เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 2.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11252155/W11252155.html
คุณแก้วกังไส, นารีจำศีล ขอบคุณที่ให้ Give ครับ ^___^
คุณแก้วกังไส คุณscottie คุณ GTW ขอบคุณที่ติดตามครับ ^____^
**********************************************************************
เหล่าลูกเรือโห่ร้องขานรับกึกก้องอื้ออึง ความฮึกเหิมของทั้งหมดถูกปลุกเร้าถึงขีดสุด
ทุกผู้ต่างวิ่งฉับไวกระตือรือร้นแข็งขัน แยกย้ายประจำตามตำแหน่งหน้าที่ของตน ทั้งหมดล้วนมุ่งหมายในความสำเร็จสูงสุด อันไม่เคยมีเรือสินค้าลำใดทำได้มาก่อน
ห้วงดารานาถถือกำเนิดจากมหานที ‘ศศิกันทรา’ และ ‘นิศาอัมพุ’
กระแสแห่งศศิกันทราทอดสายธารจากทิศเหนือลงสู่ใต้ มหานทีนิศาอัมพุไหลจากเบื้องตะวันออก ไปยังเบื้องตะวันตก ด้วยเหตุฉะนี้ ห้วงน้ำวนอันถือกำเนิดจากมหานทีทั้งสองจึงหมุนวนในทิศเวียนขวา
โดยปกตินั้น วิธีการซึ่งเหล่าบรรดานายเรือผู้เชี่ยวชาญ ใช้แล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ไม่ว่าจะจากฟากนิศาอัมพุไปยังห้วงศศิกันทรา หรือจากฟากศศิกันทราไปสู่ห้วงนิศาอัมพุ ล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ผู้เป็นนายเรือต้องบังคับนาวา ให้แล่นเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน อันเป็นบริเวณที่ยังพอคัดท้ายทานกระแสน้ำบังคับทิศทางได้ โดยไม่ให้ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในเป็นอันขาด เนื่องเพราะบริเวณนั้นกระแสน้ำจะถาโถมซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง แค่ประคองเรือไม่ให้พลิกคว่ำยังแทบเป็นไปไม่ได้ ไหนเลยบังคับทิศทางอันใดได้
หากสามารถเข้าสู่ห้วงน้ำชั้นนอกสุดได้ ต้องรีบเบนหัวเรือเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากในฉับพลัน ถ้าชักช้าแม้เพียงอึดใจกระแสน้ำกราดเกรี้ยวจะโถมซัดพลิกเรือคว่ำทันที หลังจากนั้นต้องปล่อยให้แรงมหาศาลของกระแสแห่งห้วงดารานาถ หนุนเนื่องส่งลำนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ด้วยความเร็วจุดสายลมหอบ แล่นล่องจากห้วงน้ำนึงเข้าสู่อีกห้วงน้ำ
และในจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่อีกห้วงน้ำนั่นเอง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากเข้าสู่หัวโค้ง แรงหมุนวนจะเริ่มดึงเรือให้เข้าถลำลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เหล่านายเรือต้องฉวยจังหวะในเสี้ยวพริบตานี้ อาศัยแรงส่งของกระแสน้ำเบนทิศในฉับพลัน บังคับนาวาพุ่งทะยานฝ่าออกจากห้วงดารานาถ
วิธีการดังกล่าวนี้คล้ายง่ายดายยิ่ง แท้จริงกลับลำบากยากเย็นแสนเข็ญ นายเรือแทบทุกผู้ต่างกระจ่างในขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างดี ทว่าตลอดสี่ห้วงมหานทีกลับมีนายเรือจำนวนน้อยนิด สามารถนำไปปฏิบัติแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถอย่างปลอดภัย
นั่นเพราะแม้ห้วงดารานาถจะมีขนาดใหญ่มหึมา ทว่าขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวนกลับแคบอย่างยิ่ง เป็นอาณาบริเวณเพียงหนึ่งในสิบของห้วงดารานาถเท่านั้น การบังคับนาวาให้เข้าสู่ขอบชั้นนอก โดยไม่ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน จึงมิใช่เรื่องที่จะกระทำได้โดยง่าย ปกติต้องลดใบเรือลงให้ต่ำที่สุด อาศัยการผ่อนหันเหทิศใบเรือต้านปะทะรับกระแสลม ในจังหวะและทิศทางที่เหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง
