Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รหัสหัวใจ ยัยเอ๋อที่รัก Stroke 3 : พรหมลิขิตบันดาลชักพา... ติดต่อทีมงาน

 

Warm Up & Stroke 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11262142/W11262142.html

Stroke 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11267221/W11267221.html

 

 

…054 นางสาวมีนา บริรักษ์

อนาวินยืนจ้องรายชื่อนักศึกษาใหม่ของสาขาบัญชีบนบอร์ดหน้าคณะบริหารธุรกิจ เห็นชื่อคนที่มีรหัสสองตัวสุดท้ายเหมือนกับเขาแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างข้องใจ มีนานี่น่ะเหรอชื่อจริงของยัยเอ๋อตังเม อนาวินได้แต่ภาวนาว่าไม่ใช่...ไม่ใช่...มันต้องไม่ใช่ ขอให้ส้มจำผิดทีเถอะ

“พรหมลิขิตบันดาลช้ากกกพา ดลให้มาพบกันทานดายยย~”

เสียงเพลงพรหมลิขิตดังแว่วมาจากข้างหลังอนาวิน แถมดัดเสียงเลียนแบบต้นฉบับสุนทราภรณ์ด้วย เสียแต่คำบางคำออกเสียงยานคางไปหน่อย แต่เพราะเสียงยานๆ แบบนี้นี่แหละที่ทำให้อนาวินรู้ว่าเป็นเสียงใครโดยไม่ต้องหันไปมอง แขนของเขาโดนเกาะหมับเข้าให้ จากนั้นหน้าเอ๋อๆ ล่องลอยๆ ก็ยื่นเข้ามาใกล้ แถมกำมือที่ว่างอีกข้างหนึ่งทำเป็นไมค์เสียด้วย

“ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดล...”

“หนวกหูน่ะ!” อนาวินสะบัดแขนให้หลุดจากมือของตังเม ตังเมเซไปนิดหน่อยเพราะแรงสะบัดของอนาวิน แต่ก็ยังยิ้มแฉ่งร่าเริงได้ เธอชี้หน้าอนาวินและหลิ่วตามองอย่างจับผิด

“แนะๆๆๆ แน๊ เขินอะดิ เขินใช่ไหมล่ะ ดีใจล่ะสิที่ได้เป็นปู่รหัสเค้าอะ เนี่ยๆๆๆ พรหมลิขิตชัดๆ เลย ก็บอกแล้วว่าเราน่ะคู่กัน นางสาวมีนาน่ะเค้าเอง” ตังเมเลื่อนนิ้วจากที่ชี้หน้าอนาวินอยู่ไปชี้ที่ชื่อตัวเองบนกระดาษ แถมยังเชิดหน้ายักคิ้วอย่างภาคภูมิใจ รหัสนี้ได้มาอย่างโปร่งใสไม่ได้มีใต้โต๊ะอะไรเลยนะเนี่ย อนาวินรู้สึกเหมือนนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมากำลังมองเขากันเป็นตาเดียวเพราะเสียงดังๆ ของยัยคนนี้

“แล้วไง?” อนาวินถามกลับเสียงห้วนอย่างไม่อยากจะยอมรับ แต่ตังเมกลับคิดว่าอนาวินไม่เชื่อ เลยงัดบัตรประชาชนขึ้นมาชูให้ดู

“นี่ไง เค้าชื่อนางสาวมีนา บริรักษ์ ตรงกับนี่เลย” ตังเมเอาบัตรไปเทียบกับกระดาษบนบอร์ด อนาวินมองตามไปแบบเบื่อๆ แต่ก็ทันเห็นว่าหน้าของตังเมตอนถ่ายรูปติดบัตรประชาชนเอ๋อซะไม่มีล่ะ ก็เหมาะแล้วที่พลอยชมพูจะเรียกว่ายัยเอ๋อ

“แต่นามสกุลบริรักษ์เค้าจะใช้อีกไม่นานแล้วล่ะ เพราะถ้าแต่งงานกันเค้าจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของตัวเองแน่นอน ตัวเองไม่ต้องห่วงนะ”


อนาวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำพูดที่ทึกทักไปเองของตังเม อยู่คุยด้วยนานๆ พาลจะปวดไมเกรน จะเพราะพรหมลิขิต ความบังเอิญ หรืออะไรก็ช่างหัวมันเถอะ เขาไม่สนใจแล้ว เรื่องที่เขาต้องเป็นปู่รหัสของยัยนี่เขาก็ไม่สนใจด้วย รีบหันหลังกลับเดินลงจากอาคารคณะบริหารธุรกิจทันที แต่เสียงเดินก็ตามมาติดๆ เช่นกัน

“อนาวิน...อนาวิน”

ไม่คิดจะเรียกว่าพี่จริงๆ สินะเนี่ย แถมเรียกชื่อจริงอีก เสียงยัยนี่ก็ไม่ใช่เบาเลย คนมองกันหมดแล้ว

“อนาวิน”

“อะไร!” อนาวินหันมาเอ็ดเสียงต่ำอย่างรำคาญเต็มที และก็เป็นเช่นเคยคือไม่มีจ๋อย ยังยิ้มรื่นหน้าบานขนาดที่ทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีทั้งทุ่งยังบานสู้ไม่ได้ ตังเมปราดเข้าไปชิดแล้วถามเสียงอ้อนๆ

“เค้ามีเรื่องจะขอร้องอ่า”

พูดเสียงเล็กเสียงน้อย แถมทำตาอ้อนวอนแบบนี้ แล้วยังยิ้มแบบนี้ ใครเห็นก็จะมีแต่ใจอ่อนทั้งนั้น จะมีก็แต่อนาวินนี่แหละที่เห็นแล้วรำคาญ ไม่ใช่รำคาญธรรมดาๆ เป็นความรำคาญระดับสูงสุดเลยด้วย


“ว่ามา ให้เวลาหนึ่งนาที” อนาวินกอดอกทำเสียงดุข่ม ตังเมได้ยินว่าเธอมีเวลาแค่เข็มยาวหมุนรอบเดียวก็ร้องลั่น

“อารายอ่า น้อยจัง”


“เหลือห้าสิบวินาที”

“อะๆๆๆ ก็ได้ๆๆๆ พี่ปีสองกับปีสามที่รหัสเดียวกับเค้าไม่มีอะ คือเค้าไปถามมาแล้ว เขาบอกว่าพี่เขา...”


