Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนต์ไพรบทที่ 2 : นักวิชาการป่าไม้ ติดต่อทีมงาน

บทที่ 2

สิบปีต่อมา

เวลาเที่ยงครึ่งหลังจากการประชุมประจำเดือนสิ้นสุดลง ข้าราชการป่าไม้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทยอยเดินออกจากห้องประชุมพร้อมกับพูดคุยกันด้วยเสียงไม่เบานัก

ด้านข้างห้องประชุม เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ถูกเหมามาเพื่อเลี้ยงข้าราชการและเจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินการเตรียมถ้วยชามและเครื่องปรุงไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว

ในขณะที่คนส่วนใหญ่เดินตรงไปยังลานใต้ร่มไม้ซึ่งเป็นจุดตั้งของซุ้มอาหาร ใครคนหนึ่งก็ไม่ได้สนใจอาหารกลางวันเลยแม้แต่น้อย

“เฮ้ย สน เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไปสิวะเพื่อน”

เสียงเรียกอย่างสนิทสนมหยุดร่างสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรของวนาสณฑ์ไว้ก่อนจะไปถึงลานจอดรถซึ่งส่วนใหญ่มีรถติดตราของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จอดอยู่อย่างเนืองแน่น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากห้องประชุมของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่สังกัดอยู่

“มีอะไรโป๊ะ” เขาหันไปถาม อุทัย แสงสิงห์ เพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันซึ่งสาวเท้าอาดๆ เข้ามาหา

“แล้วนายจะรีบไปไหนวะ ไม่กินข้าวกินปลาหรือไง ทุกทีต้องอยู่เคลียร์งานเอกสารและเลี้ยงข้าวเย็นน้องๆ ที่ส่วนอุทยานไม่ใช่เหรอ วันนี้ทำไมจ้ำอ้าวยังกับจะรีบไปตามควายที่ไหน อยู่พบปะพี่น้องเพื่อนฝูงก่อนสิ”

“ฉันจะรีบกลับบ้าน” เขาบอกสั้นๆ

“เอาใครซุกไว้ที่บ้านหรือไงถึงต้องรีบกลับ” พูดแล้วก็หรี่ตา ทำหน้าเหมือนจะจับผิดก่อนจะกระดิกนิ้วชี้หน้าเพื่อน

“เฮ้ยๆ อย่านะโว้ย ถ้ามีสาวที่ไหนก็รีบพามาเปิดตัวว่าที่สะใภ้รุ่นให้เพื่อนๆ รู้จักโดยด่วน อายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้วไม่ต้องมัวมาทำเซอร์ไพรส์หรือปกปิดซุกซ่อนไว้หรอก เพื่อนๆ พวกเราหลายคนมีลูกมีเต้ามาอวดกันในเว็บไซต์ของรุ่นกันเยอะแล้วนะ แล้วทุกคนก็อยากเห็นว่าสาวตัวจริงของนายน่ะเป็นใครกันแน่ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง”

“จะอยากเห็นไปทำไม ใครที่มีสาวเป็นตัวเป็นตนก็เปิดตัวไปก่อนสิ ฉันยังไม่รีบ”

สายตาอิจฉาแบบไม่จริงนักมองกวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “นายนี่มันเลือกมากหรือว่าหยิ่งกันแน่วะ หน็อยแน่...เห็นว่าตัวเองหล่อเลือกได้ หมั่นไส้โว้ย ไปเลย...อยากจะรีบไปหาสาวที่ไหนก็ไปเลย” โป๊ะพูดพลางทำทีเป็นโบกมือไล่

วนาสณฑ์ยิ้มอย่างเสียไม่ได้ ไม่ใช่ไม่พอใจกับคำพูดของเพื่อน แต่เพราะปัญหาจากหน่วยงานในพื้นที่ซึ่งเขาสังกัดอยู่ต่างหากทำให้ไม่มีอารมณ์จะพูดจาหยอกเย้ากับเพื่อน

