13
“หยุดนะ หยุด!!
แค่ได้ยินเสียงก็จำได้ว่าใคร ประสาทของสินธพสั่งการ แทนที่จะปล่อยกำปั้นใส่ใบหน้าอวดเก่งของเด็กที่กำลังจะย่างเข้าวัยรุ่น เขาดึงตัวเองไปข้างหลังแล้วทิ้งร่างทันที
“โอ้ย!”
โขงชะงัก เป็นจังหวะที่ปุริมาวิ่งมาถึงพอดี “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาลงไม้ลงมือกันแบบนี้” เธอมองชายสองวัยพลางหาคำตอบ ข้อแรกคือภาพที่เห็น ส่วนข้อสองอยู่บนริมฝีปากแตกของสินธพ ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกยืน ทำทีปาดรอยแผล ถึงไม่มากแต่ก็พอให้เกิดเลือดซึมซิบ ๆ
“คุณสิน โขง”
“ผมก็แค่ทักทายน้องโขงนิดหน่อย เป็นอะไรไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็เดือดซัดเปรี้ยงเข้าให้”
“ทักทายบ้าอะไร แกด่าพ่อฉัน!”
“โขง!” ปุริมาเสียงดังเมื่อเด็กชายชี้หน้าคนอายุมากกว่า “พี่เห็นเธอต่อยคุณสินก่อนนะ”
อีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย เหตุการณ์นั้นคือความจริง “ก็...พี่...ถามมัน เอ้ย เขาดูสิ พูดอะไรบ้าง ไม่งั้นผม...”
“ด่าอะไร ผมก็แค่ทักทาย เออ ผมอาจจะกวนไปบ้าง ก็แค่หยอกกันเล่น ๆ ไม่คิดว่าจะโมโหขนาดนี้ ทั้งที่ผมโตกว่าแท้ ๆ ยังไม่กลัวเลย ถ้าคุณปุริมาไม่ห้าม สงสัย...”
“แกนั่นแหละ ถ้าพี่ปูนิ่มไม่มาก็ไม่ยั้งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ!”
“โขง!”
“เกิดอะไรขึ้น!”
เพื่อนนักเรียนเริ่มเคลื่อนเข้ามามุง ครูต่อซึ่งเดินอยู่แถวนั้นเข้ามาสมทบกับปุริมาไม่นาน ชายหนุ่มทันเห็นการพิพาท
“อีกแล้วเหรอ โขง”
หญิงสาวคนเดียวชักคิ้ว “เท่าที่เห็นกับได้ยิน มีแกคนเดียวที่ออกงิ้วนะ เจ้าโขง”
“แต่...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ขนาดกล้าลงไม้ลงมือกับผู้ใหญ่ ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ มา...เดี๋ยวต้องจัดการหน่อยล่ะ” ครูต่อเดินเข้ามาจับหัวไหล่อีกฝ่ายแรง ๆ เด็กชายอ้าปากจะแก้ตัว แต่ถูกปรามด้วยสายตา “คุณสินครับ เดี๋ยวไปทำแผลที่ห้องพยาบาลนะครับ เรื่องนี้ให้ผอ.จัดการ”
สินธพพยักหน้า ยกริมฝีปากเยาะ ๆ เมื่อโขงสบตา เจ้าเด็กจุดเดือดต่ำ ประสบการณ์น้อยนิดไม่มีทางทันเล่ห์ผู้ใหญ่ ตลอดการโต้เถียงเขาไม่ออกเสียงดัง ไม่ทำให้ใครคนอื่นได้ยินเนื้อความ ยกให้ทุกอย่างเกิดจากความอันธพาลของอีกฝ่ายเอง
โขงยังฮึดฮัดแต่ถูกกดไหล่จนหน้าเบ้
“เดี๋ยวไปด้วยกันนะครับปูนิ่ม จะได้เป็นพยาน”
ปุริมาบอกไม่ถูก รู้สึกไม่ดีนักที่เห็นเด็กชายจะถูกทำโทษ แม้รู้ว่าเขาทำผิด เพราะเมื่อครู่ต่อกึ่งจูงกึ่งลากโขงออกไป เธอได้ทันเห็นนัยน์ตามาดร้ายเปล่งประกายสมใจ
ความยุ่งยากเพิ่งเริ่มต้นขึ้นหรือเปล่านะ
