Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนต์ไพร บทที่ 9 : จุดพักแรม ติดต่อทีมงาน

บทที่  9


คณะทั้งหมดเดินตามพรานอ่องท่ายไปตามสันเขาก่อนจะตัดลงไปตามที่ลาดเชิงเขาแล้วเข้าสู่ที่ราบในเวลาห้าโมงเย็น รอบๆ บริเวณเป็นต้นไม้ใหญ่ตระกูลยาง สลับกับไม้ไผ่

“นี่ก็ค่ำแล้ว ผมว่าเราต้องพักตรงนี้แหละ ถัดจากนี้ไปเป็นห้วยเล็กๆ ที่ไหลมาจากเขาข้างบนโน้น” พรานอ่องท่ายบอกพลางชี้มือไปยังแนวทิวเขาสูงสลับซับซ้อน

เสียงถอนหายใจของใครบางคนดังขึ้น จากนั้นก็สมัครใจกันเงียบราวกับนัดกันแล้วทำท่าเงี่ยหูฟัง เสียงน้ำไหลตกกระทบหินแว่วมาทำให้หลายคนวางกระเป๋าเป้ลงด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ โดยเฉพาะสองสาว

“นึกว่าจะไม่ได้อาบน้ำเสียแล้ว” ฝนทองว่า

“ถ้าอย่างนั้นเราพักแรมกันตรงนี้เลย”

วนาสณฑ์บอกทุกคน เขาเหลือบมองใบหน้าขาวที่ค่อนข้างซีดเพราะความเหนื่อยของฝากฟ้า อยากยื่นมือไปเช็ดเหงื่อบนใบหน้านัก ส่วนทิวานั้นดูสีหน้าแล้วคงเหนื่อยจนเลิกสนใจว่าเขาจะมองฝากฟ้าอยู่อย่างห่วงใยแค่ไหน

“บิ๊ก เบ้ง เตรียมพื้นที่สำหรับกางเต็นท์” เขาสั่งการกับลูกน้องของตัวเอง

ดิตถ์หันไปบอกทีมงานของตัวเองบ้าง

“จ่าแก้ว จ่าขวด เดี๋ยวช่วยบิ๊กกับเบ้งกางเต็นท์และทำอาหารเย็นสำหรับพวกเราทุกคนด้วย”

พรานอ่องท่ายหายตัวไปขณะทุกคนวุ่นวายสาละวนกับการปลดสัมภาระโดยไม่มีใครสนใจ ด็อกเตอร์อลันวางกระเป๋าลงแล้วออกเดินสำรวจพรรณไม้รอบๆ ในขณะที่ทิวาทรุดตัวลงนั่งเหยียดยาวที่โคนต้นยางนา โดยมีสองสาวยืนมองรอบบริเวณอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ไม่ไกลนัก

“เหนื่อยไหม” วนาสณฑ์เดินเข้าไปถาม

หญิงสาวพยักหน้าตอบอย่างไม่มีไว้เชิง “เหนื่อยเอาการค่ะ”

“แหม...ไม่ถามน้องคนนี้เลยหรือคะ ถามแต่น้องฝากนั่นแหละ” ฝนทองแซวมา

“เรามันเก่งแล้ว”

“แล้วกัน เห็นเก่งก็จะไม่ถามเลยหรือคะอาเฮีย”

มือสีแทนตบปุลงมาบนศีรษะคนพูดจนเจ้าตัวแกล้งร้องคราง

“นั่งพักกันให้หายเหนื่อยก่อน เดี๋ยวจะให้คนช่วยกางเต็นท์ให้ ถ้าอยากอาบน้ำก็รอให้มืดค่ำกว่านี้ จะได้หลบหูหลบตาคนอื่นหน่อย”

ป่าไม้หนุ่มบอก ยังไม่ทันที่สองสาวจะตอบ ทิวาก็เดินเข้ามา

“ฝากจ๊ะอยากอาบน้ำไหม เดี๋ยวพี่พาไป”

ดูเหมือนว่าทิวาจะไม่เปิดโอกาสให้หัวหน้าอุทยานได้ใกล้ชิดกับฝากฟ้านานเกินไป ทำไมเขาจะไม่รู้ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะผละหนีง่ายๆ

