Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนต์ไพร บทที่ 8 : ความห่วงใยระหว่างการเดินทาง ติดต่อทีมงาน

บทที่  8


ทิวารู้สึกเหมือนใครเอาเข็มนับสิบเล่มมาทิ่มบริเวณหน้าอกด้านซ้าย ปากเม้มแน่น คนอื่นคิดยังไงไม่รู้ แต่เขาร้อนรุ่มเกินกว่าจะนิ่งเฉย

“เป็นอะไรหรือเปล่าฝาก” เขาก้าวเข้าไปถามทำเสียงห่วงใย แต่สายตามองคนร่างสูงด้วยสายตาค่อนข้างขุ่น

ได้ผล...เมื่อฝากฟ้าได้สติยันกายออกห่าง แต่เมื่อนึกถึงงูตัวต้นเหตุก็ขยับห่างจากที่เดิมอย่างแหยงๆ

“อึ๋ย งูเขียว ตัวเบ้อเริ่มเลย” ฝนทองนั่นเองที่พูดพลางทำท่าขนลุก

“ถ้ากลัวก็กอดคอพี่ก็ได้นะฝน”

ฝนทองหันขวับไปทำหน้าดุใส่ผู้กองหนุ่ม ชักสีหน้าไม่พอใจใส่คนที่พูดจาหยอกเย้าตีสนิท ไม่นานเท่าไหร่ก็ฉายความเป็นหนุ่มชีกอให้เห็น แต่ฝ่ายนั้นไม่เดือดร้อนแถมยังพูดขึ้นมา

“ฆ่ามันเลยดีไหม”

“อย่านะ !” วนาสณฑ์กับพรานอ่องท่ายห้ามขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อสิ้นเสียงของผู้กองดิตถ์

“ทำไมล่ะ”

“อย่าไปรบกวนเขาเลย ทางใครก็ทางมัน เขาอยู่ของเขาดีๆ เราต่างหากที่บุกรุกเข้ามาในที่อยู่ของเขา อีกอย่างงูเขียวก็ไม่ได้ดุร้ายและเข้าโจมตีเรา ขืนทำอะไรไปพาลจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นก็ได้”

ป่าไม้หนุ่มบอก การเดินป่าบ่อยๆ หลายแห่งกับคนหลายคนทำให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเรื่องความเชื่อมามาก และเขาก็เป็นประเภทไม่เชื่ออย่าลบหลู่เสียด้วย

“แต่งูเป็นสัตว์อันตรายนะ”

“ที่อันตรายมากที่สุดคือสิ่งที่มองไม่เห็นต่างหาก” พรานอ่องท่ายโพล่งขึ้นพลางเงยหน้ามองเหนือยอดไม้

“สิ่งที่มองไม่เห็น...พรานอ่องหมายถึงอะไรเหรอคะ” ฝนทองถาม สีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“สิ่งที่มีอำนาจและพลัง”

สีหน้าราบเรียบแต่ดูจริงจังทำให้ทุกคนเงียบกันหมดและเขม้นมองพรานเฒ่าอย่างค้นคว้า วนาสณฑ์เป็นคนแรกที่ขยับตัวและเอ่ยขึ้นว่า

“ทำงานกันต่อเถอะครับ แล้วก็ระวังตัวอย่าไปใกล้มันอีกก็แล้วกัน ผมขอตัวไปลาดตระเวนก่อน ไปกันเถอะไอ้ผู้กอง”

“อ้าว พี่สนจะทิ้งน้องเสียแล้ว” ฝนทองว่า รู้สึกเหมือนขาดผู้นำที่เข้มแข็งไป

“ทิ้งที่ไหน แค่แยกไปแปบเดียวเอง” ชายหนุ่มปรายตาไปยังฝากฟ้า “ไม่ว่าอะไรที่เข้ามาอยู่ในความดูแลของพี่แล้ว พี่ไม่มีทางทิ้งหรอก ต่อให้สิ่งนั้นจะถูกคนอื่นหมายตาแล้วก็ตาม...ดูแลตัวเองนะฝาก” ตอนท้ายเขาลดเสียงจนแผ่วเบาได้ยินกันแค่สองคนโดยไม่สนใจสายตาของทิวา

“ค่ะ...พี่สนก็ระวังตัวด้วยนะคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า กระชับปืนเอชเคในมือแล้วจึงออกเดินตามร่างท้วมของจ่าขวดไป ส่วนจ่าแก้วรีรอผู้กองดิตถ์อยู่

