มนต์ไพร บทที่ 1 : เส้นทางเดินบนความขัดแย้ง
|
 |
บทที่ 1 : เส้นทางเดินบนความขัดแย้ง
ไหนบอกว่าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่สามทุ่มแล้ว นี่มันกี่โมงทำไมเพิ่งมาถึง กรุงเทพฯ เชียงใหม่ใช้เวลาแค่แปดเก้าชั่วโมงเองไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้มันจะปาเข้าไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะเพิ่งจะเหยียบเข้าบ้าน
พันรบ อนุรักษ์ไพร ยืนกอดอกเอ่ยเสียงเข้มงวดด้วยสีหน้าบึ้งตึงกับชายหนุ่มร่างสูงโย่งในชุดเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนที่สะพายเป้ใบย่อมก้าวยาวๆ มายังบันไดทางขึ้นสู่ระเบียงหน้าบ้านตรงจุดที่เขายืนอยู่
คนถูกถามยกมือขึ้นดูนาฬิกานิดหนึ่งก่อนจะเสยผมด้านหน้าแล้วลูบไปถึงด้านหลังที่ยาวระดับต้นคอและถูกมัดไว้ด้วยยางรัดสีดำ
แล้วนั่นอะไร ไว้ทรงผมยังกับจิ๊กโก๋ขี้ยา เงินที่ฉันส่งเสียให้แกมันไม่พอเป็นค่าตัดผมหรือไง หรือว่าเอาไปลงขวดเหล้าหมด ดูหน้าก็รู้ว่าคงจะแวะเติมแอลกอฮอล์กับเพื่อนที่ไหนก่อนเข้าบ้าน
ไม่มีเสียงตอบจากชายอ่อนวัยกว่านอกจากการยกมือไหว้ ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบเก่าๆ อย่างเงียบเชียบ
ดูหลานแกสินายเดช หลานชายคนเดียวคนโปรดของแก อยากเห็นนักไม่ใช่เหรอ เห็นสภาพหรือยัง? กลิ่นละมุดหึ่งมาเชียว
พันรบประชดประชัน แต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูกเอ่ยถึงทั้งสองคนจะไม่ใส่ใจ โดยเฉพาะคนที่ถูกเรียกว่านายเดชหรือ พันเดช อนุรักษ์ไพร ซึ่งรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้บนโต๊ะอาหารที่มีคนนั่งอยู่อีกสองคนด้วยท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ว่าไงไอ้หลานชาย โอ้โห ! อาไม่ได้เจอตั้งนานเลยตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยนี่เปลี่ยนไปเยอะนะเราน่ะ ดูคล้ำขึ้นด้วย
ดวงตาของ วนาสณฑ์ อนุรักษ์ไพร เป็นประกายสดใสผิดกับท่าทีที่มีต่อบิดา เขายกมือไหว้ผู้เป็นอาที่ก้าวเท้ามาหากอดเขาแล้วตบหลังตบไหล่อย่างดีใจ
ดูเถื่อนล่ะไม่ว่า ไม่รู้ว่าเรียนป่าไม้มันเถื่อนอย่างนี้กันทุกคนหรือเปล่า
เสียงเข้มติดประชดประชันของคนเดิมยังลอยมา พันเดชยิ้มกว้างให้หลานชาย
พ่อเราบ่นให้อาฟังบ่อยๆ จนอาอยากเจอ วันนี้รู้ว่าสนจะมาอาเลยมารอตั้งแต่เช้าแต่ไม่เห็นโผล่มาซักทีจนกลับไปรอบหนึ่งแล้ว
บ่นให้ฟังหรือว่าด่าให้ฟังกันแน่ครับอาเดช วนาสณฑ์เอ่ยขึ้นกับผู้เป็นอาเป็นครั้งแรก รอยยิ้มหยันปรากฏเพียงแวบเดียวตรงริมฝีปาก
กับอาล่ะก็ทำเป็นมีเสียงขึ้นมาเลยนะ ทีกับพ่อมันล่ะก็ ยังกับใครเอาเข็มมาเย็บปากไว้
