Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๒๑ และ ๒๒ ติดต่อทีมงาน

+++ เอามาฝากเผื่อใครคิดถึงค่ะ คราวก่อนจำไม่ได้ว่าลงถึงไหนแล้ว แบบว่านานเกินจนมายกระทู้ถูกลบไปซะละ เลยเอาสองตอนล่าสุดมาให้ชมเล่นๆ ค่ะ +++


บทที่ ๒๑ : ตัดสินใจ


ดงลมแล้งบัดนี้เหลือแต่ใบเขียวเต็มต้น เพลานี้อย่าว่าแต่ดอกสีเหลืองเป็นพวงระย้าเลย แม้แต่ฝักยาวสีดำที่เคยห้อยย้อยเต็มต้นก็หายเกลี้ยงไม่มีเหลือ เจ้านางหลวงทอรุ้งทรงหยุดยืนใต้ร่มลมแล้ง หัตถ์บางเหนี่ยวกิ่งเตี้ยๆ กิ่งหนึ่งตรงเบื้องพระพักตร์ แววพระเนตรอ่อนแสงลงเมื่อรำลึกถึงคนไกล ที่ตรงนี้ฤๅมิใช่ที่องค์เองกับเจ้าของหทัยเคยมีความหลังร่วมกัน ยามดอกลมแล้งแบ่งบานเต็มต้น ผู้ใดที่เคยเอื้อมเด็ดมาเสียบเกล้าแซมเกศาให้ ทว่าบัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ใต้ร่มเงาเหลืออยู่เพียงคนเดียว  

เจ้านางหลวงทอรุ้งทรงทอดถอนพระทัยแล้วละจากลานลมแล้งมาสู่ศาลาประทับร้อนกลางสวนขวัญ หทัยเต้นแรงเมื่อทอดพระเนตรวรกายสูงที่เคยคุ้นทรงยืนกอดอุระพิงปฤษฎางค์กับเสาของศาลาคล้ายท่ารออยู่นานแล้ว ดวงพักตร์เข้มแต้มรอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยนดุจเคยเป็น เท่านั้นเองจอมนางเวียงภูแก้วก็ทรงลืมสิ้นทุกสิ่ง ดำเนินแกมวิ่งเข้าไปหาพระสวามีอย่างดีพระทัยหนักหนา เจ้าหลวงเมืองแก้วทรงอ้าพระกรกอดรับขวัญเจ้าจอมสรีรอมแพงแนบแน่น

“กึ๊ดเติงนักจึงมาหา มาดูว่าเมียรักยังอยู่ดีหรือไม่”

“จักอยู่ดีได้อย่างใด ในเมื่อมีเพียงกายหากไร้วิญญาณ”

“อยู่ก่อนคนดี รอก่อน ถึงเพลาพี่จักมารับ เพลานี้อยู่ดูลูกแลหลานไปพลางเถิด”

เจ้าหลวงเมืองแก้วรับสั่งกลั้วสรวล ขณะที่เนตรสีน้ำตาลช้อนขึ้นทอดพระเนตรพระสวามี

“มานี่คงมิใช่เพียงกึ๊ดเติงหากระมังเจ้า”

“เดาใจพี่ออกเสมอเลยหนา ใช่ ที่มานี้มีอีกเรื่องจักขอเจ้า”

“เรื่องใดเจ้า”

“เจ้ารู้ใจพี่ จักมิรู้เลยฤๅว่าเรื่องใด”

วิธีรับสั่งยังติดแววยั่วล้อดังเดิมมิเปลี่ยนแปร เจ้านางหลวงทอรุ้งระบายปัสสาสะยาว ก่อนเคลื่อนองค์ออกจากอ้อมพระกรพระสวามีเสด็จไปประทับที่ตั่งกว้างกลางศาลา

“กาสะลองหรือเจ้า”

“ใช่ พี่เพียงมาบอก สองคนนั้นพบกันแล้ว แลจากนี้พวกเราไม่อาจยื่นมือขัดขวาง”

