12.
บัณฑิตาหยิบกระเป๋าสตางค์เตรียมตัวไปกินข้าวกลางวัน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น
แม่...
ลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดรับ “บุ้ง นี่แกไม่ได้ทำงานที่ร้านอาหารแล้วเหรอ”
บัณฑิตาถอนใจ เรื่องในสังคมต่างจังหวัดเดินทางเร็วเสมอ เธอตอบแค่อืม “แล้วไปทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“ก็...ได้งานใหม่” เป็นเพราะไม่ชอบน้ำเสียงตะคอกตะคั้นเสมือนว่าเธอเป็นฝ่ายผิด จึงเลือกตอบไม่ตรงคำถามไปซะอย่างนั้น
“ก็แล้วอยู่ที่ไหน แม่ไม่ได้อะไรกับแกนะบุ้ง แค่อยากรู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“แม่รู้ เดี๋ยวมัน เอ้อ! เขาก็รู้”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง จำนนอย่างที่รู้กัน นี่คือสิ่งที่บัณฑิตาไม่ต้องการพบเจอ และเหตุผลที่เธอไม่บอกความเป็นไปของชีวิตแม้แต่กับคนเป็นแม่ หากแต่ก็ใจอ่อนเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ
“บุ้งเปลี่ยนงานแล้ว เป็นครู”
“เหรอ ดีจัง แบบนี้ก็เงินดีกว่านักร้องสิ โรงเรียนที่ไหน แล้วแกจะรับปริญญาเมื่อไร”
“มันก็ไม่ได้เยอะอะไรหรอก แต่ดูแล้วคงมั่นคงกว่า รับปริญญาปีหน้า ใกล้ ๆ ถึงแล้วจะบอก แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวบุ้ง โรงเรียนแถวไหน แล้วยังพักที่เดิมไหม”
“ก็...แถว ๆ นี้แหละ เอาไว้ผ่านโปรเขาไม่ไล่ออกแล้วบุ้งจะบอก แม่ไม่ต้องห่วงบุ้งนะ ยังไงบุ้งไม่ลืมแม่หรอก บุ้งกำลังจะไปกินข้าว เท่านี้ก่อนนะ”
“บุ้ง แม่รักบุ้งนะ”
บัณฑิตาเกือบจะกดวางไปก่อนได้ยินคำนี้ เธอตอบกลับเบา ๆ “จ้ะ”
ความใกล้ชิดของเธอกับแม่สิ้นสุดลงหลังจากพี่ชายเสีย และเมื่อแม่ยังคงไม่ตัด ‘เขา’ ออกไปจากชีวิต หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง ถึงจะเหนื่อยที่ต้องหาเงินส่งตัวเองเรียนและเจอกับอุปสรรคหลายอย่าง แต่เธอได้เจอกับเขมรัฐ บัณฑิตาถือว่าเป็นโชคดี หากว่าต้องผิดหวังนับสิบครั้ง มีสักครั้งที่สมหวังก็คุ้มค่าแล้ว
ณ ตอนนี้เธอกำลังจะได้สิ่งนั้น จะถือมันไว้ให้นานที่สุด
“เห็นเขาว่ามาพร้อมกัน ก็เลยมีเรื่องน่ะ”
“ต๊าย แบบนี้ก็รถไฟชนกันน่ะสิ ไม่น่าเชื่อเลยนะ เห็นน่ารักพูดจาเพราะขนาดนั้น”
“ไม่รู้อะไร น่ารักนี่แหละตัวดี ผู้ชายถึงได้หลงกล ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ นี่...ได้ยินว่าซ้อนท้ายไปด้วยกันเลยนะทั้ง ๆ ที่ฝนตก”
“ว้าย! อย่างกับในละครเลย”
บัณฑิตายืนมองสองป้าที่ร้านอาหารกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส เพราะเป็นช่วงปลายของพักกลางวันนักเรียนในโรงอาหารบางตาทำให้ได้ใช้เวลาสิ้นเปลืองตามประสา
“คุยอะไรกันคะ ท่าทางสนุก”
