Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
^คนของความทรงจำ^ ติดต่อทีมงาน

คนของความทรงจำ

คนผ่านโลกจนรู้จักความตายและพร้อมจะยอมรับกับมันอย่างกล้าหาญจะบอกเสมอว่า มนุษย์เรามีเวลาอยู่เพียงไม่นาน เพราะเหตุนี้...จงทำในสิ่งที่เชื่อมั่นและตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด

“...ผมตื่นเช้ามาทุกวันกับคำถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมจะเสียใจไหมกับสิ่งที่ทำอยู่...” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยคำกลั้วหัวเราะเบา ๆ ให้เธอได้ยิน

หญิงสาวเอียงคอมอง “แล้วคุณเสียใจไหมคะ...กับทุกวันนี้”

“ผมได้คำตอบว่าเสียใจติดกันสามวัน ในช่วงแรกที่รู้ตัวว่ากำลังเจอกับอะไร แล้ววันที่สี่ คำตอบก็เปลี่ยนไป” เขาหมุนตัวกลับ เดินมานั่งที่ริมเก้าอี้ยาว ข้างเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ “โชคดีหรือเปล่าไม่รู้...ผมเคยตัดสินใจเที่ยวรอบโลกหลังจบไฮสคูล ตามหาว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ ตอนนั้นผมมาถึงเมืองไทย และได้รู้จักกับความเชื่อของพวกคุณ”

“อะไรคะ...การแพทย์แผนโบราณหรือ” เธอนึกถึงความเชื่อพื้นบ้านที่คุ้นเคย

“พุทธะ...” เขาออกเสียงได้เกือบชัด “มีพระที่นี่สอนให้ผมเชื่อในกฎของเหตุและผล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของการกระทำใดบางอย่าง เหมือนที่ไอสไตน์เคยบอกว่าต้องมีแอคชั่นกับรีแอคชั่น”

“นั่นทำให้คุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากบางสิ่งหรือคะ...แล้วคุณว่าเหตุมันคืออะไรละ”

“ผมไม่รู้หรอก...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักมันด้วยซ้ำ แต่บางที...ข้อมูลเหตุของมันอาจถูกบันทึกไว้ในดีเอ็นเอที่ผมยังหาไม่เจอก็ได้”

“แล้วเมื่อไรคุณจะหาเจอละ...”

“ปล่อยให้นักวิทยาศาสตร์กับพวกหมอเขาหากันไปเถอะ แต่สำหรับผม...พระรูปนั้นเคยบอกว่า เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เกิดเป็นผลจากการกระทำแล้ว ก็จงมองการกระทำในปัจจุบันเถอะ เพราะปัจจุบันคือสิ่งเดียวที่เราจะจัดการกับมันได้...ไม่ใช่อดีต และไม่ใช่การเฝ้ารออนาคตอย่างไร้จุดหมาย” เขาหันมาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาว

“สิ่งสำคัญคือเริ่มต้นทำในสิ่งที่เชื่อ และยืนอยู่กับปัจจุบันให้มั่นคง...รู้ไหม ผมใช้เวลาทำความเข้าใจกับคำของเขาอยู่นานมาก ก่อนที่จะกลับลอนดอนไปทำงานจริง ๆ จัง ๆ เสียที”

“ศาสนาของเรามีอิทธิพลกับคุณอย่างนั้นเลยหรือคะ”

“ถ้าคุณบอกว่าตัวเองเป็นสาวก เพื่อจะได้มีอะไรไว้กรอกในบัตรประจำตัว...ศาสนาใดก็เปลี่ยนคุณไม่ได้ แต่ถ้าคุณศึกษา เพื่อค้นหาบางอย่าง ผมว่า...ศาสนาของคุณตอบคำถามของผมได้ เพราะอย่างนั้นจึงมีอิทธิพลต่อผม”

“คุณพูดเสียฉันละอาย”

“ไม่ใช่เรื่องน่าอาย...กับมนุษย์บางคน ถ้ายังไม่เคยรู้สึกถึงความขาดหาย ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาคำตอบ”

เขาบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง ๆ น่ามอง “ผมเอง...ถ้าไม่เพราะมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ก็อาจไม่พยายามค้นหาและศึกษา”

“ค่ะ...แล้วตกลง...คุณทำอย่างไรกับสามวันที่ตื่นเช้ามากับคำว่าเสียใจละคะ” เธอยังไม่ลืมสิ่งที่เขาพูดค้างไว้ก่อนเรื่องจะวกไปไกล

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามแบบฉบับของเขา “ผมนั่งถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และคำตอบก็คือมันเป็นเพราะผมกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผมจัดการไม่ได้”

“นั่นสิคะ...บางครั้งมันก็เป็นเรื่องจัดการไม่ได้จริง ๆ ” เพราะเขาเงียบไปครู่ใหญ่ หญิงสาวจึงกระตุ้นด้วยการออกความเห็นขณะก้มลงมองมือตัวเองที่หุ้มด้วยเครื่องช่วยดึงเป็นเหล็กเส้นเล็กยืดไปยึดกับที่รัดข้อนิ้ว เพื่อดึงไม่ให้ข้อมือตกจนทำงานลำบาก

