Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 3. ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11272939/W11272939.html


ทักทายครับ

ขอบคุณน้อง  manimontra ที่ช่วยส่งข่าวครับ ^___^

ตอนนี้อพยพหนีน้ำมาอยู่ต่างจังหวัด ที่นี่ไม่มีคอมพ์ใช้ มีแต่มือถือ แต่ถึงจะเล่นเวบได้
แต่สัญญาญาณ EAGE ของค่ายกังหันลม เดี๋ยวมีเดี๋ยวต่อไม่ติด ค่อนข้างช้าด้วย

ดีที่มีร้าน net หลายร้านเดินมาไม่ไกล คงออกมาอาทิตย์ละสัก 2 ครั้งครับ
คาดว่าอย่างน้อยคงอีก 1 เดือนกว่าจะได้กลับกรุงเทพ  
ช่วงนี้ก็เขียนนิยายใส่สมุดไว้ก่อน กลับบ้านค่อยพิมพ์


ขอบคุณ คุณ Mnemosyne กับน้อง manimontra ที่ให้ Give ครับ

scottie : จะทันไหมใกล้จะเฉลยแล้วครับ ^__^


******************************************************************************


รัตติกาลยังคงไร้เดือนดาว นภามืดมิดอนธการ สรรพสำเนียงแห่งขุนเขาลำเนาไพร่กู่ก้องร้องรับแสงแห่งราตรี

หานอี้ซินโผพุ่งร่าง ใช้วิชาตัวเบาดุจเหินบิน โลดละลิ่วนำทางอยู่เบื้องหน้า นางก็เร่งฝีเท้าเต็มที่ตามติดกระชั้นชิดด้วยรู้ดีว่า บุรุษหนุ่มผ่อนฝีเท้ารั้งรอให้นางติดตามทัน บาดแผลที่ไหล่แม้ทุเลาดีขึ้นด้วยยาของหานอี้ซิน ทว่ายามนี้กลับเริ่มปวดแปลบเป็นระยะ

เกือบสองชั่วยามแล้วนับจากออกเดินทาง ทั้งนางและบุรุษร่างใหญ่ต่างแต่งชุดดำปกปิดหน้าตา หานอี้ซินมิได้บอกจุดหมายปลายทาง หากนำทางผ่านขุนเขาแมกไม้อย่างชำนาญ ราวคุ้นเคยพื้นที่แถบนี้กระจ่างดุจฝ่ามือตนเอง

แม้นางไม่มีโอกาสได้ออกนอกเมืองบ่อยครั้ง ซ้ำไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ละแวกนี้ แต่ถ้ายึดแนวเทือกเขาเจ็ดดารา อันมียอดเขาเทพธิดาตระการโดดเด่นเป็นหลัก ทิศเหนือของแนวเขาคือทะเลสาบมังกรสวรรค์ ทางตะวันออกคือเส้นทางถนนซึ่งนางใช้ควบม้าออกจากเมืองหนานสุ่ย ทางตะวันตกเชื่อมต่อแม่น้ำซึ่งเป็นแขนงของลำน้ำจินหลง คืนก่อนนางถูกซุ่มจู่โจมที่แม่น้ำสายนี้เอง

ทิศที่หานอี้ซินมุ่งหน้าตรงไปคือทางใต้ของเทือกเขาเจ็ดดารา

นางจำได้ว่าในแผนที่ระบุไว้ บริเวณนั้นเป็นที่ลุ่มชื้นแฉะเรียกว่าบึงภูตจันทรา เนื่องเพราะพื้นที่แถบนั้นมีสภาพลาดต่ำ แม่น้ำแขนงสาขาต่างๆ ของลำน้ำจินหลงจึงเอ่อเข้าท่วมขังตลอดชั่วนาตาปี ไม่สามารถเพาะปลูกทำเกษตรกรรมหรือพักอาศัยอยู่ได้ พื้นที่กว้างไพศาลทั้งหมดกลายสภาพเป็นบึงใหญ่น้อยสุดคณานับ ทั้งมีบ่อโคลนดูดลึกสุดหยั่งกระจายอยู่ทั่วไป

เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ในบึงภูตจันทราหรือ...
สถานที่เช่นนั้นใช้หลบซ่อนตัวได้อย่างไร...