“พี่สนพูดอะไรแปลกๆ” ฝนทองพึมพำ มองตามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนัก

“บ่นอะไรหรือน้องฝน” ดิตถ์ถาม

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รีบไปเถอะเดี๋ยวก็หลงกันหรอก”

“หลงป่ายังมีทางออก แต่หลงรักนี่คงหาทางออกไม่เจอ”

หยอดประโยคเด็ดไว้พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้กองหนุ่มก็ออกก้าวเดินตามสองคนข้างหน้าไปโดยมีจ่าแก้วเดินตามหลัง ทิ้งให้คนข้างหลังทำหน้าไม่ถูก

“มัวแต่ร่ำลากันยังกับจะไม่ได้เจอกันอีกนานอย่างนั้นแหละ วันนี้คงเก็บข้อมูลไปไม่ถึงไหนเสียแล้วมั้ง” เสียงทิวาเปรยสีหน้ายิ้มๆ แต่น้ำเสียงเคร่งเครียด

ฝนทองทำหน้าไม่ถูกเมื่อจับน้ำเสียงประชดประชันได้ จึงชวนฝากฟ้าทำงานต่อ เมื่อร่างผอมเก้งก้างของทิวาเดินห่างไปหาด็อกเตอร์อลันแล้วเธอจึงบ่นเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน

“รู้สึกว่าพี่ทิวาจะเป็นผู้ชายช่างประชดไม่เบานะนี่ สงสัยจะหึงหรือเปล่าที่พี่สนเข้ามาเกาะแกะกับแฟนตัวเอง”

“เปล่านะ พี่ทิวายังไม่ใช่แฟนของฝากเสียหน่อย” ฝากฟ้ารีบแก้ตัว

“อ้าว แล้วทำไมท่าทางเฮียแกเหมือนจะกระโดดเข้าไปชนให้พี่สนกระเด็นออกมาเสียอย่างนั้นล่ะ”

สีหน้าของฝากฟ้าผิดปกตินิดเดียว “ความจริงจะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิงหรอก เราเคยคบกันช่วงเวลาสั้นๆ สมัยเรียน แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้ต้องห่างกัน”

“งั้นก็แสดงว่าเขาต้องการกลับมาคืนดีแน่เลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตาขุ่นตอนที่พี่สนดึงฝากเข้าไปกอด”

ฝากฟ้าหน้าแดง ก่อนจะเสให้ความสนใจกับการเก็บภาพพรรณไม้เบื้องหน้า

“จริงสิ...ฝากกับพี่สนเคยรู้จักและสนิทสนมกันมาก่อนไหม”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้น “ทำไมหรือ”

“ฝนได้ยินพี่สนเรียกตัวเองว่า ‘พี่’ กับฝาก ทั้งๆ ที่กับคุณมธุรินซึ่งได้ข่าวว่าตามพี่สนมานานพี่สนยังแทนตัวเองว่าผมอยู่เลย”

รอยยิ้มจุดขึ้นตรงริมฝีปากของฝากฟ้า

“พี่สนเป็นลูกชายของคุณลุงพันรบที่เป็นพี่ชายของพ่อเลี้ยงของฝากเองค่ะ”

“อย่างนั้นเองหรอกหรือ แหม...โลกช่างกลมจริงเลย เอ...ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่ญาติสืบเชื้อสายกันมา ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีโอกาสพัฒนาเป็นแฟนได้” ฝนทองแกล้งเย้า

“โธ่...ไม่หรอก พี่สนก็คงมีผู้หญิงของเขาอยู่แล้วเพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง” ฝากฟ้ารีบบอก

“ไม่นา...เพราะเพื่อนๆ อาเฮียแกยังแซวอยู่เลยว่าจะเลือกมากไปถึงไหน”

รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากบางเพียงแวบเดียวโดยที่ฝนทองไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่หันไปมองทางด็อกเตอร์อลัน เมื่อหันกลับมาอีกทีก็ชวนกันทำงานต่อและเลิกคุยไปโดยปริยาย


                                      ****************


เกือบบ่ายสามแล้วที่วนาสณฑ์กับดิตถ์มาที่จัดนัดพบจากการติดต่อโดยวิทยุสื่อสาร ใบหน้าแต่ละคนชื้นไปด้วยเหงื่อและมอมแมมไปด้วยเศษฝุ่นกับรอยขีดข่วน

