Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
::: หลงกิเลนจันทร์ ::: บทที่ ๘ เสียงดนตรีจากแดนสวรรค์ (ครึ่งหลัง) ติดต่อทีมงาน

"กิเลน"  สัตว์เทพคู่บัลลังก์จักรพรรดิ

กิเลนจันทร์ผู้สูงส่ง กิเลนจันทร์ผู้น่าลุ่มหลง

กิเลนจันทร์ผู้เป็นดั่งพายุร้อนแรงพัดปลิดปลิวชะตาทุกผู้คน...


===========================================

บทที่ 8

เสียงดนตรีจากแดนสวรรค์ - ครึ่งหลัง
(1/2)


เสียงผีผาดังกึกก้องสะท้อนผืนไพรและผิวทะเลสาบ ชายชราผู้ซึ่งยามปกติเป็นดั่งไม้ใกล้ฝั่งเวลานี้กลับองอาจห้าวหาญราวกับมีเทพเซียนดนตรีมาประทับ เมื่อชายชราเร่งจังหวะเพลง มือซ้ายร่ายปลายนิ้วกดเส้นเอ็นกำหนดเสียง ข้อมือขยับขึ้นลงราวกิ่งหลิวไหวตามพายุ ส่วนมือขวากรีดนิ้วทั้งห้าสะกิดสายเอ็นราวมัจฉาแหวกว่ายพลิ้วไหว ช่วงหนึ่งหนักแน่นรวดเร็วทว่าใสกระจ่างประหนึ่งลูกแก้วนับพันเรียงร้อยตกกระทบ ช่วงถัดมากลับอ่อนโยนแผ่วช้าแฝงประกายหม่นเศร้า ทั้งที่ทั้งหมดนี้เป็นท่วงทำนองเดียวกัน


ผิวน้ำสีฟ้าใสกระจ่างเริ่มกระเพื่อมไหว ลมหนาวพัดหวีดหวิวเสียดสีกิ่งก้านของต้นเฟิง[1]ที่ขึ้นรายรอบทะเลสาบ สายลมเริ่มพัดแรงเท่าทบทวีราวกับจะตอบสนองต่อเสียงผีผาของชายชรา พัดพาใบเฟิงห้าแฉกปลิดปลิวร่วงหล่นลงสู่พรมน้ำใส ดุจดั่งจิตรกรเอกบรรจงแต่งแต้มสีแดงสดลงบนพื้นสีฟ้าพิสุทธิ์


ที่ริมทะเลสาบ ใบเฟิงลอยล่องบนผืนน้ำราวกับกองทัพเรือสีแดงลำน้อย พลันสายน้ำวนขนาดใหญ่สายหนึ่งเริ่มปรากฏขึ้น ธารน้ำสีฟ้าหมุนวนบิดเป็นเกลียวพร้อมกับดึงเอาขบวนเรือใบไม้ให้เข้าหา แรงหมุนของน้ำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งสาดละอองน้ำให้ฟุ้งกระจายในอากาศอย่างผิดธรรมดา เป็นสัญญาณเตือนให้สองพี่น้องกิเลนจันทร์ทราบว่าเซียนดนตรีเซียวอวี้กำลังจะปรากฏตัวในไม่ช้า เยว่เทียนหมิงและเยว่เทียนอ๋าวต่างจ้องมองผิวน้ำทะเลสาบด้วยใจระทึก...

“ตาแก่เรียกข้าออกมาเพราะเจ้าคิดคำตอบได้แล้วรึ?”

ทันใดนั้น เสียงเข้มงวดดังขึ้นมาก่อนอย่างเย็นชาตามมาด้วยร่างเล็กๆ ของหญิงชราคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางละอองน้ำ นางผู้เฒ่ายืนยักแย่ยักยันอยู่บนใจกลางน้ำวน หลังของนางงองุ้ม เส้นผมที่เกล้ามุ่นไว้ขาวโพลน ใบหน้ามีแต่ริ้วรอยแห่งกาลเวลา สองมือสั่นระริกพยายามยึดกุมไม้เท้าในมือเพื่อเป็นหลักยืน แม้นางจะแต่งกายด้วยเครื่องประดับล้ำค่าแต่ก็ดูสมเป็นคู่ ‘กิ่งทอง (แก่ๆ) ใบหยก (เหี่ยวๆ)’ กับชราชายอย่างที่สุด!

“โอ้ เซียวอวี้ พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”

ชายชราหยุดเล่นผีผาถลาตัวเข้าไปพร่ำเพ้อที่ริมชายฝั่งทันที

ชั่วขณะนั้น เหล่าโอรสกิเลนสวรรค์ล้วนอยู่ในสภาพตกตะลึงพรึงเพริด...