“จริงเหรอ...มองดี ๆ สิแล้วคุณจะรู้ว่าคุณคิดผิด”

“ฉันไม่เห็นวิธีมองอื่นที่มันจะดีได้เลยค่ะ...เมื่อความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป”

“อย่างไรละ”

หญิงสาวคลี่ยิ้มขื่น หลุบตามองแขนและขาของตัวเอง “คุณไม่อยากรู้หรอกว่าฉันต้องเสียอะไรไปมากแค่ไหน”

เขากลับหัวเราะ “ครับ...ผมไม่อยากรู้ และไม่อยากให้คุณค้นหาว่าคุณเสียอะไรไปมากแค่ไหน แต่ผมอยากให้คุณค้นหาให้พบ...ว่าได้อะไรมามากแค่ไหน”

“ได้เหรอคะ...ได้รู้ว่าโลกมันแย่ขนาดไหนน่ะสิ” เธอแค่นหัวเราะ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่เห็นอะไรที่น่าจะใช้คำว่า 'ได้' ได้เลย นอกจาก...ได้สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปมากมายเหลือเกิน

“นั่นไงครับ...สิ่งที่เราจัดการได้”

“คะ...”

ชายหนุ่มยิ้มขันเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว “ถ้าเราจัดการกับสิ่งภายนอกไม่ได้ บางครั้งก็ต้องหันมาจัดการที่ใจเราเอง...ถ้าใจไม่เสีย เราก็ไม่ต้องเสียใจ”

“ทำแบบนั้น...ได้จริง ๆ เหรอคะ”

“อย่าเพิ่งเชื่อผม แต่คุณต้องลองทำดู” เขาลุกขึ้นยืนบิดตัวเบา ๆ เงยหน้ามองฟ้า “ออกมานานแล้ว ผมพาคุณกลับห้องดีกว่า”

“ฉันยังไม่อยากกลับ”

“ผมต้องเจาะเลือดตอนห้าโมง...ถือว่าเป็นธุระของผมแล้วกัน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ยื่นนาฬิกามาให้เธอดู เข็มสั้นอยู่ระหว่างเลขสี่กับเลขห้า และเข็มยาวอยู่ที่เลขแปด “ไป...เดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องคุณหมอว่าผมพาคุณหนีเที่ยวอีก”

หญิงสาวย่นจมูก เงยหน้ามองผู้ชายที่เข็นรถเข็นที่เธอนั่งอยู่ไปตามทางโดยไม่คิดรอฟังคำตอบ “ถึงฉันบอกว่าไม่ คุณก็พาฉันกลับได้อยู่ดี ฮึ...ใช่สิ ก็ฉันมันติดอยู่บนรถเข็นแล้วนี่”

“อย่างนั้นก็รีบ ๆ เดินให้ได้สิครับ”

คงเพราะเวลาที่ผ่านมาเกือบเดือน ทำให้เธอทำใจได้มากขึ้น และไม่เผลอวีนใส่เขาเหมือนที่ทำกับคนอื่นเมื่อได้ยินใครพูดถึงการเดิน วันนี้หญิงสาวทำแค่เหยียดริมฝีปากกึ่งหยันกับโชคชะตา แล้วบอกเบา ๆ เพียงให้เขาพอได้ยิน “คงได้แค่ในฝันนั่นละ”

“คุณไม่อยากเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริงหรือ...แค่ฝันน่ะใคร ๆ ก็ทำได้ คนจริงเขาต้องทำให้ฝันเป็นจริงสิ” เขาเน้นเสียงหนัก ปนด้วยความมุ่งมั่นที่ส่งผ่านมาจนเธอรับรู้ได้

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น พอดีกับที่เขาเข็นรถเข้ามาในหอพักผู้ป่วย พยาบาลที่เคาท์เตอร์ประจำชั้นผู้ป่วยพิเศษถอนใจยาวด้วยอาการโล่งอก ก่อนจะเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม

“ดิฉันกำลังจะไปตามพอดี”

“ผมรู้เวลานะครับ...ไม่ทำให้คุณลำบากใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร ปล่อยมือจากรถเข็น ละให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลอีกคนเข็นรถเธอไปช้า ๆ ขณะที่เขาเดินตามมา

ห้องพักของเธอถึงก่อน เขาหยุดรอให้พยาบาลเข็นรถเธอเข้าไปในห้อง ร่างสูงหนาโน้มตัวมาใกล้ บอกเสียงอ่อนต่างจากแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นที่รุนแรงจนหญิงสาวแทบไม่กล้ามอง “แล้วพรุ่งนี้...ผมจะมาทวงคำตอบนะครับ”

เขาเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยซึ่งอยู่ข้าง ๆ ห้องของเธอ หญิงสาวมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนพยาบาลปิดประตูห้องของเธอลง แววตาของเขาทำให้เธอนึกอิจฉา ครั้งหนึ่งในความทรงจำ เธอจำได้ว่าตัวเองเคยมีแววตาเช่นนั้น...แต่มันหายไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน

พุทธะอย่างนั้นหรือ...เพราะสิ่งนั้นหรือเปล่า ทำให้เขายังรักษาแววตาเช่นนั้นไว้ได้ แม้ในวันที่โชคชะตาเล่นตลกกับเราอย่างรุนแรงเช่นนี้