“อุ้ย! ครูบุ้ง” ฝ่ายหนึ่งสะดุ้ง ยิ้มเขินเมื่อเห็นลูกค้ายืนอยู่นานจนได้ยินบทสนทนาเกือบหมด รีบหันกลับมาประจำที่กุลีกุจอขายของ
“ละครเมื่อคืนเหรอคะ ช่องไหนล่ะ” บัณฑิตาถามยิ้ม ๆ เลือกกับข้าวจากถาดที่ยังมีอยู่เป็นผัดผักกับไข่เจียว อีกฝ่ายตักข้าวใส่จาน
“ไม่ใช่ละครหรอกจ้ะ”
“งั้นก็เรื่องจริง” ลูกค้าทำตาโต คนเล่าปิดปากฉับ กรอกตาไปยังคู่สนทนาที่ตอนนี้ยืนคุมเชิง ทำทีหยิบผ้ามาเช็ดไม้เช็ดมือ ครูสาวโคลงศีรษะทำท่ารับจานแล้วจะเดินออกไป
“ไม่อยากรู้ก็ได้”
“อ้อ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” บัณฑิตาแอบยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเรื่องของคนอื่นมักจะเป็นอาหารปากอันโอชะอยู่เสมอ เธอรู้ดีว่าแค่หย่อนเบ็ดลงไปปลาก็พร้อมตอด ยิ่งการทำให้ตัวเองได้มีส่วนในการกระจายข่าวเท่าไรยิ่งดี
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยวกับบุ้ง”
“ก็ไม่เชิงนะ” แม่ค้าสาวอีกคนซึ่งวัยราวสามสิบพูดบ้าง แววตาเป็นประกายใบหน้าตอบดูหลุกหลิก แสดงให้เห็นว่าทำทีไว้เชิงแต่กระหายอยากเล่า
“ไม่เกี่ยวก็จริงแต่ เอางี้ พี่จะบอกให้แล้วไม่ต้องบอกใครต่อนะ” เริ่มต้นมาแบบบัณฑิตาก็รู้ ตามสูตรการนินทาเป๊ะ คนเล่าหันซ้ายขวาเล็กน้อย ป้องปาก
“มีข่าวลือว่า น้องปูนิ่มที่ว่าเป็นเด็กผอ.น่ะแอบนัดแนะผู้ชายเข้าบ้านน่ะสิ”
บัณฑิตากลับมาที่โต๊ะทำงาน ในห้องมีแค่ครูชาร์ค ทั้งสองทักทายกันเล็กน้อย หญิงสาวหยิบหนังสือมาเปิดเตรียมการสอนภาคบ่าย แต่สมองกลับได้ยินแต่เสียงวิพากษ์ของแม่ค้าสองคนที่โรงอาหาร
“ไม่ใช่แค่คนเดียวนะ ตั้งสองคนแน่ะ พอรถไฟชนกัน ก็ทิ้งอีกคนดื้อ ๆ เลย”
“นี่มันบทตัวอิจฉานี่นา”
“ใครล่ะคะสองคนที่ว่า” ว่าจะไม่ถามแต่อดไม่ได้ ทั้งสองยิ้มแทบพร้อม ๆ กัน
“จะใคร๊ ก็นายเข้เจ้าเสน่ห์ ไง เอ๊ะ ครูบุ้งรู้จักหรือเปล่า เขาเป็นเจ้าของฟาร์มปู เป็นผู้ปกครองเด็กนี่แหละ รูปหล่อ เจ้าชู้ ปกติก็จีบสาวไปทั่วอยู่แล้ว คราวนี้ไม่รู้คิดไงจะจีบเด็กผอ.เฉยเลย...”
“รถไฟชนกันโครมเบ้อเร่อ ถึงกับเลือดตกยางออกเชียวนะคะ”
สีหน้าท่าทางคนเล่าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าอยู่ในเหตุการณ์ แต่ตอนเริ่มเรื่องด้วยคำ ‘เขาว่า’ บัณฑิตาก็ไม่เชื่อเท่าไร และเธอก็ไม่ปักใจด้วยว่า คนอย่างเขมรัฐจะเป็นตัวละครฝั่งร้าย จริงอยู่ ชายหนุ่มเจ้าชู้และก็ไม่เคยปิดบังความสนใจต่อผู้หญิง แต่เขาฉลาดพอจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนั้น
เรื่องจริงมันเป็นยังไงนะ ชักจะอยากรู้ เธอคิดพลางนึกขึ้นได้ว่า แล้วคู่กรณีอีกคนล่ะ พอชักติดลมสองแม่ค้าก็ฝอยกันเองจนลืมความสนใจว่ามีใครอีกคนอยู่ในบทสนทนา บัณฑิตาจึงเลี่ยงออกมาจัดการมื้อกลางวัน
“เป็นปลาจะเลือกใคร วิศวกรคนกรุงมุ่งก้าวหน้า หรือหนุ่มแพปลาเศรษฐีต่างจังหวัด อุ้ย!”