“ฉันรู้แล้ว” อนาวินตัดบทตรงนี้เลย เพราะเขารู้แล้วว่าน้องรหัสกับหลานรหัสของเขาน่ะไม่ได้อยู่คณะนี้แล้ว คนแรกลาออกไปตั้งแต่ยังไม่ขึ้นปีสอง ส่วนคนที่สองย้ายคณะไปแล้ว ตังเมได้ยินว่าอนาวินรู้แล้วก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างดีใจที่อนาวินรู้เรื่องนี้ แสดงว่าเขาต้องเข้าใจสิ่งที่เธอจะขอแน่ๆ

“งั้นตัวเองก็เป็นปู่ ลุง แล้วก็พี่รหัสให้เค้าเลยนะ แต่เรียกตัวเองว่าปู่ก็คงฟังไม่ดีเนอะ ตัวเองเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเค้า จะมาเป็นปู่เค้าก็ยังไงอยู่ งั้นถือซะว่าตัวเองเป็นพี่รหัสเค้าละกัน ต้องดูแลเค้าให้ดีเป็นสามเท่าเลยนะ”

สิ่งที่ตังเมพูดออกมา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอนาวินไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ ทั้งสิ้น หันหลังเดินหนีทันที ตังเมก็รีบวิ่งตาม

“เดี๋ยวซี่ ไม่เห็นตอบเค้าเลย”

“จะปู่จะลุงหรือพี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ จะมาพูดให้มันมากเรื่องทำไม” อนาวินก้าวขายาวๆ เดินหนีอย่างรวดเร็ว แต่ปากก็โต้ตอบไปด้วย ตังเมก็รีบตอบโต้กลับ

“เค้าอุตส่าห์ให้ความสำคัญกับตัวเองนะ”

“ไม่เห็นจะจำเป็นเลย ฉันเรียนที่นี่ไม่เคยมีแม้แต่ปู่รหัสเสียด้วยซ้ำ พี่ก็ไม่มี ลุงป้าก็ไม่มี ลาออก ย้ายคณะ โดนรีไทร์ไปหมด ฉันก็ยังอยู่ของฉันมาได้”


“นั่นไง!” ตังเมร้องลั่นแล้วฉุดแขนอนาวินให้หยุดเดิน “พรหมลิขิตชัดๆ เลย พอตัวเองปุ๊บก็ข้ามมาที่เค้าเลย ไม่มีใครมาเป็นกว้างขวางคอระหว่างเรา”

อนาวินอยากจะหัวเราะใส่หน้ายัยเอ๋อนี่นัก คิดอะไรเป็นตุเป็นตะเข้าข้างตัวเองตลอด จนบัดนี้ก็ยังยึดมั่นถือมั่นเรื่องเขาเป็นคู่ของเธออยู่ ท่าจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว คงต้องตอกกลับให้หน้าหงายซะบ้างแล้วล่ะ

“นี่!” อนาวินหันกลับมาจ้องหน้าตังเม “ถ้าเธอให้ความสำคัญกับการมีพี่รหัสมากนักล่ะก็ ทำไมวันรับน้องถึงไม่มา วันนั้นฉันไปดูก็ไม่เห็นเจอใครรหัสเดียวกับฉัน ทำไมถึงเพิ่งมาตามหารุ่นพี่ป่านนี้”

แล้วอนาวินก็ทำให้ตังเมหุบยิ้มบานๆ เหมือนดอกทานตะวันนั่นลงได้เสียที เธอทำท่าอึกอักๆ ก่อนจะยิ้มแหยๆ ออกมาอีกครั้ง

“ก็ช่วงนั้นเค้าไม่สบายนิดหน่อยอ่า ก็เลยเพิ่งมาเรียน อ๊ะ! พูดอย่างนี้แสดงว่างอนล่ะซี่ที่ไม่มีใครเป็นหลานรหัสอ่า เค้าขอโทษน้า ตัวเองคงเหงาใช่ไหมล่ะ” ตังเมก้าวเข้าไปประชิด ยกมือลูบแขนลูบไหล่ปลอบใจ อนาวินเกาหัวตัวเองยิก กลั้นลมหายใจระงับความโกรธอย่างเต็มกำลัง

เอาสิ เอาเลย เอาเข้าไป! ให้มันได้อย่างนี้สิ ยัยนี่วกกลับมาคิดเข้าข้างตัวเองอีกจนได้

“ฉันพูดหรือไงว่าเหงาน่ะ!” อนาวินเอ็ดและเบี่ยงตัวหลบมือของตังเมที่ลามปามลูบมาถึงหน้าแล้ว โดนหลบอย่างนั้นตังเมก็ทำเสียงจุ๊จิ๊ๆ ออกมา

“ทำเป็นหลบเค้า ทีเมื่อก่อนบอกให้เค้าจูงมือทุกวัน”

อนาวินล่ะเบื่อหน่ายจริงๆ ที่จะฟังสิ่งที่เขาไม่ได้พูด เขานี่เหรอเคยเจอยัยนี่มาก่อน เรื่องบ้าบอทั้งนั้น ถ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำอย่างนี้มีหวังโดนตามไปตลอดแน่ เขาตั้งใจจะไปทำรายงานที่ห้องสมุด ขืนตอแยเขาไปถึงที่นั่นคงได้โดนบรรณารักษ์ไล่ออกมาทั้งคู่ ถ้าไม่อยากมีปัญหา ยอมรับคำขอไปซะดีกว่า

“เอาล่ะ ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นหลานของฉัน เป็นน้องด้วย มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกแล้วกัน พอใจหรือยัง?”