เสียงหัวเราะของพันเดชดังขึ้นคล้ายกับเจตนาจะผ่อนคลายความตึงเครียดของคนทั้งสอง แต่ดูเหมือนว่าสาเหตุหลักจะมาจากพันรบเสียมากกว่าที่ทำให้เครียดขึ้นเรื่อยๆ
อย่าไปสนใจพ่อเขาเลย ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นแหละความจริงเขาห่วงน่ะ มานี่ดีกว่า...มารู้จักกับอาผู้หญิงของสนกับน้องสาวตัวเล็กหน่อยเร็ว
วนาสณฑ์ขมวดคิ้ว ความจริงเขามองเห็นตั้งแต่แรกแล้วแต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหญิงสาววัยกลางคนกับเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเท่าใดนัก พอผู้เป็นอาขยับออกทำให้เขาจำต้องให้ความสนใจทั้งที่ใจนั้นอยากจะหลบไปให้พ้นเสียงกระแนะกระแหนของบิดาโดยเร็วที่สุด
นี่คือคุณพรจันทร์ เป็นอาผู้หญิงคนใหม่ของสนเอง ส่วนคนตัวน้อยๆ นี้คือน้องฝากฟ้า เป็นลูกสาวของคุณพรจันทร์
ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีหันไปมองอาพลางเลิกคิ้ว เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ เขาจึงหันไปยกมือไหว้สตรีซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในวัยประมาณสามสิบกว่าปี ฝ่ายนั้นยกมือรับไหว้เขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พอเขาเงยหน้าขึ้นก็ต้องรับไหว้เด็กหญิงที่ถูกแนะนำว่าชื่อฝากฟ้า
แสงไฟสว่างจากผนังหน้าบ้านและเสาริมระเบียงทำให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตากลมโตเป็นเงาดำขลับ แพขนตาเด็กหญิงงอนงามจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปหอมแก้มนุ่มหนึ่งฟอดใหญ่ด้วยความเอ็นดู แต่คนตัวเล็กกลับทำหน้ามุ่ย ย่นจมูกและเบนหน้าไปหามารดา วนาสณฑ์หัวเราะเบาๆ รู้ว่าต้นเหตุของสีหน้าอย่างนั้นมีสาเหตุมาจากการที่เขาไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่ามากเกินไป
อาแต่งงานเมื่อไหร่ครับ ทำไมผมไม่เห็นรู้เลย เขาหันมาเอ่ยกับอาเบาๆ โดยยังไม่ยอมทรุดตัวลงนั่งนอกจากขยับตัวห่างออกมาจากโต๊ะอาหารเล็กน้อย
อาไม่ได้จัดงานแต่งงานหรอก แค่จดทะเบียนสมรสเฉยๆ อาแก่ขนาดนี้แล้วคงไม่จัดงานแข่งกับรุ่นเด็กๆ แล้วแหละ อายรุ่นเด็กเขาจริงไหมจ๊ะปลา พันเดชตอบสีหน้าเปี่ยมสุข มองภรรยาใหม่ที่มีชื่อเล่นว่า ปลา ด้วยความภาคภูมิใจ
ใช่แล้วค่ะ
ฮึ ต่อให้จัดงานแต่งงานใหญ่ๆ แกก็คงไม่ได้มาหรอกเพราะอาจจะมัวแต่ไปเดินป่าฝึกงานเดินดงกับสัตว์ป่าเสือสิงห์กระทิงแรด จริงหรือเปล่าล่ะ
วนาสณฑ์หันไปทางบิดา เอ่ยเสียงราบเรียบ
ผมเรียนป่าไม้นะครับพ่อ ปิดเทอมก็ต้องไปฝึกงานในป่าในดงสิครับ จะให้ฝึกงานในเมืองได้ยังไง
