Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 3. ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11267942/W11267942.html


ทักทายครับ

ขอบคุณน้อง  manimontra ที่ช่วยส่งข่าวครับ ^___^

ตอนนี้อพยพหนีน้ำมาอยู่ต่างจังหวัด ที่นี่ไม่มีคอมพ์ใช้ มีแต่มือถือ แต่ถึงจะเล่นเวบได้
แต่สัญญาญาณ EAGE ของค่ายกังหันลม เดี๋ยวมีเดี๋ยวต่อไม่ติด ค่อนข้างช้าด้วย

ดีที่มีร้าน net หลายร้านเดินมาไม่ไกล คงออกมาอาทิตย์ละสัก 2 ครั้งครับ
คาดว่าอย่างน้อยคงอีก 1 เดือนกว่าจะได้กลับกรุงเทพ  
ช่วงนี้ก็เขียนนิยายใส่สมุดไว้ก่อน กลับบ้านค่อยพิมพ์


ขอบคุณ คุณ  Mnemosyne, GTW, มานีโอลา, แก้วกังไส ที่ให้ Give ครับ

GTW : ฉาก สถานที่ เวลา ไม่ได้อิงสภาพภูมิศาสตร์จริงครับ

scottie : อ่านไปเรื่อยๆ จะหายมึนไหมครับเนี่ย ^_____^


**********************************************************************


‘เมธาปุระ’ เมืองเอกแห่งแคว้น ‘บูรพประเทศ’ แม้ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของกระแสธารานิศาอัมพุ ทั้งมีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ริมฝั่งมหานที กระนั้นอาทิตย์ยามเที่ยงวันยังแรงกล้าร้อนระอุ

บุลินเร่งรุดเดินทางถึงท่าหลวงด้วยความกระหยิ่มใจ มายากรหนุ่มเดินด้อมๆ มองๆ อยู่สักพัก ในที่สุดก็พบเรือซึ่งมีรูปร่างลักษณะ ตรงกับนาวาเขี้ยววายุที่เคยรับรู้มา...

บนท่าเทียบริมฝั่งข้างเขี้ยววายุ ปรากฏกองเกวียนบรรทุกสินค้าหลายสิบเล่ม จอดเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียด ดูท่าเที่ยวนี้สินค้าที่เหล่านายวานิชจ้างวาน ให้นำไปส่งยังพุทธินครามีปริมาณมากโข บนเกวียนกว่าครึ่งบรรทุกเครื่องถ้วยชามงามประณีต พับผ้าแพรพรรณสีสดใส หนังสัตว์สมุนไพรหายากหลากหลายชนิด สินค้าประดามีทั้งเครื่องประดับสตรี ทั้งเครื่องมือการเกษตรนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ยังมีเกวียนหลายเล่ม บรรจุสินค้าส่งออกอันเลื่องชื่อที่สุดของเมธาปุระ อันได้แก่ตำรับตำราทุกแขนง หนังสือวิชาความรู้ทั่วไป คัมภีร์บทสวดภาวนามากมาย ตลอดถึงบันทึกตำนานแห่งอรุณวดีมหาทวีปและอาณาจักรแห่งแคว้นทั้งสี่ เหล่านี้ย่อมเป็นผลงานของบรรดาปราชญ์แห่งเมธาปุระ

พวกลูกเรือกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น กลุ่มหนึ่งตรวจนับสินค้าบนเกวียน อีกกลุ่มบรรจุสินค้าที่ตรวจนับถูกต้องลงหีบลังผูกมัดอย่างแน่นหนา ส่งต่อให้อีกกลุ่มขนย้ายลำเลียงหีบลังเหล่านี้ลงเรือ

ข้างขบวนเกวียนมีชายสูงวัย ร่างสูงโปร่งผอมบางผู้หนึ่ง อายุควรร่วมเจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับยังแข็งแรงกระฉับกระเฉง ยืนสั่งการบรรดาลูกเรือด้วยเสียงอันดัง ไม่ต้องให้ใครบอก บุลินก็รู้ในทันทีว่านั่นคือเฒ่าเวทิต...