เด็กรับใช้ที่มารดาส่งมาช่วยดูแลหญิงสาวเข้ามาช่วยพยาบาลสาวพาเธอขึ้นไปนอนบนเตียง การอยู่นิ่ง ๆ แล้วต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลาเป็นความรู้สึกที่ทรมานสำหรับคนรับการดูแลเช่นกัน
หญิงสาวคิดถึงวันเก่า ๆ ก่อนที่อุบัติเหตุทางรถยนต์จะพรากทุกสิ่งไปจากเธอ

ภาพเซเลบสาวที่ใครต่อใครเคยกล่าวขวัญเป็นความภาคภูมิใจที่เธอเคยมีมานาน หญิงสาวเชื่อมาตลอดว่าเธอเกิดมาพร้อมความโชคดีอย่างที่สุด จะกรรมหรือดีเอ็นเอก็ตาม สร้างผู้หญิงอย่างเธอให้เพียบพร้อม
เธอเคยเป็นสาวสังคมที่งานเลี้ยงชั้นสูงใฝ่หา งานไหนที่เธอย่างกรายเข้าไปล้วนสร้างความโดดเด่นให้งานได้เสมอ

เธอไม่ได้สวยเลิศขนาดนางแบบต้องหลบ แต่อย่างน้อยก็คงพอเทียบเคียงกันได้โดยไม่อายใคร เพราะเค้าหน้าที่ได้มาจากมารดาซึ่งเคยเป็นนางเอกที่คนค่อนประเทศหลงเสน่ห์ เหนือกว่าหน้าตาคือความเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านอดีตเอกอัครราชฑูตที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เป็นน้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าพ่อธุรกิจโฆษณารายใหญ่ของประเทศ ชาติตระกูลเธอดีเยี่ยมอย่างหาคนเทียบได้ยาก ขณะที่มันสมองก็รับประกันได้ด้วยปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ด รวมกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายใหญ่ที่เธอกับเพื่อนร่วมสร้างมากับมือ และผลักดันจนก้าวสู่รายชื่อบริษัทชั้นนำของประเทศ

ผู้หญิงที่เคยเพียบพร้อมขนาดนั้น กลับมาติดอยู่ในรถเข็น และต้องการคนดูแลแทบตลอดวัน ไม่ว่าจะมองมุมไหน หญิงสาวก็เห็นแต่ความสูญเสีย หาคำตอบไม่ได้จริง ๆ ว่าได้อะไรมา

อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบเดือนก่อน เหมือนจะพรากเอาทั้งชีวิตไปจากเธอ

หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า ร่างกายตั้งแต่ไหล่ลงไปไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่มีอะไรจะทำให้เธอรู้สึกสมเพชตัวเองได้มากกว่านี้อีกแล้ว

คนที่เคยคิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้คนมากมาย เป็นผู้หญิงที่สวรรค์ประทานพรอันประเสิรฐให้ ตอนนี้เธอเหมือนนางฟ้าตกสวรรค์ ที่แม้แต่จะใช้ชีวิต ยังต้องพึ่งพาคนอื่น

แม้ในความฝัน หญิงสาวก็ยังอดจะเหยียดยิ้มกึ่งหยันที่มุมปากให้กับโชคชะตาของตนเองไม่ได้



ผู้เข้าเยี่ยมเพียงคนเดียวที่หญิงสาวได้พบตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คือชายหนุ่มใหญ่ที่เธอคุยด้วยถูกคอตั้งแต่วันที่ออกจากห้องไอซียูมาพักที่ห้องพิเศษแบบคู่ เนื่องจากห้องพักเดี่ยวหมด ทั้งเธอและเขาตกชะตากรรมเดียวกันคือถูกเนรเทศมาอยู่ด้วยกัน แม้เพียงสองวันก่อนที่จะแยกย้ายไปอยู่ห้องพิเศษเดี่ยวข้าง ๆ กัน แต่เขาก็ยังมีไมตรีแวะมาเยี่ยมอยู่เสมอ

หญิงสาวคงไม่ลำบากใจเท่าไร หากเขาจะทำตัวเหมือนวันก่อน ๆ คือพาเธอออกไปสูดอากาศที่สวน และพูดคุยเป็นเพื่อนกัน

แต่เพราะคำถามที่ค้างไว้ในวันนั้น ทุกวันที่พบกันอีก เขาก็จะถามซ้ำ ๆ ว่าเธอได้คำตอบหรือยัง

เธอพยายามแล้ว ทั้งเลี่ยงทำไม่รู้ “ฉันไม่เห็นรู้...คุณถามอะไรไว้หรือ” แล้วเขาก็ทวนคำถามซ้ำ เป็นอันว่าวันต่อมาเธอไม่สามารถใช้คำตอบนี้ได้อีก

“ฉันได้รู้จักความสูญเสีย” เธอพยายามหาคำตอบให้เขา แต่ก็ยังเป็นทัศนคติแบบเดิม ๆ เขาส่ายหน้า หัวเราะ

“นั่นไม่ใช่การได้มาเสียหน่อย”