ในห้องประชุมของสำนักงานประมงจังหวัด มีคนฟังประมาณหกสิบคน ในกลุ่มประกอบไปด้วยนักวิชาการ นักศึกษา และชาวประมง วิทยากรชี้แจงปัญหาเรื่องการลดลงของสัตว์น้ำในท้องทะเลไทย รวมทั้งบอกกล่าวถึงการประกอบอาชีพในเชิงอนุรักษ์ ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่ตั้งใจกันดี
ช่วงเช้าจบไปแล้ว เขมรัฐนั่งกินข้าวกลางวันกับกลุ่มคนทำฟาร์มปูนิ่มและชาวประมง ทางเจ้าหน้าที่จัดให้เป็นอาหารบุ๊ฟเฟต์แบบง่าย ๆ
“ก็ในเมื่อคุณเข้มีฟาร์มปูใหญ่สุด ไม่ลองขยายลูกบ่อล่ะครับ ผลผลิตมันจะได้เพิ่มขึ้น ทีนี้ก็รองรับตลาดได้ มีงานให้ชาวบ้าน ส่วนเรื่องพันธุ์ปูถึงตอนนี้ถ้าลงทุนซื้อก็ยังคุ้มนะครับ”
“ผมก็อยากขยาย แต่มันจะมีความยากตรงการควบคุมคุณภาพ เพราะปูที่จะส่งออกมันต้องได้มาตรฐานจริง ๆ ไม่งั้นจะได้แค่ตลาดใน”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตลาดในก็ยังมีที่เหลืออยู่ โรงแรม ร้านอาหาร” ใครบางคนเสนอ
“ผมเคยลองไปติดต่อประมงพม่ามา เขาหาปูให้ได้ราคาไม่แพง” อีกคนเล่า “ก็ได้ปริมาณเยอะอยู่เหมือนกัน ฝั่งนั้นยังมีปูทะเลเยอะ”
“ผมอยากเพาะพันธุ์เองมากกว่า” เขมรัฐพูดเปรย “จับอย่างเดียว ไม่นานเดี๋ยวก็หมดอีก” “มันจะเสียเวลา ได้ไม่คุ้มเสีย”
“อย่างเข้มีแพอยู่แล้วเลยไม่เป็นไร แต่พวกพี่มันลองเสี่ยงอะไรไม่ได้เลย พลาดขึ้นมาทุนหายกำไรหด”
เจ้าของฟาร์มยิ้มขรึม เป็นความลังเล ใจหนึ่งอยากขยายฟาร์ม ผลผลิตมากขึ้น ตลาดรับมากขึ้นหมายถึงผลกำไรที่มากขึ้นดังว่า แต่อีกใจก็กังวลเรื่องปริมาณวัตถุดิบกับคุณภาพผลผลิต ไม่อยากให้ธุรกิจที่ลงทุนลงแรงไปหลายปีเสียชื่อ ไหนจะแพปลาอีก
อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจที่หน่วยงานระดับจังหวัดรับรู้ปัญหาและมีแนวทางแก้ไข ซึ่งบรรดาชาวประมงก็ต้องเตรียมตัวรับผลกระทบที่จะอาจจะเกิดขึ้นด้วย
การบรรยายภาคบ่ายจะเป็นเรื่องของการเพิ่มผลผลิต มีตัวแทนจากชาวบ้านที่ทำกิจการประสบความสำเร็จมาแบ่งปันเทคนิคเพื่อเป็นวิทยาทาน ในส่วนของฟาร์มปูนิ่ม เขมรัฐได้รับมอบหมายร่วมกับตัวแทนอีกคนหนึ่งเช่นกัน
โทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ชายหนุ่มดึงออกมา ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะเป็นเบอร์ที่โรงเรียนลูกชาย พอไม่ได้รับครั้งแรกก็หยุดไป และเรียกเข้าอีก เขากดรับ
“เขมรัฐครับ”
“จากโรงเรียนชลพิทักษ์นะคะ”
“ครับ”
“ค่ะ จะแจ้งว่า เด็กชายขัตติยะก่อเรื่องทะเลาะวิวาท อยากให้คุณเขมรัฐเข้ามาที่โรงเรียนหน่อยค่ะ”
เขมรัฐนิ่งไปชั่วอึดใจ
ครั้นแล้วก็บอกปลายสายให้รอก่อนจะเดินออกมาจากห้องประชุมเพื่อความสะดวกในการพูดคุย สมองลั่นคำถาม เจ้าลูกชายของเขาไปทำอะไรเข้าให้ล่ะ