ชายหนุ่มย่อมไม่ลืมว่า คืนนี้จันทราจะเต็มดวงเป็นราตรีแรก ดังนั้นต้องล่องฝ่าผ่านห้วงดารานาถ ก่อนที่จันทราเต็มดวงจะปรากฏกลางนภา ไม่เช่นนั้นต้องรออีกสามทิวาราตรี ให้ห้วงน้ำบรรเทาความเชี่ยวกรากเสียก่อน ค่อยสามารถฝ่าผ่านห้วงน้ำวนมหึมาได้อย่างปลอดภัย

ฉะนั้น เขี้ยววายุต้องออกจากท่าหลวงให้ได้ก่อนพลบค่ำ เหตุนี้มายากรหนุ่มจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวนยามเฒ่าเวทิตกำลังเร่งรีบทำงาน ได้แต่เฝ้าเมียงมองดูอยู่ห่างๆ

หลังอดทนรอจนบ่ายคล้อย เหล่าลูกเรือขนสินค้าลงเรือเสร็จสิ้น เหลือเพียงรอให้ข้าหลวงตรวจการประจำท่าเรือหลวง ตรวจความเรียบร้อยของสินค้าอีกครั้ง เพื่อประทับหนังสือรับรองว่า สินค้าบนเรือลำนี้เสียภาษีถูกต้อง มิใช่ของเถื่อนหรือสินค้าต้องห้าม จากนั้นก็สามารถออกจากท่าหลวงของเมธาปุระได้ทันที

ยามนี้บุลินเห็นเป็นโอกาสเหมาะ รีบตรงเข้าไปแนะนำตัว เจรจากับนายเรือเฒ่าขอโดยสารไปพุทธินครา แต่เฒ่าเวทิตกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่สนใจ แม้มายากรหนุ่มจะพยายามเสนอค่าเดินทางสักเท่าไหร่ นายเรือเฒ่ากลับบอกปัดอย่างไม่ใยดี บุลินเดินไปเดินมาตามตื้ออ้อนวอนขอร้องจนอ่อนใจ แต่นายเรือชราก็ไม่มีท่าทีจะใจอ่อนสักนิด

แล้วจู่ๆ ‘เรือลึกลับสีดำ’ ลำหนึ่งก็แล่นเข้าเทียบท่าหลวง...

แทบจะในทันทีที่เรือลำนั้นเทียบท่า เกวียนบรรทุกหีบลังหลายสิบเล่ม ล้วนใช้ผ้าสีดำคลุมปกปิดมิดชิด ไม่ทราบโผล่ออกมาจากสารทิศใด บรรดาลูกเรือลำนั้นหลายสิบคนทยอยขึ้นจากเรือ ช่วยกันขนหีบลังจากเกวียนลงเรือ ข้าหลวงตรวจการประจำท่ารี่เข้ามาให้ความสะดวกอย่างนอบน้อม อีกทั้งเหล่านักรบองครักษ์ของท่าหลวงยังคอยคุ้มกันรอบเรืออย่างแน่นหนา...

บุลินได้ยินลูกเรือของเฒ่าเวทิต พึมพำซุบซิบถึงที่มาที่ไปของเรือสีดำลำนั้น เพราะด้วยสายตาเปี่ยมประสบการณ์ของบรรดาลูกเรือ แทบจะระบุได้ในทันทีว่า เรือสีดำลำนั้นเป็นเรือรบที่ดัดแปลงเป็นเรือสินค้า!

ทั้งเหล่าบรรดาลูกเรือที่กำลังขนหีบลัง จากท่วงท่าก็คล้ายเป็นพวกนักรบทั้งสิ้น!
ทั้งเรือ ทั้งลูกเรือ ทั้งหีบลังเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถระบุได้ว่าเป็นของแคว้นใด...