“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก นายก็พูดไปเรื่อย ที่ฉันว่าจะกลับบ้านคือหมายถึงกลับบ้านที่เชียงใหม่เพื่อไปเยี่ยมพ่อกับอาต่างหาก แล้วก็จะเลยไปประชุมที่กรมแทนหัวหน้าด้วย”

โป๊ะขมวดคิ้ว “ประชุมเรื่องปัญหาบุกรุกในอุทยานฯ น่ะเหรอ”

วนาสณฑ์พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียดขรึม “จะมีอะไรอีกล่ะ”

“เฮ้อ ! ปัญหาใหญ่ของทุกอุทยานเลยนะเนี่ย” ผู้เป็นเพื่อนรำพึง เพราะในที่ประชุมก็พูดถึงเรื่องนี้

“ใช่แล้ว ไม่เหมือนนายนี่ เป็นหัวหน้าหน่วยควบคุมไฟป่าไม่ค่อยมีปัญหามาก ยิ่งหน้าฝนก็ยิ่งสบาย มีแต่งานชุมชนสัมพันธ์อย่างเดียว”

“เออ...ก็ดีตรงนี้แหละ” อีกฝ่ายยิ้มรับ ก่อนจะย้อนถามกลับว่า “แล้วตอนนี้จะทำยังไงกันล่ะกับปัญหาที่เกิดขึ้น”

“ก็นี่ไง ฉันกำลังจะไปประชุมหาแนวทางในการจัดการอยู่ เพราะมันชักจะรุนแรงขึ้นทุกที และที่สำคัญตรงนั้นเป็นป่าต้นน้ำด้วย”

“สู้ต่อไปเพื่อน ป่าไม้อย่างเราไม่ทำแล้วใครจะทำวะ” โป๊ะให้กำลังใจเพื่อนร่วมรุ่นและร่วมสายงานเดียวกัน

วนาสณฑ์พยักหน้าพลางตบไหล่เพื่อนแทนคำขอบใจ

“จริงสิ ช่วงนั้นจะมีงานรับน้องที่คณะด้วยนี่ นายจะไปหรือเปล่า”

อีกฝ่ายถามขึ้นเมื่อนึกได้ว่ามีงานรับน้องคณะวนศาสตร์ ซึ่งงานนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสดีที่เพื่อนรุ่นเดียวกันรวมทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องจะได้มาพบปะสังสรรค์กัน

“เหรอ? ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าไม่ติดภารกิจด่วนก็อาจจะแวะเข้าไปก็ได้”

“ไปดูแล้วมาเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่าสมัยนี้คณะเรารับน้องเปลี่ยนไปเยอะหรือเปล่า โดยเฉพาะมิสอินเดียนรุ่นใหม่ๆ” ตอนท้ายประโยค เจ้าตัวก้มหน้ามาป้องปากกระซิบกับเพื่อนพลางทำตาวิบวับเลยถูกตบไหล่เข้าทีหนึ่ง

“นายก็นึกถึงอยู่อย่างเดียวนะ โธ่เอ๊ย...แล้วก็ทำเป็นพูดว่าอยากดูการเปลี่ยนแปลงของการรับน้อง”

“บ๊ะ ! ของสวยๆ งามๆ ใครวะไม่อยากดู” คนพูดทำหน้าขึงขัง

“เออ...ถ้าได้ไปแล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง” ว่าแล้ววนาสณฑ์ก็ทำท่าหมุนตัวจากไปแต่แล้วเสียงแจ่มใสของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นสกัดไว้ก่อน

“พี่สน เดี๋ยวค่ะอย่าเพิ่งไป”

ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองข้าราชการสาวรุ่นน้องที่มาบรรจุได้ไม่นานเป็นทางเดียวกัน

