Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 1. ติดต่อทีมงาน

‘นายเรือเฒ่าเวทิต’ ยืนตระหง่านบนดาดฟ้านาวา ‘เขี้ยววายุ’ แววหยิ่งทระนงถือดี เชื่อมั่นฝีมือ กำลัง และสติปัญญาตนเองเหนือสิ่งใด ฉายชัดในดวงตา

ร่างสูงโปร่งผอมบาง แต่งกายรัดกุมในชุดนายเรือสีหม่น เสื้อตัวในแขนสั้นเสมอศอก ชายเสื้อทบไขว้ คาดสายรัดเอวเส้นโต กางเกงเนื้อหยาบยาวพอดีข้อเท้า เสื้อคลุมตัวนอกหนาหนัก แขนยาวจรดข้อมือ ทิ้งชายต่ำเลยบั้นเอว รัดทับด้วยสายคาดหนังแน่นกระชับ อาภรณ์ทั้งสิ้นเก่าคร่ำคร่าซีดจาง ไม่อาจคาดเดาได้ว่าดั้งเดิมเคยถูกย้อมด้วยสีใด

จะมีก็เพียง ‘ผ้าโพกเกล้า’ สีม่วงเข้มที่ถูกซักจนสะอาดเป็นนิจ ทั้งปราศจากริ้วรอยใดให้มลทิน ด้วยเจ้าของทะนุถนอมเป็นที่ยิ่ง เนื้อแพรม่วงเข้มยังเปล่งประกายจำรัสอย่างประหลาด ราวเพิ่งถักทอขึ้นเมื่อวันวาน ทั้งที่ได้พ้นมือผู้มอบให้ล่วงสี่สิบเก้าปีแล้ว...

วัยเจ็ดสิบปีกัดกร่อนสังขารจนโรยราไม่น้อย กายที่เคยอุดมด้วยมัดกล้ามบึกบึน เปี่ยมพละกำลังราวพยัคฆ์ลำพอง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่นซูบซีด ผมเผ้าจากสีน้ำตาลอ่อนราวผืนทรายละเอียด กลับกลายเป็นเงินยวงหมดสิ้นทั้งศีรษะ

ทว่ากาลเวลาย่อมกลืนกินได้เพียงร่างสังขาร ไม่อาจกัดกร่อนประกายทรงอำนาจสั่งการในแววตา ยิ่งไม่อาจลดทอนบุคลิกท่วงท่าอันทะนงองอาจ อีกทั้งกายแม้ซูบซีดเหี่ยวย่นเพียงใด แต่ไหล่บ่ากลับยังสง่าผึ่งผาย เอวหลังยังตั้งตรงไม่งุ้มงอแม้น้อยนิด

ดวงตากระจ่างที่มิได้ฝ้าฟางตามวันคืนแห่งอายุขัย เขม้นมองไปยังห้วงน้ำวนเชี่ยวกราก ใบหน้าเกรียมคล้ำด้วยกร้านคลื่นลมมากว่าครึ่งชีวิตสงบเรียบเฉย ทุกองคาพยพปราศจากเค้ารอยวิตกกังวล ซ้ำมุมปากยังประดับรอยยิ้มเยาะ คล้ายกำลังเย้ยหยันผู้ใดอยู่ในที...

‘ห้วงดารานาถ’ เป็นจุดบรรจบของสองมหานที ‘ศศิกันทรา’ และ ‘นิศาอัมพุ’ มหานทีศศิกันทรา ถือกำเนิดจาก ‘เทือกเขาตารกคีรี’ เขตแดนทางเหนือสุดของทวีป ทอดสายธารดิ่งลงสู่ทิศใต้ มาบรรจบกับมหานทีนิศาอัมพุ ซึ่งมีต้นน้ำ ณ ‘เทือกเขาเมฆีบรรพต’ ไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตจากเบื้องตะวันออกไปยังตะวันตก เหตุฉะนี้จุดบรรจบแห่งมหานทีทั้งสอง จึงกลายเป็นห้วงน้ำวนเชี่ยวกรากขนาดใหญ่

ในยามปกตินั้น แม้กระแสแห่งห้วงดารานาถจะกราดเกรี้ยวรุนแรง ทรงพลานุภาพเหนือทุกห้วงน้ำในสี่มหานที กระนั้นหากอาศัยนาวาขนาดใหญ่ ออกแบบโครงสร้างเป็นพิเศษ ลำเรือเสากระโดงคัดใช้ไม้เนื้อแข็งอย่างดี นายช่างผู้ประกอบสร้างล้วนชำนาญงาน ในการแล่นล่องมีนายเรือผู้เชี่ยวชาญควบคุมสั่งการ หากกระทำได้ทุกประการดังนี้ แม้ยามฝ่าห้วงกระแสอันบ้าคลั่ง ต้องได้รับความเสียหายไม่มากก็น้อย แต่ยังอยู่ในวิสัยที่จะฝ่าผ่านห้วงน้ำวนแห่งนี้ไปได้