“ฉันได้รู้ว่าไม่มีใครรักที่ฉันเป็นฉันจริง ๆ เลย ดังนั้นเมื่อฉันเสียสถานะที่เขาใส่ใจไป ฉันก็ไม่มีค่าพอให้เขารักอีก” เธอตอบเขาเสียงขื่นในวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งพ่อแม่ พี่ชาย และเพื่อนรักไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเกือบสิบวันติดกันแล้ว

“คุณไม่ได้ดูโทรทัศน์ใช่ไหม”

“ฉันไม่อยากได้ยินข่าวอะไรทั้งนั้น”

เขาพยักหน้ากึ่งยอมรับ “โอเค...เพราะอย่างนี้คุณถึงไม่รู้สินะว่าเพราะคุณมาอยู่อย่างนี้ งานที่บริษัทของคุณเลยวุ่นวายมาก หุ้นร่วงกราวเพราะผู้ถือหุ้นที่เคยเชื่อในการบริหารของคุณไม่มั่นใจในเสถียรภาพของบริษัทอีกแล้ว คนที่คุณคิดว่าเขาไม่รักคุณน่ะ...ก็คงพยายามจัดการรักษาบริษัทที่คุณรักอยู่นั่นละ”

หญิงสาวได้แต่นิ่งงัน “มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ...ขนาดที่พวกเขาปลีกเวลามาหาฉันไม่ได้เชียวหรือ”

“ถามเขาเองดีกว่าไหม” เขาบอกก่อนจะหมุนเก้าอี้รถเข็นเธอไปด้านหลัง เพื่อจะพบกับร่างสูงใหญ่ของพี่ชายในชุดสูทสีเทาเรียบซึ่งกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงมาหา

ปกติพี่ชายเป็นคนรักษามาด เขาไม่วิ่ง ไม่แสดงท่าทีว่าร้อนรน...เว้นแต่บางเรื่องที่ทำให้จิตใจเขาไม่สงบ และเรื่องของเธอเป็นหนึ่งในนั้น

ไม่ต้องมีคำถาม หญิงสาวแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ เอียงคอมองคนที่ตรงเข้ามาโอบกอดเธอไว้

“คิดถึงน้องจัง...ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้มาหาตั้งนาน ช่วงนี้พี่ยุ่งมาก”

โชคดีที่เขาบอกไว้แล้ว หญิงสาวจึงไม่หลุดวีนใส่พี่ชาย เธอแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ ด้วยความดีใจ หยาดน้ำใส ๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหนล้นมาเอ่ออยู่ที่ตา เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่มองหน้าเธอถึงกับหน้าเสีย รีบยกมือแตะหางตาเธอ

“ร้องไห้ทำไม...โกรธพี่หรือ พี่ขอโทษนะ”

“ไม่ค่ะ ไม่...” หญิงสาวรีบบอก “ฉันไม่ได้โกรธ แค่ดีใจที่พี่ยังรักฉัน ยังไม่ลืมว่ามีฉันอยู่ตรงนี้”

“พี่จะลืมน้องได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ...พี่จะพากลับห้อง นักกายภาพบำบัดมารอน้องอยู่นานแล้ว”

หญิงสาวเหลือบมองไปทางผู้ชายอีกคนที่ทำเป็นเดินชมสวนอยู่ไม่ไกล พี่ชายเหมือนจะรู้ ร่างสูงในชุดสูทจึงก้าวตรงไปหาผู้ชายในชุดสีเขียวบอกความเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ...ที่ช่วยดูแลน้องสาวผม” ประโยคนั้นไม่ใช่แค่คำขอบคุณต่อชายหนุ่มผู้นั้น แต่ทำให้น้องสาวได้รู้ว่าพี่ชายที่ไม่มาหาเป็นสิบวันคงรู้เรื่องของเธอโดยตลอด

เขาหันมายิ้มรับ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจ้องหน้าเขาแล้วกระพริบตาเหมือนจะบอกบางอย่าง ชายหนุ่มจึงเดินตรงเข้ามาหาเธออีกครั้ง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ก้มลงมาหน่อยสิคะ ฉันลุกไปกระซิบกับคุณไม่ได้หรอก” เธอบอกโดยไม่สนใจพี่ชายที่ยืนมองอย่างประหลาดใจอยู่ข้างรถเข็น

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ เอียงคอให้เธอกระซิบได้ถนัดโดยไม่ต้องขยับตัวมาก

“ฉันได้...ได้รู้ว่ายังมีคนที่รักฉันโดยไม่มีเงื่อนไขอยู่เหมือนกัน”

คำตอบนั้นทำให้รอยยิ้มบนหน้าของชายหนุ่มกว้างขึ้น เขากระซิบตอบเบา ๆ “คุณได้...ได้รู้ว่าตัวคุณมีค่าพอให้พวกเขารักโดยไม่มีเงื่อนไข”

ชายหนุ่มดึงตัวขึ้น โคลงศีรษะเบา ๆ ให้พี่ชายของหญิงสาว ก่อนจะบอกเธออีกครั้ง “แล้วพรุ่งนี้ผมจะรอคำตอบต่อไป”

“หา...ยังไม่พออีกเหรอ”

“คิดสิครับคนเก่ง...มีอะไรอีกบ้างที่จะเป็นคำตอบของคุณได้” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินจากไป



หลังจากนั้น เธอก็พยายามที่จะตอบ “ฉันได้...” อีกหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มยังมีข้อโต้แย้งอยู่เสมอ

“ฉันได้รู้ว่า...สมองฉันยังมีมูลค่าอยู่เหมือนกัน” หญิงสาวให้คำตอบเขา หลังจากวันที่เพื่อนรักและหุ้นส่วนมาเยี่ยม ความจริงเธอก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่บังเอิญเด็กรับใช้เข็นรถเข็นไปทันที่เธอได้เห็นตัวเลขสีแดงบนหน้าจอไอแพดของเพื่อนพอดี

ความเป็นนักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามถึงสถานการณ์ของบริษัท ก่อนจะออกความเห็นและยิ้มให้เพื่อนที่ลากลับไปด้วยสีหน้าที่ดีกว่าตอนเดินเข้ามา

“ไม่หรอก...สมองคุณมูลค่าต่ำมากแล้ว” เขาแย้งหน้าตาเฉย

“นี่...คุณ” หญิงสาวอ้าปากค้าง คิดไม่ออกว่าจะว่าเขาอย่างไรดี

ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ก็คุณใช้งานสมองมากเหลือเกิน ค่าเสื่อมราคาก็ต้องหักไปมากเป็นธรรมดา”



“ฉันได้โอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตใหม่อีกครั้ง” เธอคิดคำตอบนี้ได้หลังจากที่นักกายภาพและนักกิจกรรมบำบัดช่วยกันจัดการฝึกให้ฉันล้างหน้าและแปรงฟันด้วยตัวเอง ข้อมือที่เคยงออยู่ตลอดถูกรั้งด้วยเครื่องมือพิเศษที่เธอเริ่มใช้งานได้คล่องพอสมควร และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาคิดว่าถึงเวลาฝึกเธอให้แปรงฟันได้แล้ว
เขาแค่อมยิ้มมองเธอนิ่ง ไม่มีคำตอบรับหรือโต้แย้งใด ๆ แต่ยังมีคำพูดเดิมเมื่อส่งหญิงสาวเข้าห้องพัก

“ผมจะรอคำตอบของวันพรุ่งนี้นะครับ”



หญิงสาวนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง มือที่อยู่บนตักถูกยกขึ้นระดับสายตา เธอกำมือแล้วปล่อยให้เครื่องมือที่ติดอยู่ดึงนิ้วให้เหยียดออกช้า ๆ

ตั้งแต่เมื่อไรที่การกายภาพบำบัดกลายเป็นเรื่องสนุก เธอรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ตื่นเต้นกับการเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอีกครั้ง เธอพยายามมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงเพื่อจะรายงานให้ผู้ชายข้างห้องฟังถึงความคืบหน้าในการใช้ชีวิตของเธอ

หมอบอกนานแล้วว่าการบาดเจ็บที่ไขสันหลังของเธออยู่ในกลุ่มที่สามารถฟื้นฟูได้ แม้จะไม่ถึงกับฟื้นฟูให้ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองก็ยังดี หญิงสาวไม่เคยสนใจมันเพราะไม่มีแรงบันดาลใจพอให้เธอคิดทำอย่างตั้งใจ จนเมื่อเธอรู้ว่าเธอได้อะไรมามากมาย ความพยายามก็ดูจะเป็นสิ่งมีค่าอย่างหนึ่งที่เธอได้มา

“ใช่...ฉันได้รู้ว่าความพยายามมันมีค่า เมื่อเราต้องการจะทำบางอย่างให้ได้” เธอกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่เสียงข่าวจากโทรทัศน์จะดึงหญิงสาวกลับมาสู่โลกของความจริงอีกครั้ง

เสียงใสกังวานของผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานข่าวพิเศษที่ทำให้ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวเบิกกว้างจัด ภาพในข่าวคือรถยนต์คันหรูที่เวลานี้เละจนแทบไม่เห็นสภาพเดิม

บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ย์เจ็ดคันโปรดของเพื่อนรักเคยเป็นที่ภาคภูมิใจของเขาเสมอ แต่เวลานี้เหลือแค่ซาก เธอไม่ได้เสียดายรถ แต่ตกใจกับคำบรรยายภาพนั้นมากกว่า

“...สำหรับผู้เสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังว่า...” นั่นคือชื่อของเพื่อนเธอ เป็นทั้งเพื่อนรัก ทั้งหุ้นส่วนคนสำคัญที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอเมื่อหลายวันก่อน คำอธิบายต่อท้ายชื่อเขาค่อนข้างยาว ในฐานะบุตรชายนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และผู้บริหารบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ที่เราครอบครองร่วมกัน

หยาดน้ำตาร่วงหล่นมาไม่ขาดสาย “ไม่จริง...ไม่จริง...” หญิงสาวอยากให้มันเป็นเพียงความฝัน

พยาบาลเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นเธอกำลังร้องไห้ก็หน้าเสีย รีบก้าวเข้ามากำลังจะเอ่ยถามหาสาเหตุ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่จ้องมองตรงไปที่โทรทัศน์ คนในชุดขาวก็หันมองตาม พอดีกับที่ภาพผู้เสียชีวิตปรากฏขึ้นบนจอ เป็นผู้ชายที่เพิ่งมาเยี่ยมเธอไม่นาน

“ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะคะ...เวลานี้ คุณยังไม่ควรเครียดอะไรทั้งนั้น” พยาบาลสาวกดรีโมทปิดโทรทัศน์ หันมาบอกหญิงสาวเสียงเบา และแตะมือลงที่แขนเธอบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ แต่หญิงสาวไม่รับรู้ถึงสัมผัสนั้น

“มันไม่จริงใช่ไหม...บอกฉันสิว่ามันไม่จริง” เธอเงยหน้าจ้องมองพยาบาลสาวอย่างคาดคั้น

แต่ท่าทางของคนตรงหน้าที่หลุบตาลงไม่เอ่ยคำตอบยิ่งทำให้หญิงสาวไม่สามารถจะปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป เธอก้มหน้าลง ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมาโดยไร้เสียงสะอื้น นานจนฟ้ากลายเป็นสีดำ ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก พร้อมกับที่พี่ชายเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเธอนั่นละ

“เห็นข่าวแล้วใช่ไหม”

“เป็นความจริงหรือคะ...เขาทิ้งฉันไปแล้วจริง ๆ หรือ” เธอถามเสียงเครือ เพราะคนที่ข่าวบอกว่าจากไปแล้วเคยสัญญากับเธอว่าจะช่วยกันทำงาน จะดูแลเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป

ชายหนุ่มในชุดสูทย่อตัวลงตรงหน้าเธอ กอดร่างบางนั้นไว้แน่น “ไม่เป็นไรนะเด็กดี...พี่อยู่ตรงนี้นะคะ” พี่ชายปลอบเหมือนวันเก่า ๆ เมื่อคราวทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย หญิงสาวสูดลมหายใจยาว สะอื้นไห้อยู่กับไหล่ของพี่ชาย

“ไม่ต้องห่วงนะ...พี่สัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

“พี่พาเขามาคืนฉันไม่ได้หรอกค่ะ” เธอยังเข้าใจโลกดีพอ

พี่ชายคลี่ยิ้มบาง ๆ “แต่พี่รักษาสิ่งที่พวกเธอรักไว้ให้ได้...บริษัทของเธอ”

“งานของพี่หนักพอแล้ว”

“พี่ยังพอมีเวลาเหลือ” เขาบอกเบา ๆ แต่หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ เธอยังจำได้ว่าก่อนเธอจะมาติดอยู่ในรถเข็นแบบนี้ ทั้งพี่ชายและเธอเคยทำงานหนักมากจนแทบไม่มีเวลากลับบ้าน

และงานที่บริษัทของเธอคงหนักเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่มีข่าวทำให้เกิดความแปรปรวนเช่นนี้ หากพี่ชายยื่นมือเข้ามาช่วย เขาจะเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาให้พัก และนิสัยอย่างพี่ก็คงไม่ปริปากบอกเธอ

เขาจะมุ่งมั่นรักษามันไว้ เพราะรู้ว่านั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอรัก

“อย่าเลยค่ะ...อย่าทำเพื่อฉันมากขนาดนั้น”

“เธอเป็นน้องพี่นะ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พี่พร้อมจะดูแลเธอเสมอ”

“ขอบคุณนะคะ...ฉันโชคดีเหลือเกินที่มีพี่” หญิงสาวคลี่ยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะเม้มริมฝีปากเบา ๆ แล้วบอกด้วยความมุ่งมั่น “แต่ฉันจะเอาแต่ใช้ความโชคดีบนหยาดเหงื่อของพี่ไม่ได้หรอก...ฉันจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง”

คำนั้นทำให้ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอเบิกตากว้าง “แต่เธอ...”

“ฉันบาดเจ็บที่ไขสันหลัง...แต่สมองฉันยังทำงานได้นะคะ” หญิงสาวรู้สึกเหมือนดวงตาแห่งความเชื่อมั่นและมุ่งมั่นกลับคืนมาอีกครั้ง พี่ชายมองหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่เดียว ก่อนจะแตะมือเธอเบา ๆ แม้ผิวนั้นจะไม่สามารถรับความรู้สึกได้ดีนัก แต่เธอรับรู้ถึงความห่วงใยของเขาได้ดี

“ให้ฉันทำเถอะนะ...มันเป็นหน้าที่ของฉัน”

ชายหนุ่มในชุดสูทพยักหน้ารับ แต่ยังมีเงื่อนไข “สัญญากับพี่ว่าน้องจะไม่หักโหมจนเกินไป แบ่งเวลาทำกายภาพตามนัด และ...อย่าแบกโลกเอาไว้คนเดียว ถ้าไม่ไหวก็บอก...พี่จะมองเธออยู่ตรงนี้”

หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างขึ้น พยายามยกมือขึ้นกอดร่างสูงของตนตรงหน้า “ฉันสัญญา...ขอบคุณนะคะ พี่ชาย”