นางครุ่นคิดถึงตรงนี้ยิ่งขุ่นเคืองหานอี้ซิน ก่อนออกเดินทางไม่ว่าซักไซ้สอบถามอย่างไร บุรุษร่างใหญ่ไม่ยอมปริปากบอกว่าเถียนฟู่โหย่วอยู่ที่ไหนกันแน่ เพียงบอกจะนำทางไปเอง นางพยายามสอบถามว่าได้ข่าวจากไหนเชื่อถือได้หรือไม่ หานอี้ซินกลับกล่าวว่าหากไม่เชื่อถือก็ไม่ต้องตามมา

น่าแค้นใจนัก...ไม่มีใครกล้าอวดดีกับนางเช่นนี้มาก่อน ซ้ำขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นก่อนออกเดินทางยังมีเรื่องน่าขุ่นเคืองเกิดขึ้นอีก!

มื้อเย็นก่อนพลบค่ำยังคงเป็นอาหารพื้นเพ หานอี้ซินจับปลาจากลำธารหลังบ้านหลายตัว เก็บเห็ดกับหน่อไม้จากในป่า ทั้งหมดถูกปรุงเป็นปลาเผาหอมกรุ่น น้ำแกงปลาต้มกับเห็ดและหน่อไม้ ข้าวหอมกรุ่นพูนชามยังคงเป็นข้าวหอมเซียงเซียง

เพราะความอ่อนเพลียนางจึงหลับใหลครึ่งค่อนวัน ตื่นขึ้นหานอี้ซินก็ตั้งโต๊ะอาหารมื้อเย็นแล้ว นางลงมือรับประทานโดยไม่เกรงใจ มิแน่ว่าก่อนเที่ยงวันพรุ่งอาจไม่มีอาหารตกถึงท้องอีก หรือหากภารกิจคืนนี้ล้มเหลว นี่คงเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนาง...

จะอย่างไรรับประทานข้าวเซียงเซียงเป็นมื้อสุดท้ายก็นับว่าไม่เลว...

รับประทานเสร็จสิ้น นางอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามอีกครั้ง
“ท่านนำข้าวเซียงเซียงเป็นเสบียงด้วยทุกครั้งหรือ”

หานอี้ซินยังก้มหน้าก้มตารับประทาน กล่าวตอบเพียง
“บอกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่คุ้นกับข้าวภาคใต้”

นางยังอดมิได้ต้องเอ่ยถามต่อ
“ท่าน...เหตุใดจึงปรุงอาหาร...”

หานอี้ซินส่ายหน้า ท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญ ตัดบทตอบว่า
“บอกท่านแล้วว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อครัว”

นางบันดาลโทสะ แทบจะขว้างชามข้าวใส่หน้าหานอี้ซินอีกครั้ง คนผู้นี้ช่างเฉไฉยอกย้อนยิ่งนัก หากไม่คิดตอบคำถามใด สอบถามเท่าไหร่ก็ไม่เปิดปากบอกความจริง

นางมองรอยแผลเป็นบนใบหน้า แล้วเอ่ยถามว่า
“หลังเหตุการณ์ช่องเขาประตูสวรรค์...ท่านไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด”

“ผู้ภักดีต่อท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นมีอยู่มากมาย สหายเหล่านั้นช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้”

นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยถามต่อ
“ห้าปีนี้...ท่านเพียงคิดแก้แค้นหรือ...”

หานอี้ซินแค่นเสียงเฮอะ กล่าวว่า
“ถูกต้อง! ศึกสงครามแก่งแย่งชิงดินแดนอันใด ไม่อยู่ในความสนใจของข้าพเจ้าอีกแล้ว...”

จู่ๆ น้ำเสียงบุรุษร่างใหญ่แปรเปลี่ยนคล้ายเยาะหยัน
“แล้วฝ่ายท่านเป็นอย่างไร...ที่สุดสถานการณ์โดยรวมกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง...”

บุรุษหนุ่มหยุดทอดถอนใจ เสียงทุ้มหนักเจือแววหดหู่
“หลังท่านแม่ทัพจูกัดจิ้นถูกประหาร พวกท่านเร่งระดมพลบุกขึ้นเหนือ คิดใช้ช่วงเวลาขณะกองทัพของเรากำลังระส่ำระสายชิงความได้เปรียบ แม้ในตอนแรกคล้ายจะประสบความสำเร็จ เกือบยึดเมืองเป่ยสุ่ยคืนได้ แต่แล้วท้ายสุดพวกท่านก็ล้มเหลว…”

นางนิ่งอึ้ง ข้าวหอมนุ่มละมุนกลับฝืดคอขึ้นทันที เนื่องเพราะสิ่งที่หานอี้ซินกล่าวล้วนถูกต้อง...