และการจะอาศัยแรงอันมหาศาลของกระแสน้ำหนุนเนื่อง ส่งนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือในการบังคับควบคุมเรือ อันคล่องแคล่วเชี่ยวชาญชำนาญ โดยต้องบังคับหัวเรือให้อยู่ในทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากตลอดเวลา ผิดพลาดแม้เล็กน้อยไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากนาวาหันเหทิศขวางกระแสน้ำเมื่อใดต้องพลิกคว่ำในทันที
อีกทั้งในช่วงที่นาวากำลังจะพ้นจากห้วงน้ำนึงเข้าสู่อีกห้วงน้ำ อันเป็นช่วงที่กระแสน้ำกราดเกรี้ยวเริ่มเข้าสู่หัวโค้งของห้วงน้ำวน ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจในฉับพลัน ด้วยความแม่นยำอย่างยิ่ง บ่ายทิศหันหัวเรือพุ่งทะยานออกจากห้วงดารานาถ
หากในเสี้ยวพริบตาไม่สามารถฉกฉวยจังหวะไว้ได้ แรงหมุนวนอันรุนแรงมหาศาลจะฉุดดึงลำนาวาเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระแสน้ำจะยิ่งหมุนเร็วแรงเป็นทบทวีคูณ ถึงเวลานั้นจะไม่สามารถบังคับควบคุมเรือได้อีก วาระสุดท้ายถ้าไม่พลิกคว่ำก็ต้องถูกฉุดกลืนหาย ลงสู่ใต้ห้วงดารานาถอันลึกสุดหยั่ง
เนื่องจากเงื่อนปมสำคัญเหล่านี้เอง ในคืนจันทราเต็มดวงจึงแทบไม่มีหนทางแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำที่ถาโถมเชี่ยวกรากเป็นทบเท่าทวีคูณ ในสามทิวาราตรีนี้จะโหมกระหน่ำซัดเข้าใส่กัน บังเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมา พวยพุ่งขึ้นสูงแล้วฟาดกระหน่ำลงสู่ผืนน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเนื่องไม่ยุติหยุดหย่อนหรืออ่อนแรงแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ!
แม้เป็นเรือรบขนาดใหญ่แข็งแกร่งเพียงใด ไหนเลยทานแรงปะทะอันรุนแรงมหาศาลของกำแพงคลื่นน้ำได้ หากถูกฟาดปะทะเข้าตรงๆ ต้องแหลกสลายกลายเป็นเศษซากในพริบตา และตำแหน่งที่กำแพงคลื่นน้ำปรากฏบ่อยครั้งมากที่สุดคือขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน!
ในอดีตราวสี่สิบเก้าปีก่อน กองเรือรบอันเกรียงของกษมปราการ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งมหานที ด้วยกำลังกองเรือรบทรงประสิทธิภาพจำนวนมหาศาล คราครั้งนั้นเคยพยายามล่องฝ่าห้วงดารานาถในคืนจันทราเต็มดวง...
ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่า เหตุใดกองเรือรบต้องเร่งรุดเดินทาง โดยไม่คำนึงถึงพิบัติภัยอันตราย ทั้งที่ทราบกระจ่างแก่ใจถึงเพียงนั้น ทว่าผลของความพยายามในคืนนั้น ประจักษ์แจ้งแก่สายตาของทุกผู้ในรุ่งเช้าวันต่อมา
...เศษไม้ซากเรือจำนวนมากมายสุดคณานับ กระจายเกลื่อนเต็มมหานทีนิศาอัมพุ เรือรบทั้งกองล่มสลายสิ้น ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้สักคนเดียว...
นับจากครั้งนั้นล่วงเลยมาสี่สิบเก้าปีแล้ว ไม่เคยมีนาวาลำใดหาญกล้าฝ่าห้วงดารานาถ ในคืนจันทราเต็มดวงอีกเลย...
ทว่าจันทรากระจ่างฟ้าราตรีนี้ นาวาเขี้ยววายุกำลังแล่นฉิวฝ่าทวนมหานทีนิศาอัมพุ เพียงไม่กี่อึดใจข้างหน้าจะพุ่งเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงดารานาถ!
ทันใด ลูกเรือกลุ่มหนึ่ง ชี้ไม้ชี้มือตะโกนโหวกเหวก ร้องบอกกันเป็นทอดๆ “นายผู้เฒ่า เรือสีดำลำนั้นเริ่มถอนสมอแล้วขอรับ!”
เฒ่าเวทิตส่ายหน้าหงุดหงิด ครุ่นคิดในใจ ‘ช่างโง่เขลาเสียจริง! หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด!’
นายเรือเฒ่าเบนสายตาจากห้วงน้ำเบื้องหน้า หันไปสั่งการ สุ้มเสียงทุ้มหนัก กังวานก้องได้ยินทั่วลำเรือ “กางใบให้สุดทั้งสองเสา! รักษาเชือกให้ตึงไว้ หันใบรับลมเต็มที่!”