“เหนื่อยไหม” คนแรกที่เขาถามคือฝากฟ้า

“ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกค่ะเพราะว่าไม่ได้เดินติดต่อกัน แต่ค่อยๆ เก็บข้อมูลไปเดินไป”

“ลองชิมนี่ดู พี่เก็บมาฝาก จะได้สดชื่น” ว่าแล้วก็ยื่นพวงมะไฟสีเหลืองนวลให้หญิงสาว

ฝากฟ้าทำตาโต แต่ยังไม่กล้ารับ“เปรี้ยวไหมคะ”

“หวานสิ ถ้าไม่หวานจะเอามาให้น้องฝากทำไม” คำว่า ‘น้อง’ ช่างน่าฟังจนโบกสะบัดความร้อนอบอ้าวหายไป แต่มันกลับไปปกคลุมทิวาแทน

“โห...มะไฟน่ากินจัง ขอชิมด้วย”

“ของฝนอยู่นี่”

ฝนทองหันไปทางดิตถ์ก็เห็นรายนั้นยกพวงมะไฟมาตรงหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มกว้าง

“อย่ากินเยอะล่ะ เกิดท้องเสียขึ้นมากลางดึกจะลำบากมีคนพาไปอีก”

“ไม่กลัวหรอกค่ะ ธาตุแข็งเสียอย่าง” ฝนทองคุยพลางแกะมะไฟเข้าปากแล้วแบ่งให้ดอกเตอร์อลันชิมบ้าง

“จะคอยดูคนธาตุแข็ง น้องฝากไม่ต้องไปเป็นเพื่อนเขานะครับ ปล่อยให้วิ่งเข้าป่าคนเดียวเลย” ผู้กองหนุ่มบอกอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู

ทุกคนหัวเราะไปตามๆ กัน มีเพียงวนาสณฑ์ที่ยืนนิ่งและจับสังเกตท่าทางของพรานอ่องท่าย

“มีอะไรหรือพรานอ่องท่าย”

“ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรไหวๆ อยู่บนต้นไม้นั่น แต่พอมองหามันก็เงียบไปไม่เห็นอะไรเลย”

“นกหรือเปล่าพราน” ดิตถ์ออกความเห็น

พรานกะเหรี่ยงส่ายหน้า “มันเป็นเงาดำใหญ่เกินกว่าจะเป็นนก แต่ช่างเถอะ ว่าแต่จะเก็บข้อมูลกันอีกหรือว่าจะเดินไปหาที่พักเลย”

“ด็อกเตอร์จะเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางหรือเปล่าครับ” ป่าไม้หนุ่มหันไปถามนักวิชาการต่างชาติที่ยังให้ความสนใจกับพรรณไม้รอบตัว

“เดินไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันครับคุณสน เพราะว่าจากที่ผมเดินมานี่พรรณไม้เริ่มซ้ำกันบ้างแล้ว ถ้าผมพบพรรณไม้ที่น่าสนใจผมจะบอกอีกที”

“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นพรานอ่องท่ายนำไปเลย”


                                        ****************


พรานอ่องท่ายเดินนำทางไปอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางลาดชันและเป็นหินลูกรัง วนาสณฑ์ไม่ห่วงฝนทองเท่าใดนัก เพราะคิดว่ารายนั้นเคยผ่านการเดินป่าฝึกงานในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมาแล้ว แต่อีกคนนี่สิ

ความคิดสะดุดลงพร้อมกับอุทานในใจ ‘ว่าแล้ว’ เมื่อเห็นร่างเพรียวก้าวพลาดเสียหลักทำท่าจะล้มลงไปข้างหน้า ดีว่าเขาคว้าเอวไว้ได้ทัน แต่ตัวเองก็ต้องร้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเจ็บแปลบที่ฝ่ามือขวา

“อุ๊บ”

มือขวาคลายต้นไม้ที่จับไว้แต่ยังไม่ปล่อยในทันที ค่อยๆ ตั้งหลักตัวเอง ส่วนมือซ้ายโอบแน่นที่เอวของฝากฟ้า

ถ้าให้เลือกระหว่างปล่อยเธอไถลลงจนได้แผลกับการที่เขาได้แผลจากหนามของต้นเค็ด เขาก็เลือกอย่างหลังมากกว่า

“พี่สนคะ...หนามนะคะนั่น” หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี

“พี่ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ฝากเถอะเป็นอะไรหรือเปล่า อย่าพยายามเดินตรงที่มีลูกรังเยอะๆ อีกเพราะมันจะลื่น”