หลังได้ข่าวแน่ชัดว่าจูกัดจิ้นถูกประหาร ท่านแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายเรียกระดมพลครั้งใหญ่ สั่งยกกองทัพทั้งหมดบุกขึ้นเหนือ ระยะแรกของการศึกใช้เวลาไม่นานก็สามารถล้อมเป่ยสุ่ยได้ หากยึดได้เป่ยสุ่ยด้วยชัยภูมิที่ดีย่อมสามารถรุกต่อเนื่องบุกยึดดินแดนลุ่มน้ำลู่หลง อันเป็นที่ราบกว้างใหญ่ตอนกลางของมหาอาณาจักร และหากกระทำสำเร็จโอกาสที่จะชิงแผ่นดินทั้งหมดคืนก็มิใช่ความฝันอีกต่อไป

ทว่าในยามจวนเจียนจะตีเป่ยสุ่ยแตก ฝ่ายกบฏกลับปรากฏแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘หวังซิงเหอ’

หน่วยข่าวรวบรวมข้อมูลได้ความว่า หวังซิงเหอเดิมเป็นราชองครักษ์ของเฉินเทียนหราน ในยามคับขันเกือบเสียเป่ยสุ่ย หวังซิงเหออาสานำกองทัพจากเมืองหลวง ยกออกไปช่วยคลายวงล้อมกู้เมืองยุทธศาสตร์สำคัญกลับคืน

เพียงเริ่มศึกชิงเป่ยสุ่ย หวังซิงเหอก็แสดงความสามารถอันโดดเด่น แม่ทัพหนุ่มวางแผนการรบมิได้ด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย หลังต้านยันช่วงชิงความได้เปรียบอยู่หลายต่อหลายครั้ง ที่สุดหวังซิงเหอใช้ทัพพิสดาร วางแผนเหนือคาดหมายแก้วงล้อมให้เป่ยสุ่ยได้สำเร็จ

หวังซิงเหอดำเนินแผนต่อเนื่อง ด้านหนึ่งเสริมกำลังปกป้องเป่ยสุ่ยจนแข็งแกร่ง อีกด้านส่งหน่วยจรยุทธ์ลอบตัดเสบียง ทำลายเส้นทางส่งอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างได้ผล การศึกยืดเยื้อเหล่าทหารเริ่มขาดแคลนทั้งเสบียงและอาวุธ ที่สุดแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายจำต้องถอยทัพข้ามลำน้ำจินหลงกลับสู่หนานสุ่ย

ศึกชิงเป่ยสุ่ยครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดได้เปรียบกว่าใคร ไม่มีผู้แพ้ ไม่มีผู้ชนะ...
มีเพียงซากศพทหารนับหมื่นของทั้งสองฝ่าย ทิ้งร่างไร้วิญญาณเป็นประจักษ์พยานแห่งสงคราม...

หวังซิงเหอสามารถรักษาเมืองเป่ยสุ่ยไว้ได้ เฉินเทียนหรานย่อมปีติยินดียิ่ง ปูนบำเหน็จแต่งตั้งแม่ทัพหนุ่มขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่สยบทักษิณ ถืออำนาจบัญชาการทหารแทบเทียบเท่าจูกัดจิ้นในอดีต

หลังศึกครานั้น สงครามกลับมาสู่สภาพต้านยันกันอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายไม่อาจยกทัพบุกขึ้นเหนือได้อีก แต่หวังซิงเหอก็ไม่สามารถยกทัพข้ามลำน้ำจินหลงรุกลงมาได้

นางทอดถอนใจ...กำจัดจูกัดจิ้นได้แล้วอย่างไร...
หากกำจัดหวังซิงเหอได้...จะไม่มีแม่ทัพผู้สามารถขึ้นมาแทนหรือ...
หรือความหวังที่จะรวมมหาอาณาจักรเทียนหมิงเป็นเพียงความฝัน...

ทันใด เสียงทุ้มหนักของหานอี้ซิน ดึงนางกลับจากภวังค์ห้วงความคิด สู่รัตติกาลอันมืดมิดเบื้องหน้า
“เรื่องที่ท่านเดินทางออกจากหนานสุ่ยมีใครรู้บ้าง” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามโดยมิได้หยุดยั้งชะลอฝีเท้า

คำถามของบุรุษร่างใหญ่แทบทำให้นางหยุดชะงัก ทว่าสัมปชัญญะยังสั่งการให้ละลิ่วร่างตามติดหานอี้ซิน นางย่อมเข้าใจความหมายในคำถามของบุรุษเบื้องหน้า

ในกองทัพเมื่อมีไส้ศึกเรื่องที่นางออกจากหนานสุ่ย ทั้งที่ควรจะเป็นความลับก็จะมิใช่ความลับอีกต่อไป!