บรรดาลูกเรือต่างอุทานด้วยความตระหนก แววฉงนงงงวยในดวงตาแต่ละผู้หันมองกันเลิ่กลั่ก ทุกผู้ล้วนตื่นตะลึงต่อคำสั่งของนายเรือเฒ่าเป็นที่ยิ่ง!
เนื่องเพราะหากกระทำตามคำสั่งนั้น ด้วยความเร็วของนาวาเขี้ยววายุ ซึ่งโดยปกติก็เร็วเหนือนาวาลำอื่นอักโข ต้องพุ่งทะยานตัดผ่านขอบชั้นนอก ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในอย่างแน่นอน!
เหตุใดคำสั่งการของนายเรือเฒ่าจึงเป็นเช่นนี้!
ทว่าเหล่าบรรดาลูกเรือ ไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นนายมาก่อนแม้สักครั้ง ด้วยทั้งหมดเชื่อมั่นในฝีมือนายเรือเฒ่าอย่างเปี่ยมล้น อีกทั้งทุกผู้ย่อมทราบกระจ่างแก่ใจว่า ทุกเสี้ยวพริบตากลางมหานที ล้วนสามารถชี้เป็นชี้ตาย สร้างโอกาสรอดหรือล่มสลายให้กับทั้งกองเรือได้
เหตุนี้แม้ในใจแต่ละผู้ต่างเคลือบแคลงสงสัยเพียงใด ทว่าเพียงสิ้นคำสั่งใบเรือก็ถูกกางขึ้นจนสุด หันเหรับลมเต็มที่ทั้งสองเสา นาวาเขี้ยววายุพลันเร่งความเร็วในพริบตา แล่นล่องตัดฝ่ากระแสน้ำประดุจเหาะเหิน พุ่งทะลวงตัดตรงเข้าสู่กลางห้วงดานานาถ!
ในทันทีที่ทะลวงฝ่าผ่านขอบชั้นนอก พุ่งตรงเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระทั่งความเร็วของเขี้ยววายุ ก็ไม่อาจทานแรงถาโถมกราดเกรี้ยวเชี่ยวกรากของกระแสน้ำได้!
พริบตานั้น เขี้ยววายุถูกกระแสน้ำกระแทกเข้ากราบขวาอย่างจัง ลำเรือเอียงวูบแทบพลิกคว่ำ!
เหล่าบรรดาลูกเรือเกือบทั้งหมด เคยแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถกับนายเรือเฒ่ามามากกว่าหนึ่งครั้ง ต่างรู้รักษาตัวรอดเป็นอย่างดีด้วยกันทั้งสิ้น บ้างคว้าจับเชือกเส้นโตมั่น บ้างยึดเกาะเกี่ยวเสากระโดง บ้างรั้งหลักพันเชือกแน่น บ้างกระทั่งกราบเรือก็คว้าจับสุดชีวิต ราวสิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติสุดรักสุดหวงแหน เหนี่ยวรั้งลำตัวติดสนิทแนบ ไม่ยอมให้ถูกกวาดพัดไปกับกระแสน้ำอย่างเด็ดขาด
ทันใด นายเรือเฒ่าสั่งการด้วยเสียงอันกังวานอีกครั้ง “ลดใบเรือหลักลงครึ่งหนึ่ง หันใบเรือรองตัดกระแสลม!”
บรรดาลูกเรือที่ประจำอยู่เสากระโดงทั้งสอง ได้ยินคำสั่งถนัดชัด ต่างเร่งผ่อนเชือกลดใบเรือหลัก ดึงรั้งเชือกหันเหทิศทางของใบเรือรองในฉับพลัน และทันทีที่ขาดแรงขับเคลื่อนของกระแสลม นาวาเขี้ยววายุพลันเบนทิศ พุ่งทะยานเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในบัดดล!
แม้ถลำเข้าลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เฒ่าเวทิตกลับยังสามารถเบนหัวเรือ บังคับเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันบ้าคลั่งได้!
เพลานี้บุลินเนื้อตัวเปียกโชก สำลักน้ำแสบตาแสบจมูกไปหมด เชือกที่ผูกมัดเมื่อเปียกน้ำยิ่งหดตัว รัดแน่นมากขึ้นจนรู้สึกปวดไปทั้งตัว โทสะประดังพลุ่งพล่าน ความหวาดกลัวยึดกุมจิตใจสิ้น
“จบสิ้นกัน! ชีวิตข้าต้องจบสิ้นในวันนี้แน่!”
