Body Talk (Boys love) ทดลองโพสต์ บทที่ 8
|
 |
บทที่ 8
รุจน์หยิบเสื้อนอกมาสวมแล้วสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สูทดีไซน์ของวาเลนติโน่ขึ้นชื่อว่าหรูหราด้วยการตัดเย็บอันเป็นเอกลักษณ์ที่รู้จักกันดีในหมู่สุภาพบุรุษชาวยุโรป สิ่งนี้กระมังที่ทำให้น้ำฟ้าซื้อมันมามอบให้เขาในวันที่... วันที่หล่อนอารมณ์ดีและรู้สึกปลาบปลื้มกับการสวมกอดกับเขา จูบกับเขา ร่วมรักกับเขาเป็นพิเศษ ซึ่งทั้งเขาและหล่อน...จนป่านนี้แล้วคงจำไม่ได้ทั้งคู่ ว่าวันนั้นคือวันอะไรพิเศษอย่างไร สิ่งที่ไม่ซึ้งตรึงใจมันก็เป็นเช่นนี้เอง มันก็แค่ฉากของชีวิตในวันหนึ่งๆที่ดำเนินไปพร้อมเหตุการณ์ต่างๆในโลกนี้
รุจน์จับไทด์ให้เข้าที่กับปกเชิ้ทตัวในอีกครั้งทว่าอาการผะอืดผะอมพุ่งขึ้นกระทันทำให้ต้องรีบยกมือปิดปาก ย่อตัวไหล่งองุ้มพยายามกักเก็บอาการห้หายเข้าคอ ครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกดีรุจน์จึงสูดหายใจลึก เขาเหลือบมองตัวเองในกระจกอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้มีงานสำคัญแต่เขากลับปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวทำให้ตัวเองหมดสง่าราศี รุจน์จ้องมองกระจก สีหน้าที่ซีดเซียวจากอาการเมาค้าง แววตาไร้ชีวิต สูทสีกรมท่าติดแบรนด์ตัวนี้ทำให้เขาดูดีขึ้นได้จริงๆหรือ รุจน์ถอนใจผละออกจากกระจกด้วยมิอาจทนเห็นสภาพอันน่าทุเรศของซากอะไรสักอย่างในชุดสูทหรูของวาเลนติโน่
รุจน์เดินผ่านห้องนั่งเล่น เมษากำลังจัดโซฟา เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน รุจน์หยุดยืนพินิจเขาอย่างลืมตัว ในชุดสูทราคาไม่แพงที่เมื่อวานรุจน์ซื้อให้เมษากลับดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ รูปร่างสูงใหญ่ของเขารับกับสูทดำสนิท แล้วเขาก็ช่างเลือกที่ผูกไทด์สีขาวได้อย่างเหมาะเจาะ รุจน์พิงกรอบประตูสายตายังเพลิดเพลินมิรู้เบื่อ ท่ามกลางแสงอ่อนละมุนของเวลา 05.30 รูปร่างดั่งนักเต้นรำของเมษาเหมือนงานศิลป์ที่ลงตัวทั้งด้านสีและแสงเงา
ความสง่างามทุกการเยื้องย่างของเขาราวคนหนุ่มที่มาจากตระกูลดี ในโลกที่ยังสนใจกันอยู่ที่หน้าตาและรูปร่าง งานสังคมหรูที่ไหนก็ได้ในเขาคงเป็นที่สนใจ เป็นที่สะกดสายตาหลายคู่ “อ้อ อรุณสวัสดิ์ ครับ” เมษาหันมาทางรุจน์พอดี เขายิ้มทักทาย ยิ้มกว้างขวาง จนตาหยี รุจน์พริบตารู้สึกตัว พอมองเมษา มองโซฟาแล้วรู้สึกร้อนใบหน้า จนต้องรีบเดินไปที่ประตู เมษายักไหล่พลางก้าวตามไปที่ประตู