น้ำเสียงเคร่งขรึมของหานอี้ซิน เอ่ยอีกประโยค
“นักฆ่ากลุ่มนั้นดักรอจู่โจมท่านระหว่างเดินทางใช่หรือไม่”

ยามนี้นางเอ่ยตอบน้ำเสียงเครียด เริ่มได้คิดแล้วว่านี่เป็นเรื่องราวใด แต่ยังย้อนถามบุรุษหนุ่มกลับว่า
“ท่านคาดเดาเรื่องราวได้แต่แรก...อย่างนั้นเหตุใดไม่บอกข้าพเจ้าแต่แรก!”

หานอี้ซินหัวร่อเบาๆ ในลำคอ กล่าวว่า
“บอกท่านแล้วมีประโยชน์อันใด เฮอะ ธิดาแม่ทัพไหนเลยออกมาสืบหาไส้ศึกด้วยตัวเอง นอกเสียจากท่านจะได้ข่าวที่เชื่อถือได้บางอย่างทำให้มั่นใจว่า การออกนอกเมืองครั้งนี้จะจับตัวไส้ศึกได้ ทว่าข่าวที่ท่านได้รับก็เป็นเพียงข่าวลวงอีกชิ้นหนึ่ง ท่านคิดเพียงจะหาตัวไส้ศึกให้ได้ ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าตัวเองเข้าสู่หลุมพรางของศัตรูแล้ว!”

นางกัดฟันกรอด นอกจากบิดาใครเลยจะกล้าวิพากษ์นางเยี่ยงนี้!
กระนั้นยามนี้นางได้แต่นิ่งงัน เนื่องเพราะไม่อาจหาอันใดมาโต้แย้งได้...

นางผลุนผลันออกจากหนานสุ่ยด้วยความร้อนใจ หมายมั่นปั้นมือต้องเปิดโปงผู้เป็นไส้ศึกให้ได้ มิคาด เพียงพ้นจากเส้นทางถนนสายหลัก มุ่งหน้าตะวันตกสู่หนึ่งในแขนงสาขาของลำน้ำจินหลง กลับถูกซุ่มโจมตีไล่ล่ากระทั่งไปพบกับหานอี้ซินกลางลำน้ำ

บุรุษร่างใหญ่ยังกล่าวต่ออย่างเฉื่อยชา
“ข้าพเจ้าไม่คิดจะคุยเรื่องนี้กับท่านก่อนออกเดินทาง เพราะถึงอย่างไรแผนการคืนนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเราต้องตามหาตัวเถียนฟู่โหย่วให้ได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเงื่อนปมทั้งหมดอยู่ที่คนผู้นี้ แต่ที่ต้องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นเพราะต้องการให้ท่านระวังตัวให้มาก...”

น้ำเสียงหานอี้ซินยิ่งกล่าวยิ่งจริงจังเคร่งเครียด
“บรรดาสายลับ เหล่ามือสังหารของเฉินเทียนหรานซึ่งแฝงตัวอยู่ทางฝั่งนี้ ย่อมทราบข่าวว่าท่านออกจากหนานสุ่ยเพียงลำพัง ทั้งหมดคงกำลังติดตามไล่ล่าจับกุมตัวท่าน สถานการณ์ของท่านล่อแหลมอันตรายยิ่ง หากถึงคราวคับขันไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด หนีเอาตัวรอดอย่าให้ถูกจับกุมได้อย่างเด็ดขาด”

นางยิ่งรับฟัง ยิ่งตระหนักถึงอันตรายที่มิได้คาดคิดมาก่อน ยามนี้ได้แต่รับคำแผ่วเบา
“ข้าพเจ้าจะระวังตัวให้มาก…แต่ขอให้ท่านทราบไว้ หากต้องตัดสินใจอีกครั้ง ข้าพเจ้ายังคงตัดสินใจเช่นเดิม...”

บุรุษร่างใหญ่แค่นเสียง ราวเบื่อหน่ายความดื้นรั้นของนางเต็มที

นางกล่าวต่อ ไม่สนใจสุ้มเสียงเช่นนั้น
“เหล่าแม่ทัพตัดสินใจต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ข่าวหน่วยจู่โจมของหวังซิงเหอลักลอบข้ามลำน้ำจินหลง ขึ้นไปหลบซ่อนบนเทือกเขาเทียมเมฆาเป็นจริงหรือเท็จ และครั้งนี้จะมิใช่ส่งหน่วยขนาดเล็กออกปฏิบัติการ ทั้งหมดตัดสินใจส่งกองทหารเข้าโอบล้อมเขาเทียมเมฆา หากเป็นข่าวจริงก็หมายจะล้อมจับพวกมันทั้งหมด ทว่าถ้าเป็นหลุมพรางกับดัก บรรดาแม่ทัพต่างเชื่อว่าด้วยกำลังพลที่ส่งเข้าไป จะอย่างไรก็ยังเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอักโข”