คราวนี้เป็นสองสาว ครูผึ้งกับครูปลา ช่วงเวลาสามอาทิตย์ทำให้บัณฑิตาจดจำเพื่อนครูและแยกลักษณะนิสัยได้ เช่นเดียวกับที่รู้ว่าทั้งสองค่อนข้างสนิทกัน เนื่องจากครูปลาเป็นญาติห่าง ๆ ของครูผึ้งและได้รับการแนะนำให้มาสอนที่นี่
“อะไรกันครับ วิศวกรกับหนุ่มแพ”
ไม่รู้ว่าชาร์ครู้เรื่องด้วยหรือไม่ แต่ครูภาษาอังกฤษคนเก่งทำทีโยนคำถามเข้าไปแทรก คนฟังไหวไหล่ขยุกขยิก
“โธ่ มีอะไรกันให้ผมรู้ด้วยคนสิครับ ปล่อยให้นั่งหล่อเป็นหัวหลักหัวตอ บุ้งเองก็อยากรู้เหมือนกัน ใช่ไหม ๆ”
ถูกดึงเข้าไปร่วมโดยไม่ทันตั้งตัว บัณฑิตาค้อนชาร์คเล็กน้อย
“ไม่ต้องเลยนายฉลาม ทุกทีกัดหาว่าฉันไปยุ่งเรื่องคนอื่น ทีงี้ทำไมมาอยากรู้ อีกอย่าง...” ครูปลาเหลือบมอง “บุ้งเขาจะรู้สึกไม่ดีที่เอาเรื่องคนของเขามาเม้าท์”
บัณฑิตาชักคิ้ว “คนของบุ้ง?”
“ปลา” ครูผึ้งปราม ทำกริยานิ่ง ๆ ให้สงบกับเป็นหัวหน้า “ไม่มีอะไรหรอก มีข่าวลือนิดหน่อยเกี่ยวกับครูที่นี่กับผู้ปกครองเด็กน่ะ แล้ว...เห็นว่าเป็นคนรู้จักของบุ้งด้วยน่ะจ้ะ”
“พี่เข้น่ะเหรอคะ” เจ้าของตำแหน่งคนรู้จักถามตรง ๆ ไม่ชอบการเลี้ยวไปลดมา ท่าทางหัวหน้าแผนกครูเหนือชั้นกว่าแม่ค้าสาวเพราะทำให้เธอเป็นฝ่ายกระหายฟังมากกว่า
“เห็นไหม ขนาดพูดแค่นี้บุ้งยังรู้ เอาเป็นว่าพี่ไม่พูดดีกว่า เพราะพี่ก็ได้ยินเขาเล่ากันมาอีกที พูดต่อเดี๋ยวผิดไปกันใหญ่” เธอตัดบทด้วยการหยิบสมุดการบ้านนักเรียนมาตรวจ
สาวสวยเลยจำต้องหยุดแล้วปะติดปะต่อเรื่องเองซึ่งไม่ได้ยากเย็น เด็กผอ. ก็เจ้าของตำแหน่งผู้ช่วยซึ่งดูแลห้องสมุดนั่นไง ผู้ปกครองก็อย่างที่รู้กัน ส่วนวิศวกร...
คนที่เจอกันที่ร้านเจ๊หงส์วันก่อนแน่นอน ครั้งหนึ่งบัณฑิตาเคยเดินเกร่ไปดูอาคารอเนกประสงค์ ชายหนุ่มยืนคุมงานอยู่ เขามองมายังเธอแว่บหนึ่ง สีหน้าบอกความจำได้และ...พอใจ
เธอทำเพียงผงกศีรษะเชิงทักทายแล้วหันกายออกมาแทนคำตอบทั้งมวล
ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ชายแบบไหน แต่ปุริมาอาจจะมองไม่ลึกแน่ไม่งั้นคงไม่เปิดโอกาสให้ขนาดนั้น คิดถึงบุคคลในข่าว คำตอบจากเขมรัฐรู้ได้โดยไม่ต้องถาม แต่สำหรับคุณหนูเจ้าของเรื่องจะรับรู้การขี้ปากชาวบ้านของตัวเองหรือยังนะ
ปุริมารู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ลงจากรถและเดินเข้าโรงเรียน หลายวันนับจากเหตุการณ์ทำให้อกสั่น เธอเดินทางพร้อมคเชนทร์ เป็นจังหวะที่การสัมนาได้สิ้นสุดลงพอดี ผู้เป็นพ่อไม่ถามว่าทำไม อาจจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกสาวกับยานพาหนะมอเตอร์ไซค์
แต่คนที่หนักใจคือเธอเอง
กริยาสบตากันและซุบซิบ อาการหยุดคุยกระทันหันเมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องพักครู รวมทั้งคำพูดเปรย ๆ เป็นต้นว่า
“ผู้หญิงสวยทำอะไรก็ง่ายไปหมด”
“เดี๋ยวนี้จับปลาสองมือไม่พอ ต้องเหวี่ยงแห”
จนกระทั่งได้ยินเต็ม ๆ กับหู
“มีคนเห็นว่าเจ๊หงส์ไปส่งที่บ้านด้วย...”