“ดิฉันไม่ทราบรายละเอียดค่ะ แต่ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ทราบจะสะดวกเข้ามาไหมคะ” เจอคำถามที่ต้องคิดหนัก เขามองเข้าไปในห้องประชุม ขณะนี้ตัวแทนคนทำนากุ้งกำลังบรรยาย ต่อไปก็เป็นฟาร์มปูนิ่ม ไม่น่าเกินสิบนาที เขาสูดลมหายใจ
“ถ้าคุณพ่อไม่สะดวก ให้ดิฉันแจ้งคุณหงส์ไหมคะ” ปลายสายถาม แม่ของเขาเป็นชื่อผู้ปกครองลำดับสองสำหรับการติดต่อจากโรงเรียน เขมรัฐลูบหน้า ตัดสินใจ
“เดี๋ยวผมเข้าไปครับ”
เขาแจ้งว่าอีกประมาณไม่เกินชั่วโมงน่าจะถึง พอวางสายเสร็จก็ถอนใจยาว อยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น ชายหนุ่มรีบไปบอกกับเจ้าหน้าที่จัดงาน ขอโทษขอโพยว่ามีเหตุจำเป็น ยอมรับสายตาตำหนิแล้วรีบก้าวออกมา
จะให้แม่ไปดูแทนก็ได้เพราะงานนี้ก็สำคัญ เป็นเขาเองที่มาเปรย ๆ กับนักวิชาการอำเภอเพื่อนร่วมรุ่นจนเรื่องถึงหูผู้ใหญ่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มนี้ขึ้น หากแต่คนคิดทิ้งงานเสียเอง เรื่องงานมีโอกาสให้แก้ไขได้ แต่เรื่องลูกบางครั้งพลาดไปจิตใจที่สูญสลายไปแล้วอาจไม่มีทางเรียกคืนก็ได้
ย้อนกลับไปเมื่อวัยใกล้เคียงกัน ยามที่มีปัญหาแม่ก็ไม่เคยละเลย คุณหงส์ทิ้งงานเพื่อจัดการปัญหาให้ลูกชายจอมก่อเรื่องได้เสมอ ถึงคราวปัญหาของลูกตัวเอง เขมรัฐเลือกที่จะไปรับรู้ด้วยตนเอง
เขมรัฐเหลือบมองนาฬิกาตอนมาถึง บ่ายสองโมงกว่า พอได้รับอนุญาตชายหนุ่มเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป บรรยากาศอึดอัดพวยพุ่งออกมาพร้อมสายตา...ห้าคู่ละมั้ง
ผอ.คเชนทร์ ปุริมา เจ้าโขง ครูแมวหัวหน้าฝ่ายปกครอง และ นายสินธพ ครบองค์ประชุมแบบนี้แทบไม่ต้องเดา
เขายกมือไหว้ผอ. อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นทางการ สายตาคู่แรกที่สบกันคือของลูกชาย มีเสียงในสมองเล็ดลอดเบา ๆ ว่าทำไมปุริมาถึงมาอยู่ในห้องนี้ด้วยได้
“คุณเขมรัฐมาแล้ว ยังไงผมขอเล่าเรื่องก่อน” คเชนทร์บอก คนเพิ่งมาถึงพยักหน้า จังหวะเดียวที่เขาเหลือบไปมองทางสินธพ มีรอยยิ้มสะใจฉายชัดในแววตา เป็นการเชิญหน้ากันอีกครั้งที่รู้ผลตั้งแต่ยังไม่เปิดไพ่
ชายหนุ่มได้แต่ฟังเรื่องราวเงียบ ๆ ทำความเข้าใจสถานการณ์ ปุริมาเป็นพยานว่าเห็นโขงต่อยก่อน ครูต่อได้ยินแต่เสียงของโขงโวยวาย เขารู้ว่าเหตุการณ์ที่ได้ยินคือความจริง...แม้ไม่ทั้งหมดก็ไม่จำเป็นต้องเสาะสืบลงลึก เกือบสิบห้าปีที่อยู่ด้วยกันมาไม่มีใครรู้จักโขงเท่าเขา
“ผมแค่ทักทาย ล้อเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่คิดว่าเขาจะโมโหขนาดนี้”
“ไม่ได้ทักทายนะ ด่า!...”