“ว่าไงจ๊ะ น้องฝนทอง” โป๊ะถามขึ้นก่อน “ถ้าจะมาบอกว่าให้พี่สนเพื่อนพี่เขาไปเลี้ยงข้าวเย็นน้องๆ ล่ะก็เตรียมผิดหวังได้เลยเพราะรายนี้เขารีบไป”

“อ้าว เหรอคะ ว้า...เสียดายจังอุตส่าห์ล้างท้องไว้รอ นึกว่าประชุมประจำเดือนเสร็จแล้วจะมีลาภลอย” ฝนทอง พนมสวรรค์ แสร้งทำหน้าแสนเสียดายทั้งที่ความจริงเป้าหมายที่เรียกรุ่นพี่ไว้ไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายกระเซ้า แถมยังแกล้งเย้าอีกว่า

“แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพี่โป๊ะยังอยู่”

คนถูกเย้าหัวเราะร่า “ได้เลยน้อง ไม่มีปัญหา”

“ต้องอย่างนี้สิคะ หล่อแล้วยังใจดีอีก”

วนาสณฑ์ส่ายหน้าขำๆ เมื่อรู้สึกว่าร่างขาวติดจะท้วมนิดๆ ของเพื่อนชักจะพองออกเมื่อได้กินลูกยอคำโต

“สรุปว่ามีอะไรเหรอฝน ถึงเรียกพี่ไว้ พี่ต้องรีบกลับไปบ้านพักแล้วก็เช็ครถเตรียมตัวกลับบ้าน”

“ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะพี่สน คือฝนอยากได้ข้อมูลพรรณไม้ในอุทยานแห่งชาติภูผาชันค่ะ จะได้รวบรวมไว้ที่ส่วนอุทยาน เผื่อมีหนังสือขอข้อมูลมาจะได้ไม่เสียเวลาตามหา”

วนาสณฑ์ก้มหน้านิดหนึ่ง ทำท่าตรึกตรองก่อนจะเงยหน้าขึ้นอธิบายว่า

“ความจริงเคยมีโครงการสำรวจพรรณไม้ภายในอุทยานแล้วนะ แต่ทำแบบไม่เป็นระบบเท่าไหร่ แล้วก็ทำเป็นบางพื้นที่เฉพาะจุดที่เข้าถึงได้ง่ายๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวพี่จะส่งข้อมูลพวกนั้นให้ก่อนก็แล้วกัน ถ้าคืบหน้ายังไงก็ค่อยว่ากันอีกที”

“ได้ค่ะพี่สน ว่าแต่ว่าถ้ามีโครงการสำรวจในอุทยานอีกเมื่อไหร่บอกฝนได้นะคะ ป่าแถวนั้นน่าสนใจมากเลย ฝนอยากไปเดินสำรวจด้วย”

“มันลำบากนะ” วนาสณฑ์บอกยิ้มๆ “ปัญหาเยอะด้วย”

“ใช่ๆ แล้วได้ยินมาว่า ป่าที่ภูผาชันมีอาถรรพ์ด้วย ไม่กลัวเหรอ”

โป๊ะเสริมขึ้นสีหน้าไม่จริงจังนัก เขาก็ไม่เคยเข้าไปในพื้นที่ป่าบริเวณที่กล่าวถึงสักครั้งเดียว ส่วนใหญ่จะไปแค่สำนักงานหรือป่ารอบนอกเท่านั้น แต่เคยได้ยินมาบ้างว่าน้อยคนนักที่จะเข้าไปยกเว้นนายพรานเก่าแก่ แต่ฝนทองกลับยิ้มกว้าง ตอบอย่างไม่ลังเล

“ฝนไม่กลัวหรอกค่ะพี่ กลัวแต่จะได้จมอยู่ในสำนักงานจนเกษียณมากกว่า ได้ออกป่าฝ่าดงหน่อยก็ยังดีจะได้รื้อฟื้นและใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาบ้าง”

“จ้า แม่คนเก่ง พวกข้าราชการใหม่ไฟแรงก็อย่างนี้แหละ ว่าไหมสน?” ตอนท้ายหันมาพยักพเยิดกับเพื่อน