“ต๊าย อย่าบอกนะว่ารู้เห็นเป็นใจ”
“แก่ก็จะเอา หนุ่มก็อยากได้ สาว ๆ สมัยนี้คิดแบบนี้กันหมด มีอย่างที่ไหน ผัวแก่ไม่อยู่นัดชู้หนุ่มมาถึงบ้าน ยังดีที่ฟ้าไม่สนับสนุนคนไม่ดี เลยผิดคิว ฮิฮิ”
ปุริมาแทบจะพรวดพราดเข้าไปจิกผมคนพูดแล้วลงฝ่ามือให้ซะจริง ถ้าเธอไม่ต้องคำนึงถึงอะไรเลย แต่วินาทีเดียวที่สติดึงรั้งได้ อย่างที่ว่า ฟ้าไม่สนับสนุนการกระทำไม่ดี
สถานที่คือห้องน้ำอย่างเดิม คนพูดไม่ใช่คนเดิม แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว เรื่องกระจายไปทั่ว ความลับจะไม่เป็นความลับและนำความเสื่อมเสียมาให้แน่นอน ไม่เฉพาะแค่เธอ แต่พ่อของเธอ ผู้อำนวยการโรงเรียน
ปุริมาโกรธ เป็นฝีมือสินธพอย่างไม่ต้องสงสัย นึกโทษตัวเอง ถ้าไม่ให้ชายหนุ่มเข้าบ้าน หรือถ้าไม่รับไมตรีตั้งแต่แรก ทุกประโยคมีแต่คำว่า ‘ถ้า’ บ้าที่สุด ได้แต่ก่นด่าตัวเองและหลบตาครูคนอื่นตั้งหน้าทำงานอยู่แต่ในห้องสมุด โชคดีที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดคือ สถานที่ทำงานทำให้ไม่ต้องเผชิญกับสายตาหลายคู่ในห้องพักที่จ้องมองราวกับว่าเธอเป็นไอ้ฟักในเรื่องคำพิพากษายังไงยังงั้น
“พี่ปูนิ่มครับ”
ปุริมาสะดุ้ง ครูชาร์คนั่นเอง ไม่อยู่ในอารมณ์พูดกับใครแต่ก็ทักตอบ
“อืม”
“ช่วงนี้พี่จะสั่งหนังสืออะไรไหมครับ” วันนี้แปลกน้ำเสียงชายหนุ่มดูจริงจัง และ...ที่สำคัญ ใช้ภาษากลาง
“ยัง ทำไมเหรอ”
“ผมจะมาขอให้พี่สั่งหนังสือภาษาอังกฤษให้หน่อย ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเสาร์หน้าผมเข้ากรุงเทพพอดี ไปดูเองดีกว่า”
ถามเองตอบเองและทำท่าจะเดินไป ปุริมารู้สึกว่าอยากได้ใครสักคนมาต่อบทสนทนาจึงรีบบอก
“จดชื่อหนังสือมาสิ เดี๋ยวพี่ลองดูในเว็บให้ว่าถ้าสั่งจะมาส่งได้ในกี่วัน จะได้ไม่ต้องไปเอง” ครูหนุ่มเดินกลับมา ให้รายละเอียด หญิงสาวเปิดโปรแกรมค้นหา ไม่ถึงสองนาทีก็ได้ข้อมูล เธอยกหูโทรศัพท์สอบถาม ถือหูค้างไว้แล้วหันมาทางคนรอ
“บริษัทบอกว่าหนังสือมีแต่ส่งให้วันจันทร์ กว่าจะถึงก็ราว ๆ วันพุธ จะรอไหม หรือจะไปซื้อเอง”
“อืม...ผมไปซื้อเองดีกว่าครับ อยากไปเดินดูหนังสืออย่างอื่นด้วย” ชาร์คสรุป ปุริมาพยักหน้าแล้วแจ้งปลายสาย
“ขอบคุณครับพี่ปูนิ่ม” พูดแล้วยังรีรอ “พักนี้ไม่ค่อยเห็นพี่ที่โรงอาหารเลย”
แค่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง ปุริมารู้สึกเหมือนอีกาวกบินกลับมาหมายจะจิกแผลที่เหวอหวะ
“พี่...ไปกินข้าวกับผอ.น่ะ”
“อ้อ ไปกับป๋า”
“ฮะ!”