“คุณมีปืนหรือเปล่าทิวา”

“ทำไมหรือครับหัวหน้า”

“ถ้าไม่มีปืนแล้วก็ต้องหาคนไปด้วย เผื่อเจองูเห่า งูจงอาง คุณคิดว่าจะหาไม้ไปไล่มันทันหรือเปล่า รู้ไหมว่าริมน้ำงูชุม ถ้าเดินไม่ระวังอาจเจอดี”

“มีจงอางด้วยเหรอ อึ๋ย” ฝนทองทำหน้าสยอง

“มีทั้งนั้นแหละฝน ของอย่างนี้ว่าไม่ได้หรอก ป่าเป็นที่อยู่ของเขาเราต่างหากที่มารบกวนอาณาจักรยิ่งใหญ่นี้ แต่ถ้าเราระวังก็ช่วยได้เปลาะหนึ่ง ที่สำคัญพี่ไม่รู้ด้วยว่าป่าหมอกดำมีสัตว์ป่าอะไรที่เป็นอันตรายบ้าง เข้ามาคราวนี้อาจได้ข้อมูลกลับไปไม่มากก็น้อย แต่ที่ฟังจากพรานอ่องท่ายมาทำให้พอรู้มาอย่างหนึ่งว่าป่านี้ได้ชื่อว่าเป็นป่าอาถรรพ์”

พูดจบก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของคนอื่นนอกจากฝากฟ้า เขาไม่ได้ตั้งใจให้เธอกลัว แต่เสี้ยวหนึ่งของความคิดจากความหวงลึกๆ ก็บอกว่า ถ้าทำให้ทิวากลัวได้บ้างก็ดีเขาจะได้ดูแลเธอมากกว่า

แต่จะว่าไปแล้ว ภาพที่เขาเห็นในโรงครัวเมื่อคืนนี้เขาจะนำมาเล่นให้ถึงจุดแตกร้าวระหว่างฝากฟ้ากับทิวาก็ได้ถ้าทั้งสองรู้สึกดีๆ ต่อกัน ใช่สิ...ในเมื่อทิวายังทำตัวไม่ซื่อสัตย์กับฝากฟ้า แล้วเขาจะต้องเกรงใจอะไรอีก มันเป็นเกมยุติธรรมอย่างแน่นอน

บางที...ฝากฟ้าอาจคือคนที่เขารอคอยมาตลอดก็ได้ เขาถึงไม่มีใจจะรักใครอย่างจริงจังจนถึงขั้นแต่งงาน

รอยยิ้มบนริมฝีปากของวนาสณฑ์หายไปเมื่อดิตถ์เดินเข้ามากระซิบ

“พรานอ่องท่ายบอกว่าแกเห็นรอยเล็บหมีที่ต้นไม้ใหญ่ทางโน้น”

ป่าไม้หนุ่มพยักหน้าเครียดๆ แล้วสาวเท้าไปหาพรานเฒ่าที่กำลังเช็ดปืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

“พรานอ่องท่ายเชี่ยวชาญพื้นที่นี้ดีคงพอจะบอกผมได้ใช่ไหมว่ามีอะไรที่ต้องระวังตัว”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองแวบเดียวก่อนจะเบนหน้ามองไปทางแนวป่า

“บอกไม่ถูกครับหัวหน้า ทุกครั้งผมเข้ามาคนเดียว แต่ไม่รู้สึกกลัวอะไรเท่าไหร่เพราะถือว่ามีคาถาอาคมอยู่พอตัว แต่ครั้งนี้มันแปลกกว่าเดิม เหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังติดตามเราอยู่”

ดิตถ์มองหน้าเพื่อน “เพราะพรานไม่ได้เข้ามานานหรือเปล่าถึงได้รู้สึกอย่างนั้น”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกผู้กอง ต่อให้ไม่ได้เข้ามานานแต่ป่าก็เหมือนบ้านของผม ถ้ามีอะไรแปลกปลอมผ่านเข้ามาผมก็ต้องรู้สึก ครั้งนี้ผมรู้สึกตั้งแต่เข้ามาในเขตป่าแล้ว และมันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