“พบกัน ได้อย่างใด ข้าเจ้าไม่ยอม”

“แม่ลูกเหมือนกันแท้ ยอดศึกเองก็ว่าเยี่ยงนี้ หากดูเถิด ทำได้หรือไม่”

เจ้ารอมแพงตวัดเนตรดุขึ้นทอดพระเนตรคนพูดทันใด แลก็ทรงเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์ไม่จางหาย ราวกับว่าทรงพอพระทัยที่เรื่องราวเป็นเยี่ยงนี้
ไม่จำต้องรับสั่งความใดไป คู่สนทนาก็กลับเอ่ยขึ้นเสียเอง

“พี่พอใจที่เป็นเยี่ยงนี้”

“พอใจที่จักเห็นเวียงภูแก้วเป็นของธาตวากรหรือเจ้า”

“เวียงภูแก้วมิใช่ของธาตวากร แลธาตวากรเองก็มิใช่ของเวียงภูแก้วเฉกกัน เถิด พี่ขอ”

เจ้าหลวงเมืองแก้วรับสั่งเพียงเท่านั้นไม่ทรงขยายความเพิ่มเติมอีก หากทรงหันปฤษฎางค์เสด็จกลับออกไปจากศาลาประทับร้อน วรกายบางเร่งลุกขึ้นทรงวิ่งตาม ทว่ายิ่งตาม คนนำหน้ายิ่งไกลห่าง ท้ายสุดก็เลือนลับหายจากคลองจักษุ


เจ้านางหลวงทอรุ้งทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม แรกที่ลืมพระเนตรยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ครู่ใหญ่กว่าจักรวบรวมพระสติให้คืนดังเดิม แสงอัจกลับแก้วข้างพระที่ส่องแสงสลัวรางบอกชัด ทุกสิ่งก็แค่ฝันไป หากฝันแน่หรือ ปลายหัตถ์ที่วางบนพระยี่ภู่คล้ายแตะถูกบางสิ่ง ครั้นทรงเก็บขึ้นมาจึงทอดพระเนตรชัด ดอกลมแล้ง! ฤดูกาลนี้จักมาแต่ใดได้อีก เท่านี้ก็ทรงทราบ พระสวามีเสด็จมาบอกข่าว ทว่าที่ติดข้องในพระทัยคือกระแสรับสั่งสุดท้ายก่อนกลับสรวง สองแผ่นดินมิใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกคำรบที่จอมนางทรงถามองค์เองอย่างหนักพระทัย แม้นเป็นเยี่ยงนั้น สองคนจักได้อยู่ร่วมกันบนแผ่นดินผืนใด ในเมื่อความสัมพันธ์สองอาณาจักรเพลานี้ห่างไกลจากคำว่ามิตรหนักหนา แลนั่นคือเหตุใหญ่ใจความที่ไม่มีผู้ใดปรารถนาให้พระนัดดากับเจ้าหลวงศิขรินได้พบพาน หากก็อีกนั่นแหละ เฉกพระสวามีรับสั่ง แล้วขวางได้ฤๅไม่ เจ้านางหลวงทอรุ้งทอดถอนหทัย วางมือนั้นวางได้ แต่ให้วางใจมิห่วงใยนั้นทำได้ยากยิ่ง  

ข่าวสารที่พระโอรสองค์โตส่งผ่านเจ้าละบูมาทางพระสุนิสาเมื่อวันวานนั้น มิได้แจ้งความใดมากไปกว่าทิวานี้จักเคลื่อนทัพเข้ายุทธนาอีกคำรบ ความห่วงใยยิ่งพูนทบเท่าทวี เยี่ยงนี้หรือที่พระสวามีจักให้ทรงวาง หากเป็นการศึกเฉกทุกคราที่ผ่านมาจักมิทรงห่วงกังวลใดเลย ด้วยทรงเชื่อมั่นในพระปรีชาแลฝีพระหัตถ์ของลูกหลานว่าจักกำชัยได้ ทว่าครานี้ต่างออกไปมากนัก สิ่งเดียวที่จักทรงทำได้คือการเสด็จยังวัดหลวงเพื่อสวดมนต์แลขอพรให้พระท่านช่วยคุ้มครองเท่านั้นกระมัง  


