Stroke 1 เค้าเจอแล้ว!
เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกถอดออกจากร่างสูงของชายหนุ่มเผยให้เห็นผิวคล้ำแดดและรูปร่างที่ค่อนข้างผอม หากแต่กล้ามเนื้อที่แขนและลำตัวบ่งบอกว่าเป็นคนที่มีสุขภาพดี มือใหญ่แข็งแรงหยิบเสื้อยืดคอปกสีฟ้าออกมาจากตู้ล็อคเกอร์ สะบัดแล้วสวมใส่อย่างรวดเร็ว ปกเสื้อที่พลิกขึ้นอยู่ถูกจับพลิกลงให้เรียบร้อย และสิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบออกมาจากตู้ก็คือ ไม้เทนนิสกรอบสีดำสนิท
ชายหนุ่มก้าวขายาวๆ เดินผ่านตู้ล็อคเกอร์ตู้อื่นที่ตั้งเรียงอยู่ที่ฝาผนังไปจนถึงประตูทางออก ตรงนั้นมีกระจกบานใหญ่เห็นได้ครึ่งตัวติดอยู่ เขาหยุดมองกระจกซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพชายหนุ่มใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ดวงตาคม ริมฝีปากของเขาเม้มจนเป็นเส้นตรง ถามเงาของตัวเองในกระจกอย่างไม่เข้าใจ
นายอนาวิน นายมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย?
เป็นคำถามในใจที่ไร้ซึ่งคำตอบ อนาวินยกไม้เทนนิสขึ้นพาดไหล่เดินลากขาออกจากห้องพักชมรมเทนนิสไปอย่างไม่กระตือรือร้นเท่าไรนัก แต่แล้วๆ จู่เขาก็ต้องเซไปด้านข้างนิดหนึ่งเมื่อโดนใครบางคนโผเข้ามากอดไหล่
ไอ้โอ๋ ที่นายโทรมาบอกว่าจะสอนแค่เดือนเดียวนี่มันหมายความว่าไงวะ?
อนาวินมองหน้าคนที่เรียกเขาว่าไอ้โอ๋แบบตาขวาง เพราะเสียงของเจ้านี่ทะลุทะลวงเข้าหูเต็มๆ จนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่นายคนตัวขาวสมชื่อเผือกก็ยังยื่นหัวโตๆ หน้าบานๆ เข้ามาใกล้จนอนาวินต้องเอามือผลักออกก่อนจะตอบ
ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ
ได้ไงวะ! เผือกหันหน้ากลับมาโวยวายลั่นและเป็นฝ่ายผลักไหล่อนาวินอย่างไม่ชอบใจบ้าง จะสอนทั้งทีก็สอนให้จบๆ ไปเลยเซ่! นายฝึกเทนนิสมาตั้งแต่แปดขวบ เก่งจะตายไป เอาความรู้ที่มีมาสอนน้องๆ ดีกว่าออกไปจากชมรมเฉยๆ อย่างนี้นะ
ฉันไม่ได้เก่งเหมือนเดิมแล้ว นายก็รู้ดี
ไม่อ่ะ ฉันไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ เผือกทำเป็นไม่รู้เรื่องได้อย่างหน้าตาเฉย
ฉันอยู่ปีสี่แล้ว อนาวินยกอีกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
ปีสี่แล้วไง?