บุรุษหนุ่มแค่นเสียงในลำคออีกครั้ง เอ่ยถามเสียงราบเรียบ
“ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายคิดเห็นอย่างไร”

นางทอดถอนใจ กล่าวว่า
“บิดาไม่เห็นด้วยกับแผนนี้ เพราะหากฝ่ายตรงข้ามวางกับดักหลุมพรางไว้ ไม่มีหลักประกันอันใดว่ากองกำลังขนาดใหญ่จะมีเปรียบในสถานการณ์เช่นนั้น ยิ่งส่งกองกำลังเข้าไปมากการสูญเสียจะเพิ่มเป็นทวีคูณ แต่ในเมื่อทั้งหมดเห็นตรงกัน บิดาย่อมไม่อาจคัดค้านได้”

น้ำเสียงนางแฝงแววเด็ดเดี่ยว ความทระนงมั่นใจเปี่ยมล้น
“ข้าพเจ้าจะไม่ยอมสูญเสียทหารเพราะแผนการเช่นนี้! ขอเพียงมีเบาะแสเล็กน้อย ข้าพเจ้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าข่าวสารชิ้นนี้จริงหรือเท็จ และมันผู้ใดเป็นไส้ศึกขายพวกเราให้เฉินเทียนหราน!”

บุรุษหนุ่มรับฟังจบสิ้น คล้ายเงียบงันไปครู่ น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แปรเปลี่ยนอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“ใกล้ถึงที่หมายแล้ว...เบื้องหน้าคือบึงภูตจันทรา ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยบ่อโคลนดูดท่านระวังให้ดี วางตำแหน่งเท้าให้ตรงกับข้าพเจ้า อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด”

นางรับคำอืม เขม้นมองเท้าหานอี้ซินไม่วางตา ใช้วิชาตัวเบาโลดแล่นแผ่วพลิ้วประชิดติดตาม รอบตัวยามนี้โอบล้อมด้วยพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ ไอชื้นแฉะผสานกลิ่นเหม็นเน่าของซากทับถม โชยคละคลุ้งจากบึงใหญ่เบื้องหน้า กระแสอากาศคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งในฉับพลัน ลมหายใจเข้าออกแต่ละครั้งเริ่มอึดอัดคับข้อง บาดแผลที่ไหล่ยิ่งปวดแปลบกว่าเดิม

ยามราตรีเช่นนี้แทบไม่อาจแยกแยะได้ว่า จุดใดเป็นพื้นดินตรงไหนเป็นผิวน้ำ ยิ่งไม่อาจบอกได้บริเวณใดเป็นบ่อโคลนดูด ผืนน้ำผืนฟ้าดั่งกลืนหายเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงรัตติกาล สรรพสำเนียงทั้งมวลล้วนหยุดนิ่งสงัดงัน ราวกำลังย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนทมิฬอันปราศจากซึ่งสิ่งมีชีวิต

ฉับพลัน หานอี้ซินหันมากระซิบว่า
“ลึกเข้าไปเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยรอบเป็นดงไม้หนาทึบ พวกเราอาจถูกซุ่มโจมตีหากเข้าไปใกล้กว่านี้  เช่นนี้เถอะ...ไปหลบบนต้นไม้ใหญ่ก่อน ศึกษาสภาพพื้นที่รอดูสถานการณ์ ค่อยหาวิธีเข้าไปภายใน”

สิ้นประโยค พลิ้วร่างขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง

นางพยักหน้ารับคำ ทะยานร่างตามขึ้นไป หันไปกระซิบถาม
“เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”

หานอี้ซินกล่าวแผ่วเบา
“บึงภูตจันทรามิใช่เต็มไปด้วยหนองน้ำและบ่อโคลนทั้งหมด พื้นที่หลายจุดเป็นเนินดินขนาดเล็ก เกิดจากดินตะกอนทับถม เถียนฟู่โหย่วหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งกลางบึง”

“อย่างนั้นเราจะเข้าไปภายในได้อย่างไร…”

ทันใดนั้น หานอี้ซินรีบยกมือให้นางเงียบ ชี้ไปเบื้องหน้า ตรงหน้า ณ ขอบหนองน้ำปรากฏเรือขนาดเล็กลำหนึ่ง บนเรือมีคนนั่งพายเพียงคนเดียว เรือลำเล็กเช่นนี้สามารถแล่นบนผืนน้ำแคบตื้น จึงใช้ในหนองน้ำแห่งนี้ได้โดยสะดวก เรือลำนี้คล้ายเพิ่งลัดเลาะออกจากแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อกับบึงภูตจันทรา

นางพยายามเขม้นมอง ทว่าราตรีมืดมิดไร้เดือนดาวไม่อาจเห็นหน้าผู้นั่งอยู่บนเรือ แวบนั้นนางหมายกระโดดลงไปชิงเรือ แต่หานอี้ซินกลับฉุดรั้งแขนนางไว้ บุรุษร่างใหญ่ส่ายหน้าห้ามปราม ปล่อยให้เรือลำนั้นค่อยๆ เลาะเลี้ยวเข้าไปในหนองน้ำ

นางหันมาเสียงแหวใส่หานอี้ซิน
“ห้ามข้าพเจ้าทำไม!”

