ขอพูดอะไรๆ เบาๆ บ้าง สลับกับแรงๆ บ้าง นะคะ ...

นั่งเสพย์ข่าวเรื่องน้ำท่วมอยู่หลายวัน หลายวันจนรู้สึกประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วมจริงๆ ไปเสียแล้วผู้หนึ่ง

ทั้งๆ ที่สถานการณ์โดยรอบทั้งพื้นเพถิ่นที่อยู่ตัวเองในยามนี้ ยังอยู่ห่างไกลเรื่องน้ำท่วมอยู่มาก แต่ก็ยังอยากดู อยากรู้ อยากเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติจำนวนนี้
ว่าพวกเขาจะ อยู่ กิน หลับ นอนอย่างไร  

ที่สำคัญเรื่องการจัดการรับมือกับปัญหา ‘มหันตอุทกภัย’ ในครั้งนี้   หน่วยงานทุกส่วนที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน มันจะมีแนวทาง ทิศทางอย่างไรบ้าง

ดังนั้น การอัพเดตสถานการณ์จึงมีไปหมดตั้งแต่ดูข่าวทาง โทรทัศน์ เข้าอินเตอร์เน็ตเปิดเวบไซต์ดังๆ  ทั้งเว็บข่าวบ้าง และเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีการเกาะติดสถานการณ์ในครั้งนี้ไปพร้อมๆ กัน

และแน่นอนที่ฮอตฮิตที่สุด การอัพเดตข่าวสามารถทำได้นาทีต่อนาทีเลย ก็คงไม่พ้นพวกระบบ  ‘Social network’ ที่กำลังนิยมอยู่มากอยู่ในตอนนี้ก็หนีไม่พ้น ‘Facebook’   นั่นเอง

จากกระแสข่าวที่มีมาหลายๆ ทิศทาง ย่อมนำไปสู่ความรู้สึกอันหลากหลาย เช่น เครียด สงสาร เห็นใจ ร้องไห้ ตื้นตันใจ…เชื่อเหลือเกินว่าเหล่านี้คงเป็นความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับหลายๆ คน  

ดังนั้น ความรู้สึกหลากหลาย จึงไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเจาะจงลงไปสักเท่าไหร่  

ไม่เท่ากับเรื่องไม่กี่เรื่องต่อจากนี้…

บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่น้ำยังจ่อๆ อยู่แถวนครสวรรค์ยันถึงปทุมฯ  ยังไม่ได้จ่อที่คอหอยคนกรุงฯ เหมือนอย่างตอนนี้ มาได้ยินคำศัพท์ใหม่ๆ เกี่ยวกับน้ำเกิดขึ้น

ตอนแรกที่ได้ยินไม่คุ้นหู รู้สึกจั๊กจี้บ้าง ยอมรับว่ามีแอบอมยิ้มกับตัวเองเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำไป  ทำไมถึงต้องแอบอมยิ้ม เพราะว่า เดี๋ยวนี้ ‘น้ำตลบหลัง’ คนก็เป็นแล้วนะ…?

เดี๋ยวนี้น้ำมันเก่งขึ้น  ตลบหลังทีเดียวคนเดือดร้อนร่วมล้าน!

‘น้ำตลบหลัง’  หรือ? อย่าไปยัดคำศัพท์แผลงๆ แรงๆ ให้กับน้ำเลย  เพราะถ้าจริงๆ ดูตามสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำมันก็แค่อยากจะไหลไปตามวิถีทางของมันก็เท่านั้น

น้ำที่สูงย่อมอยากไหลลงสู่ที่ต่ำ น้ำจากที่ดอนย่อมอยากไหลลงสู่ที่ลุ่ม ตรงไหนมีหนทางให้มันไหลคล่อง ไหลลัดเลาะ ไหลสะดวก มันรู้แค่ว่ามันก็จะต้องไหลไปตามทางสะดวกของมันก็เท่านั้น  

หากไปขัดวิถีทางของน้ำ  มันก็ย่อมเกิดผลสะท้อนกลับมาด้วยแรงอัด แรงดัน  ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปรกติทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรือ

น้ำจะตลบหน้า หรือจะตลบหลังก็ช่างมันเถอะ  จริงๆ แล้ว มันยังไม่ใช่เรื่องที่น่าคิดเท่ากับ ‘คนเรากำลังตลบหลังกันเอง’ อยู่นี่สิ…

แล้ว ..คนเราไปตลบหลังกันยังไง ที่ไหนนะ?    