“ฝากเป็นอะไรหรือเปล่า” ทิวาปราดเข้ามาถามอยู่ใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขุ่น ก่อนจะจับข้อมือของเธอแน่นแล้วยิงสายตาใส่ชายหนุ่มอีกคนก่อนจะหลุบตามองมือสีแทน เป็นเชิงบอกว่า ‘ปล่อยน้องฝากฟ้าได้แล้ว’

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ทิวา พอดีพี่สนรับไว้ได้ทัน” บอกแล้วก็ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของวนาสณฑ์

“คงจะเหนื่อยแล้วล่ะสิ”

“นิดหน่อยค่ะ เพราะว่าเป็นทางขึ้นเขา”

“เดินตามหลังพี่ดีกว่า เดี๋ยวพี่จะคอยช่วย จะได้ไม่ต้องลำบากหัวหน้าสน” ทิวาพูดพลางปรายตาเชือดเฉือนไปยังหัวหน้าอุทยาน

“ไม่ลำบากหรอกครับ แต่ถ้าคุณอยากช่วยเธอ ผมว่าคุณช่วยถือกล้องให้ดีกว่า ฝากฟ้าจะได้เดินสบายๆ หน่อย” ป่าไม้หนุ่มแนะเสียงเรียบ ทำเป็นห่วงใย แล้วทำไมไม่คอยดูแลตั้งแต่ทีแรก เห็นเดินจ้ำเอาจ้ำเอา ทีตอนนี้ล่ะทำเป็นห่วง

“เธอไม่ให้ผมช่วยถือ” ทิวาบอกด้วยเสียงค่อนข้างห้วน ความเหนื่อยบวกกับความรู้สึกว่ากำลังถูกแย่งชิงดวงใจไปทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างระงับไว้ไม่อยู่

“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลฝากฟ้าดีๆ ก็แล้วกัน อย่าพากันไถลลงไปข้างล่างโน่นก็แล้วกัน”

วนาสณฑ์ยักไหล่แล้วออกเดินนำโดยไม่ลืมหันไปร้องบอกเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งเดินรั้งท้ายว่า

“บิ๊ก ดูแลด้วย”


                                   ***************


“เห็นผอมบางอย่างนี้เดินป่าเก่งนี่” เสียงเปรยลอยมาจากข้างหลังทำให้สาวผิวสีน้ำผึ้งคมขำหันไปยิ้มรับอย่างไม่คิดจะถ่อมตัว

“สมัยเรียนโหดกว่านี้อีกค่ะ บางวันเดินเป็นสิบๆ กิโลเมตรเลยทีเดียว”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก “อย่างนี้เขาเรียกว่าสวยถึกและบึกบึนใช่หรือเปล่า”

“แหม...แต่รูปร่างไม่บึกบึนนะคะ ว่าไปแล้วต้องชมพรานอ่องท่ายมากกว่าค่ะ ดูสิอายุเกือบหกสิบอยู่แล้วยังเดินนำหน้าปร๋อเหมือนไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรเลย”

“คนเราทำอะไรบ่อยๆ ก็จะเก่งและชินเองแหละ ว่าแต่น้องฝนชอบงานแบบนี้หรือ”

“หมายถึงงานอะไรหรือคะ ถ้าหมายถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับป่าไม้ล่ะก็...ชอบค่ะ”

“แต่พี่ไม่เห็นว่างานวิจัยป่าไม้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์แพร่หลายเลยนะ ไม่เหมือนงานวิจัยทางการแพทย์หรือของกรมวิชาการเกษตรที่พี่คิดว่าเป็นรูปธรรมคนนำไปใช้เยอะมากกว่า” ดิตถ์พูดตามความคิดของตัวเอง

“งานวิจัยทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ เพียงแต่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่า”

กล่าวจบก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ในใจเริ่มกรุ่นเล็กน้อย เขาพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง? จะหาว่างานวิจัยป่าไม้ละลายเงินงบประมาณโดยไม่ได้ประโยชน์กับคนทั่วไปอย่างนั้นหรือไงนะ

ความเป็นข้าราชการสาวไฟแรงและมองว่างานทุกอย่างมีค่าและมีประโยชน์ทั้งนั้น เมื่อสายงานที่ทำถูกมองไปในทางแง่ลบจึงนึกอยากเอาคืนบ้าง