หานอี้ซินส่ายหน้าด้วยความระอา น้ำเสียงครียดกล่าวว่า
“ขณะนี้ท่านได้ยินสุ้มเสียงใดหรือไม่”

เมื่อเห็นนางส่ายหน้า บุรุษร่างใหญ่จึงกล่าวต่อว่า
“แต่ขณะเรือลำนั้นเข้าสู่หนองน้ำ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคล้ายนกร้อง!”

นางอุทานแผ่วเบา เข้าใจโดยพลัน
“มีการส่งรหัสสัญญาณหรือ! รอบหนองน้ำมีคนซุ่มอยู่จริงๆ!”

“หากไม่มีกำลังซุ่มอยู่จึงจะน่าแปลก รอจนกว่าเรือลำนั้นจะกลับมาเถอะ”

นางขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยถาม
“ท่านมีแผนการใดก็รีบบอก พวกเรามีเวลาเพียงสามชั่วยาม หาไม่จะไปส่งข่าวไม่ทัน”

“การสนทนาในสถานที่ลับ ไม่เจรจากันเนิ่นนานหรอก เชื่อข้าพเจ้าอีกเพียงครู่เรือลำนั้นจะกลับออกมา พวกเราไปดักรอทางด้านนั้นเถอะ” จบประโยค พลันทะยานร่างขึ้นสูงไปบนต้นไม้อีกต้นฝั่งตรงข้าม

นางขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าบุรุษร่างใหญ่มีแผนการใดในใจ แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นใด จำใจต้องทะยานร่างตามบุรุษหนุ่มไปหมอบซุ่มบนไม้ใหญ่ต้นเดียวกัน

รอคอยอย่างอดทนเกือบครึ่งชั่วยาม  หานอี้ซินช่างคาดการณ์แม่นยำจริงๆ เพลานี้เบื้องหน้า เรือลำเดิมกำลังออกจากหนองน้ำ ดูท่าจะลัดเลาะเข้าสู่แม่น้ำสายแคบเช่นเที่ยวมา เพียงครู่ก็มาถึงจุดที่นางและบุรุษหนุ่มซ่อนตัว

นางมองภูมิประเทศรอบด้านแล้วตัดสินใจทันที หากจับตัวคนที่อยู่บนเรือได้ ย่อมสามารถไต่สวนถามสภาพภายในหนองน้ำ…

ไม้ใหญ่ต้นซึ่งนางและหานอี้ซินใช้หลบซ่อนบังเอิญอยู่ในมุมอับ ฝ่ายตรงข้ามหากซุ่มซ่อนในดงไม้เบื้องหน้าเช่นที่บุรุษหนุ่มคาดเดา ไม่สามารถมองเข้ามาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างแน่นอน...

เพียงความคิดจบสิ้น พลันทะยานจากกิ่งไม้ มือข้างหนึ่งจี้ดรรชนีสกัดจุดผู้อยู่บนเรือ มืออีกข้างกางกรงเล็บตะปบข้อมือแย่งพายได้สำเร็จในกระบวนท่าเดียว!

ขณะกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง กลับได้ยินหานอี้ซินร้องเตือน
“หลงกลแล้ว! รีบหนีเร็ว!”

นางสะดุ้งเฮือก แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดหานอี้ซินจึงกล่าวเช่นนั้น ทว่าสัญชาตญาณสั่งให้ทะยานร่างออกจากเรือในฉับพลัน!

ทันใด เสียงเกาทัณฑ์สั้นแหวกฝ่าอากาศดังจากทุกสารทิศ!

เสี้ยวพริบตา ผู้อยู่บนเรือซึ่งถูกนางจี้สกัดจุดแผดร้องเสียงโหยหวน ทั้งร่างพรุนด้วยดอกเกาทัณฑ์ ส่วนนางทะยานร่างจากเรือทันท่วงที กลิ้งเข้าสู่แนวไม้หนาทึบด้านข้างรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

บัดนั้น นางหันขวับมองขึ้นไปบนต้นไม้ ทว่ากลับไม่เห็นร่างหานอี้ซิน ไม่ทราบบุรุษร่างใหญ่ยามนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว กระนั้นนางย่อมไม่ห่วงกังวลบุรุษหนุ่ม คนผู้นี้พลังฝีมือเหนือล้ำกว่านางอักโข เวลานี้เป็นตัวนางที่ต้องห่วงชีวิตตนเอง เกาทัณฑ์สั้นยังยิงจากทุกสารทิศดุจหยาดฝนเกลื่อนนภา!