“ยอดเยี่ยม อนาวินน่ารักที่ซู๊ดดด” ตังเมยิ้มร่า ปรบมือดีใจใหญ่ อนาวินจับไหล่ให้ตังเมหันหลังกลับ

“ได้เวลาเข้าเรียนตั้งนานแล้ว รีบกลับไปเรียนได้แล้วไป เพิ่งอยู่ปีหนึ่งอย่าคิดโดดเรียน” อนาวินดันหลังตังเมให้เดินไปข้างหน้า ดูเผินๆ เหมือนเป็นห่วงให้รีบกลับไปเรียน ที่จริงน่ะจะผลักไสให้ไปไกลๆ ต่างหาก แต่ตังเมไม่เข้าใจความคิดจริงๆ ของอนาวินหรอก เธอเข้าใจตามความคิดของเธอ (ซึ่งเข้าข้างตัวเอง)

“ขอบคุณที่เป็นห่วงเค้านะ เค้าจะตั้งใจเรียน เค้าจะ...”

“ไปได้แล้ว” อนาวินตัดบทแถมตวัดมือไล่อีก

“แหมๆๆๆ ไม่ต้องมาไล่เค้าหรอก ตอนเค้าห้าขวบเค้าต่างหากที่เป็นคนไล่ให้ตัวเองไปโรงเรียน”

“ไปเหอะ” อนาวินตวัดมือไล่อีกครั้ง ขืนไม่ไล่ก็คงจะพูดอยู่นั่นแหละ พูดมาได้ไงก็ไม่รู้ว่าตอนห้าขวบเป็นฝ่ายไล่เขาไปโรงเรียน ความจำดีเว่อร์เกินไปแล้ว ตัวเขาเองยังจำเรื่องตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้เลย เขาย้อนความทรงจำในวัยเด็กได้ไกลที่สุดคือตอนแปดขวบ นั่นคือตอนที่เขาเริ่มฝึกเล่นเทนนิส แต่ถึงจะจำไม่ได้ เขาก็มั่นใจว่าตอนเจ็ดขวบไม่เคยเจอกับยัยคนนี้

ตังเมโบกมือบ๊ายบายหันหลังให้อนาวินเพื่อกลับไปเรียน อนาวินโล่งใจที่ยัยเอ๋อไปไกลๆ ซะได้ เขายืนมองด้านหลังของตังเมที่อยู่ในชุดนักศึกษาปีหนึ่ง แล้วเขาก็นึกเอะใจขึ้นมา เออ...ทำไมยัยเอ๋อถึงยังอยู่แค่ปีหนึ่ง ถ้าเธอบอกว่าเธอห้าขวบ เขาเจ็ดขวบ ตอนนี้เธอควรอยู่ปีสองแล้วสิ

“ตังเม!”

“จ๋า” ตังเมได้ยินเสียงอนาวินเรียกก็รีบหันกลับมาอย่างดีใจ หน้าบานแฉ่งเป็นดอกทานตะวันยามรับแสงอาทิตย์อีกครั้ง แถมยังวิ่งถลาเข้ามาหาจนอนาวินต้องยกมือขวางให้หยุดอยู่ตรงนั้น ระยะห่างสองเมตรนั่นแหละกำลังดี

“ถ้าเธอบอกว่าเธอห้าขวบแล้วฉันเจ็ดขวบ ทำไมเธอเพิ่งมาเรียนปีหนึ่ง เข้าเรียนช้าหรือไง หรือว่าสอบตก เรียนซ้ำชั้น...”

“เค้าเปล่านะ เค้าหัวดี เรียนเก่ง ฉลาดด้วย”

“แล้วทำไมเข้าเรียนช้า ซ้ำชั้นก็บอกมาเถอะ ฉันรู้แล้ว ฉันว่าเธอต้องแต่งเรื่องที่เคยเจอกับฉันตอนเด็กๆ ขึ้นมาเองแน่เลย” อนาวินพยายามจับผิดปัดเรื่องในอดีตที่เขาจำไม่ได้และแน่ใจว่าไม่เคยทำให้พ้นตัวไปเสีย นับจากนี้ไปยัยคนนี้จะได้ไม่มาตอแยอีก ตังเมก้มหน้าก้มตาทำปากมู่ทู่เอานิ้วชี้ทั้งสองข้างมาจิ้มๆ กัน

“เค้าไม่ได้แต่งเรื่องซะหน่อย แต่ที่เค้าเรียนช้าก็เพราะเค้ามีความจำเป็นนิดโหน่ย...” ตังเมพูดแค่นั้นแถมยังหลบตาอนาวินเหมือนพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง อนาวินหลิ่วตามองอย่างจับผิด เขาว่าเขามีหวังจะสลัดยัยนี่พ้นแล้วล่ะ

แต่แล้วอนาวินกลับต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเธอแผดเสียงดังลั่น

“อ๊อออออ! ที่ตัวเองมาถามเค้าอย่างนี้ เพราะสนใจเค้ามากขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ? ใช่ไหมล่ะ? ใช่ไหมล่า? เริ่มรู้สึกตัวแล้วใช่ปะว่ารักเค้า”

เอาอีกแล้วไงล่ะ เผลอไม่ได้ คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว จากที่อนาวินเป็นฝ่ายไล่กำลังจนมุม ตังเมก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายไล่เขาจนได้สิน่า เห็นตังเมทำท่าจะปราดเข้ามาใกล้ๆ เขาอีก เขาก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า

“ไปเลย กลับไปเรียนไป”

ตังเมจะไปหรือไม่ไปอนาวินไม่รู้แล้วล่ะ แต่เขาน่ะหันหลังเดินเร็วๆ หนีก่อนแล้ว ไม่มีเสียงฝีเท้าตามมา ไม่มีเสียงเรียกด้วย

อนาวินหยุดเดินแล้วแอบหันไปมองว่ายัยเอ๋อตามมาหรือไม่ ปรากฏว่าตังเมเดินหายกลับเข้าไปในตึกของคณะบริหารธุรกิจแล้ว อนาวินค่อยโล่งใจได้หน่อย ถึงยัยนั่นจะน่ารำคาญ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องออกคำสั่งหลายครั้งกว่าจะยอมทำตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ฟังอะไรเลยก็แล้ว

 

 

 

“วิลลี่กลับมาจากอังกฤษแล้วนะ รู้เปล่า”

เผือกตะโกนบอกข่าวใหม่ล่าสุดของเจ้าชายแห่งชมรมเทนนิส เพราะขี่มอเตอร์ไซต์อยู่เลยต้องตะโกนเสียงดัง อนาวินที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังได้ยินแล้วแต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ทำเสียง อื้ม ในลำคอเป็นการรับรู้เท่านั้น

“สาวๆ ชมรมเราคงได้กรี๊ดกันคอแตก โดยเฉพาะยัยแฝดสยองนั่น” เผือกพูดพาดพิงไปถึงฝาแฝดเอเอบีบี สองคนนั้นเป็นแฟนคลับตัวยงของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งชมรมเทนนิส แต่ไม่ใช่แค่เอเอและบีบีหรอกที่ชอบ ผู้หญิงทั้งมหาวิทยาลัยต่างก็ปลื้มวิลลี่กันทั้งนั้น เพราะวิลลี่ทั้งหล่อ เท่ เก่ง สมบูรณ์แบบสุดๆ

ที่ผ่านมาวิลลี่ไม่ค่อยได้มาเรียนหนังสือสักเท่าไหร่ เพราะต้องตระเวนแข่งเทนนิสในต่างประเทศเพื่อเก็บคะแนนสะสม อันดับโลกในตอนนี้ของวิลลี่อยู่ในลำดับที่สามร้อยกว่าๆ แต่มีแววว่าจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้ ความหวังติดหนึ่งในสิบของโลกคงไม่ไกลเกินเอื้อม

“แล้วมันไม่แข่งเก็บคะแนนสะสมแล้วเหรอ”

คำถามแรกเกี่ยวกับวิลลี่ดังออกมาจากปากอนาวิน คนขี่มอเตอร์ไซต์ส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะตอบ

“มันบอกว่ามันคงแข่งน้อยลง เพราะปีนี้ปีสี่แล้ว ขอตั้งใจเรียนให้จบก่อนค่อยลงแข่งรายการสำคัญๆ ถึงจะได้แต้มน้อยก็ไม่เป็นไร ต้องเรียนจบก่อนเพราะแม่ขอไว้ มันก็เข้าใจพูดเท่ๆ ให้ตัวเองดูดี”

 เผือกทั้งตอบคำถามทั้งแขวะไปในทีเดียว เขาไม่ได้เกลียด ไม่ได้โกรธ ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับวิลลี่หรอกนะ แต่บางเวลาก็รู้สึกหมั่นไส้ในความสมบูรณ์แบบที่เกินหน้าเกินตาของวิลลี่จนต้องขอแขวะบ้างให้หายคันปาก อนาวินก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะไม่เห็นโต้แย้งอะไร

แต่อาจจะรู้สึกอะไรมากกว่านิดหน่อยล่ะมั้ง ก็เคยเป็นคู่แข่งกันมานี่

เผือกเลี้ยวรถไปอีกทางเพื่อจะตรงไปที่หน้ามหาวิทยาลัย ทางนั้นต้องผ่านด้านข้างของสนามเทนนิสด้วย เผือกเห็นใครบางคนอยู่ในคอร์ทก็ย่นคิ้วอย่างแปลกใจ

“เฮ้ย! นั่นใครวะ”

อนาวินมองตามที่เผือกหันมอง แล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อและกระโปรงสั้นสีเหลืองทั้งชุดกำลังควงไม้เทนนิสกรอบสีเหลืองอยู่ตรงท้ายคอร์ทหนึ่ง ทั้งสีชุดที่สะดุดตา แถมเธอยืนอยู่คนเดียวในสนามเทนนิส เธอจึงดูโดดเด่นไม่ว่าใครที่เดินหรือขับรถผ่านก็ต้องหันมอง เห็นแค่หลังอนาวินก็คิดว่าพอจะรู้แล้วว่าเป็นใคร ตัวผอมๆ ผมยาวมัดสองจุก...