หญิงสาวเพิ่งรู้สึกในเช้าวันต่อมา ว่าเมื่อวานนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มข้างห้องไม่ได้เข้ามาพาเธอออกไปเที่ยว หญิงสาวใช้คันบังคับของรถเข็นไฟฟ้าพาตัวเองไปที่ประตูหน้าห้อง ยกมือขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อจะแตะมือลงที่ประตู ลูกบิดแบบก้านโลหะที่ทำให้ยื่นออกมาช่วยให้คนซึ่งใช้มือไม่สะดวกไม่ถึงกับลำบากมากนัก ล็อกประตูหลุดออกจากขอบวงกบ หญิงสาวกำลังจะบังคับรถให้ชนประตูเปิดออกไปแล้ว โชคดีที่เสียงร้องของสาวใช้ดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง เธอจึงนั่งรออย่างสงบ

“คุณหนูจะไปไหนคะ” สาวใช้ก้มตัวลงถามอย่างนอบน้อม

“ห้องข้าง ๆ นี่ละ เขายังอยู่ใช่ไหม”

สาวใช้อมยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปอยู่ด้านหลังรถเข็น “ยังอยู่ค่ะ เมื่อเช้าหนูเห็นเพิ่งมีคนมาเยี่ยมเอง”

เด็กสาวร่างสูงโปร่งเข็นรถเข็นพานายสาวออกจากห้อง ก่อนจะหยุดหน้าประตูห้องพักคนไข้ข้าง ๆ กัน เธอกำลังจะยื่นมือไปกดกริ่งบอกคนข้างใน แต่คนบนรถเข็นรีบห้ามไว้

“อย่ากด...” เสียงใสร้องบอก ก่อนหญิงสาวจะถอนใจเบา ๆ “กลับห้องเถอะ เผื่อเขาจะหลับอยู่”

เด็กสาวกำลังจะอ้าปากท้วง โชคดีที่พยาบาลสาวเปิดประตูออกมาพอดี พอเห็นผู้หญิงในรถเข็น เธอก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“พี่พยาบาลออกมาพอดี...คุณผู้ชายพักผ่อนอยู่หรือเปล่าคะ” เด็กสาวถามแทนนายสาว อาศัยความที่ผู้เป็นนายออกทุนสนับสนุนจนเธอได้เป็นนักเรียนพยาบาล ทำให้เธอคุ้นเคยกับนางฟ้าในชุดขาวของโรงพยาบาลเป็นอย่างดี

คนถูกถามนิ่งไปเพียงครู่จึงเอ่ยตอบ “เอ้อ...ถ้าคุณหนูจะเข้าเยี่ยม เดี๋ยวดิฉันเข้าไปแจ้งก่อนนะคะ” แล้วร่างโปร่งระหงก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง รออยู่เพียงครู่จึงออกมาบอกให้สาวใช้เข็นรถเข็นพาคนเป็นนายเข้าไป
หลังประตูบานใหญ่คือห้องนั่งเล่นรับแขกออกแบบเหมือนห้องที่เธอพักอยู่ พยาบาลสาวเดินตามมาแล้วบอก

“อยู่ในห้องนอนค่ะ...ด้านนี้” เธอนำไปสู่ส่วนที่เชื่อมไปยังห้องนอน

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่คือเตียงนอนขนาดกลางซึ่งมีชายหนุ่มนอนพักอยู่ เขาเอนตัวพิงหมอนซึ่งหนุนหลังไว้จนตัวเกือบตรง ใบหน้าดูซีดเซียว แต่ยังมีรอยยิ้มระบายอยู่เหมือนที่เธอเคยเห็นเสมอ สายตาเขามองมาที่เธอเพียงครู่เดียว ก่อนจะเลื่อนกลับไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซึ่งวางอยู่บนหมอนที่หน้าตัก เอ่ยคำเสียงเรียบ

“จัดการตามนั้น แล้วส่งรายงานกับสัญญาฉบับใหม่เข้าเมล์ผมก็แล้วกัน” เขาสั่งการทางคอมพิวเตอร์เป็นภาษาอังกฤษเสนาะหูอย่างเจ้าของภาษา ก่อนจะเอ่ยลาแล้วพับหน้าจอลง เงยหน้ากลับมามองหญิงสาวอีกครั้ง

“ขอโทษครับ...พอดีมีงานที่บริษัทนิดหน่อย”

“ฉันต่างหากต้องขอโทษที่มากวน” เธอบอก “เพิ่งรู้ว่าคุณหอบงานมาทำถึงนี่ด้วย”

“จำใจต้องทำมากกว่าครับ...ยังปล่อยมือได้ไม่เต็มที่เสียที” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ขณะที่หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มนิ่งอย่างพิจารณา

เธอเพิ่งนึกได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา ตรงหน้าเธอคือผู้ชายที่หลายคนเชื่อกันว่าอาจสร้างตำนานบทใหม่ขึ้นในโลกยุคที่เทคโนโลยีเรืองอำนาจ เขาคือนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยอดอัจฉริยะที่สร้างตัวเองขึ้นมาจากพื้นเพที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์

“คุณยังเขียนโปรแกรมอยู่หรือเปล่าคะ”

“ไม่ได้ทำเต็มตัวแล้วละครับ...ผมแค่วางแนวทางและตรวจแก้เท่านั้น จะมีที่เขียนเล่น ๆ อยู่ เผื่อว่าพอจะเป็นประโยชน์บ้างก็โปรเจคท์ทางการแพทย์นี่ละครับ”