ปีสี่ก็แปลว่าปีสี่ ไม่ใช่ปีสามซิ่วมาอย่างนายไงล่ะ อนาวินตอบกวนกลับเมื่อเห็นว่านายเผือกยังคงแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง แถมพูดแขวะที่เผือกยังเรียนอยู่แค่ปีสามด้วย ทั้งที่จริงควรจะอยู่ปีสี่เหมือนเขา ทำให้เผือกทำตาวาวใส่
ปีสามแล้วไง นายควรจะดีใจกับฉันสิวะที่ฉันรู้ตัวว่าไม่ชอบเรียนบัญชีเลยรีบย้ายคณะน่ะ นายจะจบก่อนฉันแค่ปีเดียว อย่ามาทำเบ่งใส่ฉัน ฉันเป็นประธานชมรมเทนนิสนะเฟ้ย"
เหรอ อนาวินตอบรับไปแบบงั้นๆ ถึงเผือกจะโวยวายแต่เชื่อใจได้ว่าไม่มีโกรธกัน ต่อให้ด่ากันแรงกว่านี้ก็ยังไม่โกรธ เพราะเขากับเผือกเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียน ม.4 จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเข้าเรียนที่เดียวกัน เรียนคณะบัญชีด้วยกันได้แค่ปีเดียวเผือกก็ค้นพบสัจธรรมชีวิตว่าถ้ายังดันทุรังอยู่ที่บัญชี ชีวิตคงซี้แหงแก๋แน่ เนื่องจากเขาไม่ชอบตัวเลข ไม่เข้าใจว่าเดบิต เครดิตคืออะไรและทำไมต้องทำให้งบสองข้างเท่ากัน แถมยังไม่เข้าใจด้วยว่าตามอนาวินมาเรียนคณะนี้ทำไม เลยรีบหนีไปเรียนคณะนิติศาสตร์ ทำให้ตอนนี้ยังเรียนอยู่แค่ปีสาม
เมื่อไม่ชอบก็ต้องไปเรียนในสิ่งที่ชอบและต้องย้ายคณะ นั่นเป็นสิ่งที่อนาวินเข้าใจดี แต่สิ่งหนึ่งที่อนาวินไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้ก็คือเพราะอะไรสมาชิกชมรมเทนนิสถึงได้เทคะแนนเลือกเจ้านี่เป็นประธานชมรมปีนี้ ทั้งๆ ที่เผือกไม่ได้ชอบกีฬาชนิดนี้สักเท่าไหร่ แถมเข้าชมรมตามเขามาก็เพราะอยากมาดูสาวๆ น่ารักในชุดเทนนิส ได้จ้องขาอ่อนใต้กระโปรงสั้นๆ ให้เพลิดเพลินไปวันๆ เท่านั้น ฝีมือการเล่นหลังจากที่เข้าชมรมก็ไม่มีแววพัฒนา ภาวะผู้นำก็ไม่รู้จะมีมากสักขนาดไหน ไปๆ มาๆ ได้เป็นประธานชมรมเฉยเลย
อนาวินคิดว่าไอ้เจ้าเผือกเพื่อนรักของเขาต้องเอาลูกเทนนิสที่มีลายเซ็นโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ ไปแจกให้สมาชิกเป็นการซื้อเสียงแน่ๆ เลย
เท่าที่ฉันรู้เนี่ย เด็กปีสี่ชมรมอื่นเขาไม่เข้าชมรมกันแล้วไม่ใช่เหรอ อนาวินย้อนถามเด็กปีสาม (ที่อายุเท่าเด็กปีสี่) เผื่อว่าจะเข้าใจไม่ตรงกัน เผือกทำเสียงจุ๊ๆ ส่ายหน้าไปมาแบบไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
เขาก็ยังเข้าชมรมกันเยอะแยะไปน่า อย่างยัยชมพูกับวิลลี่ก็ยังอยู่ชมรมเลยนะ
เหมือนกันที่ไหน นั่นน่ะสมาชิกกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ อนาวินพูดเหมือนติดประชดและไม่อยากจะเอาตัวไปเปรียบเทียบกับนักเทนนิสระดับเจ้าชายและเจ้าหญิงของชมรม แต่เผือกกลับทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอแบบไม่เห็นด้วยอีกแล้ว
อย่าพูดอย่างนั้นสิ ยังไงนายก็เป็นเพื่อนฉัน เพราะฉะนั้นนายต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว สองคนนั้นน่ะมาชมรมบ้างไม่มาบ้างจะไปรู้อะไร วันเลือกประธานชมรมยังไม่มาเลย ฉันยกให้นายเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ สำคัญกว่าร้อยเท่า
คำพูดของเผือกนับว่าซาบซึ้งจนสามารถทำให้อนาวินหยุดเดินได้ เขาหันมองหน้าบานๆ ของเผือกที่ดูขึงขังจริงจัง แถมยังเอื้อมมือมาจับบ่าของอนาวินไว้ราวกับจะยืนยันว่าที่เขาพูดน่ะเป็นความจริง
ถึงแม้จะรำคาญเจ้านี่อยู่บ้าง แต่อนาวินก็อดภูมิใจไม่ได้ที่อย่างน้อยก็ยังมีความสำคัญ...
