหากมีสัญญาณ ครั้นแล้วจึงใช้พลังค่อย ๆ ยกฟองนั้นขึ้น ส่งลงน้ำไป ทัคทวาก็ออกจะทึ่งอยู่ตลอดเวลา
"พวกท่านคงไปสำรวจใต้น้ำกันบ่อยมาก" เขาว่า
"นี่เป็นเวทมนตร์ยาก นานครั้งจึงจะใช้"
เมราลเองก็เพิ่งนึกได้ มันเป็นมนตร์ยากสำหรับคนอื่นก็จริง ทว่าหาได้ยากถึงเพียงนั้นสำหรับเธอไม่ ที่จริงก่อนนี้เธอไม่เคยได้ออกมาดำน้ำเพราะแชลลัมเป็นห่วง แต่ถ้าหากเป็นตอนนี้ ไม่มีแชลลัมอีกต่อไป เธอน่าจะออกมาทำตามใจได้ เมราลชอบทะเล ทว่าบางทีคงเพราะมีกิจการภารธุระมากเกินไป อะไรที่อยากทำ อะไรที่เป็นความปรารถนาของตนแต่ไม่มีประโยชน์กับคนโคแรนนิอิด เธอก็เก็บไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ทำเมื่อไร
ยามฟองอากาศผ่านผิวลงไป เคลชูดวงแสงอยู่ด้านในให้เห็นสิ่งรอบ ๆ ตัวได้ เมราลไม่เคยดำลงมาเช่นนี้ แม้ทั้งเคยอ่านและฟังมากมาย กลับพบว่าความจริงที่เห็นน่าอัศจรรย์กว่าคำบอกเล่าหลายเท่า ผ่านผิวน้ำลงไปแล้ว โลกใต้ทะเลก็เป็นอีกโลกหนึ่ง มีสีสันและสรรพสัตว์อันแปลกตา ระหว่างที่มองออกไปข้างนอกด้วยความรู้สึกทึ่งไม่ต่างจากพวกทัคทวา เธอก็ได้ยินเสียงเคลสื่อสารกับนักบวชข้างบนผ่านเวทมนตร์ที่กำกับไว้ เขาบอกพวกนั้นให้ส่งฟองอากาศดิ่งลึกลงไป ลึกลงไป ไม่ช้าแม้ว่าจะดวงแสงในมือเขาจะทอรัศมีค่อนข้างกว้าง ความมืดรอบนอกมณฑลของแสงก็เริ่มมืดขึ้น เข้มขึ้น ราวกับกำลังเดินทางในยามราตรี
"ข้างล่างนั่น" หัวหน้านายทหารเอ่ยในที่สุด
ทุกคนมองตามมือเขา ครั้นแล้วด้วยแสงที่เคลถือไว้ เมราลกับคนอื่น ๆ ก็เริ่มเห็นสิ่งก่อสร้างนั้นราง ๆ
บริเวณดังกล่าวมีร่องรอยว่าแผ่นดินทรุดทลายลงมาจริง ๆ จนให้ได้ชัดว่าก่อนนี้น่าจะเคยเป็นแหลม ซากของการพังทลายนั้นกระจัดกระจายไปทั่ว ครั้นผ่านไปหลายร้อยปีก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นทะเล อย่างไรก็ตาม สิ่งก่อสร้างซึ่งเคลกล่าวถึงกลับยังคงสมบูรณ์อยู่มาก มันเป็นอาคารหิน เป็นวิหารอย่างที่เวลาสร้างผู้คนจะตัดหินเป็นสี่เหลี่ยม วางประกบยาปูนก่อนจะตบแต่งแกะสลักเป็นลวดลาย นี่คงเป็นวิหารสมดังคำเล่าของทัคทวา วิหารที่ถล่มลงมาด้วยความพิโรธของนักบวชหญิงพรหมจาริณีเมื่อนานมาแล้ว
วิหารดังกล่าวใหญ่เกือบจะเท่าวังของเมราล มีลักษณะแบบศิลปะลาตา ก่ออิฐหินเป็นฐานยกสูงขึ้นจากพื้นดิน มีบันไดหินทอดขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ประดับด้วยรูปแกะสลักจำนวนมาก กะด้วยสายตาน่าจะประมาณสองถึงสามชั้นได้ ยอดวิหารบางส่วนหักพังลงมา ยามพวกเขาขึ้นบันไดไปถึงประตู ก็พบว่าช่องนั้นไม่มีทั้งบานไม้หรือหิน อาจจะไม่มีแต่ต้น หรือถูกกาลเวลาและท้องทะเลทำลายไป เคลยกดวงแสงขึ้นสูงกว่าเก่า ทว่าแปลกยิ่งนัก มันไม่อาจส่องถึงภายในได้ ราวกับมีบางสิ่งกั้นไว้ เห็นเพียงความมืดมนอนธการภายใน