“ยัยเอ๋อ”

“หือ?” เผือกชะงักกับชื่อที่อนาวินเรียก แต่แล้วก็ร้องลั่น “อ๋อ ตังเมหลานนายน่ะเหรอ”

อนาวินพ่นลมหายใจออกอย่างเบื่อๆ เรื่องที่ตังเมเป็นหลานรหัสของเขารู้ไปถึงเจ้าเผือกที่อยู่คณะนิติศาสตร์อย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ได้บอก ความลับไม่มีในโลกฉันใด ในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีความลับฉันนั้นแล

“ใส่สีเหลืองเรืองรองงามผ่องทั่วโลกาเลยเชียว หลานนายนี่ท่าทางจะอยู่ฝ่ายพันธมิตร”

“จอด!”

อนาวินสั่งเผือกเสียงเข้ม เผือกก็ขี่รถเลียบไปข้างๆ รั้วสนามเทนนิสตามคำสั่งทันที

“จะไปไหนวะ?”

อนาวินไม่ตอบ ลงจากรถเดินดุ่มๆ เปิดประตูรั้วเข้าไปในสนาม เป้าหมายของเขาอยู่ที่พันธมิตร เอ้ย...ผู้หญิงเสื้อเหลืองที่ยืนแกว่งไม้อยู่ เผือกไม่รอช้ารีบเหยียบขาตั้งมอเตอร์ไซต์ลงแล้ววิ่งตามอนาวินไปทันที เห็นท่าเดินแบบนั้นสงสัยเจ้าโอ๋จะอารมณ์บูดซะแล้ว เอาละเว้ย ว่าที่สามีภรรยาคงได้ทะเลาะตบตีกันก่อนแต่งแหง ต้องตามไปดู เรื่องของชาวบ้านคืองานของเผือกอยู่แล้ว

“ตังเม!”

“จ๋า” ตังเมขานรับอย่างร่าเริง หันมาเห็นเป็นอนาวินก็ยิ่งร่าเริงกว่าเก่า แผดเสียงใสๆ ดังลั่น “ว้าว! อนาวิน ตัวเองมาหาเค้าเหรอ คิดถึงจังเล้ยยย”

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” อนาวินชี้ลงที่เท้าของตังเมพร้อมออกคำสั่งสกัดไม่ให้เธอวิ่งเข้ามาใกล้กว่านี้ ตังเมใส่ดิสเบรกที่เท้าแทบไม่ทันเลยถลำไปข้างหน้าจากจุดที่โดนสั่งไปสองก้าว เธอเงยหน้าขึ้นมาทำปากยื่นแบบน้อยใจ

“แหม เค้าก็อยากกอดให้หายคิดถึงมั่งจิ”

อนาวินเบื่อจะพูดเต็มที ยัยเอ๋อนี่หาโอกาสแทะโลมเขาตลอด ทั้งกอด ทั้งควงแขน จับมือ ลูบไหล่ แต่เขาจะไม่ต่อว่าอะไรทั้งนั้น เพราะว่าไปก็เปล่าประโยชน์ ยัยนี่น่ะได้ยินแต่ไม่ฟัง ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

รักษาการโค้ชเบนสายตามาก้มมองชุดที่ตังเมใส่ เสื้อยืดแขนกระดิ่งคอวีกับกระโปรงสั้นเหนือเข่า ผ้ารัดข้อมือ รองเท้าผ้าใบ โอเค.ชุดถูกต้อง นี่ชุดสำหรับเล่นเทนนิส แต่สิ่งที่น่ากังวลคือเรื่องสีนี่แหละเพราะรู้สึกว่ามันจะเหลืองมากจนน่ากลัว แถมเหลืองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วย โบว์ผูกผมก็ยังเป็นสีเหลือง รองเท้าถึงแม้จะเป็นสีขาวแต่ก็มีแถบสีเหลือง ถุงเท้าก็สีเหลือง สงสัยสีนี้จะเป็นสีโปรด เอาล่ะ อนาวินไม่ว่า จะชุดสีอะไรก็ได้ ขอให้เหมาะกับการลงสนามแล้วกัน แต่ที่ทำให้เขาต้องลงมาหาก็เพราะเธอมายืนอยู่บนคอร์ทเทนนิสในวันนี้ต่างหาก

“มายืนอยู่ที่นี่ทำไม”

“อ๊าว!” ตังเมทำเสียงสูงใส่ หันมองไปรอบๆ “เค้าก็มาไม่ผิดที่นี่ ก็นี่เป็นสนามเทนนิส เค้าก็มารอเข้าชมรมน่ะสิ”

“โธ่เอ๊ย ยัยโก๊ะ!” อนาวินกระแทกเสียงต่อว่าใส่เต็มๆ สาวเอ๋อโดนเรียกชื่ออื่นที่ไม่ใช่ตังเมก็ถึงกับทนไม่ได้เหมือนกัน

“เค้าไม่ได้ชื่อโก๊ะนะ”

“ฉันหมายถึง...”

“ตังเม! ตังเม!”

เสียงเรียกดังโหวกเหวกมาจากทางห้องชมรม เมื่อทั้งสามคนหันไปมองก็เห็นส้มวิ่งจนผมหยิกของเธอปลิวไปตามลม เมื่อเข้ามาถึงสนามเทนนิสส้มก็เกาะแขนตังเมเหมือนจะจับไม่ให้ไปไหน

“กะแล้วว่าต้องมาที่นี่” ส้มพูดปนหอบ ตังเมยิ้มแฉ่งกลับไปให้

“เลิกเรียนแล้วก็ต้องมาชมรมไม่ใช่เหรอ”

“ใช่น่ะใช่ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้เป็นวันหยุดของชมรม ไม่มีซ้อม”

“เอ๋” ตังเมร้องออกมาแบบงงๆ หันมองไปรอบๆ อีกที ไม่เห็นมีใครมาจริงๆ ด้วย ตังเมค่อยๆ หันกลับมาหาเผือกกับอนาวิน ส่งสายตาเหมือนจะถามว่าที่ส้มพูดน่ะ เรื่องจริงเหยอ?