เพราะฉะนั้น มาเป็นโค้ชเถอะเพื่อน
อนาวินถอนหายใจเบื่อหน่ายออกมา ความภูมิใจที่พุ่งปรี๊ดเมื่อครู่ลดลงเหลือศูนย์ทันที สุดท้ายก็จะกล่อมให้เขาอยู่ชมรมจนเรียนจบนั่นแหละ
ฉันอยู่ปีสี่แล้ว ฉันก็ต้องมีเวลาสนใจเรื่องเรียนแล้วก็คิดเรื่องอนาคตบ้างสิ
นายจะคิดอะไรให้มันมากมายวะ อย่างนายต้องคิดเรื่องอนาคตด้วยเหรอ
เมื่อเผือกพูดประโยคนี้จบ อนาวินก็ชักสีหน้าใส่ทันที เขาปัดมือที่เกาะบ่าอยู่ออกแล้วตะคอกใส่
เออ! ฉันมันไม่มีอนาคต เพราะฉะนั้นก็คงสอนใครไม่ได้ ฉันจะสอนให้แค่เดือนเดียว นายไปหาโค้ชไว้ได้เลย
เฮ้ย! ไอ้โอ๋ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเว้ย เผือกรีบวิ่งตามอนาวินที่เดินหนีอย่างรวดเร็ว ปากก็ยังแก้ตัวเป็นพัลวัน ฉันหมายความว่าอนาคตนายน่ะรุ่งอยู่แล้วจะคิดไปให้ปวดหัวทำไมกัน เจียดเวลามาสอนหน่อยเหอะน่า นี่ไม่เข้าใจหรือไงว่าฉันกำลังทำเพื่อชมรมขนาดไหน จ้างโค้ชมันเปลืองรู้ไหม แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ไปเข้าแคมป์ฝึกซ้อมกันที่อื่นมั่ง อยู่แต่ในมหาลัยมาสามปีแล้วนะเว้ย เข้าใจกันมั่งไหม!
อนาวินรู้ดีว่าจ้างโค้ชจากข้างนอกน่ะเปลือง ถ้าใช้เขาเป็นโค้ชสอนเด็กปีหนึ่งก็ประหยัดเงินได้ตั้งเยอะ แต่เขาก็ทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่หือ ไม่อือ ไม่ตอบรับ อุดหูแล้วรีบเดินหนีอย่างรำคาญเต็มที ส่วนนายเผือกก็ยังคงเดินตามขอร้องอ้อนวอนเต็มที่ เสียงของเผือกจึงดังเจื้อยแจ้วไปตลอดทางตั้งแต่ห้องชมรมไปจนถึงคอร์ทเทนนิส
ตรงโน้นน่ะเป็นห้องชมรมของชมรมการแสดง แล้วที่ติดกันน่ะเป็นของชมรมอาสาพัฒนาฯ
เสียงแหลมขึ้นจมูกของสาวร่างเล็กที่ชื่อส้ม ดังแจ้วๆ อธิบายสถานที่ในมหาวิทยาลัยให้เพื่อนใหม่ฟัง แม้เธอก็ยังใหม่ต่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ในฐานะที่เป็นเฟรชชี่เหมือนกัน แต่เพื่อนสาวร่างสูงโปร่งที่เดินอยู่ข้างๆ เพิ่งจะมาเรียนวันแรก เธอที่มาเรียนก่อนหลายวันและสำรวจมหาวิทยาลัยจนทั่วแล้ว จึงขออาสาพามาทัวร์เอง
ส้มมองเพื่อนใหม่ที่พยักหน้านิดๆ แทนคำพูดว่าเข้าใจคำอธิบายของเธอ เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อตังเม เป็นชื่อเล่นที่น่ารักดี แต่ดูเป็นคนแปลกๆ อยู่เหมือนกันสำหรับส้ม เพราะตอนที่ตังเมไม่พูด เธอจะดูนิ่งๆ ล่องลอยเหมือนถอดจิต เบลอๆ เอ๋อๆ ยังไงพิกล
แล้วเค้าจะเข้าชมรมอะไรดีน้า? ตังเมแหงนหน้าคิดแล้วพูดเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับส้ม แต่แล้วจู่ๆ ตังเมก็หันมายิ้มแฉ่งให้ น่าสนุกดีเนอะตัวเอง ชมรมอะไรก็ได้แหละเนอะ
แม้ตังเมจะพูดจาใช้สรรพนามในแบบที่ส้มจัดว่าอยู่ในหมวด นุ่มนิ่มน่ารัก และ แปลกหู เพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสรรพนามแบบนี้ แถมเวลาเธอทำหน้าเฉยๆ ก็ดูแปลกๆ แต่เวลาตังเมยิ้มเหมือนโลกทั้งใบสว่างสดใสขึ้นมาทันที นั่นทำให้ส้มมั่นใจว่าน่าจะเข้ากับเพื่อนใหม่คนนี้ได้ดี แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ส้มยังสงสัยอยู่