ก็นั่นไง ฉันบอกให้เรียนวิศวกรก็ไม่เชื่อ อุตส่าห์สอบติดแล้วยังไม่เอาอีก สมองอย่างแก เรียนหมอก็ยังไหว นี่อะไร...ดันมาเรียนสาขาพื้นๆ เรียนจบออกมาก็ยังไม่รู้จะมีงานทำหรือเปล่า
พันรบยกนิ้วชี้บุตรชายอย่างเริ่มมีอารมณ์ ตะกอนเก่าๆ ถูกกวนด้วยความคิดของตัวเองจนขุ่น เนื่องมาจากความต้องการและความคาดหวังไม่ถูกสนองตอบจากบุตรชายคนเดียวทั้งที่สามารถทำได้
โธ่...พี่รบ ถ้าสนเขาไม่มีงานทำจริงๆ ล่ะก็จะต้องไปกลัวอะไรล่ะครับ ในเมื่อไร่กาแฟมีอยู่ตั้งสองสามร้อยไร่ ยังไงก็คงได้ใช้วิชาที่เรียนมาอยู่บ้าง ป่าไม้กับพืชไร่มันก็ต้นไม้เหมือนกันประยุกต์เอามาใช้น่าจะได้ พันเดชเย้าพี่ชายติดตลก
ไม่ต้องมาเข้าข้างหลานชายคนโปรดเลยนายเดช ฉันไม่อยากจะพูดแล้ว ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตัดหางปล่อยวัด
ผมขอตัวก่อนนะครับ
เมื่อเห็นว่าบิดาชักจะไม่ยอมหยุดเรื่องของเขาและเริ่มจะขุดคุ้ยเอาเรื่องเดิมขึ้นมาพูด วนาสณฑ์จึงหาทางเลี่ยง
เดี๋ยว
คนถูกเรียกชะงักเท้า ถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวกลับมา สีหน้าเซ็งๆ
พรุ่งนี้ไปตัดผมซะ เห็นแล้วรกตา
เมื่อร่างสูงเพรียวเดินพ้นสายตาไป พันรบก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มองน้องชายอย่างเคืองๆ
แกน่ะชอบเข้าข้างมัน เหมือนตอนนั้นเลยมันถึงกล้าขัดใจฉัน รู้อย่างนี้ให้ส่งเสียกันเองก็ดี
ไม่ได้เข้าข้างครับพี่รบ เพียงแต่อดคิดไม่ได้ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะพี่วางเส้นทางเขาไว้โดยไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ ก็พี่เล่นตั้งชื่อว่าวนาสณฑ์ซึ่งมันก็แปลว่าป่าอยู่แล้ว บ้านไร่ที่เราอยู่ตอนนี้ก็จัดแบบจำลองป่ามาอย่างสวยงาม ตั้งแต่เล็กจนโตก็อยู่กับธรรมชาติ โตขึ้นมาก็เลยชอบอะไรที่เป็นป่าๆ ไปด้วย ผมว่า...พี่เลิกคิดมากแล้วยอมรับดีกว่านะครับ ไม่แน่นะสนเรียนจบแล้วอาจเป็นข้าราชการป่าไม้ที่ไฟแรงทำงานเพื่อสังคมได้อย่างมากมายก็ได้ใครจะไปรู้
น้องชายพยายามคลายความขัดแย้งของสองพ่อลูกที่ขมวดเกลียวมานานด้วยการพูดยาวเฟื้อย
กลัวมันไฟแรงจนไปขัดผู้มีอิทธิพลเขาเข้าน่ะสิ รู้ก็รู้กันอยู่ว่าเดี๋ยวนี้หายากนักที่พวกกินอุดมการณ์จะอยู่ได้ เพราะข่าวที่ดูจากสื่อต่างๆ ทุกเมื่อเชื่อวันทำให้พันรบไม่เชื่อในสิ่งที่น้องชายพูดและไม่คิดจะคาดหวัง
เอาน่าพี่ อย่าเพิ่งคิดในสิ่งยังมาไม่ถึงเลย
พันรบพยักหน้าส่งๆ แต่เมื่อมองเห็นเด็กหญิงมองตาแป๋วอยู่เลยเอานิ้วคีบจมูกเล็กอย่างเอ็นดู
ลุงขอโทษทีนะจ๊ะหนูฝากฟ้า พอดีพี่ชายตัวโตคนเมื่อกี้เขานิสัยไม่ดีไปหน่อยลุงเลยหงุดหงิด