วิวนอกหน้าต่าง นอกจากท้องฟ้าสีคราม เมฆก้อนโต ต้นไม้ ดอกไม้ บ้านเรือน ตึกรามที่อยู่ไกลๆแล้ว โดยความเร็วพิกัดสูงสุดของชินกันเซนสิ่งที่อยู่ใกล้กับรางรถไฟดูจะเลือนเบลอเลอะเทอะจนแยกสัดส่วนของแต่ละสิ่งไม่ออกราวกับภาพสีน้ำที่ผิดพลาดเมื่อสีต่างๆไหลรวมจนกลายภาพไม่น่ามอง เมื่อเทียบกับภาพไกลออกไปนั่น รุจน์ทอดตามองอย่างไม่มีทีท่าจะหลับไหลหรือเปลี่ยนอริยาบทเป็นอย่างอื่น ส่วนเมษาที่อ่านหนังสือที่ค้างจากเมื่อคืนอยู่ข้างกันก็ไม่มีทีท่าจะรบกวนรุจน์แต่ประการใดเช่นกัน เวลา 3 ชั่วโมงจากนครโตเกียวสู่โอซาก้านั้นช่างเป็นเวลาที่นานเนิ่นและช้าเชื่องสำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะพูดกัน
เมษาปิดหนังสือเล่มหนาดังพั่บ เขาเงยหน้ายกมือขึ้นนวดสันจมูก การอ่านหนังสือบนพาหนะไม่ว่าจะชนิดใด ชั้นดีเพียงใดก็ทำให้ปวดสายตาเหมือนกันหมด ไม่เว้นแต่ชินกันเซนที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นรองเครื่องบิน ก็ไม่วายทำให้ประสาทตาล้าปวดหนึบไปเหมือน เมษาหันมองผู้คนรอบข้างมีทั้งกำลังหลับ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างไม่ออกอาการ สาวสวยหน้าตาน่ารักบริการขายของบนรถ จะเข้าจะออกประตูก็โค้งแล้วโค้งอีก มองออกไปนอกหน้าของอีกฝั่งที่นั่งก็แทบไม่น่าเชื่อว่า ภายนอกกับภายในตัวรถจะต่างกันเพียงแค่โลหะมาตรฐานเยี่ยมกั้น ข้างนอกคือความรวดเร็วเสียงดังอันชวนหวาดเสียว หากแต่ภายในกลับสงบราวกับห้องรับแขกในบ้านของใครสักคน เมษาถอนใจเม้มปากาแน่นพยายามคิดเรื่องอื่นบ้างนอกจากเรือนกายเพรียวบางและสะโพกผอบผอมเร่าร้อนที่เชิญชวนให้ลิ้มรสรักภายใต้แสงไฟสลัวนวลกระจ่างเมื่อคืน กระนั้นเขาก็กลับมาที่จดจ่อกับคนที่นั่งข้างกายอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเงียบในภายห้องโดยสารคือความสงบแต่ความสงบที่คั่นระหว่างเขากับรุจน์คือความอึดอัด เมษาก้มมองมือตัวเองถูกันอย่างไร้เหตุผลแล้วอยากจะหัวเราะออกมา
“เรื่องเมื่อคืน ผมขอโทษ” เมษากลั้นใจทำลายกำแพงความเงียบงันระหว่างกันและกัน “ที่ผมพูด ที่ผมทำทั้งหมด ผู้จัดการคงจะโกรธมาก ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณไม่ว่าจะเป็นกาย หรือวาจา” เมษานึกชื้นใจที่ผู้โดยสายที่นั่งถัดจากเขาพอที่จะได้ยินสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นชาวญี่ปุ่น เมื่อพูดออกไปแล้วต่อจากนี้คือเวลาที่น่าอึดอัดใจ ไม่รู้ว่ารุจน์จะเงียบต่อไปหรือหันมากล่าวอะไรกับเขาบ้าง ทว่านานเกินนาทีที่รุจน์ยังคงไม่ยอมหันกลับมาจากหน้าต่างทั้งที่ไม่ได้หลับ เมษาเป่าปากจนผมที่ปกหน้าปลิว