จู่ๆ หากหญิงสาวข้างกาย กลับเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านรู้หรือไม่ นาม ‘เขี้ยววายุ’ มีที่มาอย่างไร”
มายากรหนุ่มไหนเลยมีอารมณ์ตอบคำถามของนาง “ใครจะไปรู้! แล้วข้าก็ไม่ได้อยากรู้ในตอนนี้ด้วย!”
หญิงสาวเอื้อนเอ่ยคล้ายพึมพำแผ่วเบากับตนเอง “เขี้ยววายุเป็นเรือสินค้าขนาดกลาง มีเสากระโดงสองต้น รูปร่างเปรียวกว่าเรือสินค้าทั่วไปค่อนข้างมาก ทว่ากลับมีน้ำหนักบรรทุกเกือบเท่ากัน เนื่องเพราะท้องเรือกว้างและมีถึงสามชั้น แทนที่จะเป็นสองชั้นเช่นเรือสินค้าธรรมดา ด้วยเหตุที่รูปร่างเปรียวกว่าเรือทั่วไป ยามใบเรือรับลมเต็มที่จึงแล่นฉิวตัดกระแสน้ำ ด้วยความเร็วกว่าเรือขนาดเดียวกันสองถึงสามเท่าตัว และนี่เองเป็นที่มาของนามเขี้ยววายุ”
หญิงสาวพลันเงยหน้า เหลียวสำรวจรอบข้างเพียงวูบ ก่อนก้มหน้างุดอีกครั้ง “ลำเรือของเขี้ยววายุเล่าลือกันว่า สร้างจากไม้เนื้อแข็งชนิดดีที่สุด เสากระโดงทั้งสองมีความแกร่ง ทั้งยังอ่อนหยุ่นเป็นพิเศษ มีข่าวลืออีกเช่นกันว่า ท่านผู้เฒ่าเวทิตลักลอบซื้อเสาสองต้นนี้จากนายวานิชผู้หนึ่ง ซึ่งเดิมทีต้องส่งเสาทั้งสองไปให้กองทัพเรือของกษมปราการ ทั้งใบเรือทั้งเชือกผูกโยงล้วนเป็นวัสดุชั้นดีทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าเรือสินค้าลำนี้มีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าเรือรบของแคว้นใดเลยทีเดียว”
ยามนี้กระแสน้ำโถมซัดอื้ออึง บุลินนั่งอยู่ใกล้เพียงด้านข้าง ยังแทบไม่ได้ยินประโยคเหล่านั้นของหญิงสาว แต่เพียงสิ้นประโยคสุดท้าย สุ้มเสียงเปี่ยมความชื่นชมของเฒ่าเวทิตกลับตะโกนโต้ตอบมาว่า
“แม่หนูน้อย เจ้ามีความรู้ติดตัวไม่น้อยจริงๆ”
เจ้ามายากรหนุ่มยังคงตะโกนด่าทอ แช่งชักหักกระดูกเฒ่าเวทิตเสียงขรม “ตาเฒ่าหนังเหนียว! ตาเฒ่าไม่ยอมตาย! ทำไมถึงสั่งการเสียสติอย่างนั้น! พวกเราจะกันตายหมดก็เพราะการสั่งการผิดๆ ของเจ้า!”
ทันใดนั้น หญิงสาวบังเกิดประกายวูบในดวงตา เอ่ยแทรกขึ้น “ท่านนอกจากเป็นมายากรแล้ว ยังเป็นนายเรือด้วยหรือ”
บุลินหันขวับ พลอยไม่สบอารมณ์คนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย “ถ้าข้าเป็นนายเรือก็ไม่ต้องมาอาศัยเรือตาเฒ่านี่หรอก! แล้วข้าก็คงไม่ต้องมาถูกมัดอยู่อย่างนี้ด้วย!”
แม้กำลังเอ่ยวาจาตอบโต้ หญิงสาวผู้เปียกโชกไปทั้งร่างเช่นกัน กลับยังก้มหน้างุด หาได้เงยหน้าขึ้นไม่ ผมยาวประต้นคอสีน้ำตาลเข้มโชกชุ่มด้วยน้ำ คลุมปิดใบหน้าสิ้น
“ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ที่ท่านผู้เฒ่าสั่งการนั้นผิดพลาด”
มายากรหนุ่มตะคอกสวนกลับทันควัน “ปราชญ์แห่งเมธาปุระ บันทึกวิธีการแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ เขียนเป็นตำราขึ้นมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ใครๆ ก็เคยอ่านทั้งนั้น เฮอะ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่า...”