การขนหีบลังขึ้นเรือดำเนินไปอย่างเชื่องช้า...เชื่องช้าจนผิดสังเกต...

ข้าหลวงตรวจการยังคอยดูแลอยู่ข้างๆ ไม่ยอมห่าง และไม่สนใจเรือลำอื่นใดที่เข้าเทียบท่าหลวงอีกเลย ไม่สนใจกระทั่งจะมาตรวจสินค้าบนเรือของเฒ่าเวทิต!

มายากรหนุ่มเห็นเฒ่าเวทิตหงุดหงิดงุ่นง่าน เดินไปเจรจากับข้าหลวงตรวจการหลายครั้ง แม้ไม่ได้ยินว่าสนทนากันอย่างไร แต่ย่อมคาดเดาได้ว่านายเรือเฒ่าคงเร่งให้มาตรวจสินค้า ประทับตรารับรองเสียทีจะได้รีบออกเดินทาง แต่ดูจากทีท่าข้าหลวงตรวจการคงบ่ายเบี่ยงไปมา เจรจากันอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล จนนายเรือเฒ่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งเดินยิ่งหงุดหงิดเดือดดาล กรอกน้ำโสมดับโทสะพลุ่งพล่าน

บุลินเห็นเฒ่าเวทิตกรอกน้ำโสมอึกๆ ราวดื่มน้ำบริสุทธิ์ พลันเห็นลู่ทางจะเจรจากับนายเรือเฒ่าอีกครั้ง รีบวิ่งรี่กลับไปยังบ้านของสหาย อันได้ฝากน้ำโสมซึ่งหมักด้วยสูตรเฉพาะที่เล่าเรียนมา

มายากรหนุ่มยื่นส่งน้ำโสมให้นายเรือเฒ่าทันทีเมื่อกลับถึงท่าเรือ แล้วก็เป็นดังคาดเฒ่าเวทิตติดอกติดใจรสชาติน้ำโสมเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเลยรีบถือโอกาส ยื่นข้อเสนอขอโดยสารไปกับเขี้ยววายุ แลกกับวิธีหมักน้ำโสมของตน คราวนี้เฒ่าเวทิตตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

บุลิน นายเรือเฒ่าและบรรดาลูกเรือ ยังต้องนั่งรอด้วยอารมณ์เดือดดาล จนอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เรือลึกลับสีดำจึงลำเลียงหีบลังทั้งหมดเสร็จสิ้น

ข้าหลวงตรวจการประทับตรารับรองเรียบร้อย รอจนเรือลำนั้นแล่นออกพ้นท่าหลวง จากนั้นค่อยมาตรวจสินค้าประทับตรารับรองให้เฒ่าเวทิต กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เกือบพลบค่ำ...

กระนั้นเหล่าลูกเรือและนายเรือเฒ่ายังคงมั่นใจว่า สามารถนำเรือล่องผ่านห้วงดารานาถทันเวลา นายเรือชราสั่งชักใบเรือเต็มที่ทั้งสองเสา เพียงออกพ้นท่าหลวง เขี้ยววายุก็แล่นฉิวตัดกระแสน้ำ ด้วยความเร็วดุจลูกธนูหลุดจากแล่ง ลูกเรือต่างมั่นใจว่าด้วยความเร็วระดับนี้ ต้องฝ่าห้วงน้ำวนก่อนจันทราเต็มดวงปรากฏอย่างแน่นอน

แต่แล้วจู่ๆ เบื้องหน้านั่น! ‘เรือลึกลับสีดำ’ กลับจอดทอดสมอสงบนิ่งอยู่กลางมหานที!
เรือลำนั้นสมควรล่องผ่านห้วงดารานาถไปตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงยังรั้งรออยู่เช่นนี้!

