ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 2.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11256115/W11256115.html
ทักทายครับ
ขอบคุณ คุณ Mnemosyne ที่ให้ Give ครับ
scottie : สวัสดีครับคุณ scottie ชื่อต่างๆ แค่อ่านผ่านไปก่อนได้ เดี๋ยวแต่ละชื่อ แต่ละเหตุการณ์จะค่อยๆ ขยายความ ในบทต่อๆ ไปครับ
******************************************************************************
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นปลุกสัมปชัญญะให้ฟื้นตื่นจากห้วงหลับใหล
เพียงรู้สึกตัวตื่นขึ้น กระเพาะน้อยๆ ก็เริ่มอุทธรณ์ด้วยความหิวโหย นับจากเร่งออกเดินทางเมื่อเที่ยงวันก่อน กระทั่งถึงยามนี้ยังมิมีอาหารตกถึงท้องแม้น้อยนิด
นางยังมิได้ลืมตาขึ้น กระนั้นไอแดดอุ่นซึ่งสาดส่องกระทบร่างผ่านช่องหน้าต่าง สรรพเสียงนานาสิ่งมีชีวิตแว่วสู่โสต ย่อมบ่งบอกสภาพภายนอกแจ่มชัด
เพลานี้หากมิใช่ใกล้เที่ยงก็ต้องเป็นยามสายมากแล้ว บาดแผลลึกผสานความอ่อนล้าทำให้หลับยาวนานเพียงนี้... ก่อนลืมตาเผชิญหน้ากับหานอี้ซิน...นางยังมีเรื่องต้องขบคิด
แต่ทว่า...นอกจากยอมเสี่ยงกับหนทางนี้ ยังมีเส้นทางใดให้นางสามารถเลือกได้อีก กำหนดเคลื่อนทัพคือย่ำรุ่งวันพรุ่ง นางต้องสืบความให้กระจ่างโดยเร็ว หาไม่ทั้งกองทัพอาจเดินเข้าสู่กับดักของศัตรู!
เงื่อนปมเดียวในเวลานี้คือบุรุษนามหานอี้ซิน...
ทันใด เสียงทุ้มหนักของหานอี้ซิน ดังกระทบโสตจากอีกฟากของห้อง “อาหารเสร็จแล้ว ท่านลุกขึ้นรับประทานไหวหรือไม่”
นางรีบส่งเสียงอืมรับคำ เปล่าประโยชน์จะแสร้งว่าเพิ่งตื่น ด้วยพลังฝีมือของบุรุษผู้นี้ ย่อมทราบว่านางตื่นขึ้นชั่วครู่แล้ว ร่างระหงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง บาดแผลบนไหล่ซ้ายยังคงปวดแปลบ จะอย่างไรนับว่าทุเลากว่าเมื่อคืนอักโข หากได้พักสองสามวันแผลควรสมานตัว แต่นางไหนเลยมีเวลามากปานนั้น
เหลียวสำรวจสภาพรอบข้างจึงรู้ว่า เมื่อคืนหลับใหลบนเตียงเล็กในห้องแคบ ทั้งห้องมีหน้าต่างเพียงบานเดียว นางเอื้อมมือแง้มเปิดหน้าต่างเล็กน้อย พบภายนอกแวดล้อมด้วยป่าไผ่เขียวขจี สภาพการณ์คลับคล้ายในบริเวณนี้มีเพียงบ้านหลังนี้ปลูกสร้างอย่างโดดเดี่ยว
โสตสดับเสียงคล้ายแม่น้ำหรือลำธาร ไหลลัดเลาะผ่านหลังแนวป่าไผ่ด้านหลังบ้าน บนผนังห้องห้อยแขวนเครื่องมืออุปกรณ์กับดักสัตว์นานาชนิด เตียงของนางแม้ปัดกวาดจนสะอาด แต่สิ่งของในห้องทุกชิ้นตลอดถึงผนังเก่าคร่ำคร่าล้วนมีหยากไย่เกรอะกรัง บ้านหลังนี้ควรถูกทิ้งร้างนานแล้ว
หานอี้ซินพบบ้านหลังนี้โดยบังเอิญหรืออย่างไร...
สภาพบ้านแสดงว่าปกติไม่มีคนพักอาศัย นี่ย่อมมิใช่สถานที่ซึ่งหานอี้ซินใช้หลบซ่อน หลังรอดชีวิตจากช่องเขาประตูสวรรค์ คาดว่าบุรุษผู้นี้คงใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวยามข้ามลำน้ำมาฝั่งนี้...