หญิงสาวพลันเอ่ยแทรกขึ้นอีกครั้ง “ตำราเล่มนั่นถูกเขียนมาหลายสิบปีแล้ว แต่ในช่วงหลายสิบปีนี้กลับมีนายเรือไม่ถึงหนึ่งในห้า ที่สามารถล่องฝ่าห้วงดารานาถได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือนายเรืออีกสี่ส่วนที่เหลือ ไม่เคยอ่านตำราเล่มนั้น...”
คำกล่าวของหญิงสาวคำเอาบุลินนิ่งอึ้งไป...วิธีแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถถูกบันทึกไว้ ในตำราวิถีแห่งนายเรือขั้นสูง ฉบับปรับปรุงแก้ไขโดย ท่าน ‘เทวปราชญ์ นันทนะ’ เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน
ตำราเล่มนี้เป็นหนึ่งในตำรับตำรา ที่เหล่านายเรือต้องศึกษาเป็นพื้นฐาน และเป็นหนึ่งในตำราของเหล่าปราชญ์แห่งเมธาปุระที่แพร่หลายเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นนายเรือผู้ฝึกปรือจนสามารถฝ่าห้วงดารานาถได้ กลับมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย และส่วนใหญ่ก็ได้กลายไปเป็นขุนพลเรือของแคว้นต่างๆ แทบทั้งสิ้น หลงเหลือผู้เลือกยึดอาชีพนายเรือสินค้าเพียงน้อยนิด ด้วยเหตุนี้เองในปีหนึ่งๆ จึงมีเรือสินค้าแล่นล่องไปพุทธินคราผ่านเส้นทางนี้ไม่เกินหกลำ...
ในใจแม้จะเห็นด้วยกับคำกล่าวของหญิงสาวอยู่ลึกๆ แต่บุลินไหนเลยยอมแพ้การโต้เถียงครั้งนี้ มายากรหนุ่มยังดื้อแพ่ง กล่าวน้ำเสียงฉุนเฉียว
“คำสั่งของตาเฒ่าจะถูกได้อย่างไรกัน! เจ้าเงยหน้าขึ้นดูสิ พวกเราถลำลึกเข้ามาในห้วงน้ำวนชั้นในแล้ว เมื่อครู่ถูกกระแสน้ำกระแทกจนแทบพลิกคว่ำ โชคยังดีที่รอดมาได้ แต่อีกประเดี๋ยวคงไม่แคล้วถูกกระแทกอีกเป็นแน่ คราวนี้....คราวนี้คง...”
หญิงสาวคล้ายทอดถอนใจยาวๆ กระแสเสียงกังวานใส ยังเอ่ยโดยไม่ยอมเงยหน้าเช่นเดิม “มิใช่เช่นนั้นหรอก ท่านไม่สังเกตหรือว่า เวลานี้หัวเรือของเขี้ยววายุตรงเป็นแนวเดียวกับกระแสน้ำ ไม่เบี่ยงเบนแม้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นนาวาลำนี้จะไม่ถูกกระแสน้ำกระแทกอีกแล้ว การบังคับคัดท้ายของท่านผู้เฒ่าช่างแม่นยำอย่างยิ่งจริงๆ”
บุลินชะโงกหน้าชะเง้อคอ เลิ่กลั่กเหลียวมอง “โอ๊ย! เช่นนี้ก็ยิ่งแย่น่ะสิ ถลำเข้ามาในห้วงน้ำชั้นใน ทั้งยังพุ่งไปตามกระแสน้ำอย่างนี้ อีกเดี๋ยวเรือลำนี้คงไม่แคล้วถูกดูดกลืนหาย เข้าไปในใจกลางห้วงดารานาถแน่!”
หญิงสาวยังคงเอ่ยขึ้นอีกว่า “มิใช่อีกเช่นกัน เพราะด้วยขนาดอันใหญ่โตของห้วงดารานาถ เรือจะไม่ถูกดึงดูดเข้าสู่ใจกลางห้วงน้ำวนในทันที ที่สำคัญ...ลืมแล้วหรือว่าในคืนจันทราเต็มดวง ขนาดของห้วงดารานาถจะใหญ่ขึ้นอีกเกือบครึ่งเท่าตัว ดังนั้นด้วยเหตุนี้เอง แท้จริงเวลานี้เขี้ยววายุกลับยังมิได้ถลำเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เพียงอยู่กึ่งกลางระหว่างห้วงน้ำชั้นนอกกับชั้นในเท่านั้น”
ทันใด เสียงนายเรือเฒ่าดังกระทบโสตมายากรหนุ่มและหญิงสาว “เก่งมากแม่หนู! ไหนเจ้าลองบอกสิว่า ต่อไปข้าควรสั่งการอย่างไร”
หญิงสาวคล้ายสะดุ้งเล็กน้อย กล่าวสุ้มเสียงแผ่วเบา “ท่าน...ท่านผู้เฒ่า...ท่านควบคุมสั่งการอยู่ที่หัวเรือ แล้วไฉนจึงได้ยินวาจาของข้าได้...”