นาวาขนาดใหญ่ซึ่งจัดสร้างอย่างพิถีพิถันนั้น ถ้ามิใช่เรือรบที่จำเป็นต่อการป้องกันเขตแคว้น ก็ต้องเป็นเรือสินค้า ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรให้นายเรือผู้เป็นเจ้าของอย่างมหาศาล ด้วยเหตุที่ต้องลงทุนทั้งยังเสี่ยงภัยไม่น้อยเช่นนี้ ในแต่ละปีจึงมีเรือสินค้าแล่นล่องจากมหานทีนิศาอัมพุ เข้าสู่กระแสแห่งศศิกันทรา โดยผ่านห้วงดารานาถเพื่อไปยัง ‘พุทธินครา’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘อุตรประเทศ’ เพียงปีละไม่เกินหกลำ

ทว่าแม้จะใช้นาวาขนาดใหญ่ทรงประสิทธิภาพเพียงไร ควบคุมสั่งการโดยนายเรือฝีมือเยี่ยมปานใด การจะฝ่าผ่านห้วงดารานาถยังคงกระทำได้เฉพาะใน ‘ยามปกติ’ เท่านั้น หากเป็น ‘ช่วงจันทราเต็มดวงสามราตรี’ การล่องฝ่าผ่านห้วงน้ำแห่งนี้เป็นเรื่องกระทำไม่ได้โดยเด็ดขาด!

เพราะในช่วงจันทราเต็มดวงสามราตรี ห้วงน้ำวนมหึมาจะยิ่งทวีความรุนแรงเป็นทบเท่าทวีคูณ!

ตลอดช่วงสามทิวาและราตรีนั้น มหานทีเชี่ยวกรากสองสายซึ่งไหลมาบรรจบกันจากสองทิศทาง จะโถมซัดกระหน่ำเข้าใส่กันระลอกแล้วระลอกเล่า บังเกิดเสียงครืนครั่นอื้ออึงก้องสะท้านห้วงน้ำ คล้ายดั่งอสนีบาตร้อยสายฟาดกระหน่ำลงผิวน้ำพร้อมกัน!

พลานุภาพการปะทะอันรุนแรงมหาศาล บังเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำมหึมา ถาโถมตัวพุ่งขึ้นสูงแล้วกระหน่ำฟาดใส่พื้นน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อเนื่อง ไม่ยุติหยุดหย่อนหรืออ่อนแรงแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ ดุจดั่งหัตถ์มฤตยูที่หมายกระชากลากกลืนทุกสรรพสิ่งให้จมดิ่งสู่ก้นบึ้งลึกสุดหยั่ง!

นายเรือคนใดเล่าจะหาญกล้า แล่นฝ่าห้วงมหานทียามพิโรธเช่นนี้!

ยามนี้ เฒ่าเวทิต นายเรือชราผู้ยึดอาชีพล่องรับส่งสินค้า ระหว่างห้วงกระแสแห่ง ‘ศศิกันทรา’ ‘นิศาอัมพุ’ ‘อินทุธารา’ ‘จันทราชลธี’ มหานทีทั้งสี่มาครึ่งค่อนชีวิต กำลังเงยหน้าจับจ้องจันทราเต็มดวงกระจ่างกลางนภา...

จันทรายิ่งเคลื่อนคล้อยขึ้นสูง สายลมแห่งเหมันต์ยิ่งทวีกระโชกรุนแรง ตีปะทะจนเชือกที่ผูกยึดโยงใบเรือทั้งหมดรั้งตึง ใบเรือบนเสากระโดงทั้งสองต้นกินลมเต็มที่ ถ้าไม่เพราะทิ้งสมอทั้งหัวและท้ายเรือ ป่านนี้นาวาเขี้ยววายุคงแล่นฉิว เข้าสู่ห้วงดารานาถอันเชี่ยวกรากนานแล้ว

เพลานี้ บนดาดฟ้าชุมนุมด้วยบรรดาลูกเรือทั้งหมด ทุกคนต่างสะกดกลั้นลมหายใจ รอคอยด้วยความฮึกเหิมลำพอง ดวงตาแต่ละผู้ทอประกายคาดหวังมุ่งมั่น

ลมหนาวจากทิศเหนือแม้คมกริบแทบบาดผิว ทว่าความหนาวเยือกกลับมิอาจชำแรกเข้าสู่จิตใจของเหล่าลูกเรือร่วมครึ่งร้อย ทั้งหมดกำลังรอให้นายเรือเฒ่าสั่งบุกฝ่าห้วงดารานาถด้วยจิตใจอันร้อนระอุ!

หากกระทำสำเร็จ นาวาเขี้ยววายุจะเป็นเรือสินค้าลำแรก ที่สามารถแล่นฝ่าห้วงน้ำอันทรงพลานุภาพที่สุด ในคืนจันทราเต็มดวง!

นายเรือเฒ่าเวทิตกระทำได้! ไม่มีความสงสัยอยู่ในใจของบรรดาลูกเรือแม้สักคนเดียว!