โอ๊ย ‘เยอะ’  ยิ่งบน ‘Social network’มีให้ดู ‘เยอะ’ จนอยากจะขอร้องแต่ละฝ่ายว่า  ‘อย่า..เยอะ!’ กันได้ไหม  คนดูข่าวเฉยๆ ตามไม่ทันอยู่แล้ว ว่า..ข่าวไหนลวง ข่าวไหนหลอก  ข่าวไหนจริง  ข่าวไหนนอกจากจะ ‘ยกเมฆ’มาปั้นเป็นตัวๆ แล้ว ต้องเอา ‘น้ำมาปั้นเป็นตัว’อีก …  

ก็ในเมื่อคนระดับเล็ก ระดับล่างตลบหลังกันเองยังถือว่าน่ากลัวเลย   แล้วถ้าคนที่ตลบหลังกันเองเป็นถึงผู้ใหญ่ เป็นหน่วยงานใหญ่ๆ จะน่ากลัวขนาดไหน?  

เคยได้ยินภาษิตโบราณภาษิตหนึ่งบอกว่า ‘ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ’ ภาษิตบทนี้ ไม่รู้ว่าคนสมัยใหม่จะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เลยขอแปลความหมายมันสั้นๆ  ให้กระซับแค่ว่า…

‘ผู้ใหญ่ขัดแย้งกัน ย่อมส่งผลถึงผู้น้อยด้วย’

จากช้างสารในยุคก่อน มาถึง‘ช้างสาร’ ในยุค 3G -4G  ซึ่งไม่ได้วิ่งประจัญหน้าเข้าชนกันโครมๆ แล้ว หากแต่กำลังชนกันให้แหลกไปด้วย ชั้น เชิง  เล่ห์ เหลี่ยม   ด้วยข้อมูลเชิงลึก และเชิงไม่ลึกที่แต่ละฝ่ายพึงจะงัดออกมาใช้เพื่อให้ฝ่ายตนเองเกิดความได้เปรียบมากที่สุด  

อื่ม..ฟังดูเหมือนจะดี ‘เพื่อให้ฝ่ายตัวเองเกิดความได้เปรียบ’  หาใช่ ‘ให้ฝ่ายประชาชนเกิดความได้เปรียบ’ ไม่    

บอกตรงๆ ว่านั่งดู ‘ช้างสาร’  ชนกันผ่านหน้าสื่อต่างๆ ด้วยสารพัดวิธีที่แยบยล แล้วก็ให้นึกสงสารหญ้าแพรกอย่างประชาชนที่อาจจะต้องถูกแช่น้ำให้เหม็นเน่าไปตามๆ กันจริงๆ …

โดนแช่น้ำให้เน่าไป…  ไปด้วยระยะเวลาสักเท่าไหร่ดีล่ะ?  

จากข่าวการให้สัมภาษณ์ของ คุณปลอดประสพ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับของวันที่ 22/10/54  

ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของท่านแต่ละครั้งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน  กลัวใจเสียเหลือเกินว่า ท่านจะกลับคำพูดไปมาเหมือนครั้งก่อน  …หรือเปล่านะ?

คุณปลอดประสพบอกว่า คนกรุงฯ ทำใจเสียเถอะ น้ำอาจจะท่วมและประมาณ 0.5 - 1 เมตร แถมต้องใช้เวลาระบายน้ำ ร่วมเดือนสถานการณ์จึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ  

ท่านคงหมายความว่า น้ำอาจจะท่วม ที่ต้องขอหมายความอีกทีว่า ช้างสารได้ใช้หมดทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นมวลน้ำก้อนขนาดมหาศาล จนหมดปัญญาถึงขั้นสลัดงวงที่ใช้งัดกันมาใช้กุมขมับแทนมือไปตามๆ กันแล้วนั่นแหละ  …