จากเส้นทางซึ่งพานางลัดเลาะหลบหนีเมื่อคืน แสดงว่าหานอี้ซินชำนาญพื้นที่แถวนี้อย่างยิ่ง บุรุษร่างใหญ่คงข้ามลำน้ำมายังฝั่งนี้บ่อยครั้ง...มาทำไม...หรือมาเพื่อนัดพบกับผู้ใด
นางพยุงกายลุกขึ้นยืน เลิกม่านกั้นประตูเดินออกสู่ห้องโถง พบโต๊ะกลางห้องวางข้าวหอมกรุ่นสองชาม มีน้ำแกงชามใหญ่และผัดผักอีกจานหนึ่ง หานอี้ซินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นางสะดุ้งเฮือกเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษร่างใหญ่ถนัดชัด!
ใบหน้ายามไร้หมวกปีกกว้างปกปิด... รอยแผลเป็นเด่นชัดยาวเหนือขมับผ่านแก้มซ้ายจรดปลายคาง…
เทพหรือปีศาจหรือเป็นปาฏิหาริย์ประการใด ช่วยรักษาชีวิตหานอี้ซินให้รอดจากการล้อมสังหารอย่างโหดเหี้ยมในช่องเขาประตูสวรรค์!
รอยแผลเป็นแม้ยาวจนน่าสะพรึงแต่กลับมิกว้าง ยิ่งแสดงว่าต้องอาวุธสังหารคมกริบ บาดแผลนี้สมควรลึกอย่างยิ่ง และนี่เป็นเพียงบาดแผลเดียว ไม่ทราบทั่วร่างจะมีบาดแผลฉกรรจ์อีกเท่าไหร่ หานอี้ซินกลับรอดชีวิตมาได้ ทั้งพลังฝีมือและกำลังใจของบุรุษผู้นี้ช่างกล้าแข็งจริงๆ...
บุรุษร่างใหญ่อยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุราวสามสิบกว่าปี ชาวเหนือผู้มีถิ่นกำเนิดแถบลุ่มน้ำเฮยหลง มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำกว่าชาวใต้ ผู้อาศัยอยู่ตอนล่างของลุ่มน้ำลู่หลงและจินหลงอักโข
หานอี้ซินสูงกว่านางถึงหนึ่งช่วงศีรษะ เส้นผมสั้นดำขลับ หน้าผากกว้าง คิ้วหนา จมูกโด่งกว่าชาวใต้จนเป็นจุดเด่น ริมฝีปากก็หนากว่าชาวใต้เล็กน้อย ดวงตากลมโตใหญ่ฉายประกายเจิดจ้า ซ้ำนัยน์ตายังปรากฏแววสีเขียวจางๆ
ลักษณะทั้งหมดบ่งบอกชัด หานอี้ซินมิเพียงเป็นชาวเหนือโดยกำเนิด แต่ยังต้องมีบรรพบุรุษเป็นชาวเผ่าทางตะวันตกสุดของมหาอาณาจักร
นางได้ยินมาว่า แม่ทัพใหญ่จูกัดจิ้นก็เป็นชาวเผ่าทางตะวันตก บรรดาขุนพลคนสนิทล้วนเป็นคนเผ่าเดียวกัน หรือหานอี้ซินคือหนึ่งในจำนวนนั้น...อย่างนั้นฐานะของบุรุษผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา
เค้าโครงหน้าของหานอี้ซินแกร่งกร้าวดุดันสมเป็นทหารกล้า ยามขยับแขนยกมือแม้เป็นเพียงการถือตะเกียบเลื่อนชามข้าว ทว่าบุคลิกท่วงท่าล้วนบ่งบอกชัดว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือ โดยเฉพาะประกายทระนงเด็ดเดี่ยวในแววตาราวไม่ระย่อต่อทุกสรรพสิ่ง กระทั่งความตายยังมิอาจสร้างความพรั่นพรึงต่อบุรุษผู้นี้
หานอี้ซินคล้ายดั่งหลอมรวมจุดเด่นทั้งมวลของชาวเหนือไว้ในร่างจริงๆ...
