Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 74 ติดต่อทีมงาน

สือหย่งหลุนปักธูปลงในกระถาง เหม่อมองควันสีเทาลอยอ้อยอิ่ง ระหว่างไล้นิ้วไปตามโถกระดูกมารดาแผ่วเบาราวกลัวจะทำมันแตกสลาย

ปรากฏเสียงกุกกักด้านนอกประตู เด็กหนุ่มเดินไปเปิดมันออกพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนผายมือเชื้อเชิญผู้มาเยี่ยมเยือนเข้าห้อง

ซินแสเทวะในท่าสองมือไพล่หลังยิ้มแย้มทักทายว่า

“ข้ามาสอบถามว่าเจ้ายังขาดเหลืออันใดในการพำนักที่เรือนเพลินบุปฝาหรือไม่”

“ซินแสเทวะอุตส่าห์ให้ที่คุ้มหัวแก่ข้าก็นับว่าเหลือเฟือมากแล้วขอรับ”

เจ้าจื้อสุยชูขวดสุราซึ่งหลบไว้ด้านหลังขึ้น “ไป่หนิงก็ไปพักผ่อนเสียแล้ว ข้ากำลังอยากหาคนร่วมร่ำสุราด้วยกันสักหน่อย”

หลังเดินทางออกจากตระกูลสือได้ไม่นาน สือหย่งหลุนก็จ้างสัปเหร่อทำการเผาศพฝูสุ่ยเซียนตามประสงค์สุดท้ายของนาง เสร็จสิ้นสองหนุ่มสาวค่อยปรึกษากัน ระหว่างนั้นฟ่านไป่หนิงได้รับข่าวจากอาจารย์ว่ากลับเข้าพำนักยังเรือนเพลินบุปฝาแล้ว จึงชักชวนเด็กหนุ่มมาหาซินแสเทวะเสียก่อน ด้านสือหย่งหลุนเห็นว่าการนำอัฐิมารดาไปเมืองน้ำมรกตมิใช่เรื่องรีบร้อน จึงยินยอมกลับเรือนเพลินบุปผาพร้อมนาง

เจ้าจื้อสุยรินสุราใส่จอกให้สือหย่งหลุนด้วยตนเอง พลางยกซดรวดเดียวหมด เด็กหนุ่มจึงทำตามมันบ้าง ผลคือสีหน้าพะอืดพะอมสุดระงับ

มันหลงลืมรสชาติเหล้าสมุนไพรของซินแสเทวะไปเสียสนิท

เจ้าจื้อสุยเผยรอยยิ้มขบขัน รินสุราให้อีกจอกไม่พูดไม่จา สือหย่งหลุนจำต้องกลั้นใจดื่มซ้ำตามมารยาท แต่คราวนี้เมื่อสุราล่วงพ้นคอ มันกลับแสดงทีท่าประหลาดใจไม่น้อย

“ผ่านไปสองจอก เจ้าเห็นว่าสุราเป็นอย่างไรบ้าง”

“เอ้อ...เรียนตามตรง สุรานี้ฝาดเฝื่อนเหลือทนจริง ๆ ทว่าหลังรสชาติชวนคลื่นเหียนผ่านพ้น กลับมีความหวานลึกล้ำติดปลายลิ้นเจือจาง น่าแปลกนัก”

“หึ ๆ สุรานี้มีชื่อเรียกว่ากระไร รู้หรือไม่”

“ผู้เยาว์เสียมารยาทยิ่ง กลับไม่เคยสงสัยมาก่อน”

“ข้าเรียกมันว่าระทมทุกข์” ครั้นเห็นกิริยาสนใจของอีกฝ่าย เจ้าจื้อสุยจึงขยายความเพิ่ม “ฝาดเฝื่อนขมปร่า ชวนคลื่นไส้จนไม่อยากลิ้มลอง นั่นมิใช่รสชาติของความทุกข์หรอกหรือ”

เว้นระยะเพื่อเติมสุราในจอกอันว่างเปล่า

“สุรานี้หากจิบไปเรื่อย ๆ ก็จะพบรสหวานล้ำที่แอบซ่อนอยู่ เปรียบดั่งเผชิญทุกข์คราแรกย่อมสุดทานทน แต่ยิ่งมากครั้งเข้ากลับทำให้ใจแกร่งขึ้น เมื่อนั้นย่อมค้นพบว่าความทุกข์ก็ใช่จะก่อแต่สิ่งเลวร้ายเสมอไป น่าเสียดายที่มีแค่คนซึ่งเคยผ่านพ้นจึงสัมผัสได้”