ร่างกายเด็กชายทั้งสองเย็นเฉียบแข็งทื่อราวกับก้อนหินในทันที โอ้ท่านเอย... ใครจะนึกว่าภูตวารีที่สมควรจะสาวสะพรั่งงดงามกลับกลายเป็นยายแก่เหนียงยานเช่นนี้ไปเสียได้! อุปมาดั่ง ‘ละครเวทีที่เบิกโรงอลังการ แต่ทว่าตกม้าตายตอนจบ’

เยว่เทียนหมิงเผยรอยยิ้มเครียดๆ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นกลางหน้าผากมนอย่างไม่ตั้งใจ ทว่ากิเลนน้อยยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งแสนสุขุมไว้ได้อย่างแนบเนียน ข้างเยว่เทียนอ๋าวกำลังอ้าปากค้าง ภาพของบรรดาพี่สาวภูตบุปผาแสนงามคนนั้นคนนี้ที่คอยประจ๋อประแจ๋ไม่ห่างผุดขึ้นมากลางอากาศแล้วพลันถูกให้ทุบแตกสลายด้วยใบหน้าของยายแก่หน้าตาขึงขัง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าภูตสาวจะมีวันแก่...


เยว่เทียนอ๋าวนึกภาพต่อไปเป็นภาพยายแก่กำลังเป่าขลุ่ยอยู่ท่ามกลางละอองน้ำตกไข่มุก มีแสงอาทิตย์สะท้อนร่างของนางเป็นประกายวิบวับอลังการก็อดหัวเราะพรืดอย่างร้ายกาจออกมาไม่ได้


เซียนดนตรีเซียวอวี้เขม้นนัยน์ตาฝ้าฟางจ้องมองเหล่าอาคันตุกะน้อยแปลกหน้าที่อยู่กับบุรุษชรา เด็กน้อยท่าทางสูงศักดิ์สองคน คนหนึ่งเปล่งประกายสว่างใสร้อนแรงขณะอีกคนหนึ่งห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นไอดำมืดเย็นเยียบคละคลุ้ง

โดยไม่ต้องคิดให้มากความ เซียวอวี้รีบยกมือคำนับองค์ชายกิเลนทั้งสอง

“ผู้น้อยเซียวอวี้คารวะองค์ชายกิเลนจันทร์เพคะ”

การที่มีหญิงชรารุ่น ‘หลับตาก็เห็นโลง’ มาเรียกตนเองว่าผู้น้อยเช่นนี้ยิ่งทำให้เยว่เทียนอ๋าวต้องรีบปิดปากกลั้นก้อนหัวเราะที่พยายามจะระเบิดออกมาอย่างสุดกำลัง กิเลนน้อยปรายตามองพี่ชาย หวาดเกรงใบหน้าผู้พี่ที่กำลังส่งยิ้มปรามเยือกเย็นมาให้

เยว่เทียนหมิงประสานมือคารวะตอบ

“ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เชิญแม่เฒ่าตั้งคำถามเถิด วันนี้ข้ามาในฐานะผู้ช่วยของท่านผู้เฒ่าผีผา”

“โฮ่ๆ ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กพวกนี้คือคนดังแห่งแดนสวรรค์นั่นเอง ถือว่าวันนี้ข้ามีโชคแล้ว”ชายชรายามไม่ได้จับผีผาบุคลิกก็เปลี่ยนกลับมาหลุกหลิกเหลาะแหละเช่นเดิม

“เช่นนั้นคงเตรียมใจแล้วสินะตาเฒ่า ดูจากสังขารของเราสองคนแล้วบางทีนี่อาจจะเป็นการถามครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นได้”

เซียวอวี้พินิจมองชายชราด้วยนัยน์ตาคมกล้า นางอ้าปากเหี่ยวย่นไร้ฟันสักซี่เอ่ยอย่างหนักแน่น


“ขอถาม สิ่งใดที่แม้อยู่ในมือของมนุษย์เดินดินแล้ว แม้แต่ทวยเทพก็ยังเคารพบูชา?”


ผู้เฒ่าผีผาได้ฟังคำถามก็ทำหน้าเหยเก แอบเข้าไปกระซิบกระซาบกับกิเลนน้อยเทียนอ๋าว

“ไอ้นี่น่ะข้าฟังมาเป็นพันครั้งแล้ว”

เยว่เทียนอ๋าวเพียงปรายตามองชายชราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างเย็นชา เซียนดนตรีผีผารู้สึกเสียวสันหลังวาบจึงรีบหุบปากแล้วหันหน้าบุ้ยใบ้ไปทางกิเลนน้อยเทียนหมิง

“เจ้าจัดการเถอะ”

เยว่เทียนหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์จึงอมยิ้มแล้วถอนหายใจออกมา

“สิ่งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ข้ามาที่นี่ แม้แต่ทวยเทพก็ยังถูกล่อลวงให้ลุ่มหลง อย่างไม่ต้องกังขานามนั้นคือ ‘ดนตรี’ ”

เซียวอวี้เพียงพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากของนางเม้มสนิทเรียบเฉย


“ขอถาม สีแดงอันใดที่วูบวาบอุ่นร้อนราวกับไฟ แต่ไม่เผาไหม้เช่นเปลวเพลิง?”