ใบหน้าของชาวเหนือ บุรุษมิอาจเรียกว่าหล่อเหลา สตรีที่เรียกว่างดงามยิ่งนับจำนวนได้ ในขณะที่ชาวใต้ บุรุษหน้าตาสามัญยังหล่อเหลากว่าชาวเหนือ สตรีหน้าตาพื้นเพหากเดินทางขึ้นเหนือจะกลายเป็นดั่งเทพธิดา
แน่นอนว่าวาจาเหล่านี้เกินความจริงอยู่มาก ทั้งยังสะท้อนการดูถูกเหยียดหยามชาวเหนือ แต่ก็สะท้อนความแตกต่างระหว่างชาวเหนือและใต้อย่างชัดเจน
บุรุษชาวเหนือที่ไม่หล่อเหลา เพราะล้วนขยันขันแข็งทำการเกษตร ล่าสัตว์ เพาะเลี้ยงม้า ยามว่างยังฝึกฝนอาวุธ สตรีชาวเหนือที่ไม่งดงามเพราะวันทั้งวันเลี้ยงไหมทอผ้า ไม่ปล่อยเวลาเปล่าประโยชน์คิดแต่ประทินผิวเสริมความงามเช่นชาวใต้ บุรุษชาวใต้ชอบประกอบการค้า นิยมบทกวี ชื่นชอบงานสังสรรค์รื่นเริง ขาดระเบียบวินัย ไม่เคยเตรียมตัวฝึกฝนรับสงคราม
นางอดทอดถอนใจมิได้...เพราะชาวเหนือมีบุคลิกอันเหี้ยมหาญเช่นนี้นี่เล่า จึงสามารถยึดครองดินแดนถึงสองในสามของมหาอาณาจักรไว้ได้ ในขณะที่กองทัพขององค์จักรพรรดิถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดต้องอาศัยลำน้ำจินหลงเป็นปราการสุดท้าย หากมิใช่เพราะแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย มหาอาณาจักรคงตกเป็นของเฉินเทียนหรานนานแล้ว
“อาหารพื้นเพ ธิดาแม่ทัพรับประทานได้หรือไม่” หานอี้ซินคล้ายไม่สนใจที่ถูกเพ่งพินิจ แทบศีรษะจรดปลายเท้าอยู่เนิ่นนาน บุรุษร่างใหญ่เพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ผายมือเชื้อเชิญนางนั่งลง
นางแค่นเสียงเฮอะ นั่งลงฝั่งตรงข้าม เริ่มรับประทานอาหารทันที ยามนี้ไหนเลยสนใจคำประชดประชันไร้สาระ นางต้องทานอาหารฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับคืน อย่าว่าแต่อาหารพื้นเพเพียงเท่านี้ กระทั่งใช้ชีวิตในค่ายทหารระยะหนึ่งก็เคยประสบมาแล้ว ยามเสบียงกรังส่งมาไม่ถึงแนวหน้า ทหารกล้าต้องหิวโหยลำบากปานใดนางล้วนทราบกระจ่าง
เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างไร้ค่า นางต้องปฏิบัติภารกิจคราวนี้ให้ลุล่วง!
เพียงเริ่มรับประทาน นางกลับพบความประหลาดใจจนต้องส่งเสียงเอ๊ะ เพราะอาหารตรงหน้าแม้สามัญอย่างยิ่ง น้ำแกงต้มจากเนื้อปลาซึ่งคงหาได้จากลำธารหลังบ้าน ผัดผักล้วนเป็นชนิดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติพบเห็นได้ทั่วไป แต่อาหารทั้งสองอย่างกลับมีรสชาติเลิศรสยิ่ง ยังอร่อยกว่ารับประทานในโรงเตี๊ยมชื่อดังเสียอีก!
ยิ่งข้าวหอมกรุ่นเพียงคำแรกก็ทราบว่าเป็นข้าว ‘เซียงเซียง’ เมล็ดข้าวหอมซึ่งปลูกได้ผลผลิตดีเฉพาะในแถบลุ่มแม่น้ำเฮยหลง ด้วยความนุ่มและความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งมีผลผลิตไม่มากและต้องเสียค่าขนส่งไกลโขจากภาคเหนือสู่ภาคกลางและใต้ ดังนั้นตั้งแต่เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ข้าวเซียงเซียงนับเป็นข้าวราคาแพงที่สุด
หลังกองทัพกบฏยึดครองลุ่มน้ำภาคเหนือและกลาง ชาวใต้ทั่วไปก็หมดโอกาสจะได้รับประทานข้าวชนิดนี้ ทว่าเหล่าขุนนางคหบดีผู้มั่งคั่งยังสามารถซื้อหาได้ในราคาสูงลิ่ว จากเหล่าพ่อค้าผู้ลักลอบขนของเถื่อน
ฐานะเยี่ยงนางย่อมสามารถรับประทานข้าวเซียงเซียงได้บ่อยครั้ง... แต่ไหนเลยคาดคิดว่าจะได้ทานข้าวเลิศรสในสถานที่แบบนี้...