เปิดเทอมมาตั้งสองอาทิตย์แล้ว ทำไมตังเมถึงเพิ่งมาเรียนล่ะ ส้มถามถึงสาเหตุที่ตังเมมาเรียนเอาป่านนี้ แม้จะรู้สึกว่าเธอน่ารักดี แต่ที่จู่ๆ ก็โผล่มาในวันที่คนอื่นเขาเรียนกันตั้งหลายวันแล้ว มันน่าแปลกใจน้อยอยู่เมื่อไหร่กัน และคำถามนี้ก็ทำให้ใบหน้าที่ยิ้มเบ่งบานอยู่ของตังเมหุบลงได้นิดหนึ่ง
อ๋อ ตังเมร้องออกมาสั้นๆ ก่อนจะหันหน้ามาหาส้ม ก็พอดีเค้าไม่สบายนิดหน่อยน่ะ เอ๊าะ! นั่นอะไรอะ ตังเมตอบเหตุผลสั้นๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาเสียงดัง นิ้วเรียวชี้ไปข้างหน้าซึ่งเป็นรั้วตาข่ายลวดถักสูงสามเมตรล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ส้มชะเง้อมองตามที่ตังเมชี้ก็ร้องอ๋อออกมาบ้าง
ตรงนั้นเป็นคอร์ทเทนนิส มีสี่คอร์ท ส้มเดินนำลงทางลาดไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงได้เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่รั้วล้อมอยู่นั้นเป็นสนามเทนนิสจริงๆ มองตรงเข้าไปจะเห็นสมาชิกชมรมเทนนิสกำลังซ้อมกันอยู่
อ๊อ เทนนิส ตังเมทำเสียงสูงรับรู้ แต่แววตามีประกายอะไรบางอย่างฉายออกมา ส้มเองก็สังเกตเห็นและเข้าใจว่าตังเมคงสนใจ เลยรีบอธิบายต่อ
ส้มก็อยู่ชมรมนี้แหละ เดี๋ยวส้มก็ต้องเข้าชมรมแล้ว เขามีโค้ชมาสอนให้ด้วยนะ ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนน่ะเขาจ้างโค้ชจากข้างนอกมาสอนอาทิตย์ละครั้ง แต่ปีนี้พี่เผือกบอกว่าจะให้พี่โอ๋สอน
โอ๋เหรอ? ตังเมหันมาถามย้ำ ส้มก็พยักหน้าแรงๆ ตอบรับ
ใช่ ชื่อพี่โอ๋ อยู่ปีสี่แล้ว ถึงจะไม่ใช่โค้ชมืออาชีพแต่พี่เผือกบอกว่าเก่งมาก เวลาสอนน่ะดุมากเลย เอาจริงเอาจังมาก โน่นไง ส้มชี้ไปที่คนตัวสูงในชุดเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขายาวสีดำและรองเท้าผ้าใบสีขาวที่กำลังยืนตีลูกเทนนิสส่งข้ามเน็ตให้คนกลุ่มหนึ่งตีโต้กลับมา ไม่ใช่คนที่หน้าบานๆ ผมสั้นๆ คนนั้นนะ คนนั้นน่ะชื่อพี่เผือก เป็นประธานชมรม คนที่ตัวสูงกว่านั่นแหละชื่อพี่โอ๋ ถึงตอนสอนเขาจะดุ เวลาเขาโมโหเด็กปีหนึ่งก็ดุ๊ดุ แต่นอกสนามเขาใจดีนะ ชื่อจริงเขาเท่มากด้วย พี่เขาชื่ออนาวิน...
เจอแล้ว!
ส้มถึงกับสะดุ้งตกใจที่ตังเมโพล่งออกมาเสียงดัง แล้วจู่ๆ ตังเมก็วิ่งปรู๊ดออกไปเลย
เฮ้ยๆๆ ตังเม! ตังเม! ส้มยืนอยู่กับที่ร้องเรียกเพื่อนใหม่ แต่ตังเมไม่ฟังอะไรแล้ววิ่งตัวปลิวตรงไปที่รั้ว เปิดประตูเข้าไปในสนามทั้งๆ ที่สมาชิกชมรมกำลังซ้อมกันอยู่ ตังเมร้องว่าเจอแล้ว! เสียงดังลั่นแล้วโผเข้าไปกอดอนาวินอย่างแรง
อ๊าย! ตังเม ส้มอุทานออกมา ยกมือทาบอกตัวเองอย่างตกใจ สมาชิกที่อยู่ภายในสนามเทนนิสก็ค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวไปทีละคนเมื่อหันมาเห็นเหตุการณ์ โลกตรงหน้าของส้มหยุดนิ่ง เธอเห็นเพียงอนาวิน ตังเมและเผือกเท่านั้นที่ขยับตัว
จะบ้าหรือไง!