“สีแดงอันเคลื่อนไหวและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต นามนั้นคือ ‘โลหิต’ ”

กิเลนน้อยตอบได้ทันที อันว่าปัญหาเชาว์นั้นถึงแม้จะเป็นคำถามกำกวมซึ่งสามารถพลิกแพลงคำตอบได้ไม่สิ้นสุด ทว่าการจะตัดสินว่าคำตอบใดถูกต้องที่สุดนั้น สามารถเอ่ยได้ว่าขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ถามนั่นเอง
ดังเช่นเซียวอวี้ที่ได้ฟังคำตอบอันแน่วแน่ไร้ความลังเลของเยว่เทียนหมิงก็ให้เกิดความประทับใจแรงกล้า

“องค์ชายกิเลนจันทร์แห่งแสงสว่างคือผู้มีเชาว์โดยแท้” นางเอ่ยชื่นชมด้วยความจริงใจทั้งยังไม่วายหันไปค่อนขอดชายชรา “ผิดกับเจ้า ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถตอบได้”

ทว่าเฒ่าชราไม่สนใจ เพียงแต่ร้องยินดีด้วยความลิงโลดราวกับลิงป่า “สองข้อ! เจ้าตอบถูกสองข้อ! ไม่ผิดหวังจริงๆ ยอดมากเจ้าหนู! ”

เยว่เทียนหมิงยิ้มยินดีกับชายชรา ทว่าเซียวอวี้กลับมองแล้วส่ายหน้า

“องค์ชายน้อยท่านเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อันฟ้าประทานมา สิ่งนั้นบางครั้งก็คือเส้นแบ่งระหว่างอัจฉริยะกับสามัญชน เอาล่ะ คำถามข้อสุดท้ายข้าไม่อาจออมมือได้แล้ว”

บุรุษเฒ่าได้ยินเข้าก็หูผึ่งรีบสงบนิ่งอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว


“ขอถาม สิ่งใดที่ไม่อาจเยาว์วัยและไม่อาจแก่ชรา เพียงกำเนิดมาเท่านั้น?”


เยว่เทียนหมิงถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง เด็กชายมองไปทางชายชราสลับกับเซียวอวี้ นิ้วเล็กๆ ขาวสะอาดเคาะริมฝีปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะยิ้มร่า

“สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนไม่อาจละสังขารได้ ทว่าสิ่งที่เกิดจากจินตนาการนั้นไม่ใช่ คำตอบที่แท้จริงคือ ‘เซียวอวี้’ ”

สิ้นคำองค์ชายกิเลนน้อย เซียวอวี้ถึงกับตกตะลึงจนปล่อยไม้เท้าหลุดออกจากมือ สีหน้าเลื่อมใสอย่างไม่ปิดบัง นางรีบประสานมือย่อตัวถวายบังคม

“สมแล้วที่เป็นฝ่าบาทกิเลนจันทร์ เซียวอวี้ขอยอมรับความพ่ายแพ้”

ผู้เฒ่าผีผาได้ฟังคำตอบก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก พอยืนนานๆ เข้าขาก็เริ่มไม่มีแรงจึงต้องนั่งลงขัดสมาธิตรงริมน้ำ

“เจ้าหนูอธิบายมาสิ ทำไมข้อสุดท้ายถึงตอบว่าเซียวอวี้?”

เยว่เทียนอ๋าวหันขวับไปมองชายชราอย่างดูแคลน

“ก็เพราะเจ้ามันโง่ไงล่ะ”

“เทียนอ๋าวพอเถอะ เรื่องนี้พี่อธิบายเอง...ได้ใช่ไหม? ท่านเซียนดนตรีเซียวอวี้”

เยว่เทียนหมิงรีบปรามพลางหันไปถามความเห็น ทว่าสตรีชราที่มองหามิได้อยู่ตรงนั้นแล้ว หากแต่เป็นโฉมสะคราญนางหนึ่งนั่งคุกเข่าร่ำไห้อยู่ท่ามกลางละอองน้ำกระจ่างตา น้ำตาของนางไหลออกมาไม่ขาดสายราวกับได้รับอนุญาตให้แสดงความอ่อนแอแล้วกระนั้น

“ซะ...เซียวอวี้ทำไมกลายเป็นสาว มะ เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่มีผิด?!”


***** มีต่อค่ะ *****

[1] ต้นเฟิง หมายถึง ต้นเมเปิ้ล

 
 

จากคุณ : นู๋ครีมสด
เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 23:50:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com