“โขง”
ครูแมวปราม เด็กชายหันมาสบตาเขมรัฐ คนเป็นพ่อมองตอบนิ่ง ๆ ความหมายมีนัยยะมากกว่าการให้เงียบ ถ้าต้องชี้แจงเหตุผลก็เท่ากับไล่เรียงลงไปในเรื่องราวซึ่งล้วนแล้วแต่นำความเสียชื่อมาสู่คนอีกหลายคน
โดยเฉพาะ ‘เจ๊’ คนสวยของโขงเองด้วย
“เรื่องการทะเลาะวิวาทถือเป็นการทำผิดระเบียบขั้นร้ายแรง โทษสูงสุดคือไล่ออก” ปลายประโยคน้ำเสียงแผ่วลง คนพูดหันไปทางครูแมว
“แต่ทางโรงเรียนคิดว่าการไล่ออกไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดี เด็กชายขัตติยะก็เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดี ช่วยกิจกรรมโรงเรียนเสมอมา ถึงจะมีพฤติกรรมโลดโผนไปบ้าง แต่ก็ไม่เสียหาย ฉะนั้น...ทางโรงเรียนจะทำทัณฑ์บนไว้ก่อน รอยยิ้มลดลงจากใบหน้าสินธพ ชายหนุ่มขยับตัว ก็เป็นจังหวะที่ผอ.ให้โอกาสพอดี
“ผมชอบนะ เด็กดื้อนิด ๆ หมายถึงเด็กฉลาด มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่คนละแบบกับอันธพาล” คำพูดและท่าทางอยู่ในมาดผู้ใหญ่ใจเย็น “ผมเห็นว่าคุณเองก็มาส่งลูกตลอด น่าจะได้คุยกันบ้าง แบบนี้ต้องใช้เวลาในการอบรมลูกให้มากขึ้นอีกกระมังครับ”
แม้แต่ปุริมายังอดร้อนแทนไม่ได้ หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คาดหวังจะเห็นแววตาลุกโชน หรือท่าทางยียวนกวนประสาทตอบ แต่...เขมรัฐนิ่ง
ชายหนุ่มนิ่งผิดกับที่เคยเห็น สงบจริงจัง แววตาไม่มีความทะเล้น ความแพรวพราวหายไปสิ้น
“ผมไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรมากมายหรอกครับ เพราะเข้าใจว่าโขงยังเด็ก ย่อมเดินไปตามเบ้าที่หล่อหลอมเขา แต่อยากให้เขารู้ว่าการทำร้ายร่างกายไม่ใช่การแก้ปัญหา เขาต้องเรียนรู้สิ่งนี้ตั้งแต่เด็ก”
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย แต่ผมมั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงลูกชายให้เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลังได้ และเชื่อว่าโตขึ้นเจ้าโขงคงเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว เขาอาจจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้ชาย แต่ไม่ทำร้ายผู้หญิง”
สินธพหน้าตึง แค่ครั้งเดียวที่เขมรัฐพูดทำให้เลือดแล่นพล่าน ต้องสงบอาการด้วยการกำมือแน่น ๆ ตอนนี้กำลังได้เปรียบ ถ้าแสดงอะไรออกไปจะเป็นการเพลี่ยงพล้ำ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คงตอบโต้ได้แค่นี้
ต้องรีบช้อนจังหวะก่อนที่ประเด็นซึ่งคู่กรณีหย่อนไว้จะถูกขยาย