เหล่าลูกเรือเข้าใจได้ในทันที นี่เป็นการท้าทาย! นายเรือลึกลับลำนั้นยั้งรออยู่เพื่อท้าทายเฒ่าเวทิต!

รูปการณ์บ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า เรือลึกลับสีดำจงใจถ่วงเวลาอยู่ที่ท่าหลวง โดยกะเวลาให้เรือของเฒ่าเวทิตมาถึงห้วงดารานาถ ก่อนจันทราเต็มดวงปรากฏเพียงเล็กน้อย

นายเรือผู้สั่งการเรือลึกลับสีดำ ทิ้งสมอดักรอก่อนถึงห้วงดารานาถเพื่อท้าทายนายเรือเฒ่า จากสถานที่และช่วงเวลา การท้าทายนั้นจะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้ นอกจากต้องการท้าประลองว่า เฒ่าเวทิตจะกล้าแล่นฝ่าห้วงดารานาถ ในช่วงจันทราเต็มดวงหรือไม่!

ณ เพลานี้จันทราเต็มดวงงามกระจ่างกลางนภา...

เสียงโห่ร้องอื้ออึงอย่างมีชัยของเหล่าลูกเรือกึกก้องกังวาน นาวาเขี้ยววายุทะลวงฝ่าห้วงน้ำวนมหึมาแห่งห้วงดารานาถเป็นผลสำเร็จ!

ฝ่ายเรือลึกลับสีดำซึ่งเดิมจอดสงบนิ่ง บัดนี้ก็ได้เริ่มเคลื่อนเข้าสู่กระแสธาราอันเชี่ยวกราก โดยปราศจากอาการลังเลใดทั้งสิ้น!

ในห้วงเวลาที่ทุกคนต่างสะกดกลั้นลมหายใจ เขม้นมองเรือลึกลับสีดำเป็นตาเดียว ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกผู้บนนาวาเขี้ยววายุ พลันบังเกิดเสียงครืนครั่นกึกก้องดุจฟ้าพิโรธคำราม กระหน่ำฟาดลงบนผืนน้ำต่อเนื่องนับครั้งไม่ถ้วน!

ทั้งหมดต่างสะดุ้งเฮือก ภาพที่ปรากฏต่อสายตา สร้างความตื่นตระหนกให้ทุกคนเป็นที่ยิ่ง!

เหตุแห่งเสียงครืนครั่นกึกก้อง ย่อมเป็นกำแพงคลื่นน้ำมหึมาซึ่งบังเกิดริมขอบห้วงน้ำวน กำแพงคลื่นน้ำขนาดใหญ่โถมซัดลอยตัวสูงเหนือผิวน้ำ แล้วเพียงพริบตาพลันฟาดกระหน่ำตกสู่พื้นผิว ด้วยพลังมหาศาลปานขุนเขาถล่มสลาย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกผู้แทบหยุดหายใจราวถูกสะกด นั่นเป็นเพราะกลางกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมาลูกแล้วลูกเล่า ยามนี้พลันปรากฏช่องแตกทะลุขนาดใหญ่ ผ่ากลางกระแสคลื่นอันกราดเกรี้ยว!

ไม่ว่ากำแพงคลื่นบริเวณขอบชั้นนอกของห้วงดารานาถ จะปรากฏขึ้นซ้ำกี่ครั้งกี่คราว เพียงเสี้ยวพริบตากระแสธารากราดเกรี้ยว กลับแตกสลายซ่านเซ็นแยกออกจากกัน ปรากฏเป็นช่องว่างดั่งบังเกิดประตูขนาดมหึมา ทะลุทะลวงเปิดสร้างเส้นทางมหัศจรรย์ เชื่อมนิศาอัมพุกับศศิกันทราสองมหานทีเข้าด้วยกัน!