นางเก็บความประหลาดใจ รับประทานจนอิ่ม ค่อยเอ่ยถามว่า “ท่านมีเสบียงเช่นนี้ติดตัวทุกครั้งที่เดินทางหรือ”
หานอี้ซินรับประทานเสร็จแล้ว บุรุษหนุ่มมิได้ตอบคำถามในทันที ทว่าคล้ายนิ่งอึ้ง ก่อนตอบไปว่า “ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยรสชาติข้าวของชาวใต้…”
นางย่อมจับความผิดปกติบางประการ ในน้ำเสียงและคำตอบได้ ดังนั้นจึงถามต่อ “เฮอะ ท่านที่แท้มีตำแหน่งใดในหน่วยพยัคฆ์คำรณ”
ครั้งนี้หานอี้ซินขมวดคิ้วมุ่น ชี้มือไปยังถ้วยชามว่างเปล่าบนโต๊ะ ย้อนถามว่า “รับประทานอาหารของข้าพเจ้าจนหมดแล้วยังไม่รู้อีกหรือ...ข้าพเจ้าเป็นพ่อครัว...” สิ้นประโยค หานอี้ซินก็หัวร่อกึกก้อง หัวร่อจนงอหาย หัวร่อจนไม่อาจหยุดได้
นางบันดาลโทสะ แทบจะเขวี้ยงถ้วยชามตรงหน้าปาใส่บุรุษร่างใหญ่
นางถามเป็นจริงเป็นจัง หานอี้ซินกลับแกล้งเฉไฉซ้ำนั่งหัวเราะแทบตกเก้าอี้ ราวคำถามของนางช่างขบขันหนักหนา ผู้ใดเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อหน้านางเช่นนี้
แต่...นางก็ทราบ...ต้องข่มใจ หากบันดาลโทสะ หานอี้ซินจะยิ่งหาเรื่องเฉไฉ ไม่ยอมตอบคำถามของนางตรงๆ ที่มาที่ไปของบุรุษผู้นี้มีความสำคัญยิ่ง ยามนี้มีแต่ต้องอดทนซักถามเอาความให้ได้
นางนิ่งสงบสติอารมณ์ชั่วอึดใจ เขม็งจ้องหานอี้ซินแน่วนิ่ง เอ่ยถามช้าๆ “ท่านข้ามลำน้ำมาทำอะไร…”
บุรุษร่างใหญ่มิเพียงยังไม่หยุดหัวร่อ ซ้ำยิ่งหัวร่อดังกว่าเดิม ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านต่างหากมีเจตนาใด ท่านมิได้ไว้ใจข้าพเจ้าแต่แรก จนบัดนี้ก็ไม่ไว้ใจ ขณะอยู่บนเรือคิดอย่างไรจึงบอกกับคนภาคเหนือเช่นข้าพเจ้า ว่าตนเองคือธิดาของท่านแม่ทัพใหญ่ เฮอะ แม้ไม่ส่งท่านให้นักฆ่ากลุ่มนั้น ข้าพเจ้าก็สามารถกุมตัวท่านกลับไปรับรางวัลที่เมืองเป่ยสุ่ย”
นางเผยยิ้มเปี่ยมความเชื่อมั่น ตอบด้วยน้ำเสียงทระนง “ข้าพเจ้าเพียงเดิมพันกับสัญชาตญาณของตนเอง”
หานอี้ซินเลิกคิ้วสงสัย เอ่ยถามด้วยความฉงน “สัญชาตญาณอันใด...”
นางเขม็งจ้องหานอี้ซินแน่วนิ่ง กล่าวเน้นทีละคำ “ขณะอยู่บนเรือ...ข้าพเจ้าไว้ใจท่าน”
หานอี้ซินยังเลิกคิ้วด้วยความฉงนอีกครั้ง “อย่างนั้นเหตุใดเวลานี้ท่านจึงไม่ไว้ใจข้าพเจ้าแล้ว”
“เพราะพลังฝีมือท่านสูงเยี่ยมเกินไป! เพราะหน่วยพยัคฆ์คำรณไม่ควรมีผู้รอดชีวิต!”
หานอี้ซินนิ่งเงียบครู่ใหญ่ แววตาฉายประกายกร้าว รอยแผลเป็นบนใบหน้าคล้ายกระตุกจนน่าสะพรึง บุรุษหนุ่มเอ่ยเน้นทีละคำช้าๆ ชัดเจน
“ท่านรู้จัก ‘เถียนฟู่โหย่ว’ หรือไม่!”
ครานี้เป็นนางที่ต้องนิ่งงงงัน นางมิเพียงรู้จักเถียนฟู่โหย่ว ทั้งเคยพบเห็นคนผู้นี้เมื่อห้าปีก่อน เถียนฟู่โหย่วคือไส้ศึกที่องค์จักรพรรดิว่านอู้ซื้อตัว เพื่อให้วางแผนทำร้ายแม่ทัพใหญ่จูกัดจิ้น!