ตลอดหลายปีนี้ เหล่าลูกเรือซึ่งแล่นล่องฝ่ากระแสน้ำผจญคลื่นลม ร่วมเสี่ยงภัยเผชิญโชคไปพร้อมนายเรือชรา บังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเฒ่าเวทิตเพียงสองเรื่องเท่านั้น...

เรื่องแรก เหตุใดนายเรือชราจึงพึงพอใจกับการเป็นเพียงนายเรือสินค้า ทั้งที่ด้วยระดับฝีมือและความเชี่ยวชาญ นายเรือเฒ่าต้องไม่ด้อยกว่าขุนพลเรือของแคว้นใดทั้งสิ้น!

เรื่องที่สอง เหตุใดจึงไม่มีเจ้าผู้ครองแคว้นใด สนใจเรียกตัวนายเรือเฒ่าเข้าสังกัด ซ้ำรูปการณ์ยังคล้ายกับว่าเหล่าบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น ไม่สนใจการมีตัวตนของนายเรือชราผู้นี้!

จากความเคลือบแคลงสงสัยทั้งสองประการ ก่อให้เกิดข่าวลือซุบซิบมากมายในหมู่ชาวเรือ ที่แล่นล่องประกอบสัมมาชีพในมหานทีทั้งสี่ เกือบทั้งหมดต่างคาดเดากันว่า เฒ่าเวทิตสมัยอยู่ในวัยฉกรรจ์ คงเคยก่อเรื่องกระทำบางอย่างล่วงเกินเจ้าผู้ครองแคว้นใดหรือหลายแคว้น

เหตุนี้แม้นายเรือเฒ่าจะเก่งฉกาจปานใด บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นต่างไม่เรียกตัวมาเข้าสังกัด ด้วยเกรงว่าหากรับเฒ่าเวทิตเป็นขุนพลเรือแห่งตน อาจสร้างความไม่พอใจให้กับแคว้นอื่นที่มีเหตุบาดหมางกับนายเรือชรา

ไม่ว่าในวัยฉกรรจ์ นายเรือชรากับเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสี่ เคยมีเรื่องหมางใจกันหรือไม่อย่างไร คงมีเฉพาะเฒ่าเวทิตและเหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้นที่กระจ่างแก่ใจ...

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งแจ้งแก่สายตา ประจักษ์ต่อโสตเหล่าลูกเรือ รวมตลอดถึงบรรดาชาวเรือทั้งหลาย นั่นคือเฒ่าเวทิตไม่เคยหลบเลี่ยงการท้าทายของผู้ใด!

และครั้งนี้ในคืนจันทราเต็มดวงก็ยังคงเป็นเช่นนั้น!

นายเรือเฒ่าสูดลมหายใจลึกยาว เขม้นมองไปยัง ‘เรือลึกลับสีดำ’ ซึ่งทิ้งสมอลอยสงบนิ่งกลางมหานทีนิศาอัมพุ ทอดระยะห่างจากเขี้ยววายุอักโข ทั้งลำพรางโคมไฟจนมืดสนิท แม้ในคืนจันทราเต็มดวงเช่นนี้ ยังเห็นมันเป็นเพียงเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกระแสน้ำ...

เหตุเพราะเฒ่าเวทิตมีชื่อกระเดื่องดังเกินไป บรรดานายเรือผู้ต้องการสร้างชื่อในชั่วข้ามคืน จึงมักมาซุ่มทิ้งสมอดักรอนายเรือเฒ่าระหว่างห้วงน้ำอันตรายต่างๆ เพื่อท้าประลองฝีมืออยู่เนืองๆ แต่นับจากเริ่มมีชื่อเมื่อสามสิบปีก่อนในวัยกลางคน จนบัดนี้ผมเผ้าหงอกขาวโพลนสิ้นแล้ว เฒ่าเวทิตก็ยังไม่เคยพ่ายให้กับผู้ใดสักครั้ง!

นายเรือชราหัวเราะหึๆ ในลำคอ พลางส่ายหน้า แค่นเสียงทุ้มหนัก
“ชีวิตที่สุขสงบดำเนินมาได้เพียงแค่นี้กระมัง! ผู้ใดกันช่างคิดแผนการเช่นนี้ได้ เฮอะ...หากข้านิ่งดูดาย...พวกมันมิเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าหรือ!” ร่างผอมซูบแต่สูงอย่างยิ่งหันขวับ แววแน่วนิ่งจับจ้องห้วงดารานาถอีกครั้ง ยิ้มเยือกเปี่ยมความมั่นใจฉาบชัดบนใบหน้า

แต่แล้วสมาธิแน่วแน่ของนายเรือชรา กลับพลันมลายสิ้น เมื่อสุ้มเสียงสั่นละล่ำละลัก ดังขึ้นข้างกาย
“ท่านผู้เฒ่า...ท่าน...ท่านจะ...จะฝ่า...ฝ่าห้วงดารานาถจริงๆ หรือ...ข้าคิดว่า...ย้อนกลับท่าหลวงก่อนเถอะ เทียบท่าพักผ่อนสักสามวัน...อ้อใช่! ข้ายังมีน้ำโสมที่ท่านชอบเก็บไว้ที่บ้านสหาย ไว้ถึงท่าหลวงแล้วข้าจะไปขนมาให้ท่านหมดเลยดีไหม...”