สือหย่งหลุนนิ่งเงียบพักใหญ่ ค่อยเอื้อมสองมือประคองจอกสุราแสดงการคารวะบุรุษตรงข้ามแล้วแหงนหน้าดื่มครั้งที่สาม หมดคำก็เอ่ยเสียงพร่า

“กระนั้น ระทมทุกข์ก็ไม่น่ากล้ำกลืนอยู่ดี”

เจ้าจื้อสุยมิตอบมัน กลับลุกไปจุดธูปเคารพโถกระดูกฝูสุ่ยเซียน จากนั้นตวัดสายตาพินิจสือหย่งหลุนที่เดินมายืนข้าง ๆ พลางเปรยว่า

“ช่วงนี้ข่าวลือของเจ้าในยุทธจักรแลวุ่นวายไปหมด บ้างว่าเจ้าหลงสตรีจนโงหัวไม่ขึ้น บ้างว่าเจ้าเคียดแค้นตระกูลสือสุดระงับ แต่หลังไป่หนิงเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังแล้ว นางกลับบอกว่าเจ้ามิได้โกรธแค้นหรอก หากกำลังเสียใจต่างหาก”

เจ้าจื้อสุยยืดกายขึ้น หมุนมาประจันหน้าเด็กหนุ่ม “ทว่าในสายตาข้า กิริยาเจ้าไม่แลคล้ายอารมณ์ใดในพวกนี้เลย หย่งหลุนเอ๋ย...ใจเจ้ากำลังรู้สึกเยี่ยงใดแน่”

ใบหน้าสือหย่งหลุนเฉยชายิ่ง มีเพียงแววหวิบไหวเป็นระลอกในดวงตา

“ภายหลังการตายของท่านแม่ ข้าก็เริ่มผิดหวัง...ผิดหวังกับตนเอง ข้ามัวแต่เพ้อฝันคิดจะปกป้องท่านแม่ กระทั่งเห็นรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของท่านถึงเพิ่งสำนึก ว่าสิ่งที่ท่านแม่ต้องการจริง ๆ มิใช่การปกป้อง แต่เป็นการปลดปล่อยต่างหาก”

มันทอดมองอัฐิมารดาในโถกระเบื้องผนึกแน่น “ท่านแม่ยอมสละความต้องการของตนมาโอนอ่อนตามข้า หากข้ากลับหลงเข้าใจว่าตัวเองต่างหากที่กำลังเสียสละเพื่อท่าน ช่างโง่เขลายิ่งนัก! แล้วในตอนนี้ข้า...ข้า...”

เด็กหนุ่มหายใจสะท้าน “ข้ากลัวอย่างยิ่ง กลัวว่าต่อไปข้าจะตัดสินใจผิดแบบนี้อีก หากต้องเผชิญความรู้สึกนี้ซ้ำ  ๆ สักวันข้าอาจทนไม่ไหว ท่านซินแสเทวะ...ข้าควรทำอย่างไรดี”

แทนที่จะตอบคำอีกฝ่าย เจ้าจื้อสุยกลับย้อนถามว่า

“ถ้าเผาเสี่ยงหมิงยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะลงมือสังหารมันหรือไม่”

สือหย่งหลุนรวบสองมือกำแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน เปล่งเสียงหนักว่า

“ไม่ ข้าอาจควานหาตัวมันมารับโทษ แต่ไม่เคยคิดจะปลิดชีพมันแน่”

“แล้วสมมุติว่า เจ้าสามารถไปพบเผาเสี่ยงหมิงล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดคดีสิบสี่ศพตระกูลสือเล่า”

“เช่นนั้นข้าจะพยายามเปลี่ยนใจมันดู แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จำต้องตัดไฟแต่ต้นลม”

“คนเดียวกันแท้ ๆ ประเดี๋ยวฆ่าประเดี๋ยวไม่ เหตุใดแตกต่างกันเช่นนี้”

“ข้าจะไม่กระทำเพราะความแค้น หากทำเพื่อปกป้องชีวิตคนเท่านั้น”

เจ้าจื้อสุยผงกศีรษะแช่มช้า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรตั้งคำถามกับข้า หากควรจะถามตนเองมากกว่าว่าในวาระสุดท้ายนั้น มารดาเจ้าจากไปด้วยความรักหรือความแค้นกันแน่”