เถียนฟู่โหย่วเดิมเป็นคหบดีใหญ่แถบลำน้ำจินหลง ประกอบกิจการเดินเรือตลอดสายธารากว้าง มีเรือในสังกัดร่วมร้อยลำ ขณะฝ่ายกบฏบุกเข้าตีเป่ยสุ่ยเมืองยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งอยู่ตอนเหนือของลำน้ำจินหลง เถียนฟู่โหย่วนำเรือในสังกัดเข้าร่วมกองกำลังกบฏ บุกตีกระหนาบจากอีกฝั่งของลำน้ำกระทั่งยึดเป่ยสุ่ยสำเร็จ
หลังเฉินเทียนหรานสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิหลี่เสี่ยง ปูนบำเหน็จแม่ทัพ ขุนพล เหล่าผู้มีความดีความชอบ เถียนฟู่โหย่วได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเรือประจำการ ณ เมืองเป่ยสุ่ย เป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพคนสำคัญของอาณาจักรต้าผิง ทั้งได้รับความไว้วางใจจากเฉินเทียนหรานอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะความไว้วางใจ เถียนฟู่โหย่วจึงปลอมแปลงจดหมายลับหลายฉบับ ในนั้นระบุถึงแผนการชิงบัลลังก์ของจูกัดจิ้น ทั้งสร้างสถานการณ์สอดคล้องต่อเนื่องมากมาย ที่สุดเฉินเทียนหรานเกิดระแวงจึงสั่งจูกัดจิ้นเข้าเมืองหลวง แล้วจับกุมตัวสั่งประหารโดยไม่ไต่สวน
นางตรึงตรองเรื่องราว ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “หลังแม่ทัพจูกัดจิ้นถูกสั่งประหาร เถียนฟู่โหย่วก็ลอบหนีจากเมืองเป่ยสุ่ย ข้ามลำน้ำมุ่งมายังเมืองหนานสุ่ยขอสวามิภักดิ์ต่อองค์จักรพรรดิว่านอู้ ท่าน...ท่านเดินทางมาเพราะเถียนฟู่โหย่วหรือ...”
หานอี้ซินหน้าตาเคร่งเครียด กัดกรามกรอดกราดเกรี้ยว “สามปีก่อนหลังจากแปรพักตร์ ได้ยินว่าจักรพรรดิว่านอู้มอบภารกิจลับให้เถียนฟู่โหย่ว แต่แล้วคนผู้นี้กลับหายสาบสูญไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดพบร่องรอยเถียนฟู่โหย่วอีกเลย หลังจากนั้นเกิดข่าวลือกรณีนี้มากมาย ทั้งบอกว่าคนผู้นี้ถูกทหารของท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นล่าสังหาร แต่บ้างก็ว่าจักรพรรดิว่านอู้สั่งฆ่าคนผู้นี้เพราะไม่ไว้ใจ!”
นางพยักหน้ารับคำอืม หลังแปรพักตร์องค์จักรพรรดิให้ความไว้วางใจเถียนฟู่โหย่วยิ่ง แม้เหล่าเสนาบดี แม่ทัพ ขุนพลต่างระแวงแคลงใจตั้งข้อรังเกียจ เพราะแม้จูกัดจิ้นเป็นเสี้ยนหนามสำคัญ กำจัดคนผู้นี้ได้วิถีของสงครามต้องแปรเปลี่ยนแน่นอน กระนั้นบรรดาแม่ทัพ ขุนพล นายกองต่างรู้สึกว่าจูกัดจิ้นไม่สมควรจบชีวิตเยี่ยงนี้
แม่ทัพผู้เก่งกล้าทุ่มเทสติปัญญาความสามารถ เฉือนแบ่งสองในสามของมหาอาณาจักรให้เจ้าเหนือหัวของตน สุดท้ายความดีความชอบที่ได้รับกลับกลายเป็นคำสั่งประหาร...
อีกทั้งมีข้อกังขาหลายประการในตัวเถียนฟู่โหย่ว... ไฉนคนผู้นี้จึงแปรพักตร์...องค์จักรพรรดิใช้สิ่งใดติดสินบนเถียนฟู่โหย่ว...