“ฟังนะผู้จัดการแบบนี้ผมก็ตายเลย ไอ้บรรยากาศเย็นชาไม่พูดจาตั้งแต่เช้า ทำเหมือนเราอยู่กันคนละมิติทั้งที่เดินเคียงข้างชนิดไหล่แทบชนกัน เมื่อผมคิดว่าทำผิดผมก็ขอโทษ แต่ถ้าผู้จัดการมันยากที่จะปล่อยวางพอๆกับเรื่องอื่นของคุณ ผมก็จนใจ เราเจอกันที่ชินโอซาก้าก็แล้วกันนะครับ ก่อนที่จะถูกเหม็นเบื่อไปกว่านี้ผมว่าผมไสหัวตัวเองไป non reserved ดีกว่า สบายใจกันทั้งคู่” น่าแปลกที่น้ำเสียงของเมษาไร้ซึ่งอาการหัวเสียแฝงทั้งที่กำลังพูดประชดประชัน เขาพูดเรียบเรื่อยดั่งบทสนทนาทั่วไปทั้งยังยิ้มไร้การเสแสร้ง
รุจน์ละสายตาจากวิวมาที่กรอบหน้าต่าง เขาคิดจะตามใจเมษาหากว่าเจ้าตัวอยากทำอย่างนั้น หากแต่มือของเขากลับคว้ามืออีกฝ่ายไว้เมื่อเขาทำท่าจะลุกจากที่นั่ง เมษามองมือที่ถูกกำแน่นของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ “อย่าไปนะ” รุจน์เผยอปากปล่อยคำพูดแหบแห้งออกมา “ก็ผู้จัดการ” “อย่าไปนะ” รุจน์พูดดังขึ้น จนเริ่มมีคนหันมาทางพวกเขา เมษาจึงยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย “ฉันทั้งเมาค้าง ทั้งอับอายนายต่างหากล่ะ” รุจน์ลดเสียงลง “จริงหรือฮะ แล้วจะอยากจะอาเจียนหรือเปล่าครับ” เมษาขยับหารุจน์อย่างเป็นห่วง รุจน์ส่ายหน้าช้าๆ “อาการดีขึ้นกว่าเมื่อเช้า ขอโทษนะที่ทำให้เสียบรรยากาศ” “อะไรกันครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษมากๆ ที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย ผู้จัดการอายอะไรกันหรือครับ ก็ในเมื่อเราเสมอกัน” เมษาทำท่าคิด รุจน์ทุบเขา เมษารีบกางมือรับกำปั้นไว้
“ไม่ใช่เรื่องนั้น คำพูดของนายต่างหาก มันตบหน้าฉันจนหายเมาเลย” เมษายิ้ม “จริงหรือครับ ผมขอโทษนะครับ มันแรงไปหน่อย ผู้จัดการคงโมโหมากซินะครับ” “อืม น่าโมโหจริงๆด้วย” รุจน์พยักหน้าทำหน้าจริงจัง เมษาเบิ่งตารียาวของเขา “เอาจริงหรือฮะ” “จริงน่ะสิ นายวิจารณ์ผู้จัดการเชียวนะ ทำงานวันแรกนะเนี่ยตัดเงินซะดีมั้ง” “โกหก ไม่จริงมั้งครับผู้จัดการ คุณใจแคบขนาดนั้นเชียว”