แสงชวาลาที่สาดต้องเสี้ยวพักตร์งามทำให้ผู้เข้ามาใหม่เห็นละม้ายรูปงาสลักประทับเหนือพระที่ เครื่องทรงที่มิได้ผลัดเปลี่ยนบอกให้นางพระพี่เลี้ยงรู้ว่านายสาวยังมิได้ขยับองค์เลยสักน้อยเดียว ขณะที่เจ้าขนฟูเองก็เหมือนจักรู้ แทนที่จักเล่นซุกซนไปทั่วกระโจมจนนางอดสงสัยมิได้ว่ามันเจ็บจริงหรือเปล่า แต่เพลานี้กลับนอนหมอบนิ่งอยู่กับผ้ารองนอนที่อยู่ใกล้กับพระที่นั้นเอง

“เจ้าหลวง ยังมิได้สรงเลยหรือเจ้า จวนได้ฤกษ์เคลื่อนทัพแล้วหนา”

เอื้องคำยอบกายลงคลานเข้ามาหาพลางทูลถาม รอยแย้มพระโอษฐ์หม่นจัดปรากฏขึ้นที่ริมพระโอษฐ์น้อยหนึ่งกับคำเรียกขานที่ 'เสมือนเคยคุ้น' ราวกับว่ามิได้ทรงดำรงพระยศนี้ พระยศที่ครั้งหนึ่งพระราชบิดาเคยรับสั่งถามพระธิดาตัวน้อย

“เจ้าหลวง คำเรียกขานเต็มพระยศคืออันใด รู้ฤๅไม่กาสะลอง”

“เจ้าหลวงหอคำเจ้า”


สุรเสียงเสนาะใสของละอ่อนน้อยพระชันษาเพิ่งเต็มเจ็ดขวบตรัสตอบทันควัน ทว่าเจ้านางน้อยกาสะลองก็มีอันต้องเอียงพระศอทอดพระเนตรผู้แก่วัยกว่าอย่างฉงน เมื่อเจ้าหลวงเมืองคำสรวลลั่น

“มิใช่หรอก กาสะลอง”

“อ้าว แล้วเรียกอย่างใดเจ้า”

“เจ้าภาระใหญ่ภาระหลวง”
     


ภาระใหญ่ภาระหลวงสมคำเจ้าพ่อแท้ ไม่ทรงแปลกพระทัยเลยว่าเหตุใดเจ้าพ่อถึงต้องทรงงานดึกดื่นค่อนคืนทุกทิวา แม้ในยามที่ต้องซ่อนพระองค์อยู่แต่ในห้องบรรทมคุ้มหลวงแล้วให้เจ้ารอมแพงทรงออกหน้าว่าราชการเอง เพื่อมิให้พรหมจักรกับบุญปกที่คิดร้ายต่อองค์เองล่วงรู้ ก็ยังทรงงานตามปกติราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย หากเจ้าพ่อยังทรงทำได้ ไฉนองค์เองจักทรงทำไม่ได้เล่าหนา  

“ลืมไปเลย ข้าคิดกลศึกเพลินไป”

ถึงจักทรงทราบว่าคนสนิทมิได้เชื่อในพระวาจานัก แต่ก็ยังดีกว่าการไม่รับสั่งใดๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเอื้องคำก็จักต้องทูลถามจนคนเป็นนายต้องยอมเปิดโอษฐ์ในที่สุด เจ้าหลวงกาสะลองทรงขยับลุกจากพระที่ ทำให้เจ้าขนฟูที่นอนนิ่งพลอยกระดิกหูลุกขึ้นกระโดดเข้ามาหา