เจ้าของสุ้มเสียงตะกุกตะกัก ตกประหม่าหวาดหวั่น เป็นชายหนุ่มผิวขาว ร่างเล็กผอมบาง อายุเพิ่งย่างสิบเก้าในปีนี้ หน้าตาคมคายเกลี้ยงเกลา ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงหลายปี ผมสลวยยาวถึงกลางหลัง ผูกรวบด้วยเชือกถัก ดวงตาแม้แฝงแววฉลาดเฉลียวเจ้าปัญญา แต่ขณะเดียวกันก็ฉายแววขลาดเขลา ทั้งยังหลุกหลิกคล้ายกลอกกลิ้งเป็นนิจ กลับเพาะสร้างเป็นลักษณะด้อย ใครพบเห็นครั้งแรก มักจะคิดว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์เหยาะแหยะ

ชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ สีเทาซีดจางเฉกเช่นบรรดาลูกเรือ เนื่องเพราะเฒ่าเวทิตยืนกรานอย่างเฉียบขาดว่า ระหว่างเดินทางหากเห็นชายหนุ่ม เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดเดิมของตน ไม่ยอมแต่งกายเช่นลูกเรือทั้งหลาย แม้ในขณะนั้นจะอยู่กลางห้วงน้ำใดก็ตาม ก็จะถูกจับโยนออกจากนาวาเขี้ยววายุทันที

เฒ่าเวทิตเหลียวไปยิ้มเหี้ยมให้ชายหนุ่ม พลางชี้มือเรียกลูกเรือสองคน สั่งเสียงเฉียบขาด
“ไปหาที่เหมาะๆ มัดเจ้ามายากรนี่ไว้ที! มัดให้แน่นที่สุดอย่าให้ขยับเขยื้อนได้!”

‘เจ้ามายากร’ ถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ใบหน้าที่ซีดด้วยกลัวสุดขีดเป็นทุนเดิม นับแต่คาดหมายได้ว่า นายเรือเฒ่าคงจะสั่งบุกฝ่าห้วงดารานาถเป็นแน่ ยิ่งซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด เข่าอ่อนระทวย เรี่ยวแรงอันตรธานไปสิ้น

ลูกเรือร่างใหญ่สองคนรีบรี่ตรงเข้ามา ช่วยกันหิ้วปีกชายหนุ่มคิดจะพาไปผูกไว้ที่ท้ายเรือ ทว่าขณะเฉียดผ่านกราบเรือตรงที่ผูกเรือเล็กยึดโยงไว้กับเรือใหญ่ ตรงนั้นมีหลักขนาดเขื่องสองต้น ไว้สำหรับพันเชือกยึดโยงเรือเล็กทั้งสองลำไว้กับข้างกราบเรือ

เจ้ายักษ์ใหญ่ทั้งคู่เห็นเข้าทีดี หันพยักหน้าให้กัน จับมายากรหนุ่มนั่งลง คว้าเชือกเส้นโตที่วางอยู่ตรงนั้น มัดร่างชายหนุ่มตรึงติดกับหลักต้นหนึ่งอย่างแน่นหนา

นับแต่ถูกหิ้วปีกจนถึงโดนมัดกับหลัก มายากรหนุ่มทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ได้แต่ยอมจำนนโดยดี ด้วยรู้ดีว่าขัดขืนดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เจ้าลูกเรือทั้งสองคนตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น มือที่หิ้วร่างตนก็แข็งราวคีมเหล็ก ขืนดื้นรนไปก็มีแต่จะเจ็บตัว แล้วยังเป็นเรื่องเสียแรงเปล่าอีกด้วย

หลังแน่ใจว่ามัดชายหนุ่ม ติดกับหลักอย่างแน่นหนา ไม่มีวันดิ้นหลุดอย่างเด็ดขาด ลูกเรือร่างใหญ่ทั้งสองก็เตรียมผละไปทำงานของตนต่อ แต่ก่อนจะเดินจากไป ทั้งคู่เขม็งจ้องมายากรหนุ่มอย่างดูแคลน

เจ้ายักษ์คนหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ควรรับเจ้าหนุ่มนี่ขึ้นเรือมาแต่แรก ตอนนี้ยังต้องมาคอยดูแลมันอีก!”