สือหย่งหลุนขบกรามจนขึ้นเป็นสัน เนิ่นนานกว่าสีหน้าจะผ่อนคลายลง เจ้าจื้อสุยจึงลุกขึ้นเดินไปตบบ่าของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังจมในภวังค์ความคิด แล้วเอ่ยเบา ๆ

“วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว เจ้าก็พักผ่อนเถิดนะ”

ตอนที่เจ้าจื้อสุยปิดประตูตามหลัง สือหย่งหลุนก็ยังคงนิ่งงันอยู่ในท่าเดิม เป็นนานค่อยเอื้อมมือไปยกขวดสุราขึ้นหยั่งน้ำหนักของเหลวข้างใน

ระทมทุกข์ในขวดสุราพร่องไปไม่น้อยแล้ว

ทว่า...ในใจคนเล่า?

**********

ซินแสเทวะกำลังเดินทอดน่องไปตามทาง สักพักก็ชะงักเท้า พูดลอย ๆ ว่า

“ไป่หนิง ออกมาเถอะ”

ดรุณีน้อยโผล่หน้าจากมุมระเบียงมายิ้มเจื่อน ๆ ให้มัน “อาจารย์ทราบว่าข้าแอบฟังอยู่หรือ”

“เจ้าเป็นคนคะยั้นคะยอให้ข้ามาช่วยปลอบใจหย่งหลุน แล้วมีหรือจะไม่อยากรู้เรื่องราวในนั้น”

คนโดนดักคอหน้ามุ่ย “ก็ระหว่างเดินทางมาที่นี่พี่หย่งหลุนดูเงียบขรึมมาก ข้าพยายามทุกวิถีทางมันก็ไม่ดีขึ้น อาจเพราะข้าประสบการณ์ชีวิตน้อยเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกมันในตอนนี้ ดังนั้นนอกจากอาจารย์แล้ว ข้าก็จนปัญญาจะพึ่งใคร”

“ฮึ ๆ รู้จักแยกแยะความสามารถตนแล้วเลือกหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ต้องการความช่วยเหลือ ไป่หนิงเอ๋ย...เจ้ามีคุณสมบัติของแพทย์ที่ดีนะ จงรักษามันไว้”

ฟ่านไป่หนิงปรี่เข้ามากอดแขนชายชราพลางแย้มริมฝีปากกว้าง

“นั่นเพราะมีคนสอนข้ามาดีต่างหาก”

“เฮอะ...ไม่ต้องมาทำประจบ” ปากกล่าวเช่นนั้นแต่มันกลับอดยิ้มมิได้

“ว่าแต่...ข้ายังไม่เห็นพี่หย่งหลุนจะอาการดีขึ้นมาเลย ทิ้งมันไว้อย่างนั้นจะดีหรือ”

เจ้าจื้อสุยทอดสายตาย้อนไปยังห้องที่เพิ่งจากมา “ชีวิตคนเราล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก หากสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่จะเลือกทางไหน แต่อยู่ที่การยอมรับผลในการเลือกของตนเองเสียมากกว่า ซึ่งการจะคิดเช่นนี้ได้...ต้องอาศัยเวลา”

“เฮ้อ แล้วเวลาเท่าใดจึงเพียงพอเล่า”

“บางคนก็เพียงแวบเดียว แต่บางคนอาจต้องใช้ตลอดชีวิต”

ฟ่านไป่หนิงเบ้หน้าคล้ายยังไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ เจ้าจื้อสุยพ่นลมหายใจดังฮึด้วยอาการเอือมระอา นึกรู้ว่าเรื่องเช่นนี้มิใช่อาศัยเพียงความฉลาดเฉลียวในการทำความเข้าใจ ดังนั้นได้แต่ออกปากไล่ลูกศิษย์ให้ไปนอน รอจนกระทั่งนางลับหายเข้าห้องตนเองไปแล้ว มันกลับเดินออกจากเรือนจนไปหยุดยั้งท่ามกลางสวนดอกไม้สุดลูกหูลูกตา

ราตรีไร้แสงไฟ มวลผกามิอาจเผยสีสันโดดเด่นต้องตา ทว่ายังสามารถส่งกลิ่นระรวยกระทบนาสิกไม่ขาดช่วง ชายชราหลับตาสูดลมหายใจดื่มด่ำกับความสงบสุขรายรอบ หากในใจกลับถูกครอบงำด้วยความฟุ้งซ่านสุดระงับ

แล้วตัวมันเล่า...ยอมรับผลในการเลือกของตนได้แล้วอย่างนั้นหรือ...

**********

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 54 19:03:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com