เสียงของอนาวินก็ตวาดดังลั่นตามมา แล้วเหตุการณ์ตรงหน้าก็ชุลมุนวุ่นวาย อนาวินสะบัดมือหนี ตังเมโผเข้ากอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย เสียงของตังเมดังแจ้วๆ อยู่ภายในสนาม ได้ยินแต่คำว่าเจอแล้วๆ ดังออกมา
ส้มเลื่อนมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าซีดเผือด อกอีส้มจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โอ๊ย~เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนใหม่ของเธอกันเนี่ย!
บรรยากาศตึงเครียดเข้าครอบงำภายในสนามเทนนิสคอร์ทที่หนึ่งอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะบริเวณอัฒจันทร์ข้างสนามที่มีคนสี่คนนั่งอยู่และแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน อนาวินกับเผือกนั่งทางซ้าย ส่วนตังเมกับส้มนั่งอยู่ทางขวา ทั้งหมดนั่งเงียบจ้องกันไปจ้องกันมา ดูจริงจังมากราวกับกำลังประชุมอาเซียนซัมมิทบวกสามบวกหกกันอยู่
เสียงป๊อกๆ ของลูกเทนนิสยามกระทบหน้าไม้จากคอร์ทสอง สามและสี่ที่ดังเข้ามาไม่ได้ทำให้บรรยากาศตรงคอร์ทหนึ่งดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มิหนำซ้ำ สมาชิกชมรมต่างพากันหนีไปเล่นคอร์ทอื่นกันหมดเพราะตกใจเสียงตวาดของอนาวิน ก็บอกแล้วว่าพี่โอ๋น่ะใจดี แต่อย่าให้โกรธเชียว ดุจนใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้เหมือนกัน
แต่ดูเหมือนอารมณ์บูดๆ หน้าบึ้งๆ ของอนาวินจะไม่ทำให้ตังเมกลัวได้เลยสักนิด เพราะขนาดว่านั่งกันคนละด้าน เธอก็ยังพยายามจะกระดึ๊บๆ เข้าไปใกล้ๆ อนาวินอยู่ตลอดเวลา แถมทำตาใสปิ๊งจ้องอนาวินอย่างปิติยินดี ราวกับอยากจะพูดแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้เบื่อ
เจอแล้ว เจอแล้ว เจอแล้ว เค้าเจอแล้ว!
นี่เธอ
เค้าไม่ได้ชื่อนี่เธอ เค้าบอกแล้วว่าเค้าชื่อตังเม ตังเมพูดสวนขึ้นทันทีโดยไม่รอให้อนาวินพูดจบ อนาวินทำหน้าตาแบบเบื่อหน่ายที่สุดจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลย ได้แต่พ่นลมหายใจออกแรงๆ อย่างยอมแพ้
โอเค. ตังเมก็ตังเม เธอเอาอะไรมาพูด ฉันไปรู้จักกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
ห้าขวบ ตังเมชูห้านิ้วขึ้นพร้อมคำตอบ แล้วเสียงโห่จากเผือกก็ดังสวนมาทันที
โฮ่ ห้าขวบเนี่ยนะ มั่วแล้วล่ะน้องเอ๊ย แค่ห้าขวบไอ้โอ๋จะไปจำอะไรได้
ตังเมโดนโห่อย่างนั้นก็ทำท่าฮึดฮัดใส่ เค้าต่างหากห้าขวบ แต่ตังโอ๋เจ็ดขวบ
เจ็ดขวบก็ยังจำอะไรไม่ได้อยู่ดี
เกินไปแล้วพี่ ส้มจำได้แล้ว ตอนนั้นส้มอยู่ ป.2 แล้ว
โธ่ น้องส้มของพี่ พี่ก็แค่พูดแบบกว้างๆ ว่ายังเด็กมากคงจำอะไรไม่ได้น่ะ อย่าทำเสียงแข็งใส่พี่อย่างนั้นสิครับ เผือกทำเสียงอ้อนวอนใส่เฟรชชี่น้องใหม่ที่เขาหมายตาไว้แล้วว่าหน้าตาน่ารัก น่าเอาหัวใจไปพัวพันเป็นที่ซู๊ด ส้มที่ออกโรงปกป้องตังเมเพื่อนใหม่ทำหน้าบึ้งใส่ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าประธานชมรมคนนี้ขี้หลีสุดๆ
ใครจำไม่ได้เค้าไม่รู้ แต่เค้าจำตังโอ๋ได้ ตังเมทำปากมู่ทู่กอดอกเชิดหน้ายืนยัน นั่งยืนและนอนยันคำเดิมว่าเค้าจำได้ จะเชิดหน้าสักร้อยองศาอนาวินก็ไม่สนใจหรอก แต่ที่เขาสนใจคือสิ่งที่เธอพูดออกมาต่างหาก
เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?