กระแสเสียงนายเรือเฒ่าตอบกลับมาว่า “ข้าได้ยินก็แล้วกัน ว่ายังไงเจ้าคิดว่าข้าควรสั่งการอย่างไรต่อไป”
...มายากรหนุ่มและหญิงสาวไม่รู้เลยว่า หลายประโยคที่นายเรือเฒ่ากล่าวกับตนนี้ จงใจให้ได้ยินเฉพาะพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น...
แต่จะอย่างไรบนนาวาเขี้ยววายุกลับยังมีอีกผู้หนึ่ง ซึ่งได้ยินทั้งคำสนทนาระหว่างมายากรหนุ่มกับหญิงสาวถนัดชัด ทั้งยังได้ยินหลายประโยคที่นายเรือเฒ่ากล่าวเช่นกัน...
คนผู้นั้นย่อมเป็น ‘ลูกเรือคนหนึ่ง’ ผู้ตวัดผ้าโพกเกล้าพันปกปิดใบหน้าสิ้น และถูกนายเรือเฒ่าเรียกว่า ‘เจ้าผู้ใช้วาโยฌานเวท’
หญิงสาวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวอย่างลังเล “กางใบเรือหลักจนสุด หันใบเรือทั้งสองรับลมเต็มที่...”
กระแสเสียงเฒ่าเวทิตหัวเราะอย่างถูกใจ เสียงทุ้มกังวานพลันสั่งการออกไป “กางใบเรือหลักจนสุด หันใบเรือทั้งสองรับลมเต็มที่!”
บุลินหันมองหญิงสาวอย่างเหลือเชื่อ “ทำไม...เจ้า...เจ้าถึง...”
หญิงสาวกล่าวอธิบาย “เนื่องเพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากรุนแรงยิ่งในขณะนี้ หากกางใบรับลมเต็มที่ทั้งสองเสา ด้วยลักษณะลำเรือเปรียวเป็นพิเศษของเขี้ยววายุ นาวาลำนี้จะมีกำลังมากพอ สามารถพุ่งทะลวงฝ่าออกจากห้วงดารานาถ ก่อนจะถึงหัวโค้งข้างหน้าถูกฉุดดึงเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน”
มายากรหนุ่มอ้าปากค้างลืมตาโพลง เพราะเมื่อขบคิดตามคำอธิบายของหญิงสาว ก็พบว่าตัวเองช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน เนื่องเพราะแท้จริงวิธีการที่เฒ่าเวทิตกำลังทำอยู่ขณะนี้ มิได้ต่างจากหลักการขั้นพื้นฐานของการฝ่าห้วงดารานาถโดยปกติแต่อย่างใด...
นั่นคือการอาศัยแรงของกระแสน้ำเชี่ยวกรากหนุนเนื่อง อาศัยจังหวะเวลาการผ่อนรั้งหันเหใบเรือปรับทิศความเร็วผสานการคัดท้ายที่แม่นยำ เพื่อพุ่งทะยานฝ่าออกจากห้วงดารานาถ จะต่างกันก็ตรงนายเรือเฒ่าอาศัยแรงมหาศาลของห้วงน้ำชั้นใน แทนที่จะเป็นแรงของกระแสน้ำในขอบชั้นนอกสุด
“แต่...เหตุใดเฒ่าเวทิตจึงใช้วิธีการแบบนี้...ทำไมไม่ใช้วิธีตามปกติ...”
“นั่นเพราะในคืนจันทราเต็มดวง ขอบชั้นนอกสุดของห้วงดารานาถ สามารถเกิดกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมาได้ทุกเมื่อ ทว่าหากฝ่าลึกเข้ามาจนเกือบถึงห้วงน้ำวนชั้นใน โอกาสจะเกิดกำแพงคลื่นน้ำมีน้อยอย่างยิ่ง”
บุลินแม้เข้าใจเรื่องราวมากขึ้น กระนั้นยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...
ทันทีที่ใบเรือหลักกางหันเหรับลมเต็มที่ ความเร็วของนาวาเขี้ยววายุซึ่งเร็วอย่างยิ่งอยู่แล้ว ด้วยแรงหนุนเนื่องของกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก พลันทวีความเร็วยิ่งกว่าลูกธนูหลุดจากแล่งในชั่วพริบตา!