ราตรีมืดมิดไม่อาจมองเห็นว่า ผู้ยิงเกาทัณฑ์สั้นหลบซุ่มซ่อนยิงทางทิศใด หากคำนวณจากลูกเกาทัณฑ์ถี่ยิบที่ยิงเข้าใส่ เหล่ามือสังหารที่ซุ่มจู่โจมควรมีราวสิบถึงยี่สิบคน เมื่อมองไม่เห็นพวกมันย่อมไม่อาจตอบโต้ ยามนี้มีแต่ต้องหลบหนีออกจากพื้นที่นี้ให้ได้ก่อน

ทันใด ทางด้านหลังบังเกิดเสียงร้องโอดโอยโหยหวน พริบตานั้นได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังระงมต่อเนื่อง เกาทัณฑ์ถี่ยิบที่ยิงใส่นางเบาบางลงทันที เป้าหมายของเกาทัณฑ์สังหารพลันแปรเปลี่ยน ทั้งหมดต่างมุ่งยิงไปยังทิศซึ่งบังเกิดเสียงร้องนั้น!

นางฉวยจังหวะ กลิ้งร่างซ่อนตัวหลังไม้ใหญ่อีกต้น สูดลมหายใจลึกยาวปรับลมปราณให้เป็นปกติ เวลานี้คล้ายไม่มีผู้ใดยิงเกาทัณฑ์มาที่นางแล้ว

นี่ต้องเป็นฝีมือของหานอี้ซิน เบี่ยงเบนความสนใจของเหล่ามือสังหารไปที่ตัวเอง...

ในดงไม้หนาทึบเบื้องหน้าห่างจากตำแหน่งที่นางซ่อนตัว เสียงเกาทัณฑ์สั้นแหวกอากาศยังดังต่อเนื่องสลับกับเสียงโอดโอยไม่ขาดระยะ ประกายดาบปะทะคมเกาทัณฑ์แวบแปลบปลาบ บุรุษร่างใหญ่กำลังล่อเหล่ามือสังหารให้ออกห่างจากจุดที่นางซ่อนตัวอยู่ เพลานี้คล้ายกำลังให้พวกมันมุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ของบึง

นางรีบใช้โอกาสนี้ทะยานร่างขึ้นต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง ทันใดบังเกิดเสียงกู่ร้องก้องจากกลางบึงภูตจันทรา เสียงกระแสลมแหวกอากาศจำนวนมากดังจากภายในหนองน้ำ เหล่ามือสังหารที่ซุ่มอยู่โดยรอบต่างกรูกันจากที่ซ่อนเข้ากลุ้มรุมหานอี้ซินโดยพร้อมเพรียง!

ยามนี้นางต้องตัดสินใจในฉับพลัน...จะทำอย่างไรดี
หนีเอาตัวรอดเช่นที่หานอี้ซินเตือนหรือ...ไม่! มาถึงขั้นนี้นางจะไม่กลับหนานสุ่ยมือเปล่าอย่างเด็ดขาด!
หรือนางควรเข้าไปช่วยบุรุษหนุ่มฝ่าวงล้อมเหล่ามือสังหาร...

ทว่าการลงมือสยบคนบนเรือในชั่วพริบตาเมื่อครู่ อีกทั้งต้องกลิ้งร่างหลายตลบเอาชีวิตรอดจากพายุเกาทัณฑ์ ทำให้บาดแผลที่ไหล่ถูกกระทบกระเทือนปวดแปลบยิ่งขึ้น

นางตระหนักแน่แก่ใจ แม้เข้าร่วมในวงต่อสู้ช่วยเหลือหานอี้ซิน ก็มิแน่ว่าจะได้เปรียบเหล่ามือสังหาร ดีไม่ดีนางจะเป็นตัวถ่วงบุรุษร่างใหญ่ด้วยซ้ำ

เสี้ยวพริบตา ความคิดพลันวาบเข้ามาในสมอง มือสังหารเหล่านี้ปกติต้องเฝ้าคุ้มกันผู้ที่หลบซ่อนอยู่กลางหนองน้ำ บัดนี้พวกมันติดตามไล่ล่าหานอี้ซิน อย่างนั้นเถียนฟู่โหย่วก็ปราศจากคนคุ้มกันแล้ว!