คนทำหน้ามู่ทู่ฉีกยิ้มใส่ทันทีที่อนาวินถามจบ
ตังโอ๋ เค้าเรียกตัวเองว่าตังโอ๋
จะบ้าหรือไง ฉันชื่อโอ๋เฉยๆ ต่างหาก
อารายอ๊าาาา! ใครบ้า ตัวเองแหละบ้า ก็บอกให้เรียกเองอะ ตังเมทำเสียงยานคางปนเสียงสูงใส่ตังโอ๋ เอ้ย! โอ๋เฉยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ ก็เธอพูดเรื่องจริง ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันแถมเดินยันอีกอย่างหนึ่งด้วย ใช้เกียรติของเนตรนารีหมู่หนึ่ง กองหนึ่งเป็นประกันเลยเอ้า!
อนาวินส่ายหน้าขวับๆ ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเสียงทะเล้นๆ ของเผือกก็แทรกขึ้นมาตอกย้ำ
เฮ้ย ชื่อเล่นเต็มๆ ของนายคือตังโอ๋เรอะ หน่อมแน้มอย่างแรงว่ะ แสดงว่าตอนแม่นายท้องต้องชอบกินผักตังโอ๋แหงๆ เลย
ส้มว่าน่ารักดีออก
ช่ายๆน่าร้ากน่ารัก เค้าก็ว่าน่ารักเหมือนกัน
ตังโอ๋ๆๆๆ
เข้ากับชื่อเค้าเลย ตังเมกับตังโอ๋ ตังโอ๋กับตังเม
น่าร้าก น่ารักเนอะ
พอได้แล้ว! อนาวินตวาดเสียงดังขึ้นมาอย่างเหลืออดเพื่อให้เสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งสามเงียบได้แล้ว ทั้งหมดถึงกับหยุดชะงักทันที นายเผือกที่เผลอผสมโรงเห็นด้วยกับสองสาวน่ารักรีบถอยกลับมายังฐานที่มั่นเดิม เพราะเดี๋ยวโอ๋เพื่อนรักจะน้อยใจและไม่เป็นโค้ชให้ แม้ที่จริงเขาจะชอบอยู่กับสาวๆ มากกว่าก็เถอะนะ
แหมๆ ทำเป็นเสียงดังไปได้ ก็บอกเองว่าให้เค้าเรียกตังโอ๋ เราจะได้เป็นคู่กัน ตังโอ๋ตังเม เย้เย~เย้เย...
พอที! อนาวินลุกขึ้นยืนว้ากใส่อย่างเหลืออด เสียงดังจนทำให้ทุกคนในสนามเทนนิสหันมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว เธออย่ามามั่วไปเองจะดีกว่า ฉันไม่เคยรู้จักกับเธอมาก่อน ขอย้ำว่าไม่เคย!
ว้า~ ตังเมร้องออกมาอย่างผิดหวัง ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอนาวินทำตาเศร้าสร้อยเหมือนหมาหงอย ตัวเองจำไม่ได้แล้วจริงๆ เหรอ บ้านเราอยู่ติดกันไง บ้านเราที่มีต้นไม้เยอะๆ อยู่แถวฝั่งธนฯอะ
ถ้าเธอไม่มั่วก็ต้องเมาแน่ๆ บ้านฉันอยู่เชียงใหม่ต่างหาก แล้วฉันก็เพิ่งมาอยู่กรุงเทพเมื่อตอน ม.4
ตัวเองนั่นแหละมั่ว ก็ตอนเด็กๆ บ้านตัวเองอยู่ติดกับบ้านเค้า มาอยู่แค่ครึ่งปีตัวเองก็ย้ายไปที่ไกลๆ เค้ายังร้องไห้วิ่งตามรถตัวเองเลย ตังเมงัดเรื่องเก่าๆ ที่เธอจำได้ดีมาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ อนาวินแค่นหัวเราะอย่างประชดประชัน
เฮอะ วิ่งตามรถงั้นเหรอ? นิยายชัดๆ ไม่ว่าตอนเด็กๆ ฉันจะเคยอยู่ที่ไหน ถ้าฉันจำไม่ได้มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าเธอจะพูดเรื่องนี้อีกล่ะก็กลับไปซะดีกว่า ฉันไม่ว่างมาคุยเล่นไร้สาระกับเธอหรอก อนาวินกระโดดลงจากอัฒจันทร์ ควงไม้เทนนิสจะเดินไปหาสมาชิกชมรมปีหนึ่งที่เขาปล่อยให้เล่นกันเองไปก่อน เสียเวลากับยัยเอ๋อสี่ตานี่มานานเกินไปแล้ว รีบไปสอนให้เสร็จดีกว่า อนาวินตั้งหน้าตั้งเดินหนีโดยไม่รู้เลยว่า คำว่า ไร้สาระ ที่เขาพูดออกมากำลังทำให้ผู้หญิงหน้าเอ๋อโกรธขึ้นมาแล้ว
ตังโอ๋!
เสียงเรียกดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงวิ่งที่ตามหลังมาติดๆ อนาวินหันหลังกลับไปมองก็เห็นตังเมวิ่งหน้าตั้งตรงเข้ามาหยุดตรงหน้าเขา ถึงแม้ตังเมจะเป็นผู้หญิงค่อนข้างสูง แต่ก็ยังเตี้ยกว่าอนาวินถึงยี่สิบเซนติเมตร อนาวินจึงเห็นกระหม่อมของเธออย่างชัดเจน แต่ที่ชัดเจนกว่าคือใบหน้าเรียวที่กำลังบึ้งตึงโกรธจัดและเชิดใส่เขาเต็มที่ สาวสี่ตาเขย่งสุดปลายเท้าเพื่อประจันหน้ากับเขา
ตัวเองพูดว่าไร้สาระได้ไง! เค้าอุตส่าห์ตามหาตัวเอง เค้าลงทุนเสิร์ชหาในกูเกิ้ลเลยนะกว่าจะรู้ว่าตัวเองเรียนอยู่ที่นี่ แล้วเค้าก็ลงทุนตามมาเรียนกับตัวเองเลยนะ ตังเมชี้ให้ดูเข็มตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่ติดอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้าย เผือกที่วิ่งตามลงมาได้ยินเข้าก็ร้องลั่น
โอ้โห ระบบทะเบียนนักศึกษาของมหาลัยเราทะลุทะลวงหาได้ในกูเกิ้ลเลยเหรอเนี่ย
ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อะไรๆ ก็หาได้ในกูเกิ้ลทั้งนั้นแหละ ส้มที่ตามมาติดๆ ได้ยินเข้าก็แขวะอย่างหมั่นไส้ที่ประธานชมรมเอะอะโวยวายได้ตลอดเวลาหนวกหูเป็นที่สุด เผือกรีบหันมาทำเสียงหล่อและทำตาหวานเชื่อมใส่สาวร่างเล็กผมหยิกยาวสุดแสนน่ารักคนนี้ทันที
เอ๊ะ แล้วอย่างนี้น้องส้มจะหาหัวใจของพี่เผือกเจอจากกูเกิ้ลรึเปล่าน้า
ส้มเห็นแล้วถึงกับทำหน้าสะอิดสะเอียนที่เผือกประกาศหลีเฟรชชี่อย่างเธอเต็มที่ วันแรกที่เข้าชมรมเห็นเก๊กท่าต่อหน้าสมาชิกก็คิดว่าจะเป็นคนเอาจริงเอาจัง เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ อย่างนี้เสียได้
อนาวินมองเข็มสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยและตังเมก็สวมชุดนักศึกษาด้วย กระโปรงยาวคลุมเข่าจีบรอบเป็นเครื่องแบบบังคับของนักศึกษาปีหนึ่ง นี่คือสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นนักศึกษาที่นี่จริงๆ แต่อนาวินก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ง่ายๆ ยิ่งมาเกะกะในสนามเทนนิสก็ยิ่งทำให้การซ้อมของชมรมวุ่นวาย
จริงสิ! ที่นี่เป็นสนามเทนนิส ใช่แล้ว! เป็นสนามเทนนิสของชมรมเทนนิสด้วย
เธอออกไปจากคอร์ทนี้ซะดีกว่า คนที่ไม่ใช่สมาชิกชมรมจะมาเกะกะที่นี่ไม่ได้ เชิญ! อนาวินชี้ไปที่ประตูทางเข้าสนามเทนนิส ทางที่เธอวิ่งเข้ามานั่นแหละ ตังเมหันมองแต่ไม่ได้มองไปที่ประตู เธอหันไปหาหนุ่มหน้าบานหัวชี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างหากล่ะ
เค้าขอสมัครเข้าชมรม
ฮ้ะ! เผือกอุทานออกมาเสียงหลง คนที่ทนไม่ได้กลับเป็นอนาวิน เขารีบเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าตังเมทันที
เธอจะสมัครเข้าชมรมทำไม ชอบเล่นเทนนิสเหรอ
ตังเมส่ายหน้าขวับๆ จนผมยาวที่มัดสองจุกสะบัดไปมา
เค้าไม่ชอบ แต่เค้าอยากอยู่ใกล้ๆ ตังโอ๋
เลิกบ้าเสียทีเถอะน่า เธอจำคนผิดแล้ว ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าฉันไม่ใช่ ฉันไม่เคยรู้จักเธอ
ตัวเองนั่นแหละคือตังโอ๋ของเค้า เราเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกัน ตัวเองนั่นแหละที่เรียกให้เค้ากลับมา ไม่รู้ล่ะ เค้าจะเข้าชมรมนี้ นะค้าาา~ พี่ประธานชมรม จากที่ทำหน้าบึ้งเถียงอนาวินฉอดๆ กลับหันไปยิ้มหวานใส่เผือกได้ในทันที ดูท่าแล้วรอยยิ้มจะเป็นอาวุธชั้นดีของตังเม เผยยิ้มเมื่อไหร่คนเห็นได้ตะลึงไปทุกครั้ง แล้วก็ต้องยอมทำตามที่เธอร้องขอเสียด้วย
เอ่อ ก็ได้ เราก็ยังไม่ได้ปิดรับสมัคร...