“ข้าจักไปอาบน้ำ จักไปด้วยข้าหรือไร ขนฟู”

รอยแย้มพระโอษฐ์จางเพิ่งปรากฏเป็นคราแรก วรกายโปร่งยอบลงอุ้มเจ้าตัวซนขึ้นมาในอ้อมพระกร สหายขนฟูขยับเอาหัวซุกเหมือนจักปลอบพระทัย ภูผาไม่อยู่แต่ขนฟูอยู่ตรงนี้

“อยู่กับพี่เอื้องคำก่อนเถิด กลับมาข้าจักเล่นด้วย”

ทรงส่งกระต่ายน้อยให้กับพระพี่เลี้ยง แต่เจ้าตัวเล็กกลับดิ้นหนีจากมือเอื้องคำกระโดดไปที่นอนของมันหน้าตาเฉย เจ้าหลวงกาสะลองทรงส่ายพระพักตร์น้อยๆ แล้วสืบบาทไปยังมุมหนึ่งของกระโจมที่กั้นฉากไหมเอาไว้ เอื้องคำขยับจักตาม แต่ผู้เป็นนายกลับรับสั่งขึ้นก่อน

“ไม่ต้องตามข้ามาหรอกพี่ ใหญ่แล้ว ข้าอาบเองได้”

“แต่น้ำจักเย็นไปหนาเจ้า ข้าเจ้าจักผสมน้ำสรงให้ใหม่”

“มิเป็นอันใดหรอก”

รับสั่งสั้นก็จริง แต่สุรเสียงที่ตวัดห้วนน้อยๆ ทำให้คนที่กำลังจักลุกตามต้องนั่งแปะลงที่เดิม ถึงห่วงแสนห่วงอย่างไรนางก็ไม่กล้าขัดกระแสรับสั่งอยู่ดี เป็นคนสนิทย่อมรู้ เพลาใดควรต้องปล่อยให้ประทับอยู่พระองค์เดียว


น้ำในที่สรงเย็นจริงดังที่พระพี่เลี้ยงว่า แต่สำหรับเจ้าหลวงกาสะลองกลับทรงรู้สึกว่ายังเย็นน้อยกว่าความรู้สึกในพระทัยยามนี้ ต่อเมื่อน้ำสรงต้องพระพักตร์ กระแสอุ่นจัดจากภายในจึงรินไหลปนกับสายน้ำ ริมพระโอษฐ์อิ่มเม้มแน่นกลั้นสุรเสียงสะอื้นมิให้ผู้ใดได้ยิน ในขณะที่หัตถ์ยังคงรดน้ำต้ององค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสมือนจักให้ช่วยล้างความรู้สึกที่เพิ่งก่อเกิดให้หลุดออกไป

“ข้าจักหาให้พบ หากข้าไม่ตายเสียก่อน ข้าจักพาเจ้ามาร่วมเรือนให้จงได้ เรือนที่มีแต่ภูผากับมิ่งแก้ว”

แม้นทรงเป็นเพียงมิ่งแก้วก็คงดี หากภาระหน้าที่ปลดปลงง่ายหรือไร ลืมเถิด ลืมภูผาให้เสี้ยงใจ ทิวานี้แล้วที่เจ้ากับข้าจักต้องทำหน้าที่แห่งตน นับแต่เพลานี้ไปมิ่งแก้วจักไม่มีตัวตนอีก