ใช่ค่ะคุณลุง พี่เขานิสัยไม่ดีเลย ดื่มเหล้าแล้วยังมาหอมแก้มหนูอีก เหม็นจะแย่
เสียงหัวเราะของผู้ใหญ่ทั้งสามคนดังผสานกันขึ้นด้วยความขำปนเอ็นดู
จำไว้นะลูกว่าพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายไม่ดีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นโตขึ้นอย่าแตะต้องมันนะคะ พรจันทร์ถือโอกาสสอนบุตรสาววัยแปดปี
ค่ะแม่ปลา
พันเดชกระแอมก่อนจะแซวภรรยา เอ...อย่างนี้แล้วถ้าเกิดได้ลูกเขยขี้เหล้า แม่ปลาจะทำยังไงน้า
โถ...ลูกสาวปลาคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมั้งคะ พรจันทร์บอกเสียงกลั้วหัวเราะ
********************
วนาสณฑ์โยนเป้ลงบนเตียงนอนกว้างแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่อย่างแรง เขาไม่นึกเลยว่าพ่อจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเลือกง่ายๆ
พ่อไม่ต้องการให้เขาเรียนคณะวนศาสตร์ ภาพอดีตเมื่อครั้งที่เขาเลือกเรียนอย่างไม่ลังเลและไม่คิดจะเปลี่ยนใจมาจนบัดนี้คือ
แกจะเรียนทำไมในเมื่อแกสอบได้คณะวิศวกรอยู่แล้ว เรียนป่าไม้บ้าบอคอแตกนั่นจบออกมาจะทำอะไรกิน หรือว่าอยากจบออกมาแล้วเป็นข้าราชการจนๆ กินเงินเดือนไม่กี่พัน โง่หรือเปล่า !
แต่ผมชอบนี่ครับพ่อ ผมอยากไปทำงานในป่า เป็นผู้ปกป้องป่าไม้ ผมอยากทำงานกับธรรมชาติ
แต่ฉันไม่ชอบ และฉันขอบอกไว้เลยนะว่า คนที่ทำงานในสายงานที่ตัวเองชอบใช่ว่าจะทำงานอย่างมีความสุขหรือว่าจะทำให้พอกิน บางคนยังเอาตัวไม่รอดเลย
ถ้าผมเรียนจบแล้วผมจะไม่กวนพ่อหรอกครับ รับรองว่าผมจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
แม้จะถือว่าเป็นวัยรุ่นตอนกลางในขณะนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใช้อารมณ์ในการอธิบายกับพ่อ ซึ่งอาจเป็นเพราะรู้ดีว่าเขาเหลือพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นเป็นที่ปรึกษาและจะส่งเสียเขาให้เรียนจบมหาวิทยาลัยได้ ส่วนแม่ของเขานั้นเสียไปตั้งแต่เขาอายุได้เจ็ดขวบ
ตั้งแต่แม่จากไป พ่อทำหน้าที่ทุกอย่างในครอบครัวโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งหน้าที่รับผิดชอบงานในไร่กาแฟพันธุ์อาราบิก้าสองร้อยห้าสิบไร่ซึ่งกำลังไปได้ดี และหน้าที่ในการเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกชายคนเดียวอย่างเขาโดยไม่คิดจะแต่งงานใหม่ ซึ่งนั่นทำให้เขาความพอใจและภาคภูมิใจในความรักความอบอุ่นที่พ่อมีให้จึงไม่เคยเหลวไหลเกเรอย่างวัยรุ่นชายทั่วๆ ไป
ยกเว้นการตัดสินใจเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดูเหมือนจะถูกต่อต้านอย่างแข็งขัน...