“ที่เตือนก็เพราะเป็นห่วงนะ เอาเถอะ...เรื่องนี้ผมไม่ติดใจ แค่ขอขมากันก็พอ หวังว่าแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง”
เขมรัฐรับรู้สายตาตำหนิจากบรรดาครู เขามองลูกชาย
“ขอโทษคุณสินธพซะโขง”
“แต่...” มีรอยผิดหวังบนดวงหน้าชัดเจน เขาคาดหวังลึก ๆ ว่าคนเป็นพ่อจะมี ‘ไม้เด็ด’ อะไรบ้าง แต่ว่างเปล่า
“ขัตติยะ”
นานทีจะถูกเรียกเต็มยศ เจ้าของชื่อหน้าสลด อยากจะค้านเหลือเกินว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเป็นเพราะใคร เขาปกป้องศักดิ์ศรีบิดาที่ถูกเหยียดหยามเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างนั้นหรือ วินาทีหนึ่งสายตาที่ส่งผ่านบอกความเข้าใจอย่างสุดซึ้ง มีแค่คนที่ผูกพันสายเลือดเท่านั้นจะเห็น
โขงลดอาการดื้อดัง ประนมมือ พูดพอได้ยิน “ขอโทษครับ”
สินธพทำหน้าเหมือนได้โลกทั้งใบ คำขอโทษของเด็กชายรวมไปถึงการบอกคนเป็นพ่อให้รู้ว่าความเสียหน้าได้ถูก ‘สะสาง’ และตนเองเป็นฝ่ายชนะ แต่ ‘คนแพ้’ ไม่มอง
“คุณล่ะ ไม่แสดงการรับผิดชอบในฐานะ ‘พ่อ’ หน่อยเหรอ”
แทนที่ปุริมาจะรู้สึกคล้อยตามสินธพ เธอกลับรู้สึกรำคาญคำพล่ามของเขาที่มากเกินพอดี ขณะเดียวกันกลับประทับใจกริยาเคร่งขรึมของผู้ปกครองที่ไม่ทำแม้แต่การแก้ตัว คัดค้าน หรือทำอะไรเพื่อปกป้องลูกชาย
เขมรัฐสบตากับสินธพตรง ๆ ดูว่าคู่กรณีจะกระหยิ่มกับชัยชนะที่ไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน เรื่องแค่นี่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงดังว่านั่นแหละ เขมรัฐเค่นยิ้ม เท่านี้ก็ดีใจ นี่มันเป็นการเอาคืนแบบเด็ก ๆ ชัด ๆ
“ผมขอโทษแทนลูกชายด้วยครับ จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
แทนจะที่จะให้สินธพ เขากลับส่งสายตาและน้ำเสียงสุภาพให้ผอ.คเชนทร์ อีกฝ่ายกล่าวตัดบททันท่วงที คนเจ็บจะขยับจึงไม่ทัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอจบเรื่องเท่านี้ จะสามโมงแล้ว เดี๋ยวรบกวนขอให้คุณเขมรัฐทราบเรื่องบทลงโทษ แล้วก็รับโขงกลับบ้านเลยก็แล้วกันคงไม่มีสมาธิเรียนแล้วล่ะ”
เขมรัฐเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน จับไหล่ลูกชาย ทำความเคารพผู้ใหญ่ทุกคนในห้องนั้น ก่อนจะเดินออกมา วินาทีหนึ่งสบตากับปุริมา
เขารู้ว่าโขงโกรธเรื่องอะไร เจ้าตัวแสบปกป้องใคร สายตาหญิงสาวคล้ายจะบอกว่าเธอทำได้เท่านี้ ชายหนุ่มจุดยิ้มจาง เธอดูวิตกกว่าที่คิด นึกขันไปล่วงหน้าว่าถ้าปุริมารู้ว่าวีรกรรมของลูกชายเขามีอะไรบ้างคงทำตาโตกว่านี้