“หืม...อะไรกันคะ”

“ซิมูเลเตอร์ครับ” เขาหมายถึงเครื่องฝึกเสมือนจริง เพียงได้ยินหญิงสาวก็เบิกตากว้าง แค่ฟังก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่เขายังหัวเราะ “ถ้าทำสำเร็จ...น่าจะเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์มากทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ มันยังเป็นแค่โครงอยู่เลย ผมจะอยู่ทำจนเสร็จได้ไหมก็ไม่รู้”

“อย่าพูดอย่างนั้น...คนไทยเขาถือ” หญิงสาวออกปากดุ ทั้งที่เธอไม่เคยสนใจคำพูดถึงความเป็นตายของใคร แต่ข่าวร้ายของเพื่อนรักที่เพิ่งได้ยินทำให้เธอเปราะบาง

ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมต้องถือครับ...คนเราเกิดมาก็ต้องตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ”

“ไม่มีใครอยากตาย และไม่มีใครอยากพบกับความตายของคนที่รักหรอกนะคะ” พลั้งปากออกไปแล้วหญิงสาวก็เพิ่งรู้สึกว่าคำพูดของเธอมีนัยยะบางอย่างที่ทำให้คนฟังอาจคิดไปไกลเกิน เธอจึงรีบแก้ “เอ้อ...ฉันหมายถึงคนคุ้นเคย คนรู้จักกัน”

“ผมชอบคำแรกมากกว่า...แต่ถ้าคุณยังไม่กรุณาขนาดนั้น ผมก็คงได้แต่ยอมรับ”

หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเขาอย่างพยายามค้นหาความหมายของคำพูดนั้น แต่ชายหนุ่มก็เพียงส่งยิ้มบาง ๆ มาให้อย่างใจเย็น เธอนิ่งไปครู่ ก่อนจะบอกเบา ๆ “บางทีฉันน่าจะใช้เทคโนโลยีช่วยอย่างคุณบ้าง”

“คุณจะทำอะไร”

“ฉันจะกลับไปทำงานค่ะ” เธอเชิดหน้าบอกด้วยความมั่นใจในตัวเอง วูบหนึ่งที่ความรู้สึกในใจบอกว่าดวงตาของความเชื่อมั่นที่เคยมีกลับคืนมาสู่เธออีกครั้ง

ผู้ชายตรงหน้าเธอยิ้มบาง ๆ ก่อนบอก “ดีครับ...”

หญิงสาวหัวเราะ “คิดแล้วว่าคุณต้องบอกอย่างนี้...ถ้าเป็นคนอื่นฟังคงถามว่าฉันจะทำได้อย่างไร แต่คุณ...ผลักฉันไปข้างหน้าตลอดเลยนะคะ”

“เพราะเชื่อว่าคุณจะก้าวไปได้น่ะสิครับ”เขาบอกด้วยแววตาแบบเดียวกับที่เคยทำให้เธอหวั่นไหวและนึกอิจฉา แต่เมื่อเธอรู้ว่าดวงตาเธอกำลังฉายประกายไม่ต่างกัน วันนี้หญิงสาวจึงยิ้มให้เขาได้

“ขอบคุณนะคะ...วันนี้ฉันได้...ได้รู้จักความกล้าหาญที่จะพาคนล้มให้เดินไปข้างหน้า”

“และวันหนึ่ง...ความกล้านั้นจะพาให้คุณลุกขึ้นเดินอีกครั้ง” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ “ผมเชื่ออย่างนั้น”

หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ๆ แม้ใครจะบอกว่าการบาดเจ็บที่ไขสันหลังของเธออยู่ในกลุ่มที่ฟื้นฟูได้ แต่ความหวังที่จะเดินได้อีกครั้งก็ยังริบหรี่เสียเหลือเกิน เธอไม่เคยมั่นใจ แต่เมื่อเขาเชื่อ “ฉันจะพยายามเชื่ออย่างนั้นค่ะ...ใกล้เวลาประชุมแล้ว ฉันคงต้องออกไปทำงานสักพัก”

“วันแรกจะหนักเสมอ แต่ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านมันไปได้” นั่นอาจเป็นคำอวยพรของผู้ชายคนนั้น ก่อนที่เขาจะยิ้มให้เธออย่างเจ้าเล่ห์อยู่นิด ๆ “ผมจะรอคำตอบของวันพรุ่งนี้”

“ฉันจะหามาตอบนะคะ” หญิงสาวบอกเบา ๆ ก่อนจะหันไปตรงส่วนประตูบานเลื่อนที่เปิดออกกว้าง หลังบานประตูเป็นห้องพักผู้ดูแลผู้ป่วยที่ต่อเชื่อมกับห้องนั่งเล่นด้านนอกสุด เด็กสาวที่พาเธอมานั่งรออยู่ตรงนั้น เพียงเธอพยักหน้าเบา ๆ ร่างเล็กก็รีบเดินเข้ามาหา

“กลับเถอะ”

เด็กสาวหันมายกมือไหว้ชายหนุ่มแทนคำลา ก่อนจะเข็นรถเข็นพาเธอกลับไปที่ห้องพัก

แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 54 23:02:08

จากคุณ : Argent
เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 54 23:01:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com