ตกลงนี่แกจะเรียนให้ได้ใช่ไหม
ครับ
งั้นก็ไปหาเงินเรียนเองเลย ฉันจะไม่ส่งเสียแกยกเว้นว่าแกเปลี่ยนใจ
เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะประกาศชัดเจนถึงความมุ่งมั่น
ผมจะหาเงินเรียนเองก็ได้ครับพ่อ
อวดดี หัวแข็ง ขอให้หัวแข็งจนรอดปลอดภัยจากผู้มีอิทธิพลตอนที่แกไปทำงานก็แล้วกัน
ประโยคนั้นทำให้เขาสรุปเอาเองได้ว่าเพราะพ่อห่วง กลัวว่าเขาจะทำงานที่เสี่ยงอันตรายมากกว่าอย่างอื่นและคิดว่าสักวันท่านจะลืมและทำใจได้ แต่มาถึงวันนี้ เขารู้ว่าคิดผิด
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปกลับมา รอยยิ้มก็จุดขึ้นบนริมฝีปากหยัก ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่การเรียนในคณะวนศาสตร์ทำให้ชอบท่องเที่ยวไปในสถานที่มีป่าเขาลำเนาไพร อย่างเช่นวันนี้พอลงจากรถทัวร์เขาก็ไปเที่ยวบ้านเพื่อนซึ่งเป็นชาวเขาในต่างอำเภอและสังสรรค์กันต่อเนื่องจากมีงานแต่งงาน แม้จะไม่ถึงขั้นเมาแต่ชื่อเสียงที่เล่าสืบต่อกันมาว่าคนเรียนคณะนี้ขี้เหล้าก็คงทำให้พ่อยิ่งไม่ชอบใจใหญ่ขึ้น
ก็ถือว่าเขามีส่วนทำให้พ่อยังมีอคติอยู่
นี่อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาต้องพยายามปรับตัว โดยเฉพาะช่วงที่กลับมาบ้าน ไม่อย่างนั้นแล้วก็เห็นทีจะต้องทนฟังเสียงบ่นกระแนะกระแหนอย่างไม่รู้จบ
ร่างเล็กๆ สวมเสื้อสีขาวที่เดินไปเดินมาในร่องกาแฟคล้ายเจ้าตัวกำลังยุ่งกับการเก็บอะไรบางอย่างจากต้นกาแฟสีเขียวเข้มทำให้วนาสณฑ์อมยิ้มก่อนจะเบนเส้นทางจากตอนแรกตั้งใจจะเดินตรงไปยังบ้านชั้นเดียวแต่กว้างขวางบนเนินเขา เป็นเดินลงไปตามทางเดินเล็กๆ มุ่งสู่เป้าหมายใหม่
คุณอาพันเดชอยู่ไหมคะ
มือที่กำลังเก็บดอกกาแฟสีขาวชะงัก วงหน้าเล็กเงยขึ้นพลางทำหน้าแปลกใจ อึดใจจึงตอบเสียงใส
คุณลุงพันเดชอยู่บนบ้านค่ะ
เขาเบนหน้าไปมองบนบ้านนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาถามทอดเสียงอ่อนโยน
แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่เอ่ย
เก็บดอกกาแฟค่ะ คนตอบหยุดกิจกรรมที่ทำก่อนหน้าเขาจะมา แล้วทำหน้าเหมือนมีความผิดแต่ยังยืนนิ่งถือกิ่งกาแฟซึ่งมีดอกสีขาวสองกิ่งในมือ
เก็บไปทำไมคะ รู้ไหมว่าถ้าเก็บดอกมันไปหมดแล้วก็จะไม่มีผลกาแฟให้เราเอาไว้ขาย
รู้ค่ะ คนตอบก้มหน้าลงมองพื้น แต่ไม่วายจะบอกอีกว่า ก็ฝากเห็นมันสวยดีนี่คะ แล้วก็หอมดีด้วย
คำพูดอ้อมแอ้มเรียกตัวเองสั้นๆ ทำให้เขารู้สึกตัวว่าลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนอาพันเดชแนะนำชื่อคนตรงหน้าว่ายังไง
จริงสิ ตกลงว่าเราชื่ออะไรเหรอ พี่ลืมไปเลย ได้จำได้แต่...ฟ้าๆ อะไรนี่แหละ
ชื่อฝากฟ้าค่ะ
"กี่ขวบแล้วเนี่ย"