“นั่นแหละที่ฉันจะบอกล่ะ ยัยโก๊ะ!” อนาวินว่าปิดท้าย ใส่ชุดมาซะเต็มยศในวันที่ไม่มีซ้อม นอกจากจะเอ๋อแล้วยังโก๊ะได้โล่อีกต่างหาก เผือกหัวเราะคิกๆ ในความโก๊ะของตังเม แต่เมื่อโดนสายตาของน้องส้มผู้น่ารักมองมาแบบไม่พอใจที่มาหัวเราะเพื่อนเธอ ก็เหมือนมีอะไรติดคอจนทำให้หยุดหัวเราะได้ทันที เผือกทำเป็นกอดอกและเก๊กหน้าเคร่งขรึม

“เอ่อ นี่เธอไม่รู้เหรอว่าชมรมเราน่ะมีซ้อมกันแค่สามวัน คือวันอังคาร พุธ ศุกร์ ส่วนวันอื่นๆ น่ะเว้นไว้ให้อาจารย์กับสมาชิกสนามใช้”

“อะไรติดคอ” อนาวินพูดดักคอที่เจ้าเผือกทำเสียงหล่อไม่เข้ากับหน้าตา ถึงคราวที่ส้มจะได้หัวเราะคิกๆ บ้างล่ะ เผือกมองค้อนอนาวินจนลูกตาแทบหลุดที่ไม่สนับสนุนส่งเสริมเพื่อนฝูงกันบ้างเลย ตังเมทำตาปริบๆ ฟังคำพูดของประธานชมรมแบบไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนว่าชมรมเปิดให้ซ้อมแค่สามวัน

“รู้จักเข้าไปอ่านระเบียบของชมรมในห้องชมรมซะบ้าง ฉันไปล่ะ” อนาวินพูดจบก็หันหลังจะออกจากสนาม แต่แล้วก็เจอเข้ากับใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเสียก่อน อนาวินตีหน้าเฉยใส่ผู้ที่เข้ามาใหม่ ขณะที่ร่างสูงใหญ่ในชุดกีฬา สะพายกระเป๋าใส่ไม้เทนนิสใบใหญ่ไว้บนบ่าเดินส่งยิ้มมาให้แต่ไกล

“หวัดดีโอ๋ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“หวัดดี วิลลี่” อนาวินทักทายกลับไปตามมารยาท โดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ วิลลี่หันไปมองเผือก เผือกก็ยกมือทักทายวิลลี่แบบง่ายๆ หนุ่มร่างสูงคนนี้นี่แหละคือวิลลี่ ความหวังของวงการเทนนิสไทยคนล่าสุด ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างกับดารา จมูกโด่งเป็นสัน เพราะเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ทำให้เขาได้รับฉายาเจ้าชายแห่งชมรมเทนนิสไปโดยไม่มีใครกล้าโต้แย้งหรือตั้งตัวขึ้นมาทาบรัศมี

วิลลี่เห็นว่ายังมีอีกสองคนที่ยืนอยู่ เขาก็เอี้ยวตัวไปโบกมือทักทาย

“หวัดดีครับน้องๆ”

“สวัสดีค่ะพี่วิลลี่” ส้มรีบทักทายกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แถมยังสะกิดให้ตังเมทักทายรุ่นพี่สุดหล่อด้วย ตังเมได้แต่ทำหน้าเอ๋อแบบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักว่าผู้ชายตัวโต ผมสั้นๆ ชี้ๆ คนนี้เป็นใคร เธอไม่ค่อยได้ดูกีฬาเทนนิสสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นก็คงจะคุ้นๆ หน้าวิลลี่ในการแข่งขันเทนนิสบ้างแล้ว ปฏิกิริยาเอ๋อๆ ของตังเมทำให้ทุกคนพาลเงียบกันไปหมด ตังเมก็ยังยืนเฉยไม่ทักทายเจ้าชายแห่งชมรมเทนนิสสักที จนส้มต้องแก้ไขสถานการณ์ความเงียบนี้

“หนูชื่อส้มค่ะ ส่วนคนนี้ชื่อตังเม เราเป็นสมาชิกใหม่ของชมรมเทนนิสค่ะ”

“เหรอครับ ยินดีต้อนรับนะ” วิลลี่ตอบด้วยรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่พราวเสน่ห์และเย้ายวนใจมากเสียจนส้มแอบเคลิ้ม ที่อนาวินไม่ได้โด่งดังป็อปปูล่าเป็นขวัญใจของสาวๆ มากสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่หน้าตาก็ดี คงเพราะมีคนดูดีมากกว่าอย่างวิลลี่นั่นเอง อย่างอนาวินก็ถือว่าตัวสูงแล้ว แต่วิลลี่ตัวสูงกว่าหลายเซนติเมตร รูปร่างบึกบึนกว่า หล่อแบบลูกครึ่ง แถมเก่งกว่ามากด้วย ส้มได้ยินชื่อเสียงของวิลลี่ตั้งแต่ยังไม่เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ

“นี่จะมาเล่นเทนนิสกันเหรอ ดีเลย วันนี้โค้ชกับคู่ซ้อมของพี่ไม่มา มาซ้อมกับพี่ไหมล่ะ” วิลลี่มองตังเมที่ใส่ชุดมาแบบเตรียมพร้อมเต็มที่ เขาเป็นสมาชิกสนาม สามารถชวนคนที่ไม่ใช่สมาชิกมาเล่นได้ ตังเมได้ยินว่ามีคนชวนเล่นโดยที่เธอไม่ต้องแต่งตัวมาเก้อก็ยิ้มร่าอย่างดีใจ