หลังแปรพักตร์เถียนฟู่โหย่วได้รับการปูนบำเหน็จเป็นเสนาบดีโยธา แม้หน้าที่ใหญ่โตดูแลการก่อสร้างทั่วอาณาจักรเทียนหมิง สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาโดยง่าย ทั้งหากคิดหาความร่ำรวยก็กระทำได้ง่ายดาย
ทว่าแท้จริงตำแหน่งนี้ไม่มีอำนาจใด การเบิกจ่ายเงินเพื่อใช้ก่อสร้างต้องได้รับอนุมัติจากเสนาบดีคลัง การเกณฑ์แรงงานชาวบ้านต้องกระทำผ่านเสนาบดีปกครอง ซ้ำคฤหาสน์เสนาบดีก็มิได้ปลูกสร้างใหญ่โตกว่าผู้อื่น ทรัพย์สินมีค่าใดเท่าที่ทราบองค์จักรพรรดิก็มิได้ให้เป็นบำเหน็จแก่เถียนฟู่โหย่ว
อย่างนั้นเหตุใดคนผู้นี้จึงต้องแปรพักตร์... ภารกิจลับที่องค์จักรพรรดิมอบหมายให้เถียนฟู่โหย่ว...เรื่องนี้นางย่อมเคยได้ยิน... ไม่มีผู้ใดรวมทั้งนางทราบอย่างแท้จริงว่านั่นเป็นภารกิจใด...
ดังนั้นการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของเถียนฟู่โหย่ว จึงก่อเกิดข่าวลือมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดเช่นกันที่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นตายร้ายดี สูญหายหรือหลบซ่อนอยู่แห่งหนตำบลใด
นางสูดลมหายใจลึกยาว เอ่ยถามว่า “ท่านรู้หรือว่าคนผู้นี้อยู่ที่ไหน”
หานอี้ซินหยุดขบคิดเล็กน้อย เอ่ยแผ่วเบาราวเกรงมีผู้อื่นแอบฟัง “ร่องรอยของเถียนฟู่โหย่วปรากฏขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน...”
นางตกใจสะดุ้งเฮือกจนหลุดอุทานออกมา! สามเดือนก่อน...เวลาตรงกันพอดีนี่ใช่เหตุบังเอิญ หรือเถียนฟู่โหย่วมีส่วนเกี่ยวข้อง!
หานอี้ซินปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก กระซิบแผ่วเบา “ท่านเข้าใจถูกต้อง ภารกิจที่ทำให้ธิดาแม่ทัพเช่นท่าน ต้องเดินทางจากหนานสุ่ยคือ ‘เรื่องนี้’ ใช่หรือไม่!”
นางนิ่งอึ้ง เอ่ยถามด้วยความระมัดระวังยิ่ง “ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับ ‘เรื่องนี้’ บ้าง...”
หานอี้ซินหัวร่อในลำคอ ส่ายหน้าพลางกล่าวตอบ “ท่านไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นจริงๆ ตกลง! เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าพเจ้าจะบอกเรื่องราวที่ทราบให้ท่านรับฟังก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่”
นางพยักหน้า เขม็งจ้องบุรุษร่างใหญ่ ตั้งใจรับฟังและจดจำโดยไม่ยอมให้ถ้อยคำใดตกหล่น
น้ำเสียงทุ้มหนักของบุรุษหนุ่มเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “เมื่อสามเดือนก่อน ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายลอบส่งหน่วยจู่โจมข้ามลำน้ำ หมายทำลายยุ้งฉางเก็บเสบียงกรังสำหรับกองเรือซึ่งตระเตรียมจะบุกลงใต้ ยุ้งฉางนี้เป็นสถานที่ลับอยู่ในหุบเขากำเนิดเซียน มิคาด หน่วยจู่โจมลอบเข้าไปถึงยุ้งฉางกลับพบภายในสุมกองฟางอัดแน่น หน่วยจู่โจมทั้งหมดถูกโอบล้อมตัดทางหนี ทุกผู้ถูกสังหารสิ้นในหุบเขากำเนิดเซียน...”
หานอี้ซินหยุดเล็กน้อย มองหน้านางคล้ายไต่ถามว่าเรื่องราวที่เล่าถูกหรือไม่ จากนั้นกล่าวต่อ “หลังจากนั้นอีกเดือนครึ่ง ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายได้ข่าวอีกครั้งว่า กระสุนดินดำจำนวนมหาศาลจะถูกส่งลำเลียงผ่านแม่น้ำสาขาของลำน้ำจินหลง นั่นเป็นแม่น้ำสายแคบและคดเคี้ยวยิ่ง ตลอดแนวสองฟากเต็มไปด้วยแนวต้นไม้อำพรางตา ไม่สามารถนำเรือขนาดใหญ่เข้าสู่แม่น้ำ ท่านแม่ทัพจึงส่งหน่วยจู่โจมไปกับเรือเร็วสิบลำ...”