วรกายบางทรงเครื่องอุปราชทัพเต็มพระยศตวัดองค์ขึ้นประทับบนหลังอาชาคล่องแคล่วดุจเคย แต่สิ่งที่แผกไปคือวงพักตร์งามละมุนที่สงบนิ่ง ใช่เพียงสีพระพักตร์ แม้แต่แววพระเนตรก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แสดงออกมา เอื้องคำที่ตามมาส่งเสด็จผู้เป็นนายได้แต่มองอย่างห่วงใย นับแต่เสด็จกลับจากลอบหนีประพาสป่าเมื่อสองทิวาก่อน ผู้เป็นนายก็รับสั่งน้อยกว่าน้อย หากมิใช่เรื่องเกี่ยวด้วยการศึกแล้วก็แทบไม่มีผู้ใดยินสุรเสียงเลย พระพี่เลี้ยงคนสนิททอดถอนใจยาว ใจจริงอยากทูลถามสาเหตุที่ทำให้ทูลกระหม่อมแก้วของนางทรงหม่นเศร้า แต่นางก็รู้ ถามไปก็มิได้คำตอบใดนอกจากเนตรหมองที่แลสบกลับมาเท่านั้น  

เจ้าหลวงกาสะลองประทับนิ่งดุจรูปปั้นเนิ่นนาน ตราบจนเสียงลั่นฆ้องชัยเป็นสัญญาณเคลื่อนทัพดังขึ้น จึงทรงกระตุ้นอาชาให้ติดตามพระอุปราชทัพพระองค์แรกไปติดๆ พระเนตรที่นิ่งสงบมาเนิ่นนานเพิ่งปรากฏประกายวาวโรจน์ขึ้นเฉกทุกคราวที่เสด็จสู่สมรภูมิ แม้นผู้ใดจักสังเกตลึกลงไปจักเห็นรอยเศร้าปรากฏเป็นเงาจางอยู่ในแววพระเนตรก่อนวับหาย หน้าที่แลหัวใจฤๅจักร่วมมรรคาเดียว

                                   หนึ่งหน้าที่ หนึ่งรัก หนักดวงจิต
                    หากข้าคิด ปองสอง ได้ไฉน
                    ค่าความรัก สูงค่า สักเท่าใด
                    ผืนไผท ย่อมทรงค่า มิต่างกัน
                                  มรรคาข้า เลือกแล้ว ข้างหน้าที่
                    วางฤดี เลือนรัก ยอมโศกศัลย์
                    ยอมทุกข์ทน ยอมพลี แม้ชีวัน
                    เพื่อเวียงขวัญ ของข้า เพียงหนึ่งเดียว



แดดงายยังไม่ทันร้อนทัพของเวียงภูแก้วก็เคลื่อนถึงทุ่งมหายุทธ องค์จอมทัพใหญ่ทรงให้สัญญาณการหยุดทัพทันทีที่ทอดพนเนตรกองทัพหลวงของธาตวากรตั้งพลรออยู่อีกด้านหนึ่ง ลมเช้าพัดธวัชดำลายพยัคฆ์เหลืองสะบัดพลิ้วเห็นชัดเจน เจ้าหลวงกาสะลองทอดพระเนตรแล้วก็มุ่นพระขนงพลางหันไปรับสั่งถามพระปิตุลาอย่างคลางแคลง

“เจ้าลุงเจ้า ธวัชดำนั่นคือผู้ใดกันเจ้า”

“จักเป็นผู้ใดได้อีกหรือ กาสะลอง”

“ใช่แน่หรือเจ้า หากหลานจำไม่ผิดแล้วต้องเป็นธวัชสามชายสีแดงเพลิงตราไกรสรราชสีห์มิใช่หรือเจ้า”

“ธาตวากรไม่เหมือนเรา เมื่อใดก็ตามที่ขึ้นครองราชย์ทั้งธวัชแลดวงตราจักได้รับการเปลี่ยนให้เป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด คือพื้นดำลายพยัคฆ์เหลือง”

เจ้าหลวงกาสะลองทรงพยักพระพักตร์เข้าพระทัย เนตรจับนิ่งอยู่ที่ธวัชประจำพระองค์ผืนนั้นอย่างหมายมาด ทว่าก็ต้องเหลียวขวับไปทอดพระเนตรพระปิตุลาอย่างงุนงงเมื่อสดับพระบัญชา

“อัญเชิญธวัชของเมืองดาวไปไว้กับทัพหนุนด้านหลัง”