ลูกเรือร่างใหญ่อีกคน หัวเราะเฮอะๆ กล่าวน้ำเสียงเหยียดๆ
“นายผู้เฒ่าใจดีเกินไป แต่ก็เพราะเจ้านี่มันตื้อไม่เลิกจริงๆ ตามตื้ออ้อนวอนตั้งแต่บ่ายยันค่ำ นายผู้เฒ่าคงอยากตัดความรำคาญ เลยยอมๆ ให้มันโดยสารมาด้วย”

เจ้ายักษ์คนแรกหัวเราะร่วน กล่าวอย่างภาคภูมิ
“แต่คิดแล้วก็น่าเห็นใจเจ้าหนุ่มนี่อยู่หรอก ขืนพลาดจากเรือของเรา ข้าว่าภายในปีนี้คงไม่มีเรือลำไหนเดินทางไปพุทธินคราอีก”

เพียงได้ยินวาจาประดานั้น มายากรหนุ่มซึ่งก้มหน้านิ่งเงียบ คล้ายยอมรับชะตากรรม ถึงกับเลือดขึ้นหน้าสุดจะทนอีกต่อไป แค่พูดท้วงขึ้นประโยคเดียวถึงกับถูกจับมัดยังไม่พอ เจ้ายักษ์สองคนนี้ยังพูดราวกับว่า เขาเป็นตัวถ่วงต้องให้พวกมันดูแล แล้วเฒ่าเวทิตก็ช่างใจดีหนักหนา ที่ให้เขาโดยสารเรือมาด้วย ซึ่งนั่นมันไม่จริงเลย!

ชายหนุ่มตะคอกใส่หน้าเจ้ายักษ์ทั้งสองเสียงดังลั่น
“ดูแลอันใด! มัดข้าไว้กับหลักนี่หรือเรียกว่าดูแล! แล้วเจ้าเฒ่าเวทิตนั่นน่ะเหรอใจดี! เฮอะ! ข้า ‘บุลิน’ แม้เป็นเพียงมายากรเร่ร่อน แต่ก็ไม่เคยขอสิ่งใดจากใครเปล่าๆ! เฒ่าเวทิตอยากได้วิธีหมักน้ำโสมของข้าต่างหาก ถึงยอมให้ข้าโดยสารเรือมาด้วย!”

เจ้ายักษ์ใหญ่ทั้งสองถูกตวาดใส่ซึ่งหน้า พวกมันถึงกับบันดาลโทสะกราดเกรี้ยว ดวงตากร้าวจ้องชายหนุ่มราวจะกินเลือดเนื้อ คนหนึ่งตรงเข้าเค้นลำคอจนบุลินหายใจแทบไม่ออก ทำได้เพียงดิ้นสะบัดหน้าส่ายหัว แต่ไหนเลยสามารถสลัดมือแข็งแกร่งปานคีมเหล็กออกจากลำคอได้ เจ้ายักษ์อีกคนก็รี่เข้าด้านข้างเงื้อหมัดขึ้นสูง หมายจะหวดประเคนใส่หน้าบุลินดับความเดือดดาล

แต่ทันใดนั้น คลับคล้ายกระแสลมหอบหนึ่งวูบผ่าน...

หนึ่งสุ้มเสียงกังวาน พลันดังขึ้นข้างกายบุลิน
“ท่านผู้เฒ่าสั่งให้เจ้าสองคนไปช่วยงานทางโน้น...” พลางชี้มือไปยังหัวเรือ

เจ้าของสุ้มเสียงเป็น ‘ลูกเรือคนหนึ่ง’ แม้แต่งกายเฉกเช่นลูกเรือทั่วไป ทว่าผ้าโพกเกล้านั้นกลับตวัดพันปกปิดใบหน้าสิ้น เผยเพียงดวงตานิ่งสงบราวกระแสน้ำลึกใต้ห้วงมหานที พอกล่าวจบก็เดินเฉียดผ่านทั้งสามไป...

ฝ่ายเจ้ายักษ์ทั้งสองคล้ายชะงักวูบหนึ่ง แล้วต่างพากันพยักหน้า ปล่อยมือจากลำคอบุลิน พากันเดินไปยังหัวเรือ ราวกับลืมความเดือดดาลเมื่อครู่สิ้นแล้ว...

บุลินนั่งหอบหายใจอยู่พักใหญ่ ลมหายใจค่อยกลับเป็นปกติ ลำคอเจ็บไปหมดแทบขยับไม่ได้ ยามนี้ได้แต่นึกด่าทอตนเอง หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ไม่ควรขอโดยสารมากับเรือของเฒ่าเวทิตเลย

ทว่ามายากรหนุ่มตระหนักดีว่า ตนไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออีก ในเมื่อต้องการเดินทางไปยังพุทธินคราให้ทันในเหมันต์นี้ มีแต่ต้องโดยสารไปกับนาวาเขี้ยววายุเท่านั้น...