"เข้าไป?" ทัคทวาหันมาทางเมราล หางเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม
หญิงสีขาวไม่ตอบทันที เธอเองก็คิดว่าควรเข้าไป แต่ไม่ทราบทำไม เธอรู้สึกแปลก แม้ใช้พลังไม่ได้ แต่การรับรู้อื่น ๆ ของเมราลยังดีอยู่ ที่นี่มีพลังห่อหุ้มค่อนข้างแรง แทบสามารถเห็นแสงเรืองของพลังกำจายออกมา พลังนั้นต่างจากวิหารอื่น ๆ ที่เธอเคยเห็น มันไม่ได้อบอุ่น ศักดิ์สิทธิ์ หรือเปี่ยมอำนาจ แต่กลับแผ่ความความรู้สึกที่ชวนให้ไม่สบายใจ คล้ายกับมีภูตผีอาศัยอยู่ที่นี่ และไม่เคยจากไปเลยนับร้อยปี
"หากเข้าไป ก็ต้องระมัดระวัง" เธอบอกในที่สุด
ทัคทวาส่งเสียงหึเบา ๆ เขาก้าวเข้าไปก่อน จากนั้นเมราลจึงได้ก้าวตาม
ครั้นแล้วทั้งคู่ก็รู้สึกขึ้นพร้อมกัน ข้างในไม่เหมือนข้างนอก มีบางอย่างผิดแปลกไป
"ท่านเมราล!"
เมราลหันกลับทันที เธอเห็นเคลทำกิริยาคล้ายทุบประตูที่มองไม่เห็น ซึ่งกางกั้นไว้ทำให้เขาไม่สามารถเข้ามาได้ หญิงสีขาวเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ เร่งไปที่ประตูเช่นกัน แต่แล้วเธอกลับพบว่าแม้ตนเองก็ออกไปไม่ได้ ชั่วพริบตาที่เมราลกับทัคทวาเข้ามา ก็มีสิ่งอย่างที่คล้ายแก้วล่องหนปิดที่นี่กับข้างนอกไว้
ทัคทวาทุบสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น พวกทหารข้างนอกก็พยายามเช่นกัน แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ สุดท้ายจ้าวเกาะลาตาจึงหยุด เขาสูดลมหายใจ
"ในนี้มีอากาศ เราไม่ได้อยู่ใต้น้ำ" เขาบอก
เมราลเองก็เพิ่งรู้ตัวเช่นกัน
"เราควรหาทางออกอื่น ทางนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว"
"ข้าอาจทำอะไรได้" หญิงสีขาวเอ่ยเรียบ ๆ "ถ้าท่านช่วย"
เธอไม่เห็นประโยชน์ที่จะป่าวร้องให้คนข้างนอกรู้ว่าตนถูกใส่กำไล เพราะมาตกอยู่กับทัคทวาเช่นนี้ ถึงอย่างไรคนข้างนอกก็คงช่วยไม่ได้ ยิ่งทำให้คนโคแรนนิอิดเคียดแค้นคนลาตา ยิ่งไม่เป็นผลดีในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้เมราลตั้งใจเพียงจะออกไปให้ได้ก่อนเท่านั้น ทัคทวาก็คิดเป็นอย่างอื่นแล้ว
"อย่าเลย ข้ายังไม่อยากเจ็บตัว" เขาหันหลังให้ประตู แสยะริมฝีปากใส่เธอ