“แหม...ใครก็อยากทำงานในสายงานที่เรียนมาทั้งนั้นแหละค่ะพี่โป๊ะ ยิ่งตอนนี้นะฝนอยากจะเปลี่ยนป้ายตำแหน่งตัวเองจากนักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการเป็นพนักงานธุรการเสียให้สิ้นเรื่อง”

พูดจบก็ทำหน้าเซ็ง ราวกับเบื่อหน่ายในงานที่ทำเสียเต็มประดา จึงได้รับการเขกกะโหลกโดยรุ่นพี่อย่างวนาสณฑ์หนึ่งทีเบาๆ จนต้องร้องออกมา เรียกเสียงหัวเราะจากรุ่นพี่โป๊ะ

“ไม่ต้องมาทำเป็นบ่นเลย รู้ไหมว่าสิ่งแรกที่เราต้องเรียนรู้หลังจากสอบบรรจุได้คืองานสารบรรณและงานโต้ตอบหนังสือราชการนี่แหละ” วนาสณฑ์ถือโอกาสสอนรุ่นน้อง

“ก็ฝนเบื่อนี่” หญิงสาวทำเสียงอ่อย

“ถึงเบื่อก็ต้องทำ” ชายหนุ่มทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกันจนฝนทองทำหน้าล้อเลียน โป๊ะพูดต่ออีกว่า

“หลังจากนั้นจะไปสายไหน ทำงานอะไรที่ตัวเองชอบก็ค่อยว่ากันไป ไม่ต้องห่วงหรอกน่า คนเรียนจบวนศาสตร์หลังๆ มามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น อนาคตตำแหน่งหัวหน้าไม่ไปไหนหรอก ก็ต้องเป็นพวกเรานี่แหละ ใช่ไหมสน?”

วนาสณฑ์ไม่ตอบแต่ยกนิ้วโป้งขึ้นเป็นการสนับสนุน

“ก่อนจะถึงวันนั้น ฝนขอเป็นผู้ช่วยที่มีพี่ๆ เป็นหัวหน้าก็แล้วกันนะคะ”

“ไปช่วยรายโน้นก็แล้วกันนะ” โป๊ะบุ้ยปากไปยังชายหนุ่มอีกคน “อีกไม่นานก็คงได้ตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแล้ว”

“ได้เลยค่ะ” ป่าไม้สาวยกมือทำท่าตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน


******************


วนาสณฑ์จอดรถกระบะสี่ประตูไว้ที่ถนนหน้าบ้าน ก่อนจะก้าวออกมายืนข้างรถพลางเดาะกุญแจรถอย่างสบายใจและกวาดตามองไปทั่วไร่กาแฟสีเขียวขจี ชายหนุ่มสูดกลิ่นอากาศสดชื่นเข้าปอดก่อนจะระบายออกอย่างช้าๆ เขาไล่สายตาเรื่อยไปก่อนจะหยุดบริเวณศาลาริมน้ำกลางไร่ซึ่งตกแต่งรอบบริเวณอย่างเป็นธรรมชาติ

ภาพบิดายืนอยู่กับคนงานซึ่งกำลังเก็บกาแฟจุดรอยยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากของวนาสณฑ์ เขาเริ่มออกเดินลงไปหาโดยไม่รีบร้อน ฝ่ายนั้นเหลือบมาเห็นเขาก่อนจะเดินไปถึงด้วยซ้ำ เมื่อไปใกล้ชายหนุ่มจึงเห็นประกายตาภาคภูมิใจเปล่งแสงชั่ววูบเดียวก่อนจะเลือนหายไปเปลี่ยนเป็นปกติ

ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดา การตอบรับกลับมาคือการพยักหน้าแล้วตบไหล่เบาๆ

“เป็นยังไงบ้างล่ะ ปัญหายังเยอะอยู่ไหม?”