“เอาๆๆ เค้าจะเล่น”

“เล่นเป็นเรอะ” อนาวินดักคอ ตังเมหันมาทำปากมู่ทู่ใส่ทันที

“ดูถูกอะ”

“ใช่ ฉันดูถูก ดูถูกต้องเลยด้วยว่าเธอเล่นไม่เป็น จะไปตีแข่งกับนักเทนนิสระดับโลกน่ะ คิดดีแล้วเหรอ” อนาวินถามเผื่อว่าตังเมจะคิดดูใหม่ อย่างตังเมแค่ดูวิธีจับไม้ก็รู้แล้วว่าเล่นไม่เป็น เขาพูดตามความจริงไม่ได้ดูถูก

“พูดเกินไปแล้วน่าโอ๋ ฉันไม่ได้เก่งระดับโลกสักหน่อย มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง” วิลลี่แย้ง ซึ่งเป็นคำโต้แย้งแบบเท่ๆ ให้ตัวเองดูดีอีกเช่นเคยในความรู้สึกของอนาวินและเผือก วิลลี่กระชับกระเป๋าใส่ไม้เทนนิสใบใหญ่บนไหล่ไว้มั่นและขยับไปหาสาวใส่ชุดเหลือง “ไปกันเถอะตังเม ไปเล่นเทนนิสกันดีกว่า”

“โอเช.!” ตังเมตอบรับเสียงดังลั่น แต่แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้รีบหันกลับไปหาอนาวิน “เค้าขออนุญาตนะอนาวิน ตัวเองอย่างอนนะที่เค้าไปกับผู้ชายคนอื่นอ่า” ตังเมยิ้มแบบอ้อนๆ ให้อนาวิน แต่ผลที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะเฮอะๆ แบบแค่นหัวเราะและการกระแทกเสียงใส่

“จะไปไหนก็ไปให้พ้นๆ เลย”

“แหมๆๆๆๆ ไม่เห็นต้องทำเสียงดังใส่เค้าเลยนี่นา” ตังเมยืนดิ้นๆ อยู่กับที่ อนาวินเบี่ยงตัวหลบแขนของตังเมที่โผเข้ามาจะกอดเขา แล้วหันไปดึงแขนท่านประธานแทน

”ไปเหอะเผือก กลับ!”

“เออๆ กลับก็กลับ” เผือกเดินตามอนาวินกลับไปที่ประตูรั้ว ตอนที่เดินออกมายังได้ยินตังเมส่งเสียงบ๊ายบายตามหลังมาดังลั่น แต่ไม่มีใครสนใจจะบ๊ายบายกลับ

ระหว่างที่รอให้เผือกหากุญแจรถอยู่ อนาวินก็อดไม่ได้ที่จะต้องหันกลับไปมองภายในสนาม ที่ๆ มีเจ้าชายของชมรมยืนอยู่กับหลานรหัสของเขา อนาวินเห็นวิลลี่หยิบไม้เทนนิสออกมาจากกระเป๋า ไม้เทนนิสยี่ห้อดังจากประเทศญี่ปุ่นเป็นสปอนเซอร์ให้กับวิลลี่ รวมถึงเสื้อผ้ากับรองเท้าที่วิลลี่สวมใส่ก็ได้มาจากสปอนเซอร์เช่นกัน

อนาวินรู้สึกเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่วิลลี่ได้รับในวันนี้ มันควรเป็นของเขาไม่ใช่เหรอ เขาก็ควรได้รับมันเช่นกัน เขาอาจจะไปได้ไกลกว่าวิลลี่ อาจจะติดอันดับหนึ่งในหนึ่งร้อย หรือหนึ่งในห้าสิบ หรือหนึ่งในสิบของโลก ถ้าหากไม่เกิดเรื่องนั้น...

เสียงเครื่องยนต์จากรถมอเตอร์ไซต์ของเผือกทำให้อนาวินหยุดคิดได้ เขาขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายและมองไปที่สนามจนลับสายตา ผู้ชายตัวสูงในชุดเทนนิสสีขาวที่ยืนอยู่ในนั้นกำลังแกว่งไม้เทนนิสอย่างทะมัดทะแมง ชุดเทนนิสแบรนด์ดังชุดนั้นเหมาะกับคนใส่สุดๆ อนาวินก้มมองตัวเองแล้วเปรียบเทียบกับผู้ชายคนนั้น

ตอนนี้เขาก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นใต้รองเท้าของเจ้าชายเท่านั้นเอง...

 

 

 

เมื่ออนาวินกลับมาถึงที่หอพักก็รีบขึ้นห้องทันที หลังจากปิดประตูห้อง วางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะแล้วก็นอนแผ่หลาบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน

ที่จริงอนาวินควรจะถึงห้องตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แต่เพราะไอ้เจ้าเผือกชวนเขาตระเวนไปทั่ว ทั้งกินข้าว เดินเที่ยว ดูสาวและอื่นๆ อีกมากมาย กว่าจะมาถึงห้องก็พระอาทิตย์ตกดิน แล้วยังมีหน้ามาชวนว่าพรุ่งนี้ไปกันอีกนะ เพราะเริ่มติดใจสาวที่คณะเศรษฐศาสตร์แล้ว เขารีบปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดเลย ใครไปด้วยก็บ้าแล้วล่ะ

อนาวินพลิกตัวไปอีกด้านของเตียง นอนอย่างนี้ก็สบายไปอีกแบบ ขอหลับสักงีบแล้วกัน...