“โห สองกระทงเลยนะ ว่าฉันใจแคบด้วย” รุจน์หยิบกระเป๋าเอกสารมาเปิดหยิบไอแพดขึ้นมาเปิด “เฮ้ย!!!! เว่อร์เข้าเนื้อใหญ่แล้วผุ้จัดการ หยุดๆๆนะ ขอโทษก็ได้ ขอโทษอย่างแรงเลย” เมษายกมือไหว้ รุจน์ถอนใจยิ้มแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเอกสาร เมษาพลิกนาฬิกาดู “อีกประมาณไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงแล้ว” เขาชี้ให้รุจน์ดูภูเขาไฟฟูจิ ที่ตระหง่านต้อนรับทุกสายตา
“ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมเคยอธิฐานไว้ตั้งหลายเรื่อง ได้หมดเลย” เมษาพยักหน้าหงึกหงักให้เห็นจริงจัง รุจน์ทำท่าไม่เชื่อ เขามาญี่ปุ่นแม้ไม่มากครั้งแต่ก็น่าใครที่รู้เรื่องนี้บอกเขาบ้าง แต่พอเห็นเมษาหลับตาพนมมือก็ทำตามแต่ไม่วายหันมองผู้โดยสารคนอื่นด้วย เมื่อเห็นไม่มีใครสนใจเขามากไปกว่าหยิบกล้องมาถ่ายรูปด้านนอกรถจึงหลับตา วูบไหวไม่ทันได้ตั้งจิตกับคำอธิฐานเขาก็รู้สึกถูกดึงเข้าไปกอดกลิ่นโคโลจญ์ของเมษากรุ่นที่ปลายจมูกตามด้วยลมหายใจอุ่น.....และจุมพิตที่ชื้นชุ่มจากริมฝีปากของเขา รุจน์ลืมตาหายใจรัว เขาพยายามดันเมษาออกไปแต่อ้อมแขนนั้นไม่ปล่อย ไม่มีใครสนใจพวกเขามากกว่าภูเขาอยู่ดี เมษาแนบใบหน้าของเขากับศีรษะของรุจน์
“ผู้จัดการอธิฐานว่าอะไรหรือครับ ผมน่ะอธิฐานว่า...” เสียงของเมษาดั่งสายลมในวันฤดูเปลี่ยน ทำให้หัวใจสั่นไหว รุจน์เอนกายพิงกับเมษา เหม่อมองภูเขาไฟฟูจิในอ้อมกอดเมษา ตั้งใจฟังสายลมที่หวีดหวิวนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ......ผมขอโทษหากมันจะผิดแผกจากธรรมชาติอันเป็นนิรันดร์แห่งฟูจิซัน แต่ผมชอบผู้จัดการรุจน์ ผมอยากอยู่กับเขาได้ไหมฮะ ฟูจิซัน...
พิสราผูกผ้าคาดเอวเสื้อคลุมขณะก้าวออกมาจากห้องนอนภายในคอนโดของ S กลิ่นบุหรี่และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันจากการขยับร่างกายทำให้หล่อนสะดุ้งหันไปมองที่โซฟาติดหน้าต่างในห้องหนังสือที่อยู่ติดกันเพียงผนังกั้น “คุณทศ” หล่อนอุทาน “อรุณสวัสดิ์ครับ” เขายิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน พิสรายิ้มแห้งพร้อมบอกให้ทำตัวตามสบาย แต่ทศวรรษกลับสวนคำว่าเขาทำตัวตามสบายที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว “ผมบอกคำเดียวกับคุณพิศรากับเหล่าผู้หญิงของ S มานานกว่าคุณเกือบเก้าปีเห็นจะได้” ทศวรรษโน้มตัวขยี้บุหรี่ลงที่เขี่ยบนโต๊ะ พิสราเดาะลิ้น ที่จริงหล่อนไม่อยากไม่สบอารมณ์แต่เช้ามืดแบบนี้แต่คำพูดของทศวรรษนี่ก็ช่างเหลือร้าย หล่อนพยายามหนักหนาที่จะเป็นมิตรกับเขาหากแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่หล่อนส่งไปอย่างไร้เยื่อใย เขามันคนสองหน้า ต่อหน้าเป็นใบหน้าที่แย้มยิ้มน่าหลงไหล แต่อีกหนึ่งใบหน้าคือคำพูดที่ร้ายกาจ