หากเป็นช่วงแรกที่บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ๆ คงเป็นประโยคทักทายที่วนาสณฑ์ฟังแล้วอยากเดินหนี

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่เขารู้สึกแล้วว่าไม่มีน้ำเสียงส่อเสียดประชดประชันซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าท่านยังไม่พอใจกับการเลือกทางเดินที่ท่านไม่ชอบ จะมีก็แต่เพียงความห่วงใยในสวัสดิภาพ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้กับกลุ่มผู้บุกรุกตัดไม้ทำลายป่า นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากกลับมาบ้านให้บ่อยเท่าที่โอกาสจะอำนวยเพื่อความสบายใจของบุพการีที่เคารพ

“ก็ยังเหมือนเดิมครับพ่อ”

“ระวังตัวด้วยล่ะ อะไรที่ไม่ควรปะทะก็อย่าทำเป็นเก่ง อย่าดึงดันกินอุดมการณ์ให้มากนัก”

นั่นปะไร ประโยคนี้เป็นต้องได้ยินเสมอแทบทุกครั้งก็ว่าได้ที่เขากลับมา มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่ท่านคิดอย่างนี้ แต่จะให้เขานิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรเลยกับปัญหาในพื้นที่นั่นก็หมายความว่าเขาได้ตายไปแล้ว หรือลาออกจากการเป็นข้าราชการแล้วต่างหาก

แม้จะคิดคนละด้านกับพันรบ แต่วนาสณฑ์ก็เลือกจะเงียบในส่วนที่ท่านเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าเป็นทางสงบและสร้างความสบายใจให้ผู้เป็นบิดา

“ตลาดกาแฟเป็นยังไงบ้างครับพ่อ” เขาถามไปอีกทาง

“ก็ดี ตอนนี้พ่อกำลังพยายามคัดเลือกเมล็ดและพัฒนาให้มีรสชาติดีเยี่ยม เผื่อติดอันดับโลกกับเขาบ้าง” ผู้สูงวัยพูดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขพลางมองต้นกาแฟไปรอบๆ

“พ่อจะสู้กับกาแฟดอยช้างเหรอครับ” ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่ากระเซ้า

“ก็ไม่แน่นะ ซักวันหนึ่งอาจดังกว่าก็ได้” บิดาชักจะคุยโว

“ขนาดนั้นเชียว”

“ก็เออสิ...ฉันก็รอรุ่นลูกรุ่นหลานมาพัฒนาต่อนี่แหละ แต่แกนี่คงหมดสิทธิ์ คอยดูนะถ้ามีหลานเมื่อไหร่จะปั้นให้เป็นเจ้าของไร่กาแฟที่โด่งดังให้ได้”

เออหนอ...ขนาดเขายังไม่มีโครงการจะแต่งงาน พ่อยังวาดฝันไว้เสียสวยหรู

“ดีเหมือนกันนะครับพ่อ ถ้าติดอันดับโลกเมื่อไหร่ ผมจะได้สนับสนุนด้วยการเสนอให้มีการตั้งร้านสวัสดิการกาแฟสดในอุทยานฯ แล้วซื้อกาแฟจากที่นี่ไปขาย”

“โธ่เอ๊ย ก็นึกว่าจะออกมาดูแลกิจการและตั้งร้านขายกาแฟสดเสียเอง” นักรบทำเสียงเยาะ สีหน้าผิดหวัง ก่อนจะเริ่มก้าวเดินไปตามทางเดินระหว่างแถวของต้นกาแฟ

“ถ้าผมชอบทางนี้ผมคงเลือกเรียนเกษตรไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดขณะเดินตามบิดา

“พูดเหมือนหนูฝากฟ้าเลย”

ชื่อนั้นทำเอาร่างสูงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“หนูฝากฟ้าบอกกับอาเดชของแกว่า ถึงจะชอบต้นไม้ใบหญ้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบเรียนทางด้านเกษตร ถ้าชอบก็คงเลือกเรียนไปแล้ว”