วนาสณฑ์นิ่งไปอึดใจ “ผมขอร้องพรานอ่องท่ายอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องนี้ได้ไหม เดี๋ยวจะตื่นตกใจกันไปหมดจนไม่กล้าทำอะไร”

“ผมไม่บอกใครหรอกยกเว้นหัวหน้ากับผู้กอง ที่ผมบอกหัวหน้าเพราะว่าเป็นหัวหน้าอุทยานซึ่งเป็นเหมือนผู้คุ้มครองป่าแห่งนี้จะได้ไม่ประมาท ส่วนผมจะใช้วิชาคุ้มภัยให้กับทุกคน ถ้าเป็นสัตว์ป่าจริงๆ เราสู้ด้วยปืนธรรมดาได้แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นอาวุธธรรมดาไม่ได้ผลนอกจากอาคม”

ป่าไม้หนุ่มยกมือแตะไหล่ข้างหนึ่งของพรานเฒ่า

“ผมขอบคุณที่บอกให้รู้ ฝากด้วยนะพราน”

พรานกะเหรี่ยงพยักหน้า ก่อนจะหยิบย่ามขึ้นมาค้นหาของ จังหวะนั้นชายหนุ่มสองคนจึงถอยออกมายืนห่างๆ

“พรานอ่องท่ายทำเอาฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในป่าอาถรรพ์ในนิยายเรื่องเพชรพระอุมาตอนผีดิบมันตรัยยังไงไม่รู้แฮะ” ผู้กองดิตถ์พูดแล้วแค่นยิ้มเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่ขำไม่ออก

“ฉันไม่ห่วงพวกเราเท่าไหร่หรอก แต่ทีมนั้นสิ” วนาสณฑ์บุ้ยปากไปทางสองสาวกับทิวา ดิตถ์มองตาม

“ทีมนั้นทุกคนหรือเฉพาะแม่สาวตากลมโตที่ชื่อฝากฟ้ากันแน่” ดิตถ์ดักคอ

“ใช่ ฉันห่วงเธอมาก”

“ไม่ปฏิเสธเลยแฮะ ถามจริงๆ เถอะ นายชอบเธอเหรอ เอ๊ะ...แล้วไปชอบตอนไหนกัน ในเมื่อเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองแถมยังมีอาจารย์แป้งพะเน้าพะนออยู่ข้างๆ อีก”

“เรารู้จักกันมาก่อน เธอเป็นน้องสาวฉัน” หัวหน้าอุทยานตอบเสียงเรียบ ดิตถ์หันมามองทันทีจึงได้เห็นสายตาของเพื่อนที่มองไปที่ ‘น้องสาว’ ดูยังไงก็ไม่เหมือนพี่ชายมองน้องสาวสักนิด

“นายเป็นลูกชายโทนนี่หว่า”

“ใช่”

“แล้วจะมีน้องสาวได้ไง”

“เธอเป็นลูกติดภรรยาของอาฉัน”

“อ๋อ...มิน่า” ดิตถ์ลากเสียงยาว ทำหน้ากวนๆ

ชายหนุ่มอีกคนหันขวับมา “มิน่าอะไร”

“มิน่าถึงได้มองตาเป็นประกายวิบวับเชียว ดูไม่เกรงใจเจ้าหนุ่มที่มาด้วยและทำท่ายังกับว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเลยนะพวก ปิดๆ ไว้บ้างก็ดี” ดิตถ์ให้ความกระจ่างด้วยสีหน้ายิ้มๆ

ป่าไม้หนุ่มหรี่ตาเหยียดยิ้มไปทางทิวา

“ถ้าเป็นนายล่ะ เกิดนายชอบผู้หญิงคนหนึ่ง อาจชอบมานานโดยไม่รู้ตัว หรือเพิ่งรู้ตัวว่าชอบ นายจะทำยังไงกับเธอคนนั้น”

“ถ้าเธอคนนั้นไม่มีใคร ฉันก็จีบสิวะ” คนตอบๆ แบบไม่หยุดคิด

“แล้วถ้าเธอมีใครตีวงกันไว้เหมือนไว้เป็นสิทธิ์ของตัวเองคนเดียวล่ะ”