“อุ๊” เขายกมือแตะปาก แต่ไม่ได้ตื่นตระหนก แค่ยิ้ม ๆ “ผม...เรียกผอ.ว่าป๋าน่ะ แต่เรียกเล่น ๆ นะครับ พี่ปูนิ่มอย่าไปบอกป๋า เอ้ย! ผอ.ล่ะครับ เดี๋ยวผมซวย”
กริยาห่อไหล่เหมือนเด็ก ๆ ทำให้หัวใจปุริมาชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย ดึงรอยยิ้มออกมาได้ มีคนมองพ่อเธอแบบนั้นด้วยแฮะ ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกว่าในบรรดาเพื่อนครู ชาร์คดูจะ ‘จริงใจ’ และตรงไปตรงมาที่สุด อาจจะด้วยเพราะความเป็นผู้ชาย อายุน้อยกว่า ทั้งที่เขาถูกเธอแหวใส่ยังยิ้มแย้มทักทายเหมือนเดิม
“ทำไมเรียกป๋าล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะพี่”
“ไม่ใช่หรอกครับ” ชาร์คโบกมือ “ผมเรียกก่อนหน้าพี่ปูนิ่มจะมาอีก ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกครับ ดูผอ.เป็นคนใจกว้าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด ผมเลยคิดว่าเหมาะกับคำว่าป๋าดีแค่นั้นเอง”
ชาร์คมองหน้ารุ่นพี่ “ถ้าพี่ไม่ชอบ ผมขอโทษด้วยนะ”
“ไม่นี่ ขอโทษทำไม” ปุริมารู้สึกจิตใจแช่มชื่นขึ้น อีกฝ่ายลูบท้ายทอยแก้เขิน
“ถ้างั้น เดี๋ยวลงไปกินข้าวกันนะพี่ พี่เหมียวบอกว่าจะตำส้มตำให้ ไม่เผ็ด ไม่ใส่ปลาร้า เดี๋ยวลองไปชิมนะ กินข้าวหลาย ๆ คนสนุกดี”
หัวใจปุริมาพอง ความเย็นฉ่ำไหลบ่าท่วมไหล่ที่ร้อน ๆ จนผ่อนคลาย เธอสูดลมหายใจลึก ในภาวะที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นก็ยังมีแสงสว่างพอให้มองเห็นทางอยู่บ้าง หญิงสาวยกคิ้ว ถามอย่างไว้เชิง
“หลายคนน่ะ รวมครูผึ้งกับครูปลาหรือเปล่า”
ชาร์คยกนิ้วชี้ “เกราะป้องกันความทุกข์คือความสุขกับรอยยิ้มครับพี่”
ปุริมาอึ้งไปก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “โอเค จะจำไว้” เธอพยักหน้าสบตาหนุ่มรุ่นน้อง
“ขอบคุณนะชาร์ค แล้วก็...ขอโทษด้วยที่คร่าวก่อน ๆ พี่พูดไม่เพราะกับเธอ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เล็กน้อยครับ ผมไปสอนล่ะ Lose yourself in the music…” เขาตอบแล้วเดินโยกตัวเลียนแบบท่าทางเอมิเน็มไปอย่างมีความสุข
ปุริมาเห็นด้วยก็มีความสุขตาม ไม่คิดเลยว่าต้องให้เด็กรุ่นน้องสอน และไม่คิดว่าเบื้องหน้าชาร์คที่ดูเฮฮา กวนหน่อย ๆ บ๊องนิด ๆ แบบครูสอนภาษาอังกฤษคนนี้จะมีวิธีปลอบโยนอย่างชาญฉลาด แค่คำง่าย ๆ ก็ปลิดความหนักหน่วงออกจากจิตใจได้
“ก็บอกแล้ว...หนังสือหน้าปกสวย ไม่ได้แปลว่าข้างในจะดีเสมอไป”
เสียงนั้นทำความคิดอิ่มเอิบชะงัก ยังจะตามมาป่วนอีก
รู้แล้วย่ะ นายราหู!!
...
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ต.ค. 54 11:08:17
|
|
|
|