“งานด้านทหารของพี่ผู้กองล่ะคะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีศึกสงครามแล้วหันไปทำอะไรกัน หรือว่าได้แต่แต่งตัวเท่โฉบไปโฉบมาให้สาวรักสาวหลง” เธอพูดยิ้มๆ แต่สายตาที่มองไปทางเขาที่เดินมาขนาบข้างบอกให้รู้ว่ากำลังรวนเต็มกำลัง

ชายหนุ่มยิ้มรู้ทัน “คนอื่นไม่รู้นะ แต่สำหรับพี่ ถ้าทำแบบนั้น คงไม่มาเดินตรงนี้ เพราะพี่ขอเลือกที่จะมาทำงานร่วมกับนายสนเขา เอ...พูดแบบนี้แสดงว่าโกรธเหรอที่พี่พูดตรงๆ”

“ไม่ได้โกรธหรอกค่ะ แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ที่จะสรุปว่างานวิจัยป่าไม้ไม่ได้ใช้ประโยชน์”

“ก็แล้วทำไมไม่ลองอธิบายหรือยกตัวอย่างมาล่ะ พี่ก็แค่แสดงความเห็นตามที่เข้าใจ”

“ตอนนี้เหนื่อยอยู่ค่ะ ไม่มีแรงจะพูด” ฝนทองบอกปัดพลางยกมือปาดเหงื่อ

“เหนื่อยหรือว่าแก้ตัวไม่ได้” อีกฝ่ายยังยั่วยุมาอีก ไม่รู้เป็นไงเห็นหน้างอง้ำและท่าทางเดินหน้าเชิดแล้วก็อยากจะแกล้งยั่วเข้าไปอีก

“ทำไมต้องแก้ตัว” หญิงสาวหันขวับมาตอบเสียงดุ

“โอ๋ๆๆ อย่าเพิ่งตีหน้ายักษ์ใส่สิ  พี่พูดเล่น” เขาโบกมือก่อนจะยักไหล่แล้วพูดต่อ “จริงนะ ถ้าเราไม่แสดงให้คนอื่นเห็นก็จะถูกคนภายนอกว่าอยู่ร่ำไปนั่นแหละ การอนุรักษ์ป่าไม้เหมือนกัน ถ้าคนเราไม่รู้ว่าป่าให้ประโยชน์อะไรบ้าง ให้เขาเฝ้ามองดูความอุดมสมบูรณ์ในป่าขณะที่ตัวเองหิวจนไส้จะขาดหรือใกล้อดตายแล้ว แบบนั้นเขาก็คงไม่อยากร่วมมือในการอนุรักษ์หรอก จริงไหม?”

“ถ้าทุกคนคิดเหมือนพี่ผู้กองหมด คราวนี้ป่าก็คงไม่เหลือหรอกค่ะ เพราะคนเราหยุดตัวเองได้ยาก การอนุรักษ์ทำได้ยากแต่ทำลายง่ายนิดเดียว คนๆ เดียวก็ทำให้ป่าหมดได้” ฝนทองย้อนคืน

“ก็เลยกันไว้ก่อนด้วยการไม่ให้คนเข้าไปใช้หรือ”

“เอ๊ะ พี่ผู้กองพูดเหมือนไม่เห็นด้วยกับการอนุรักษ์ป่าไว้เพื่อส่วนรวม แล้วมาทำงานร่วมกับพี่สนทำไมคะ” ฝนทองทำเสียงเขียว

“พี่ทำเพราะเห็นด้วยในบางอย่าง แต่บางอย่างพี่ก็ไม่เห็นด้วย”

“พี่สนจะรู้ไหมว่าเพื่อนมาช่วยทั้งที่ยังขัดแย้งอยู่ในใจ”

“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น” เขารีบแก้ตัว

ฝนทองไม่ต่อความ เธอเสียความรู้สึกบางส่วนไปแล้วกับผู้กองดิตถ์จึงเลือกที่จะเงียบและเดินต่อไป ดิตถ์มองตามคนที่เดินมองต้นไม้ใบหญ้าก่อนจะส่ายหน้า ฝนทองเพิ่งเข้ารับราชการใหม่ จึงยังไม่เห็นโลกที่มีความขัดแย้งแทรกตัวอยู่ในทุกสายงาน ถ้าเธอทำงานไปนานกว่านี้และไม่มัวแต่ดิ้นรนหาทางก้าวหน้าเหมือนข้าราชการบางคนก็คงจะเข้าใจปัญหาของงานที่ทำอยู่ไม่ช้าก็เร็ว

                                        ****************

จากคุณ : permanent stream
เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 54 06:36:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com