น้ำท่วมประมาณหนึ่งเดือน หนึ่งเดือน!  มันก็เป็นไปได้ว่าคนกรุงฯ จะได้สัมผัสวิถีชีวิตริมแม่น้ำอย่างแท้จริงก็ครั้งนี้  โดยที่ไม่ต้องเทียวตระเวนหาที่กิน ที่เที่ยว ตามตลาดน้ำจริง ตามตลาดน้ำปลอมๆ ให้วุ่นวาย

เพียงแค่นั่งจับเจ่าตบยุงที่มากับน้ำก็อาจจะมีเรือพายนำของกินของใช้มาให้จับจ่ายซื้อหาถึงหน้าประตูบ้านด้วยซ้ำ

หรือบางทีอาจจะมีคนนำของกิน ของใช้มาให้ฟรีๆ ถึงบ้านแบบไม่ต้องควักเงินออกมาจากกระเป๋าสักบาทก็ได้

ฟังดูแล้วน่าอิจฉา แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นเรื่องที่ ‘น่าเห็นใจ’ เสียมากกว่า…

ย้อนกลับที่คำพูดของท่านปลอดประสพอีกครั้ง ที่ตอนนี้มีคนแผลงชื่อให้ท่านไปเรียบร้อยแล้วว่า ‘ปลอดประสบการณ์’

ท่านบอกว่าน้ำที่ท่วมกรุงฯ ในครั้งนี้ ใช้เวลาร่วมหนึ่งเดือน  พอบอกว่าหนึ่งเดือน ก็รีบไปหาปฏิทินมากางดู ระยะเวลาจากวันนี้ถึงวันนั้นจะอยู่ในช่วงใดของปฏิทิน พบว่า มันกินระยะเวลาเกือบๆ สิ้นเดือน พย. โน่นเลย และแน่นอนว่าในช่วงเวลานี้ มันต้องครอบคลุมวันสำคัญอีกวันหนึ่งของเดือนหน้าไป

นั่นคือ10 พย. มันเป็นวันลอยกระทง  ซึ่งนั่นมันก็อาจจะหมายความได้อีกว่า ปีนี้คนกรุงฯ อาจไม่ต้องไปเสาะแสวงหาที่ลอยกระทงไหนให้ไกลๆ หากแต่แค่เดินไปยังหัวกระไดบ้านของตัวเองก็สามารถนำกระทงลอยลงสู่น้ำได้อย่างสบายๆ  …

ก็ตอนคนกรุงฯ ทั้งหลายจะปล่อยกระทงลงน้ำ หลังจากขอขมาต่อพระแม่คงคาไปแล้ว ก็อย่าได้ลืมอธิษฐานไปด้วยว่า ...


"ใครที่ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้ตัวเอง ใครที่มันมัวแต่ขัดแข้งขัดขากันอยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน  ชาติหน้าขอให้ไปเกิดเป็น ‘สวะ’กันให้หมด ให้เป็นได้แต่อาหารสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา และให้ลอยฟูฟ่องอยู่ได้แต่เฉพาะในห้วย หนอง คลองละหาน… ด้วยเถิด!" เสียเลยสิ …

อนิจจา ไม่อยากให้คนกรุงฯ  ต้องมาฉลองเทศกาลแห่งความสุขด้วยสภาพอาการน้ำตานองหน้า ท่วมกลางกลิ่นเหม็นคลุ้งของน้ำที่เริ่มเน่าไปตามอายุขัยเลย  และหากเปิดเพลงนี้คลอไปด้วย บรรยากาศในยามนั้นของคนกรุงฯ จะยิ่งน่ารันทดสุดๆ ไปอีกสักเท่าไหร่กันนะ...?

"เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรียม…"

"ประชาชนเหลือทนแล้วนั่น  ทั้ง ศปภ.และกทม.ของประชาชนเอย"

อย่างนี้แล้วจะให้โทษอะไร  ‘ช้างสาร’  เอะ หรือจะโยนความผิดไปให้ ‘น้ำ’ มันเต็มๆ ดี?

จากคุณ	: พิณพลอย
เขียนเมื่อ	: 25 ต.ค. 54 09:36:43