“ถ้ายังไม่แต่งงานฉันก็จะลองเชิงดูก่อนว่าคนที่ตีวงกันอยู่นั้นมีชัยไปกว่าครึ่งหรือยัง ต่อให้ฉันเป็นหนุ่มหน้าตาดีมาดเท่จนสาวๆ หลายคนหลง แต่ยังไงก็ไม่อยากเสียฟอร์มหรอกวะต้องดูท่าทีอีกฝ่ายด้วย” ผู้กองหนุ่มไม่วายจะคุย

อีกฝ่ายส่ายหน้าพลางรำพึง “แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นไปเกาะแกะกับคนอื่นแสดงว่าภาษีตกสินะ”

ดิตถ์ขมวดคิ้ว “ตกลงนายหมายถึงใครกันแน่วะเนี่ย” อึดใจก็ตาเบิกกว้าง “หรือว่าเธอคนนั้นคือน้องฝากฟ้า ส่วนอีกคนก็หมายถึงนายทิวานั่น เฮ่ย ! แล้วนายไปเห็นเขาไปเกาะแกะผู้หญิงคนอื่นเมื่อไหร่ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนั้นที่นายทิวาไปเกาะแกะคือ...น้องฝนทองของฉัน”

ชะ...ไอ้ผู้กองนี่ แค่ชั่วเวลาไม่นานดอดเรียกรุ่นน้องเขาว่า ‘น้องฝนทองของฉัน’

วนาสณฑ์ยิ้มขำแกมสมใจเมื่อได้ปล่อยบางความรู้สึกให้เพื่อนได้รู้ และได้คำแนะนำมาที่พอจะทำให้มั่นใจเดินหน้า นึกอยากจะแหย่เพื่อนต่อ แต่เพราะสิ่งที่รู้จักพรานอ่องท่ายทำให้หยุดไว้เพียงแค่นั้น เขาตบไหล่เพื่อนซึ่งทำหน้าคาดไม่ถึงจากการคิดเองเออเองแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าบิ๊กที่กำลังเตรียมเต็นท์ออกมาวางเตรียมกาง

“ของใครหรือบิ๊ก”

“ของฝรั่งกับผู้ชายคนนั้นครับหัวหน้า ส่วนอันนี้ของคุณผู้หญิงสองคนครับ”

“มานี่...เดี๋ยวอันนี้ฉันกางเอง”

ว่าแล้วก็หยิบเต็นท์ที่บิ๊กบอกว่าเป็นของคุณผู้หญิงสองคนขึ้นมาแล้วเดินหาที่เหมาะก่อนจะลงมือกางเต็นท์ ฝากฟ้าเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาถาม

“พี่สนคะ นี่เต็นท์ของฝากไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฝากกางเองค่ะ”

ชายหนุ่มหันไปมอง ดวงตาเป็นประกายพราวระยับเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมาด้วยให้รำคาญลูกตา

“ไม่ต้องหรอก พี่จัดการเอง หน้าที่ของผู้หญิงน่าจะเป็นทำกับข้าวมากกว่านะ ว่าแต่ทำเป็นหรือเปล่า หวังว่าอาปลาคงจะถ่ายทอดวิชามาบ้างไม่มากก็น้อย”

ฝากฟ้าทำหน้าลำบากใจ “เอ่อ...ถ้าให้ทำกับข้าว หุงข้าวด้วยหม้อสนาม ฝากขอกางเต็นท์เองดีกว่าค่ะ เพราะถ้าขืนให้ไปทำอาหารคงไม่ได้เรื่องแน่”

เจ้าของมือสีแทนยื่นโครงพลาสติกให้หนึ่งอันพร้อมรอยยิ้มขำแกมเอ็นดู

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยกันตรงนี้ก็ได้”