ภาพเด็กหญิงที่เคยพบกันครั้งหนึ่งผุดขึ้นรางๆ

“แล้วตอนนี้น้องฝากเรียนอะไรเหรอครับ”

“เรียนพฤกษศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับแกนั่นแหละ”

พฤกษศาสตร์หรือ? ถ้าอย่างนั้นป่านนี้ก็คงกำลังท่องจำส่วนประกอบของรากผลดอกใบอยู่สินะ เอาเถอะ...ถ้าถนัดท่องก็คงสนุกล่ะ แต่สำหรับเขาแล้วไม่ถนัดเอาเสียเลย แค่วิชารุกขวิทยาป่าไม้ที่ต้องท่องจำชื่อวิทยาศาสตร์พรรณไม้ก็แทบแย่แล้ว

“นี่คงไม่ได้เจอกันเลยสินะตั้งแต่คราวนั้น” เสียงบิดาเอ่ยขึ้นมาอีก

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่เลยครับพ่อ เจอกันครั้งเดียวตั้งแต่คราวโน้นแล้ว หลังจากนั้นพอผมมาทีไรก็ได้ยินว่าไปเข้าค่ายบ้างล่ะหรือไม่ก็ไปทัศนศึกษาบ้างล่ะ”

พันรบพยักหน้า ก่อนรอยยิ้มจะจุดประกายขึ้นขณะเอ่ยว่า

“รู้ไหมว่ารายนั้นน่ะยิ่งโตก็ยิ่งสวย อาเดชของแกหวงยังกับเป็นลูกของตัวเองเชียวนะ นี่แหละน้า...คนไม่มีลูก พอมีลูกเลี้ยงเป็นผู้หญิงเลยยิ่งรักยิ่งหวง ใครมาเกาะแกะเป็นไม่ได้เป็นโดนไล่กระเจิง”

คนฟังนึกถึงใบหน้าเล็กๆ ที่เห็นครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจินตนาการเป็นภาพของฝากฟ้าตอนโต ไม่สิ...ไม่ใช่โตธรรมดา ต้องโตเป็นสาวด้วย

“ถ้าอยากเจอล่ะก็เวลาเข้ากรมก็แวะไปน้องเขาสิ อยู่ใกล้กันนิดเดียว ถิ่นเก่าแกไม่ใช่เหรอ คงหากันไม่ยากหรอก”

พอพูดถึงถิ่นเก่าขึ้นมา น้ำเสียงคนพูดก็ชักจะแข็งๆ เหมือนไม่ค่อยชอบใจและดูเหมือนไม่อยากพูดถึงนัก แต่เพราะวนาสณฑ์รู้ว่าความขัดแย้งอันเข้มข้นจางลงแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจนอกจากบอกเสียงราบเรียบ

“ผมไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับพ่อ ประชุมเสร็จทีไรต้องมีงานด่วนให้รีบกลับทุกที”

“แต่คราวนี้แวะไปดูหน่อยก็ดี ไปดูว่าน้องนุ่งอยู่ยังไงกินยังไง เรื่องที่อยู่เดี๋ยวค่อยไปเอากับอาเดชของแกก็แล้วกัน”

จากตอนแรกที่พูดเป็นเชิงแนะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นคำสั่งไปกลายๆ เสียแล้ว และจะให้เขาทำยังไงได้นอกจากรับคำ

“ครับ แล้วผมจะแวะไป”

จะว่าไปแล้วเขาก็รับคำไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะต้องหาทางไปเจอกันให้ได้อย่างที่บิดาบอก เพราะในใจหนึ่งตั้งเงื่อนไขว่า จะไปหา...ถ้าไม่ถูกดึงตัวไปสังสรรค์กับเพื่อนหรือถูกเรียกตัวกลับอุทยานด่วนเสียก่อน

*********************

จากคุณ : permanent stream
เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 54 06:28:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com