นาวาเขี้ยววายุพุ่งทะยานตัดเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นนอก หัวเรือพุ่งตรงเข้าสู่มหานทีศศิกันทรา เบื้องหน้าอีกเพียงไม่กี่อึดใจจะฝ่าพ้นห้วงดารานาถแล้ว!
ทว่าทันใด กำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมาพลันผุดขึ้นตรงหน้า!
แทบจะในจังหวะเวลาเดียวกันนั้น สุ้มเสียงทุ้มกังวาน พลันสั่งการขึ้น “ลดใบเรือรอง! หันใบเรือหลักตัดกระแสลม! หาที่ยึดเกาะไว้!”
บุลินได้นั่งตัวสั่นงันงกร้องเสียงหลง “โอ๊ย! คราวนี้ต้องตายแน่แล้ว!”
หญิงสาวกลับทอดถอนใจ น้ำเสียงไม่มีแววตระหนกต่อกำแพงคลื่นน้ำมหึมา เบื้องหน้าแม้แต่น้อย “ไม่มีผู้ใดตายหรอก ท่านผู้เฒ่าสั่งการถูกต้องแล้ว ใบเรือรองเล็กกว่าใบเรือหลัก ดังนั้นการดึงลงจึงเร็วกว่ามาก สามารถชะลอความเร็วของเรือ เบนทิศหักหลบพ้นจากกำแพงคลื่นน้ำ หลังจากพ้นแล้วจึงกางใบเรือรองอีกครั้ง หันรับลมเต็มที่เร่งความเร็วในทันที ตัดฝ่าออกจากห้วงดารานาถ...”
เป็นจริงเช่นคำกล่าวของหญิงสาวอีกครั้ง นาวาเขี้ยววายุเลี้ยวหลบพ้นกำแพงคลื่นน้ำมหึมาไปได้อย่างฉิวเฉียดที่สุด ทันใดเฒ่าเวทิตสั่งให้กางใบเรือรองขึ้นอีกครั้ง เขี้ยววายุเบนหัวเรือทะยานเข้าสู่ทิศทางเดิม พุ่งตรงออกสู่มหานทีศศิกันทราอีกครั้ง
มายากรหนุ่มหันมองหญิงสาวอย่างเหลือเชื่ออีกครั้ง “นี่เจ้า...เจ้ารู้ไปเสียทุกเรื่องหรืออย่างไร บิดาเจ้าเป็นช่างต่อเรือ หรือพี่ชายเจ้าเป็นนายเรือสินค้ากันแน่”
ทันใด เสียงหัวเราะดังลั่น เป็นกระแสเสียงของเฒ่าเวทิต ที่ดังกระทบโสตทั้งสอง “ไม่แน่ว่า ทั้งบิดาและพี่ชายของนาง อาจเป็นขุนพลเรือของแคว้นหนึ่งแคว้นใดก็ได้!
หญิงสาวพึมพำ เสียงเบาหวิว “ข้าไม่มีพี่ชาย...”
เฒ่าเวทิตสั่งการโดยพลันอีกครั้ง “หันใบเรือทั้งสองรับลมเต็มกำลัง รักษาทิศไว้! อีกอึดใจเดียวก็ฝ่าออกไปได้แล้ว!”
เหล่าลูกเรือต่างโห่ร้องก้อง เร่งมือทำงานของตนอย่างขะมักเขม้น เต็มกำลังความสามารถ ด้วยเห็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อยู่รำไรเบื้องหน้า นาวาเขี้ยววายุบรรลุถึงขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน อีกเพียงอึดใจเดียวจะฝ่าออกจากห้วงดารานาถเข้าสู่กระแสแห่งศศิกันทรา
แต่ทันใดนั้น จู่ๆ นาวาเขี้ยววายุพลันเหินทะยานขึ้นสูงสู่ฟากฟ้า! กำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมากลับผุดขึ้นใต้เขี้ยววายุพอดี!
พริบตานั้น พลังอันมหาศาลของกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมา ผลักลำนาวาลอยขึ้นสูงลิ้วเหนือฟากฟ้า บรรดาลูกเรือต่างร้องเสียงหลงด้วยความตื่นกลัวสุดขีด!
ด้วยความสูงขนาดนี้ เขี้ยววายุต้องแตกละเอียด เป็นเศษซากทันทีที่ตกลงกระแทกผิวน้ำ!