เร็วเท่าชั่วความคิด จำได้คลับคล้ายว่าเห็นเชือกเส้นใหญ่ปลายติดตะขออยู่บนเรือลำเล็ก นางรีบโผร่างพลิ้วทะยานกลับไปยังเรือลำนั้น

จริงดังคาด บนเรือมีเชือกใหญ่ปลายติดตะขอเส้นหนึ่ง นางหยิบเชือกคล้องไว้ที่แขน จากนั้นทะยานร่างโลดแล่นหลบเร้นไปตามกิ่งไม้ จากไม้ใหญ่ต้นหนึ่งสู่อีกต้นมุ่งหน้าตรงไปยังอีกฟากของหนองน้ำ ตรงข้ามกับทิศซึ่งหานอี้ซินหลอกล่อชักนำเหล่ามือสังหารไป

การณ์เป็นเช่นที่นางคาด มือสังหารเหล่านั้นติดตามไล่ล่าหานอี้ซินจนหมดสิ้น เพลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่รักษาการณ์รอบหนองน้ำแม้แต่คนเดียว ยิ่งเข้าสู่เขตหนองน้ำต้นไม้แต่ละต้นยิ่งทิ้งระยะห่างไกลกัน ไม่อาจใช้วิชาตัวเบาโลดแล่นทะยานข้ามไปมาได้

บัดนี้นางค่อยใช้เชือกปลายติดตะขอ เหวี่ยงเชือกไปเกี่ยวกิ่งไม้ใหญ่ โหนทะยานร่างเข้าสู่ในหนองน้ำกว้าง อาศัยการเหวี่ยงเชือกโหนกิ่งไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า พริบตาเดียวก็ทิ้งสุ้มเสียงการต่อสู้ไว้เบื้องหลังไกลโข

เมื่อแรกที่เข้าลึกในหนองน้ำกว้าง นางได้แต่ลังเลหันรีหันขวาง ไม่ทราบควรมุ่งไปยังทิศทางใดดี บึงภูตจันทรามีอาณาบริเวณไพศาลจริงๆ เข้าลึกสู่กลางบึงเช่นนี้ภูมิประเทศรอบด้านดูเหมือนกันไปหมด หากมิใช่นางจดจำตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าไว้แต่แรก ยามนี้คงจำแนกแยกทิศทางไม่ถูก

เวลาเหลือไม่มาก นางต้องเลือกแล้วว่าจะไปทิศทางใด...
ทันใด บังเกิดแสงไฟริบหรี่แวบจากกลางหนองน้ำ!
นั่นเป็นแสงเทียนหรือโคมไม่ผิดแน่!
นางไม่ขบคิดให้มากความ เหวี่ยงเชือกโหนทะยานรีบตรงไปยังตำแหน่งของแสงนั้นทันที

อึดใจเดียวจากแสงริบหรี่ ค่อยๆ เห็นเป็นแสงไฟสาดส่องจากโคมถนัดชัด พร้อมปรากฏรูปทรงสิ่งปลูกสร้างเล็กๆ คล้ายบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางหนองน้ำ

นางไหนเลยรั้งรออันใด รีบกระตุกดึงตะขอเกี่ยวกลับคืน หย่อนร่างลงพื้นหลังบ้านอย่างแผ่วเบา ดาบคู่มือหักสะบั้นตั้งแต่คืนก่อน ยามนี้อาวุธติดกายเหลือเพียงกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง

ประกายกระบี่สั้นวาบจากฝักกระชับมั่นในมือ นางพลิ้วร่างไปหลบซ่อนหลังหน้าต่างด้านข้าง พลันชะโงกหน้ามองเข้าไปภายในบ้านแวบหนึ่ง พบหลังหน้าต่างปรากฏเงาคนผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางห้องเพียงลำพัง

นางตัดสินใจในฉับพลันอีกครั้ง ฟาดฝ่ามือทะลายหน้าต่างพุ่งร่างเข้าไปในห้อง กระบี่สั้นพุ่งจ่อจี้คอผู้ที่นั่งอยู่กลางห้อง!

บัดนั้น ความหนาวเยือกบังเกิดขึ้นในใจนาง!
คนที่นั่งอยู่กลางห้องคือเถียนฟู่โหย่วจริงๆ  แต่คนผู้นี้เป็นคนตาย!
กระบี่สั้นเล่มหนึ่งปักกลางอกทะลุหัวใจ!
เกิดอะไรขึ้น...ผู้ใดสังหารเถียนฟู่โหย่ว...เหตุใดต้องฆ่าคนผู้นี้!

จากคุณ : big pigdaddy
เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 11:16:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com