"แปดขวบค่ะ" ตอบชัดเจนแล้วถามกลับว่า แล้วพี่ล่ะคะชื่ออะไร
เอาชื่อจริงหรือว่าชื่อเล่นดีล่ะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรอคำตอบตาแป๋ว เขาเลยพูดต่อด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ชื่อจริงก็คือวนาสณฑ์ ส่วนชื่อเล่นเก๊าะ...ชื่อสน
ไปๆ มาๆ เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะสนุกกับการพูดคุยกับเด็กไปได้ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรแล้วค่อยเดินเล่นชมไร่ก่อนขึ้นไปหาอาพันเดช
สนที่เป็นต้นไม้มีใบเล็กๆ มีผลสวยๆ ที่เขาชอบเอามาทำสิ่งประดิษฐ์หรือเปล่าคะ
ถูกแล้วจ้ะ เพียงแต่อันที่ฝากฟ้าเรียกว่าผลความจริงแล้วมันไม่ใช่ผลหรอกแต่เขาเรียกว่าโคน มีไว้สำหรับสืบพันธุ์ต่อไป
โคน? คิ้วเล็กเลิกขึ้น
ชายหนุ่มยิ้ม คร้านจะตอบเลยบอกปัดว่า โตขึ้นเดี๋ยวก็คงได้เรียนหรอก แต่พี่ว่าตอนนี้ชักสายแล้ว เรากลับขึ้นไปข้างบนกันดีไหม
ค่ะ
ตอบรับง่ายๆ แล้วก็ไม่รอช้ารีบก้าวเดินนำหน้าไปทันทีราวกับเป็นเจ้าถิ่น แต่เมื่อเดินผ่านร่องกาแฟที่ปลูกเป็นแถวตามขั้นบันไดได้ประมาณสิบขั้นก็หยุดหอบ
เหนื่อยจังเลย ทำไมเขาต้องทำดินเป็นขั้นบันไดอย่างนี้ด้วยคะ
อ้าว ก็ถ้าไม่ทำเป็นขั้นบันได เวลาฝนตกมาน้ำฝนก็ไหลกัดเซาะดินพังทลายน่ะสิคะ ที่สำคัญการทำขั้นบันไดแบบนี้ทำให้ฝากฟ้าเดินง่ายด้วยนะ
จริงด้วยค่ะ แต่ยังไงก็ยังเหนื่อยอยู่ดี
เด็กหนอเด็ก...ตอนเดินลงมาล่ะก็คงไม่คิดอะไร พอเดินขึ้นเลยเพิ่งจะมารู้สึก เขาส่ายหน้าไปมาพลางมองไร่กาแฟของผู้เป็นอาที่อยู่ติดกับไร่ของพ่อเขาอย่างสบายใจ ทุกครั้งที่เขากลับมาบ้าน เขาต้องเดินชมไร่กาแฟอย่างนี้เสมอ ต้นไม้ใบหญ้าคงจะเป็นสิ่งเดียวที่งดงามเบิกบานและฝังอยู่ในจิตวิญญาณของเขามากกว่าแสงสีในเมืองกรุงไปเสียแล้ว
พลันความแจ่มใสก็ต้องสะดุดลงเมื่อเบนหน้ากลับไปยังทางเดินและเห็นงูสีเทาลายเลื้อยผ่านหน้าคนเดินนำทางตัวเล็กอยู่ประมาณสองเมตร
งู ! เสียงแหลมเล็กกรีดร้องอย่างตกใจ
จังหวะเดียวกันนั้นเขาก้มตัวลงเพื่อจะตวัดเอาร่างน้อยไว้ พอดีกับที่เป้าหมายของเขาทิ้งกิ่งกาแฟแล้วหมุนตัวถลาเข้ามากอดคอเขาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก ตัวสั่นงันงกจนน่าสงสาร
มันไปแล้ว...มันไปแล้ว ไม่ใช่งูพิษหรอก เป็นงูกินปลาเท่านั้นเองจ้ะ ไม่ต้องกลัวนะคนดี วนาสณฑ์ปลุกปลอบด้วยวาจาพลางลูบหลังลูบไหล่ร่างในอ้อมแขนให้คลายความตกใจ
อึ๋ย... ขณะอุทานอย่างขยะแขยงก็กอดคอเขาแน่นเข้าไปอีก
มันไปแล้ว หันไปดูสิ ไม่มีแล้วนะคะฝากฟ้า
จริงนะคะ แขนเล็กคลายลง ขณะถามย้ำโดยไม่เงยหน้าจากซอกคอของวนาสณฑ์
จริงสิจ๊ะ เอา...ไหนลองหันไปดูสิ