หญิงสาวรับไปแล้วเริ่มสอดแท่งพลาสติกใส่กับผ้าเต็นท์ การร่วมแรงร่วมใจและช่วยกันในสิ่งเล็กน้อยดูเหมือนจะสร้างรอยอุ่นซ่านขึ้นในใจทั้งสองมากมาย หากแต่กลับไปเพิ่มแรงร้อนรุ่มในกายของอีกคนจนทนไม่ไหวต้องรีบลุกขึ้นมาแทรกกลาง

“หัวหน้าครับผมทำเองดีกว่า หัวหน้าไม่น่าจะมาลำบากเลย”

วนาสณฑ์ถอนใจเมื่อบรรยากาศดีๆ ยามเย็นย่ำท่ามกลางราวป่ารกถูกขัด ทิวาไม่คิดจะทำอะไรที่เป็นการเริ่มต้นด้วยตัวเองเลยหรือ พอเห็นเขาทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับฝากฟ้าถึงต้องคอยตามมาขัดคอทีหลังอยู่เรื่อย

“ไม่เป็นไรหรอกทิวา ถ้าคุณอยากช่วยผมว่าคุณไปช่วยจ่าแก้วจ่าขวดแล้วก็เบ้งทำกับข้าวดีกว่า”

ทิวาทำหน้าเหมือนถูกไล่ให้เดินเข้ากองไฟ “ผมทำไม่เป็น ที่บ้านผมมีคนรับใช้”

หัวหน้าสนกลั้นหัวเราะได้ก่อนจะหลุดเสียงออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะพาด็อกเตอร์อลันไปอาบน้ำให้เรียบร้อย ผมจะให้คนของผมพาไป กลับมาแล้วจะได้เตรียมเสวย เอ๊ย...กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องลำบากมือจะได้ไม่เปื้อนเขม่าไฟ”

ทิวาหน้าตึง รู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายแขวะเข้าให้ นึกในใจว่าเห็นนิ่งๆ แต่ร้ายไม่ใช่เล่น แต่เรื่องอะไรที่จะทิ้งปลาย่างไว้ให้กับแมว

“เอาอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน ฝากจ๊ะไปด้วยกันนะ”

วนาสณฑ์หันขวับไปมองหน้าคนถูกชวน พลางรอคอยคำตอบขณะที่มือยังทำงานอยู่

“พี่ทิวาไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฝากจะไปกับฝนทีหลัง ค่อยทยอยกันไป”

โล่งไปที นึกว่าจะไปตามคำชวน รอยยิ้มเกลื่อนทั่วใบหน้าของป่าไม้หนุ่ม

“โอเค...พี่ไปก่อนก็ได้ ไปสำรวจที่ทางก่อน กลับมาแล้วจะพาฝากไป”

มือสีแทนที่กำลังถือไม้ชะงักกึก อึดใจก็ตอกลงบนสมอเต็นท์อย่างแรง

“มันจมมิดแล้วนะคะพี่สน จะตอกไปถึงไหน” เสียงใสทำให้เขายั้งมือ หันไปยิ้มเก้อๆ เผลอค้อนให้กับร่างที่เพิ่งเดินออกไป แต่ไม่วายจะบอกตามหลังในใจว่า ฝันไปเถอะ !

“พี่กลัวมันไม่อยู่”

“ขอบคุณพี่สนมากเลยนะคะที่กางเต็นท์ให้ ฝากนี่แย่จัง ที่นอนตัวเองแท้ๆ ยังให้คนอื่นมาช่วยทำให้อีก ถ้าแม่รู้เข้าคงจะดุแน่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ช่วยเพราะเราเป็นผู้หญิง”

คำพูดของเขาทำให้ฝากฟ้านึกถึงอาจารย์สาวคนนั้น จริงสินะ เวลาอาจารย์แป้งเข้าป่ามากับพี่สนก็คงได้ช่วยเหลือกันแบบนี้ไม่เห็นจะแปลกเลย ความคิดนั้นปิดกั้นความรู้สึกดีๆ ที่กำลังจะโลดแล่นให้ชะลอแล้วนิ่งสนิท


                                 *****************


“ทำอะไรจ๊ะน้องฝน”