“เจ้าลุงเจ้า เหตุใด”

“ลวงศัตรูให้จู่เข้ามาหาเราเอง โดยที่เราไม่ต้องออกแรงอย่างใดเล่ากาสะลอง”

เจ้าหลวงยอดศึกรับสั่งบอก แต่ความหมายแท้จริงของพระบัญชานี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าคือการถวายความปลอดภัยให้องค์อุปราชทัพทางอ้อม เจ้าหลวงศิขรินคงนึกไม่ถึงว่า ผู้ที่ทรงต้องการตัวนั้น แท้แล้วจักคุมทัพหน้าเข้ายุทธนาต่างหาก

“เอาล่ะ กาสะลองหลานจงระวังตัวให้ดี ขอให้เจ้านำชัยมาสู่กองทัพ ภูหลวง แจ้งหล้า ดูกาสะลองด้วย”

องค์จอมทัพใหญ่รับสั่งเข้ม สองแม่ทัพใหญ่ค้อมศีรษะรับพระบัญชา ต่างรู้แก่ใจมิใช่แค่ดูแต่ต้องคอยกันจนสุดกำลัง เสียดายที่ทิวานี้เจ้าเทพสิงห์มิได้โดยเสด็จด้วย เหตุเพราะค่ายหลวงจักขาดนายมิได้ ครั้นจักให้เจ้าเมืองดาวประทับอยู่ลำพังก็มิได้ ด้วยยังไม่ทรงแข็งแรงดีนัก เจ้าหลวงยอดศึกจึงโปรดให้พระอนุชาประทับสั่งการอยู่ที่ค่ายแทนพระองค์ องค์จอมทัพใหญ่มีพระบัญชาแล้วก็ให้แปลกพระทัยที่พระนัดดาไม่ทรงพยศดั่งเคย กลับทรงยอมทำตามแต่โดยดี อาชาสีนิลกาฬถูกผู้เป็นนายกระตุ้นให้เดินเหยาะย่างกลับไปในส่วนของที่ทรงรับผิดชอบอย่างเงียบๆ ทว่าเพลานี้ก็ได้แต่ทรงเก็บความสงสัยไว้แต่ในพระทัยเท่านั้น


บุรุษทรงอาชาสีนิลประทับนิ่งทอดพระเนตรกองทัพที่เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ด้านตรงข้าม ห่างพอที่ต่างฝ่ายต่างแลเห็นธวัชประจำตัวของกันแลกันชัด รอยแย้มพระโอษฐ์อย่างสมพระทัยผุดขึ้นนิดหนึ่งเมื่อทอดพระเนตรธวัชสีขาบลายคชสีห์ สายพระเนตรตวัดมาที่ร่างของเจ้าของธวัชแล้วก็อดสรวลในพระศอมิได้ ทิวานี้ก็ใช้อาชาสีนิลเช่นเดียวกับพระองค์หรือ เจ้าราชบุตรตัวร้ายแข็งแรงกว่าที่คิด เพียงสามทิวาราตรีก็กลับคืนสมรภูมิได้อีกคำรบ ดี ครานี้จักได้ทรงจัดการเสียให้สิ้นไป แต่แล้วขนงเข้มก็ขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบพระทัยเมื่อเห็นธวัชของอีกฝ่ายเคลื่อนไปสู่แนวหลัง ทัพหนุน ทิวานี้มันเป็นเพียงทัพหนุน จอมภพธาตวากรขบพระทนต์กรอด เรื่องอะไรจักทรงยอมให้เป็นเยี่ยงนั้น

พระแสงดาบเปลือยถูกชูขึ้นเหนือเศียร ทำให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงต่างขยับตัวรอพระบัญชา ทันทีที่ปลายพระแสงดาบตวัดชี้ไปเบื้องหน้า นั่นคือพระบัญชา ยุทธนา!


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 54 19:21:23

แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 54 19:21:07

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 54 19:20:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com