ร่วมหนึ่งเดือนแล้วที่ชายหนุ่มเตร็ดเตร่ เที่ยวเล่นอยู่ตามตลาด ย่านการค้า จัตุรัสกลางเมือง ท่าเรือ ตลอดจนย่านชุมนุมชนใน ‘เมธาปุระ’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘บูรพประเทศ’ เร่เปิดการแสดงมายากล อันเป็นสัมมาชีพที่ใช้เลี้ยงปากท้อง เพื่อรอเรือสินค้าที่จะไปยังพุทธินครามาเทียบท่า

ทว่ารอแล้วรอเล่า กลับไม่ปรากฏเรือสินค้าแม้แต่ลำเดียวที่จะมุ่งหน้า ไปเมืองเอกแห่งแคว้นอุตรประเทศ ถึงตอนนี้คิดเปลี่ยนไปใช้เส้นทางบกก็ไม่ทันเสียแล้ว ด้วยปีนี้เหมันต์ย่างกรายเข้ามาเร็วกว่าปกติ

เส้นทางบกนั้น แม้ระยะทางจะใช้เวลาเดินทางนานกว่าทางน้ำร่วมเดือน แต่ก็ปลอดภัยกว่า อย่างน้อยอยู่บนบกเกิดเหตุใดขึ้นยังหนีเอาตัวรอดได้ แต่ขืนอยู่กลางมหานทีหมดแรงเมื่อไหร่ชีวิตก็หลุดลอย

กระนั้นเส้นทางบกก็มีข้อจำกัดสำคัญ ไม่อาจใช้เดินทางในช่วงเหมันต์ เพราะแนวเขาสลับซับซ้อน อันเป็นทางผ่านไปสู่พุทธินครา หลายช่วงหลายตอนอาจเกิดหิมะถล่มได้ทุกเมื่อ อีกทั้งในยามเหมันต์ไม่สามารถหาน้ำ หรือเสบียงอาหารระหว่างทางได้เลย หากน้ำและเสบียงอาหารหมดก็ต้องอดตายอยู่กลางป่า

หลังรอคอยจนแทบหมดหวัง ยามเที่ยงวันนี้ นาวาเขี้ยววายุของเฒ่าเวทิต ก็เข้าเทียบท่าหลวงของเมธาปุระ บุลินตื่นเต้นยินดียิ่ง ไม่เพียงดีใจที่ไม่ต้องติดอยู่เมธาปุระตลอดเหมันต์ แต่เป็นเพราะได้ยินชื่อเสียงกระเดื่องดัง และข่าวลือนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับนายเรือเฒ่าเวทิตมาช้านาน

ข่าวลือเหล่านั้นทั้งสนุกสนานเร้าใจ ทั้งซ่อนเงื่อนงำชวนขบคิดคลี่คลาย ทั้งมีมากมายหลายกระแสจนรับฟังแทบไม่หวาดไหว...

บางแหล่งก็ว่า สมัยยังหนุ่มเฒ่าเวทิตเคยหลงรักเจ้าฟ้าหญิงแห่ง ‘พุทธินครา’ เมืองเอกของแคว้น ‘อุตรประเทศ’ ถึงขนาดแอบลอบพบปะเจ้าฟ้าหญิงในพระราชอุทยาน แต่ถูกเหล่าทหารองครักษ์พบเห็นเสียก่อน กระนั้นเฒ่าเวทิตยังแสดงฝีมืออันเป็นเยี่ยม บังคับเรือแล่นเรือหนีออกจากพุทธินคราได้...

แต่หลายแห่งก็เล่าลือว่า ครั้งหนึ่งขณะนำเรือจอดเทียบท่าหลวงของ ‘เมธาปุระ’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘บูรพประเทศ’ นายเรือเฒ่าดื่มน้ำโสมจนเมามายคุมสติไม่อยู่ ตะโกนโหวกเหวกด่าทอใส่ร้ายบรรดา ‘ปราชญ์แห่งเมธาปุระ’ กลางสถานที่ชุมนุมชน ‘สภาแห่งปราชญ์’ ไหนเลยยอมนิ่งเฉย ถึงกับออกเสียงขับไล่ ไม่ให้เฒ่าเวทิตนำเรือเข้าเทียบท่าอยู่หลายปี..

ส่วนอีกแหล่งก็ว่า หลายสิบปีก่อน เฒ่าเวทิตส่งสารท้าประลองกับขุนพลเรือของ ‘กษมปราการ’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘ทักษิณาประเทศ’ ผลการประลองปรากฏว่าเฒ่าเวทิตเป็นฝ่ายชนะ กษมปราการซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งมหานทีรับความอัปยศนั้นไม่ได้ ดังนั้นแม้เฒ่าเวทิตจะมีฝืมือเพียงใด กษมปราการก็ไม่มีวันเรียกตัวมาใช้งาน...

แหล่งข่าวอีกกระแสก็ว่า เฒ่าเวทิตเคยช่วยเหลือนักโทษอุกฉกรรจ์ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของ ‘ศานติธานี’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘ปัจฉิมประเทศ’ ที่สุดนักโทษผู้นั้นหนีการตามล่าจับกุมไปได้ เจ้าผู้ครองศานติธานีเดือดดาลเป็นที่ยิ่ง สั่งตามจับเฒ่าเวทิตทั่วสี่มหานที แต่ไหนเลยสามารถหาตัวนายเรือเฒ่าพบ...