ไอ้เผือก อย่ารับนะเว่ย! อนาวินหันไปเอ็ดเสียงต่ำ ทำตาดุกดดัน เผือกยิ้มแหยๆ ให้เพื่อนรักอย่างเกรงใจ
เอาน่า ตังโอ๋ ที่จริงมันก็ไม่ได้...
หยุดเรียกชื่อนั้นเสียที ถ้าไม่หยุดฉันจะไม่มาที่นี่อีก
โอเค.ๆๆ หยุดก็ได้ เผือกยกสองมือยอมแพ้ เขาก็กะจะเรียกแบบขำๆ เผื่อจะฮาเท่านั้นเอง แต่ผลที่ได้รู้สึกจะฮากริบแถมโกรธมากเสียด้วย ฉันไม่เรียกนายว่าตังโอ๋ก็ได้ แต่เรื่องไม่รับเข้าชมรมฉันคงทำให้ไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่รับสมาชิกโดยไม่มีเหตุผล ฉันโดนอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมสอบสวนแน่
เจอเหตุผลจริงจังอย่างนี้เข้า อนาวินก็ถึงกับเงียบ ตังเมรู้แล้วล่ะว่าถ้าพี่หน้าบานพูดอย่างนี้แปลว่าต้องรับเธอเข้าชมรม เธอปรบมือแปะๆๆๆ ดีใจเสียยกใหญ่ ส้มก็ดีใจไปด้วยเพราะจะได้มีเพื่อนอยู่ชมรมเดียวกัน
พี่เผือกนี่ใจดีเนอะ ไม่เหมือนบางคนหรอก ใจร้ายแถมขี้ลืมด้วย ตังเมทั้งชมทั้งประชดสองหนุ่ม เผือกได้ยินว่ามีคนชมก็ยิ้มหน้าบานเท่าจานดาวเทียม แต่คนถูกประชดนี่สิที่อารมณ์เสีย เมื่อขัดขวางไม่ได้อนาวินก็ยกไม้เทนนิสขึ้นพาดไหล่อย่างไม่สบอารมณ์ หันหลังกลับจะไปสอนสมาชิกปีหนึ่งต่อ ใครจะเฮฮาหัวเราะร่าเริงก็เชิญเถอะตามสบาย เขาไม่สนใจแล้ว อย่าตามมาอีกแล้วกัน ไม่งั้นไม่ไว้หน้าจริงๆ ด้วย
พรุ่งนี้เจอกันนะตังโอ๋ เค้ารักตัวเองน้าาาา
เสียงกังวานใสของสาวหน้าเอ๋อตะโกนตามหลังมา อนาวินหันไปมองกะจะตวาดใส่ให้เต็มเสียง แต่เห็นเธอยิ้มกว้างโบกมือไปมาอยู่กับที่โดยไม่ได้เดินตามมาก็เปลี่ยนใจ ไม่ตามมาก็ดีแล้วแถมสีหน้าแบบนั้นต่อว่าแค่ไหนเธอคงไม่สำนึก ไม่หลาบจำและคงไม่ใส่ใจแน่ๆ เสียเวลาเปลืองน้ำลายเปล่าๆ ยิ่งเขาไม่พูดเธอก็ยิ่งโบกมือไปมากระโดดเหยงๆ เข้าไปใหญ่
อนาวินหันกลับไปอย่างหงุดหงิด ไมเขาต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ด้วย!