อย่าว่าแต่ยังมีคลื่นน้ำมหึมาถาโถมตามลงมา ไม่มีหนทางใดที่ใครจะเอาชีวิตรอดไปได้ ทุกคนต้องตายกันหมดสิ้นอย่างแน่นอน!
ความสำเร็จกำลังรออยู่เบื้องหน้า ไฉนโชคชะตาจึงกลั่นแกล้ง ให้พบจุดจบในช่วงสุดท้ายเช่นนี้! ทว่าทันทีที่กำแพงคลื่นน้ำเริ่มตกลง นาวาเขี้ยววายุกลับมิได้ดิ่งตกลงในทันที!
เขี้ยววายุกลับค่อยๆ เอียงลำเรือ ขนานเป็นแนวเดียวกับกำแพงคลื่นน้ำ แล้วแล่นล่องคล้ายกำลังไต่เลาะขอบกำแพงคลื่นน้ำจากยอดคลื่นลงสู่พื้นผิวน้ำ!
ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั่นคือทุกผู้ที่อยู่บนนาวาลำนี้ กลับมิได้ลื่นไถลไปตามความลาดเอียงของลำนาวาแต่อย่างใด คล้ายทุกผู้กำลังยืนบนเรือซึ่งแล่นอยู่บนผืนน้ำที่นิ่งสงบราบเรียบก็มิปาน!
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกผู้ นาวาเขี้ยววายุพลันพุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง เบนทิศมุ่งตรงเข้าสู่มหานทีศศิกันทรา ฝ่าทะลวงออกจากห้วงดารานาถ!
เสี้ยวพริบตานั้น กระแสเสียงหนึ่ง เอ่ยแผ่วเบาด้วยความตื่นตะลึง ระคนเลื่อมใสเป็นที่ยิ่ง “‘ปฐวีฌานเวท’ แปรสายนทีเป็นดั่งพื้นพสุธา ควบคุมนาวาดุจบัญชารถศึก!”
กระแสเสียงทุ้มกังวานของเฒ่าเวทิต เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ถ่ายทอดประโยคที่ได้ยินกันเฉพาะสองคน “เป็นไรเจ้าผู้ใช้วาโยฌานเวท พวกเจ้าต้องการทดสอบว่าฌานเวทของข้า ยังคงใช้การได้อยู่หรือไม่ มิใช่หรือ เฮอะๆๆ เมื่อได้เห็นแล้วไฉนจึงทำหน้าปั้นยากปานนั้น...”
‘เจ้าผู้ใช้วาโยฌานเวท’ ขมวดคิ้วกล่าวตอบว่า “ท่านผู้เฒ่า...ข้ามิได้เป็นพวกเดียวกับคนกลุ่มนั้น ข้ามิได้โง่เขลาปานนั้น...”
เฒ่าเวทิตนิ่งคิด คำตอบของอีกฝ่าย กลับอยู่เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง... ที่ท่าหลวงของเมธาปุระ นายเรือชราเห็นชัดถนัดว่ามีคนแอบลอบขึ้นเรือสองคน...
หนึ่งคือหญิงสาวผู้แอบเข้ามาหลบอยู่ที่ช่องเก็บสินค้า อีกหนึ่งนั้นใช้ผ้าโพกเกล้าตวัดปิดหน้าตา เจ้าคนผู้นี้ใช้วาโยฌานเวท บังคับสะกดเหล่าลูกเรือมิให้สงสัยว่ามันเป็นคนแปลกหน้า...
สามารถใช้วาโยฌานเวท สะกดจิตเหล่าลูกเรือร่วมครึ่งร้อยได้ มิใช่บุคคลธรรมดาเลย...
ทว่านายเรือเฒ่าก็ปล่อยให้คนผู้นี้ขึ้นเรือมา เพราะคาดคิดว่าเจ้าผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องกับเรือลึกลับสีดำอย่างแน่นอน ด้วยอยากรู้ว่าเหล่าผู้อยู่บนเรือสีดำลำนั้น ไฉนจึงสิ้นคิดดำเนินแผนการเช่นนี้ได้!
หลังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นายเรือเฒ่าเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้ามีนามว่าอะไร”
“‘นารท’...นารทขอรับ...”
ทันใด ภายใต้เสียงโห่ร้องอื้ออึงอย่างมีชัย ของบรรดาเหล่าลูกเรือแห่งนาวาเขี้ยววายุ พลันบังเกิดเสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นจากหลักตรงกราบเรือ เจ้าของสุ้มเสียงกลับเป็นมายากรหนุ่มนามบุลิน
“เรือ...เรือสีดำลำนั้น! เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ห้วงดารานาถแล้ว!”
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ต.ค. 54 08:00:07
|
|
|
|