ทว่าหากข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริงสักครึ่งเรื่อง ก็หมายความว่านายเรือเฒ่าก่อเรื่องหมางใจกับบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างร้ายแรง แต่ก็แปลก...เพราะเหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ กลับไม่เคยสั่งจับตัวเฒ่าเวทิตอย่างจริงจัง ยิ่งไม่เคยห้ามนายเรือชรานำเรือเข้าเทียบท่าในแคว้นใด...

ทันใด โดยไม่คาดคิด เฒ่าเวทิตกลับเดินตรงมายังหลักที่บุลินถูกมัดตรึงอยู่

บุลินเห็นดังนั้นรีบขอร้องเร็วปรื๋อ
“แก้มัดข้าเถอะท่านผู้เฒ่า เมื่อครู่ข้าถามก็เพราะสงสัยเท่านั้นเอง...ต่อไปข้าจะ...”

นายเรือเฒ่าส่ายหน้าอย่างเหลืออด น้ำเสียงรำคาญเอือมระอา
“บุลิน! ขืนเจ้ายังไม่หยุดพูด ข้าจะสั่งให้มัดปากเจ้าไว้ด้วย!”

มายากรหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบละล่ำละลักกล่าวว่า
“ข้าไม่พูดมากแล้ว ไม่พูดแล้ว...”

นายเรือเฒ่าเฉียดผ่านร่างชายหนุ่ม ตรงไปยังช่องเก็บสินค้าขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ใต้เรือบดที่ผูกติดอยู่ข้างกราบเรือด้านซ้าย เฒ่าเวทิตเคาะช่องเก็บสินค้าสองสามที เสียงทุ้มหนักเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าจะออกมาเองหรือจะให้ข้าลากตัวเจ้าออกมา...”

บุลินที่อยู่ใกล้ๆ ถึงกับอุทานด้วยความแปลกใจ...ใครกันจะไปอยู่ในช่องแคบๆ นั้นได้...
เพียงสิ้นประโยคไม่ถึงอึดใจ ช่องเก็บสินค้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเปิดออก!

นายเรือเฒ่าไม่รั้งรอให้ผู้ที่แอบอยู่ภายในออกมาเอง มือเหี่ยวย่นทว่าเปี่ยมพละกำลังอย่างไม่น่าเชื่อ ยื่นเข้าไปขย้ำคว้าคอเสื้อลากตัวผู้อยู่ภายใน แล้วเหวี่ยงตุบลงบนพื้นดาดฟ้า!

“ว้าย!” เสียงกรีดร้องเล็กแหลม ด้วยความเจ็บปวดระคนตื่นตะหนก ดังก้องดาดฟ้า!

บรรดาลูกเรือหันมองเป็นตาเดียว แต่เหล่าลูกเรือเพียงเห็นเฒ่าเวทิตโบกมือให้ไปทำงานกันต่อ ทั้งหมดรีบแยกย้ายกันไปแต่ยังซุบซิบ วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความงุนงงสงสัย

นายเรือเฒ่าก็อดงุนงงสงสัยไม่ได้เช่นกัน แม้รู้แต่แรกว่ามีคนแอบขึ้นเรือ ขณะที่ตนเดินไปเจรจากับข้าหลวงตรวจการประจำท่าเรือ แม้จะเห็นเพียงหลังไวๆ ก็ไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิง...

แม่หนูคนนี้เป็นใคร...สามารถสงบนิ่งอยู่ในช่องสินค้าเล็กแค่นั้นครึ่งค่อนวัน...การฝึกปรือไม่เลวทีเดียว

หญิงสาวเจ้าของเสียงกรีดร้องยังก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองนายเรือเฒ่า เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้า...ข้า...”

นายเรือเฒ่าขมวดคิ้ว ถอนใจอย่างหงุดหงิดรำคาญ คว้าข้อมือดึงตัวหญิงสาวกึ่งจูงกึ่งลาก ชี้ให้นั่งลงที่หลักอีกต้นข้างๆ มายากรหนุ่ม คว้าเชือกมัดหญิงสาวตรึงไว้กับหลักเช่นเดียวกับบุลิน

มายากรหนุ่มตะลึงงัน แม้จะรู้ดีว่าการแอบลอบขึ้นเรือเป็นความผิดร้ายแรง ก็ยังอดเห็นใจที่หญิงสาวต้องมาผูกติดกับหลักอย่างแน่นหนาเช่นนี้

“เฒ่าเวทิต! ถึงนางจะลักลอบขึ้นเรือของท่าน ก็ไม่น่าต้องมัดกันขนาดนี้!”

แต่มิคาด หญิงสาวกลับเอ่ยขัดขึ้น สุ้มเสียงนั้นไพเราะกังวานอย่างยิ่ง
“ท่านผู้เฒ่าหวังดีกับข้าและท่านต่างหาก...”