เรือลึกลับสีดำเคลื่อนสู่ห้วงดารานาถดุจสายลมหอบ ทุกครั้งที่กำแพงคลื่นน้ำปรากฏขึ้นขวางเบื้องหน้า บนเรือสีดำพลันบังเกิดเสียงกระหึ่มกึกก้องต่อเนื่อง ไม่ทันสิ้นกระแสเสียงปานอสนีบาตฟาด ใจกลางกำแพงคลื่นน้ำแตกสลายพุ่งกระจาย คล้ายระเบิดออกตรงกลางแปรสภาพเป็นไอน้ำหมดสิ้น ปรากฏเป็นช่องว่างให้ลำเรือทะลุผ่านดุจดั่งช่องประตูกลางห้วงดารานาถ!

เรือลึกลับสีดำอาศัยช่องว่างดั่งประตูมหึมา แล่นทะลวงผ่านกลางกำแพงคลื่นน้ำ!

สีหน้าเฒ่าเวทิตยังสงบเรียบเฉย พยักหน้ากล่าวว่า
“ไม่เลวเลย...มีทั้งหมดสามคนหรือ สองคนใช้ ‘เตโช’ กับ ‘อาโป’ ฌานเวททลายสลายกำแพงคลื่นน้ำ ส่วนอีกคนใช้ ‘ปฐวี’ ฌานเวทบังคับควบคุมเรือ สามคนนั่นมิใช่ปราชญ์แม้แต่คนเดียว ที่แท้ทั้งสามนั่นเป็นใครกันบ้าง...”

นารทพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า
“เจ้าฟ้าชาย ‘โควินท์’ กับขุนพล ‘ปวีร์’ แห่งศานติธานี อีกคนคือจอมเวทย์ ‘รัญชน์’ แห่งเมธาปุระ”

นายเรือเฒ่าหัวเราะหึๆ ในลำคอ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก
“อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้เป็นเหล่าผู้ได้รับเลือกเป็นศิษย์ ด้วยผ่านการคัดเลือกพิเศษของเหล่าปราชญ์นี่เอง ในที่สุดแคว้นทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ใช่หรือไม่...เมธาปราชญ์นารท...ถ้านั่นคือนามจริงของเจ้า...”

นารทสะดุ้งเฮือก ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ สายตายังจับจ้องเรือลึกลับสีดำไม่วางตา พลางทอดถอนใจลึกยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“ท่านผู้เฒ่าล่วงรู้มาก่อนหรือไม่ว่าคน ‘ผู้นั้น’ จะปรากฏกลางราตรีนี้”

เฒ่าเวทิตแค่นเสียงเฮอะในลำคอ ตอบว่า
“ข้าจะรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร เมื่อมาถึงห้วงดารานาถค่อยรับรู้ถึงกระแสอันแรงกล้าของคน ‘ผู้นั้น’ ดูจากสีหน้าของเจ้า คงไม่คาดคิดเหมือนกันใช่หรือไม่”

“ข้าทราบเพียงคณะมนตรีแห่งปราชญ์เรียกเจ้าฟ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์และรัญชน์ เข้าพบเป็นการด่วน ส่วนจะสั่งการคนทั้งสามด้วยเรื่องใดข้ามิอาจรู้ คิดไม่ถึงว่าเหล่าปราชญ์สามารถพยากรณ์ได้ว่าคน ‘ผู้นั้น’ จะปรากฏบริเวณห้วงดารานาถในคืนนี้”

นายเรือเฒ่าชำเลืองสายตา คล้ายกำลังประเมินชายหนุ่มข้างกายอีกครั้ง
“เจ้ากำลังย้ำอีกครั้งสินะ ว่าที่ลักลอบขึ้นเรือของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเหล่าปราชญ์ รวมทั้งเจ้าพวกสามคนบนเรือลำนั้น เฮอะ อย่างนั้นแอบขึ้นเรือข้ามาทำไม”

“ข้าหวังไปเยือนพุทธินครา ด้วยต้องการ ‘เกล็ดมังกรเพลิงหิมะ’ แห่งเทือกตารกคีรี”

นายเรือเฒ่าเพียงหัวร่อฮึๆ ในลำคอ คำตอบนี้นับว่าเพียงพอ ไม่คิดถามสิ่งใดอีก

นารทกลับเป็นฝ่ายทอดถอนใจ กล่าวแผ่วเบา
“บัดนี้ท่านย่อมทราบแล้วว่า ‘ผู้นั้น’ กำลังจะปรากฏตัว ท่านผู้เฒ่าก็ยังจะ...”