ดิตถ์เดินไปหาข้าราชการป่าไม้ที่ตอนนี้กำลังสาละวนกับกระบอกไม้ไผ่ที่อิงกับราวไม้เหนือเตาไฟที่ก่อขึ้นแบบง่ายๆ ฝนทองหันมามองแวบหนึ่งแล้วตอบเสียงเรียบว่า

“ลองหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ค่ะ”

“ฮื้อ...เก่งจัง ทำเป็นด้วย แม่ศรีเรือนอย่างนี้มีคนรับไปเป็นแม่บ้านหรือยังเอ่ย”

“มีไม่มีไม่เห็นเกี่ยวกับพี่ผู้กองเลย”

“เป็นงั้นไป เรารึอุตส่าห์จะขอตัวไปเป็นแม่บ้านให้หน่อยเพราะบ้านพี่ขาดคนหุงข้าว อยากให้เจ้าเป็นคนช่วยหุง”

ฝนทองเม้มปากหันไปทำตาขุ่นเขียวใส่คนที่พูดเป็นทำนองเพลง นึกขันก็ปานนั้น นึกฉิวก็ไม่น้อย หน็อย...เมื่อบ่ายนี้ยังพูดให้เธอรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อย เธอยังไม่ลืมง่ายๆ หรอกนะ จะมาทำก้อร่อก้อติกด้วยหรือว่าจะมากวนโมโหอีกล่ะ แต่จะมาไม้ไหนเธอก็อดไม่ได้ที่จะรวน

“มัวแต่เอาเงินเดือนไปละลายในผับในบาร์หรือคะถึงไม่ยอมเอาเงินไปจ้างแม่บ้าน”

“เปล่านา...พี่หมายถึงแม่บ้านที่ทำหน้าที่ทุกอย่างน่ะ ทุกอย่างจริงนะ แบบว่า...”

“รู้แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเกือบเป็นแหว หน้าแดงแช๊ดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “แต่ยังไม่คิดอยากไปเป็นแม่บ้านให้ใคร”

“จ้ะ จ้ะ ไม่อยากเป็นตอนนี้ก็ไม่เป็นไรนะ ว่าแต่ใกล้สุกยัง ชิมได้ไหม จะได้พิสูจน์ฝีมือว่าดีพอหรือเปล่า อืม...แม่บ้านแม่เรือนน่ารักน่าชังอย่างนี้ใครไม่สนใจรับไปดูแลบ้านดูแลหัวใจก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว คนนั้นคงตาบอดหรือไม่ก็ผิดปกติ”

ฝนทองไม่รู้จะขำหรือจะฉุนคนที่ทำเป็นรำพึงกับตัวเองนั่นดี

“ว่างเหรอคะ” เธอถามเขา

ดิตถ์พยักหน้า “ทำไมหรือ”

“ช่วยดูข้าวในกระบอกไม้ไผ่นี้ต่อทีนะคะ ฝนจะไปอาบน้ำ”

“อ้าว แล้วจะไปกับใคร ใครจะพาไป” ผู้กองหนุ่มจับกระบอกไม้ไผ่ที่กำลังจะล้มลงเกือบไม่ทัน

“ไปกับฝากค่ะ ให้พี่สนพาไป”

“เอ๊า แล้วอย่างนี้นายสนจะไม่ได้เห็นคนเดียวหรือ”

“เห็นอะไร” ฝนทองหันมาแว๊ด

“เปล่าๆๆ พี่หมายถึง...เห็นห้วยน่ะ” ในที่สุดก็แถไปจนได้

คู่กรณีหันมาตีหน้ายักษ์ใส่  เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ให้กับจ่าแก้วและจ่าขวดที่นั่งฟังและนั่งมองนานแล้ว

“หัวเราะอะไรจ่า”

“ดูผู้กองจะชอบแหย่หนูฝนทองนะครับ” จ่าแก้วเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะรินน้ำสีอำพันจากขวดแบนใส่แก้วใบเล็กที่นำติดตัวมาด้วยยื่นให้ผู้กองดิตถ์

“ไม่รู้สิ อยากแหย่เล่นเฉยๆ ก็เลยหาเรื่องเปิดประเด็นไปอย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มรับมาถือไว้