บุลินชะงักด้วยความงุนงง หันไปมองหญิงสาวให้ชัดถนัดตา

หญิงสาวผู้นี้รูปร่างเล็กผอมบาง ละม้ายใกล้เคียงกับตน อายุก็ดูคล้ายจะไล่เลี่ยกัน เส้นผมนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้มยาวประต้นคอ หน้าตามอมแมม จนยากจะเห็นเค้าหน้าแท้จริง เครื่องแต่งกายคล้ายชาวบ้านทั่วไปในเมธาปุระ แต่ขะมุกขะมอมเปรอะเปื้อนทั้งฝุ่นทั้งหยากไย่เต็มตัว

มายากรหนุ่มทวนคำด้วยมึนงงสงสัยกว่าเดิม
“หวังดี...ด้วยการผูกเราสองคนไว้กับเสาน่ะหรือ!”

หญิงสาวยังไม่กล้าเงยหน้ามองผู้ใดตรงๆ ได้แต่ก้มหน้าเอ่ยแผ่วเบา
“หากไม่ผูกเราสองคนไว้แน่นหนาเช่นนี้ อีกสักครู่พอเข้าสู่ห้วงดารานาถ พวกเราต้องถูกกระแสน้ำโถมซัด พลัดตกไปในห้วงน้ำวนอย่างแน่นอน...”

ชายหนุ่มยังขมวดคิ้ว เอ่ยเถียง
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ผูกพวกลูกเรือด้วยล่ะ”

หญิงสาวยังคงก้มหน้างุด กล่าวอธิบาย
“พวกลูกเรือย่อมสามารถเอาตัวรอดได้ ท่านไม่เห็นหรือว่าลูกเรือกระตือรือร้นเพียงใด ความตายหาใช่เรื่องสลักสำคัญไม่ นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของชีวิต ท่านผู้เฒ่าให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา...”

บุลินตะโกนประชดประชันเสียงดังลั่น
“ใช่ข้ารู้ว่าพวกนั้นคิดอย่างไร แต่ข้ากลับไม่เห็นว่านี่เป็นโอกาสยิ่งใหญ่อะไร! ทุกคนต้องตายกันหมดอย่างแน่นอน! ไม่มีเรือลำไหนจะแล่นฝ่าห้วงดารานาถ ในคืนจันทราเต็มดวงได้หรอก! เฒ่าเวทิตท่านเสียสติไปแล้วเหรอ! ท่านมีความจำเป็นอะไรถึงสั่งให้แล่นฝ่าไปในเวลานี้!”

นายเรือเฒ่านั่งอยู่ตรงนั้น ย่อมได้ยินวาจาเหล่านี้เต็มสองหู แต่ก็เพียงส่ายหน้า ซ้ำยังแค่นหัวร่อไม่ตอบคำ หลังผูกมัดหญิงสาวจนแน่ใจว่า แม้คลื่นน้ำลูกใหญ่ที่สุดซัดมา นางก็ไม่มีทางกระเด็นตกจากเรือแน่นอน จึงค่อยลุกขึ้นยืน ปลายสายตากร้าวเขม็งมองไปยัง ‘ลูกเรือคนหนึ่ง’

‘ลูกเรือคนหนึ่ง’ ย่อมเป็นคนที่ตวัดผ้าโพกเกล้าพันปกปิดใบหน้าสิ้น เผยเพียงดวงตานิ่งสงบราวกระแสน้ำลึกใต้ห้วงมหานที...

นายเรือชราเดินเฉียดเข้าไปใกล้ กล่าวสุ้มเสียงแผ่วเบา ทว่าน้ำเสียงเฉียบขาดยิ่ง
“เจ้าผู้ใช้ ‘วาโยฌานเวท’ จงจำไว้! หากเจ้าก่อเรื่องขณะข้าฝ่าห้วงดารานาถ ข้ารับรองเจ้าได้เป็นภูตเฝ้าห้วงน้ำแน่! รักษาชีวิตเจ้าไว้ให้ดี พ้นห้วงดารานาถเจ้าต้องตอบคำถามข้าอีกมาก!”

เจ้าผู้ใช้ ‘วาโยฌานเวท’ พยักหน้ารับคำ ก้มศีรษะโค้งคำนับจนต่ำ ต่ำจนกระทั่งเจ้าตัวเอง ก็ไม่เคยคิดว่าจะแสดงความเคารพผู้ใดได้ถึงเพียงนี้...

นายเรือเฒ่าเพียงแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า
“ให้เกียรติคนแก่อย่างข้ามากเกินไปแล้ว...ข้าชราแล้ว...เรี่ยวแรงถดถอยแล้ว...ไม่มีประโยชน์อันใดกับใครอีกแล้ว...”

ทันใด นายเรือเฒ่าเวทิตสั่งการเฉียบพลัน สุ้มเสียงกังวานเปี่ยมอำนาจ!
“เก็บใบเรือเสากระโดงหลัก! ผ่อนใบเรือเสากระโดงรองลงอีก! เตรียมตัวให้พร้อมพวกเราจะบุกฝ่าห้วงดารานาถ!”

จากคุณ : big pigdaddy
เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 54 10:09:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com