“ล้อเล่นน่ะครับ เอ่อแต่ถ้าไม่รบกวนเกินไปล่ะก็ผมทำงานต่อให้เสร็จ ถ้าจะกรุณาช่วยบอกพ่อคู่หมั้นของคุณด้วยว่าลดเสียงลงหน่อยก็ดี สมาธิผมหายหมด” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากพร้อมผายมือเชิญ พิสราผ่าวใบหน้าทศวรรษคงไม่ได้หมายถึง S คนเดียว หล่อนสะบัดหน้าพรืดกลับเข้าห้อง ทศวรรษเดินไปปิดประตูห้องดังโครม กระแทกหลังกับบานประตู มองพิมพ์เขียวบนโต๊ะกับกองเอกสารอีกพะเนินแล้ว ปรี่เข้าไปปัดกระจายร่วงจากโต๊ะ หยิบปากกาขว้างไปกระทบกับกระจก ยกเท้าถีบขาโต๊ะทำงาน ผมยาวรุ่มร่ามรุ่ยร่ายจากการเสยแรง “ฉันมาทำอะไรที่นี่วะ ไอ้บ้า ไอ้บ้า พวกนายบ้าทั้งหมด ฉันก็บ้าด้วย” ทศวรรษทรุดตัวนั่งกับพื้นหอบหายใจไม่ออก เจ็บมาก เจ็บเหลือเกิน แต่ร้องไม่ออก ทศวรรษหลับตาไม่อยากให้หยดน้ำร่วงหยด
“เกลียดจริงๆเลย” ทศวรรษกำหมัดแน่น เวลาผ่านเท่าไหร่เขาไม่ทันรู้ตัว ด้านหลังเสียงประตูแง้มเปิดดังแผ่วเบา
“เฮ้ ทอนาโดผ่านมาแถวนี้หรือ” เสียงS กระซิบแบบขลาดกลัว ทศวรรษหันขวับ “ผู้หญิงคนนั้นกลับไปหรือยัง” เขาตะคอกใส่ S อีกฝ่ายกลืนน้ำลายพยักหน้า ทศวรรษลุกขึ้นยืน S ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมแพรสีเบจเหมือนยัยนั่น ใช่ซินะซื้อของคู่กันซะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของใช้ไม้สอยอะไร ระหว่างสองคนนี้เขาอยู่ตรงไหน ใครช่วยบอกที ยิ่งคิดก็ยิ่งยอมไม่ได้ ทศวรรษคว้าแขน S กระชากเข้าใกล้
“นายจะทำอะไรน่ะ นายเป็นอะไร โกรธอะไรขึ้นมาน่ะ” S ตัวสั่น “นายทำอย่างนี้ไม่โหดเหี้ยมกับฉันไปหน่อยหรือ” ทศวรรษบีบแขนแน่น “ขอโทษ ฉันก็ตั้งใจจะมาช่วยนายแต่ น้องเขามาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้าด้วย นายก็รู้ว่าเรากับเขา...” S เริ่มหน้าเบ้เพราะเจ็บแขน “ก็เลยเพลิดเพลินกันปล่อยฉันไว้กับงานจนตะวันขึ้น นายก็รู้ว่าฉันรักนายแค่ไหน นายนอกจากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้ว ยังทำให้เจ็บได้อยู่ตลอดเวลา นายมันคนประเภทไหนกันแน่วะ ” ทศวรรษผลัก S หงายล้มบนพื้นพรม “ก็สมแล้วนี่นายอยากบอกจะทิ้งฉันก่อนทำไมล่ะ” S โต้กลับอย่างลืมตัว
จากคุณ |
:
vannessia
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ต.ค. 54 20:36:30
|
|
|
|