“ระวังนะครับ จิกกันไปกัดกันมา รักกันไม่รู้ตัว” จ่าขวดเสริมขึ้นบ้าง

ผู้กองดิตถ์เหลือบตามองไปยังคนที่อยู่ในวงสนทนาพลางยิ้มอย่างหมายมาด “แล้วจ่าว่าเขาดูเป็นไง”

“ก็ดีนะครับ อาจจะอายุห่างกับผู้กองไปหน่อยแต่ก็น่ารักดี ดูเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ไม่เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนของผู้กองที่วิ่งแจ้นเข้าหาและเทียวหว่านเสน่ห์ให้” จ่าแก้วตอบ

จากการทำงานกับผู้กองรูปหล่อคนนี้มานานทำให้จ่าแก้วพอจะรู้นิสัยอยู่บ้างว่าเป็นคนเจ้าชู้เสน่ห์แรงไม่เบา ไปทำงานที่ไหนเป็นต้องมีสาวติดกันตรึม นี่ถ้าในป่ามีสัญญาณโทรศัพท์และอยู่ในช่วงว่างจากการทำงานล่ะก็ เขาเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาของเขาคนนี้คงรับโทรศัพท์จนหูไหม้แน่

“แต่ระวังหน่อยก็แล้วกันนะครับผู้กอง” จ่าขวดพูดขึ้นสีหน้ายิ้มๆ

“อะไรหรือ”

“ถ้าตกล่องปล่องชิ้นกันจริงๆ คงได้ร้องเพลง มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย...”

ดิตถ์สำลักน้ำสีอำพันจนตาแดง เมื่อเพลงที่เคยร้องล้อวนาสณฑ์เมื่อวานถูกนำกลับมาเล่นงานตัวเองเข้าให้เสียแล้ว


                                *****************


เสียงน้ำตกกระทบหินดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวนาสณฑ์พาสองสาวเดินไปยังลำธารตามที่พรานอ่องท่ายบอกเพื่ออาบน้ำ รอบบริเวณมืดสลัว เห็นเพียงเงาตะคุ่มของต้นไม้ใหญ่ เสียงก้าวเดินของแต่ละคนดังสวบสาบ คนที่เดินนำหน้าจะร้องเตือนมาเป็นระยะแม้ว่าฝนทองซึ่งเดินรั้งท้ายจะมีไฟฉายอยู่ในมือก็ตาม

กระทั่งไฟฉายสาดให้เห็นลำธารกว้างประมาณสามเมตร คนนำทางจึงเอ่ยขึ้นว่า

“อาบตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่จะดูต้นทางให้ มีอะไรก็เรียกได้ทันที” ว่าแล้วก็เดินตรงไปยังขอนไม้ล้มอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกทีหนึ่ง

“ห้ามแอบดูนะคะพี่สน” ฝนทองแซว

“ไม่แอบหรอกจะดูตรงๆ นี่ล่ะ”

คนที่เดือนร้อนเห็นจะเป็นอีกคน ชายหนุ่มเห็นเจ้าหล่อนค้อนขวับทันควันจนเผลอยิ้มออกมา

“พูดอย่างนี้แสดงว่าตอนที่อาจารย์แป้งมาด้วยคงจะอาบน้ำด้วยกันล่ะสิ นี่คงเห็นว่าเราเป็นน้องกันใช่ไหมถึงได้ทำเป็นพี่ที่ดีดูต้นทางให้” ฝนทองแกล้งว่า

“บ้า ใครจะทำแบบนั้นกัน ผีป่าได้เอาตาย ไป ไปอาบน้ำได้แล้ว”

พอสองสาวเดินคุยกันไปอีกทางหนึ่งซึ่งคงคิดว่าหลบพ้นสายตาคนดูต้นทางอย่างเขาแล้ว วนาสณฑ์ก็เอาปืนเอชเควางพาดบนตักก่อนจะเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่และหลับตาลงตั้งใจว่าจะฟังเสียงธรรมชาติเงียบๆ สักครู่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งลืมตาเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขาใจหายวาบเมื่อมีเสียงกรีดร้องดัง

“กรี๊ด”

                   ****************

จากคุณ : permanent stream
เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 54 08:17:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com