เมราลแบมือออก เขายืนบังเธอก็ดีเหมือนกัน คนข้างนอกจะได้ไม่เห็นว่ามีความขัดแย้งในนี้ มากาเลื้อยจากช่องเกราะตรงหน้าอก ลงมาตามแขนของเธอ มันชูคอจ้องมองทัคทวา แลบลิ้นแปลบ จ้าวเกาะลาตาเห็นเช่นนั้นก็ถอยหลังเล็กน้อย เขาแน่ใจเกินร้อยส่วนว่างูนี้มีพิษร้ายแรง
"นางงูพิษร้าย" เขาพึมพำใต้ลมหายใจ "อย่าได้บังอาจกับข้า ข้าฆ่าเจ้าได้ก่อนที่งูนั่นจะมาเสียอีก"
"เช่นนั้นจะเอาอย่างไร" เมราลตอบเสียงเบาเช่นกัน
"เดินไปจนกว่าจะหาทางอื่นได้" ทัคทวาพูดดังให้คนข้างนอกได้ยิน "ตกลงตามนี้แล้วกัน"
ถ้าหากเขายอมปล่อยเธอ บางทีอาจจะรอดได้ง่ายกว่านี้ แต่คนที่ทำร้ายคนอื่นย่อมหวาดกลัวคนอื่นทำร้าย เมราลฟังคำนั้นแล้วก็ถอนใจ ทราบว่าไม่อาจทำอะไรได้ เธอจึงก้าวพ้นทัคทวาไปยังประตู เจรจากับเคล
"รอข้าได้ไหม"
"ท่านเมราล แต่ข้าไม่ทราบว่าท่านจะออกทางไหน หากออกมาแล้วท่านพบน้ำ...ไม่อาจหายใจได้" หัวหน้านายทหารร้อนใจ
เมราลหลับตาลง สำรวจพลังของตนว่าเหลือพอจะทำอะไรได้บ้าง
"ข้าจะทำแสงให้เห็นเรืองตรงประตูที่จะออกไปได้" เธอบอกในที่สุด "ท่านขึ้นไปเถอะ บอกให้พวกนักบวชใช้เวทมนตร์หยั่งรู้ตรึงรอบวิหารไว้ ถ้าเห็นแสงก็ให้คนลงมารับข้าแล้วกัน"
...
เธอไม่อยากเดินกับทัคทวา
เธอไม่ไว้ใจเขา และแน่ใจหลายร้อยส่วนว่าเขาก็ไม่ไว้ใจตนเช่นกัน ทัคทวากำด้ามดาบไว้ ไม่พูดอะไร เขาไม่เดินออกหน้า แต่ให้เธอเดินนำไปก่อน พอเป็นเช่นนั้น เมราลก็คิดในใจว่าที่จริงแม้กล้าสู้กับจระเข้หรือเสือร้าย ทัคทวากลับหวาดเกรงคนลอบโจมตีข้างหลังตน
เดินไปไม่นาน พวกเขาก็พบโถงกลางของชั้นบน ถูกต้องตามผังวิหารแบบเก่าของลาตา ทัคทวาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าในโถงมีแสง มันมาจากตะเกียง...แปลกยิ่งนัก คงเป็นตะเกียงเวทมนตร์กระมัง ไฟไม่ได้เป็นสีส้มแดง หากแต่เป็นสีเขียว เรืองอยู่เช่นนั้นราวกับคงอยู่นิรันดร์ชั่วนาตาปี ตะเกียงดังกล่าวสาดส่องไปข้างหน้า ต้องแผ่นศิลาสูงใหญ่ ใต้แผ่นนั้นมีรูปปั้นผู้หญิงถือคทา เมราลมองขึ้นไปยังแถวตัวอักษรบนแผ่นหินดังกล่าว ครั้นแล้วเธอก็นิ่งขึงไป
"สลักไว้ว่าอย่างไร" ทัคทวาถาม เขาไม่เคยเห็นอักษรเช่นนี้มาก่อนเลย
หญิงสีขาวยังคงดูตกใจ ยามเธอไม่ตอบ จ้าวเกาะลาตาก็ระแวงและร้อนใจ
"ข้าถามว่าสลักไว้อย่างไร!"
เมราลถูกใช้พลังโดยไม่ทันตั้งตัว เธอเจ็บจนร้องออกมา
ตอนนั้นเอง ทัคทวาจึงรู้สึกว่าตนถูกกระชากไหล่ เหวี่ยงเซออกไปปะทะผนังดังอั้กแรง
"เจ้าทำอะไรเมราล" เสียงหนึ่งเอ่ยใกล้หน้าเขา คำรามคร่ำราวกับสัตว์ร้าย
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ต.ค. 54 08:46:24
|
|
|
|