บุรุษหนุ่มหยุดทอดถอนใจ น้ำเสียงเจือแววหดหู่ “ทว่า...เมื่อไปถึงกลับพบบนเรือบรรทุกไม้ไผ่ชุบน้ำมันเต็มลำ เกาทัณฑ์เพลิงถูกยิงมาจากอีกฟากของฝั่ง หน่วยจู่โจมบนเรือทั้งสิบลำไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับไปได้...”
หานอี้ซินมองนางอีกครั้งเอ่ยถามว่า “ทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากล่าวมา ถูกต้องหรือไม่...”
นางฝืนพยักหน้า ในเวลาเพียงสามเดือนกลับเสียหน่วยจู่โจมฝีมือดีไปถึงสองหน่วย ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาได้ ดีที่ทั้งสองครั้งเป็นปฏิบัติการลับล่วงรู้เฉพาะแม่ทัพระดับสูง ไม่เช่นนั้นหากข่าวแพร่ออกไปต้องกระทบขวัญกำลังใจของทั้งทหารและประชาชน!
ประการสำคัญคือการพ่ายแพ้ทั้งสองครั้ง ทหารของเฉินเทียนหรานทราบล่วงหน้าแต่แรก ดังนั้นการข่าวจึงมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ข่าวสำคัญเช่นนี้ไม่ควรผิดพลาดซ้ำถึงสองครั้งในเวลาเพียงสามเดือน อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีกรณีที่ข่าวสารผิดพลาดกระทั่งเกิดการสูญเสียเช่นนี้
แม่ทัพระดับสูงครึ่งหนึ่งยังเชื่อว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่แม่ทัพอีกครึ่งรวมทั้งแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายและตัวนางเองกลับเชื่อว่าภายในกองทัพมีไส้ศึก!
แววตานางราวประกายไฟ โทสะพลุ่งพล่านอีกครั้ง ตวาดกราดกรี้ยว “ท่านที่แท้เป็นใคร! เรื่องเหล่านี้รู้เฉพาะแม่ทัพระดับสูงในกองทัพเรา! ท่านได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน!”
หานอี้ซินเผยรอยยิ้มหยัน ราวจะเยาะโทสะของนาง กล่าวตอบอย่างไม่ยี่หระ “ข้อมูลเหล่านี้ย่อมได้จากกองทัพของเฉินเทียนหราน ผู้คนที่ยังเจ็บแค้นแทนท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นมีอยู่มากมาย ข้าพเจ้าย่อมได้ข่าวจากคนเหล่านั้น”
นางพยักหน้า พยายามทำความเข้าใจ ทั้งข่มเพลิงโทสะ “อย่างนั้น...”
หานอี้ซินก็พยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มหนัก กล่าวอย่างจริงจัง “ท่านและท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายเข้าใจถูกต้อง ทั้งสองครั้งเป็นการปล่อยข่าวลวง เพื่อจัดการกับหน่วยจู่โจมที่ดีที่สุดของพวกท่าน!”
นางสูดลมหายใจลึกยาวด้วยความหนาวเหน็บ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแทบไร้สีเลือด แม้ข้อสันนิษฐานของนางมีเหตุเพียงไร จะอย่างไรเป็นเพียงการคาดเดาไม่มีหลักฐานยืนยัน บัดนี้กลับได้รับการยืนยันจากหานอี้ซิน อย่างนั้นนางยิ่งต้องเร่งหาตัวไส้ศึกคนนั้น ไม่เช่นนั้นกองทัพต้องสูญเสียอีกมหาศาล!
นางเขม็งจ้องบุรุษร่างใหญ่ เอ่ยถามน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านทราบหรือไม่ ใครเป็นไส้ศึก ใครเป็นคนดำเนินการติดต่อครั้งนี้”
หานอี้ซินส่ายหน้า กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีข้อมูลเลย หนึ่งเดียวที่ทราบคือเถียนฟู่โหย่วมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่จะอย่างไรและติดต่อกับผู้ใดนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ”
นางเอ่ยถามช้าๆ เน้นทีละคำ “ท่านทราบว่าเถียนฟู่โหย่วอยู่ที่ไหน!”
หานอี้ซินเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย
นางสูดลมหายใจลึกยาว นิ่งครุ่นคิดประมวลเรื่องราว ครู่หนึ่งค่อยถามว่า “หากพบมัน...ท่านจะทำอย่างไร”
กระแสเสียงกร้าวจากบุรุษร่างใหญ่ กล่าวตอบโดยไม่ขบคิด “ข้าพเจ้าจะแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพจูกัดจิ้น!”