เขมรัฐยืนรออยู่ไม่นานตอนโขงเดินกลับไปเก็บกระเป๋าที่ห้อง สายตาเพื่อนนักเรียนมองตาม บางคนถึงกลับพาตัวเองออกมานอกห้องเพื่อสังเกตการณ์
โขงขึ้นไปนั่งคู่คนขับด้วยกริยาไม่มั่นใจ เห็นสีหน้าอีกฝ่ายยังไม่มีรอยยิ้มยิ่งห่อเหี่ยว ต้องก้มหัวให้คนเกลียดยังเจ็บไม่เท่าทำให้คนเป็นพ่อถูกตำหนิ ถึงภาพลักษณ์ที่ใครมองจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับโขงพ่อไม่ใช่คนเลี้ยงลูกด้วยเงิน พ่อที่นั่งดูบอลด้วยกัน สอนการบ้าน สอนเล่นกีตาร์ และอีกสารพัดเรื่องที่จำเป็นกับการโตเป็นผู้ใหญ่ แบบนี้ไม่เรียกว่าไม่มีเวลาแบบที่สินธพดูถูกแน่นอน
“ฟันเพิ่งขึ้นหรือลูกชาย ถึงได้คันเขี้ยวนัก”
กำลังตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดก่อนแต่ไม่ทัน โขงหน้าเจื่อน
“พ่อ...โขงขอโทษ”
อีกฝ่ายถอนใจ คนเป็นลูกถือโอกาสขยายความ “แต่มันว่าพ่อก่อนนะ มันหาว่าพ่อตีท้ายครัวผอ.น่ะ ถึงพ่อจะชอบเจ๊แต่ผมรู้ว่าพ่อไม่ทำแบบนั้น แถมยังว่าเจ๊อีกหาว่ารู้เห็นเป็นใจ ผมว่ามันไม่ได้ทำแค่นี้แน่ สงสัยจะปล่อยข่าว...”
“โขง” ถูกขัดจังหวะ ทำเอาหน้าสลดอีกระลอก “ถึงกับกระโดดต่อยคนสูงกว่าได้นี่ ห้าวเป้งมากนะเอ็ง”
“มันต่างหากปากดี ทำเป็นหาว่าพ่อไม่สั่งสอน ตัวมันเองทำอะไรรู้อยู่แก่ใจ”
“อย่าเรียกเขาว่ามัน” น้ำเสียงกลับไปเป็นจริงจังเมื่อลูกชายทำท่าอารมณ์ขึ้นอีกระลอก
“พ่อต้องฟังมะ เอ้ย เขาพูด จะได้รู้ว่ายียวนกวนโอ้ยขนาดไหน”
คนพ่อบังคับพวงมาลัยให้รถเลี้ยว พูดเรียบ
“พ่อเข้าใจความรู้สึกนะ แต่ว่าโขงยังเด็ก มันก็เลยเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะทำแบบนั้น รู้ไหมว่าเขายั่วให้โมโห แล้วโขงก็หลงกลเขา”
โขงนิ่งไปครู่หนึ่ง ตาร้อนด้วยสำนึกผิด “ผมขอโทษที่ทำให้พ่อโดนเขาว่า”
เขมรัฐเอื้อมมือมาลูบศีรษะพร้อมรอยยิ้ม
“อย่าทำหน้ามาหมาหงอยแบบนั้น พ่อไม่ได้โกรธสักหน่อย อย่างงี้แหละ พ่อแกมันคนดังย่อมมีคนพูดถึงเป็นธรรมดา วันหลังก็ต้องใจเย็นกว่านี้ อย่างน้อยก็อย่าลงมือก่อน โอเคไหม”
พูดจบก็ยักคิ้วอย่างที่รู้กัน โขงยิ้มได้ แต่ก็รู้สึกผิดนิด ๆ สำหรับเด็กชายไม่มีอะไรสะเทือนความรู้สึกของเขาเท่าความผิดหวังของบิดา ครั้งนี้...แค่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเองก็ล้างความเดือดดาลต่อคู่กรณีหายวับ
....ต่อ
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ต.ค. 54 13:00:06
|
|
|
|