ตึง! ตึง!

อนาวินลืมตาขึ้นแล้วกลอกตามองขึ้นไปบนเพดาน เสียงแปลกๆ มาจากห้องข้างบน เขาไม่รู้ว่าข้างบนใครอยู่ แต่เสียงเงียบไปแล้ว

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

แล้วเสียงระลอกใหม่ก็ดังขึ้นอีก อนาวินพยายามไม่สนใจข่มตานอน...

โครม!

อนาวินลุกพรวดขึ้นมานั่งทันทีที่เกิดเสียงอึกทึกมากกว่าเดิม เศษฝุ่นกระจายลงมาจากฝ้าเพดานจนเขาต้องลุกหนีออกจากเตียงนอน นี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับห้องข้างบน ทำไมเสียงดังได้ขนาดนี้ เล่นมวยปล้ำกันอยู่หรือไง ไม่คิดจะสนใจคนที่อยู่ห้องข้างล่างบ้างเลยเรอะ

ปกติอนาวินเป็นคนมีความอดทนพอสมควร ไม่ได้ใจร้อนหุนหันพลันแล่น แต่คราวนี้เห็นจะนั่งเฉยไม่ไหว เสียงก็ดังไม่หยุดเสียที ดีไม่ดีเพดานทั้งแถบอาจจะพังลงมาทับตัวเขาก็เป็นได้ อนาวินออกจากห้องพักตัวเองไปที่ชั้นสามห้องหกซึ่งเป็นห้องที่อยู่ตรงกับห้องของเขา เสียงตึงตังยังดังแว่วออกมาจากห้องเป็นจังหวะ มือหนาตัดสินใจเคาะประตูห้องทันที

ก๊อกๆๆๆๆ

เสียงตึงตังในห้องเงียบไปในบัดดล แล้วอนาวินก็ได้ยินเสียงจับลูกบิด และเมื่อประตูห้องเปิดจนเห็นคนข้างใน อนาวินก็ต้องเป็นฝ่ายดึงลูกบิดมาปิดประตูห้องเสียเอง

ไม่จริงน่ะ เขาตาฝาด...

เสียงลูกบิดประตูดังกุกกักๆๆ จากข้างในเหมือนพยายามจะเปิดประตูออก อนาวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกที เอาล่ะ...เขาอาจจะตาฝาด ต้องลองเปิดดูอีกครั้ง และเมื่ออนาวินเปิดประตูจนเห็นคนข้างใน เขาก็ต้องผวาดึงลูกบิดเข้าหาตัวปิดประตูห้องอีกครั้ง ผมยาวๆ หน้าเรียว ตาแป๋ว ยืนทำปากมู่ทู่อย่างนั้น

กล้วยทอดแล้ว ยัยตังเมหน้าเอ๋อ!

“อารายอ๊า”

มาแล้วเสียงยานคางน่ารำคาญ เสียงแบบนี้มีคนเดียวในประเทศไทย อนาวินเกิดอาการเซ็งจิตขึ้นมาทันที ตาเค้าไม่ฝาด คนที่อยู่ข้างบนตรงกับห้องของเขาคือหลานรหัสของเขาเอง ยัยตังเมหน้าเอ๋อ!

“เค้าเห็นนะ อนาวินใช่เปล่า ตัวเองมาหาเค้าถึงหอเลยเหรอ หรือว่ามาช่วยเค้าจัดของ แหมๆๆๆ ดีจังเลยเค้ากำลังอยากได้คนช่วย เปิดประตูซี่ เปิดๆๆๆ” ตังเมพยายามดึงลูกบิดประตูออก แต่อนาวินก็ยังยึดลูกบิดในมือแน่น

ไม่ได้...เปิดไม่ได้ เปิดออกตอนนี้ยัยเอ๋อกระโดดกอดเขาแน่

“ใช่ๆๆๆ ฉันเอง อยู่เฉยๆ เดี๋ยวฉันจะเปิดประตูให้” อนาวินตะโกนบอกแก้สถานการณ์ไปก่อน ได้ยินเสียงตังเมร้องเยๆๆๆ คงดีใจคิดว่าเขามาหา แล้วจากนั้นก็ไม่มีเสียงกุกกักๆๆ ดังออกมาอีก โชคดีที่ยัยนี่พอจะเชื่อฟังเขาอยู่บ้าง

อนาวินค่อยๆ ปล่อยมือจากลูกบิด เกิดความเงียบสงัดขึ้นชั่วเสี้ยววินาทีทั้งจากในห้องและนอกห้อง แล้วจากนั้นอนาวินก็ใส่เกียร์ห้าวิ่งลงจากชั้นสามทันที วิ่งกลับไปถึงในห้องก็ปิดประตูดังปัง!

ชายหนุ่มเจ้าของห้อง 206 ยืนเคว้งอยู่ภายในห้อง ขณะที่ในหัวก็เกิดคำถามต่างๆ มากมาย รหัสเดียวเดียว หอเดียวกัน แล้วนี่ยังไม่นับชมรมเดียวกัน เรียนคณะเดียว สาขาเดียวกันอีก อนาวินทึ้งผมซอยสั้นของตัวเองอย่างอารมณ์เสีย นี่น่ะเหรอที่ยัยนั่นเรียกว่าพรหมลิขิต เขาคิดว่ามันเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนของเขามากกว่า จะมีครั้งไหนที่เขาจะเจอเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจได้มากขนาดนี้อีกไหมเนี่ย

ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ววุ้ย! ย้ายหอดีกว่า

จากคุณ : inmost
เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 54 21:38:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com