ใบหน้าเล็กค่อยหันไปช้าๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนจากลำคอ พอเห็นพื้นดินว่างเปล่าก็ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอกแต่พอหันกลับมาก็ทำหน้าเขินอาย ก่อนจะปล่อยมือออกแล้วหมุนตัววิ่งไปตามทางเดินตรงขึ้นบ้านบนเนินเขาซึ่งอยู่ไม่ถึงยี่สิบเมตร
ชายหนุ่มก้มลงเก็บกิ่งกาแฟมาถือไว้ ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินทอดน่องตามขึ้นไป
อ้าว...ว่าไงสน มาแต่เช้าเลยนะ
เสียงพันเดชทักทายพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยมาเข้าจมูก
ผมมาขอกาแฟกินครับอา
มาสิ จะรออะไรอยู่ล่ะ ขึ้นมาเร็ว ว่าแต่ไปเดินตรงไหนมาล่ะนี่
ไปเดินดูต้นกาแฟครับอา กำลังออกดอกสวยหอมเชียว
ตอบแล้วก็เดินเลยเข้าในบ้านตรงไปยังเคาน์เตอร์จัดการชงกาแฟด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันจากในครัวแว่วมา คงจะไปเล่าเรื่องเจองูให้แม่ฟังอยู่กระมังถึงได้เล่าไม่หยุดขนาดนั้น ชายหนุ่มยิ้มพลางกดน้ำร้อนและใช้ช้อนคนกาแฟจากนั้นก็ถือแก้วพร้อมจานรองเดินออกมาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพันเดช
เอาเงินค่าตัดผมไหม
ประโยคกระเซ้าของผู้เป็นอาพลอยทำให้ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอะไรนอกจากยกแก้วกาแฟขึ้นจิบแล้วเบนหน้าออกไปมองยังผืนไร่กว้างใหญ่อย่างสบายใจ
ก็รู้อยู่ว่าพ่อเขาไม่ค่อยปลื้มที่เราไปเรียนคณะนี้ยังจะทำตัวให้เขาเห็นอีกว่าเรียนแล้วทำตัวขี้เหล้า ป่าเถื่อน แค่กลิ่นเหล้าลอยมานี่รายนั้นเขาก็ไม่ชอบใจแล้ว
โธ่...ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อยอาเดช แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง
ยังไงก็อย่าให้ติดก็แล้วกัน แต่อาว่าทางที่ดีไม่แตะมันได้เลยยิ่งดี รู้อยู่ว่าพ่อเราไม่ดื่มเหล้า ขนาดหนูฝากฟ้ายังไม่ชอบใจเลย รายหลังบอกว่าเหม็นเหล้าแล้วยังไปหอมแก้มเขาอีก
พันเดชบอกพลางบุ้ยปากไปยังในครัว ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าหัวเราะร่วน พอดีกับที่ร่างเล็กเดินออกมาพร้อมกับถือจานในมือ เขาเลยยิ้มอย่างเอ็นดู
แม่ให้เอาขนมมาให้ค่ะ
เอ...พี่สนได้ยินมาว่ามีใครบางคนบอกว่าเมื่อวานเหม็นเหล้าในตัวพี่เหรอ แล้วเมื่อเช้าตอนที่กระโดดกอดคอพี่สนเพราะหนีงูยังรู้สึกเหม็นอยู่หรือเปล่าเอ่ย
คนถูกแซวส่ายหน้าไปมาจนผมกระจายก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในครัว เรียกเสียงหัวเราะของชายทั้งสองดังไปทั่วบ้าน
********************
จากคุณ |
:
permanent stream
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ต.ค. 54 08:25:08
|
|
|
|