คำตอบของบุรุษตรงหน้า ทำให้นางต้องนิ่งครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ ข้อสงสัยหนึ่งพลันแวบเข้าสู่ห้วงความคิด นางกำลังจะหลุดปากเอ่ยออกไป แต่แล้วกลับนิ่งชะงักงัน เพราะคิดได้ว่าหานอี้ซินคงไม่ฟังนาง ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยถามว่า
“เถียนฟู่โหย่วอยู่ละแวกนี้ใช่หรือไม่”
หานอี้ซินพยักหน้ารับอีกครั้ง
นางลอบระบายลมหายใจ น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวจริงจังกล่าวว่า “ท่านช่วยข้าพเจ้าจับกุมคนผู้นี้กลับหนานสุ่ยรับบำเหน็จความดีความชอบ ข้าพเจ้ารับรองคนผู้นี้ต้องไม่ได้ตายดี อย่างนี้ย่อมถือว่าท่านได้แก้แค้นเช่นกัน”
หานอี้ซินนิ่งครุ่นคิด เนิ่นนานใบหน้ากระด้างเย็นชาจึงพยักหน้าน้อยๆ เสียงทุ้มหนักกล่าวว่า “ตกลง วันพรุ่งค่อยออกเดินทาง”
“ไม่ได้! พวกเราไม่มีเวลาแล้ว ต้องเดินทางดี๋ยวนี้” หานอี้ซินขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าไม่ยอมรับความเห็นของนาง
นางนิ่งอึ้งชั่วอึดใจ รู้ดีว่าหากไม่เล่าเรื่องราวทั้งหมด หานอี้ซินต้องไม่รับฟัง ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “สิบวันก่อน หน่วยข่าวลับส่งข่าวมาว่ากองทัพเรือของเฉินเทียนหราน ลอบส่งหน่วยจู่โจมข้ามลำน้ำจินหลง เวลานี้พวกมันหลบซ่อนบนเทือกเขาเทียมเมฆา คล้ายกำลังซ่องสุมตระเตรียมแผนการใด บิดาแคลงใจกับข่าวชิ้นนี้ แต่กลับมีแม่ทัพหลายคนบอกว่าต้องเสี่ยงส่งกำลังเข้าจู่โจม ถ้านี่เป็นกับดักอีกครั้ง เท่ากับพิสูจน์ว่าฝ่ายเรามีไส้ศึกจริง”
หานอี้ซินกัดฟันกรอด น้ำเสียงเจือโทสะ “พวกท่านคิดจะใช้ชีวิตเหล่าทหาร เพียงเพื่อตรวจสอบว่ามีไส้ศึกหรือ!”
นางส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา เอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าพเจ้าและบิดาย่อมไม่คิดเช่นนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าต้องออกมาสืบข่าวภายนอก มิคาดกลับถูกซุ่มโจมตี กำหนดเคลื่อนทัพคือย่ำรุ่งพรุ่งนี้ หากคิดเดินทางไปยั้งทัพเราต้องสืบให้รู้ความจริงในคืนนี้”
หานอี้ซินขบคิดแล้วกล่าวว่า “ตกลง ท่านไปพักผ่อนก่อน พลบค่ำเราจะออกเดินทาง”
นางทำท่าจะแย้งอีก หานอี้ซินโบกมือห้าม กล่าวขึ้นว่า “จากที่นี่เดินทางไปสถานที่หลบซ่อนของเถียนฟู่โหย่วใช้เวลาเพียงสองชั่วยาม หากไม่มีเหตุผิดพลาด พวกเราสามารถใช้เส้นทางผ่านทะเลสาบมังกรสวรรค์ นับเวลาเดินทางแล้วยังสามารถหยุดยั้งทัพได้ทัน แต่ตอนนี้ท่านต้องพักผ่อนเอาแรงก่อน ไม่เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของท่านรังแต่จะเป็นตัวถ่วงข้าพเจ้า”
นางรับฟังจนนิ่งอึ้ง จำต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของบุรุษหนุ่ม ภารกิจครั้งนี้นางล้มเหลวไม่ได้อย่างเด็ดขาด หลังครุ่นคิดค่อยพยักหน้ายอมรับแผนของหานอี้ซิน จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปพักผ่อนภายในห้อง
เพียงล้มตัวลงนอน ไม่ทราบเป็นเพราะความเหนื่อยล้าผสานอาการบาดเจ็บ หรือเพราะข้าวเซียงเซียงนุ่มละมุนหอมอบอวลชามนั้น ทำให้นางผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย...
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
1 พ.ย. 54 08:21:55
|
|
|
|