เฒ่าเวทิตหันขวับตวาดกราดเกรี้ยว
“เหตุใดข้าต้องหนีการเผชิญหน้ากับมัน! ผู้ที่เจ้าต้องกังวลมิใช่ข้า โน่น! ห่วงชีวิตเจ้าสามคนนั่นบนเรือลำนั้นจะดีกว่า! ก็ดี...ข้าอยากรู้นักว่าปราชญ์แห่งเมธาปุระวางแผนการอะไรไว้อีก”

นารทนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ครู่ใหญ่ค่อยเอ่ยว่า
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว...ท่านจะ...”

เฒ่าเวทิตรีบโบกมือกล่าวตัดบท
“เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งเกี่ยว...น่าเสียดายเจ้าสามคนนั่นฝีมือดี หากฝึกฝนต่อไปไม่แน่ว่าจะ...เฮอะ...พวกปราชญ์แห่งเมธาปุระคิดอะไรอยู่ ไม่ควรส่งพวกมันมาพบจุดจบเช่นนี้เลย...ใครเป็นคนสั่งการสามคนนั่น ‘นันทนะ’ หรือ ‘ธันยา’ เฮอะ...ช่างไม่มีความคิด” ขาดคำพลันเดินผละจากหัวเรือไปทันที

นารทได้แต่ทอดถอนใจอีกครั้ง กล่าวแผ่วเบากล่าวไล่หลังเฒ่าเวทิต
“ท่านผู้เฒ่าจะมองดูทั้งหมดถูกสังหารสิ้นกระนั้นหรือ”

บนนาวาเขี้ยววายุ มีเพียงเฒ่าเวทิตกับนารทที่มิได้สนใจอีกต่อไป ว่าเรือลึกลับสีดำจะฝ่าห้วงดารานาถได้หรือไม่ ทั้งคู่ตระหนักแก่ใจแต่แรกว่า ด้วยฌานเวทของผู้ควบคุมเรือสีดำทั้งสามคน การฝ่าผ่านห้วงดารานาถมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง สิ่งที่นายเรือเฒ่าและชายหนุ่มประหวั่นวิตก กลับเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นต่างหาก...

พลังฤทธาแห่งฌานเวทของบุรุษทั้งสามบนเรือสีดำ นำนาวาลำนั้นฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากออกจากห้วงดารานาถเป็นผลสำเร็จเพียงชั่วเวลาไม่นาน แล่นล่องเข้าสู่กระแสแห่งศศิกันทราอยู่เบื้องหลังนาวาเขี้ยววายุ

เรือทั้งสองลำต่างทอดสมอสงบนิ่งในตำแหน่งของตน บนเรือสีดำเงียบกริบปราศจากสุ้มเสียงใด เฒ่าเวทิตก็โบกมือเป็นสัญญาณให้เหล่าลูกเรือสงบเงียบห้ามส่งเสียงใด

ณ เพลานั้นควรเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตา นับแต่เรือลึกลับสีดำได้แล่นผ่านห้วงดารานาถ ทว่าในความรู้สึกของทุกผู้ต่างรับรู้ตรงกันคล้ายดั่งว่า ห้วงเวลาได้หยุดนิ่งชะงักงัน เวลาดั่งยาวนานนับหลายชั่วยาม...

กลุ่มเมฆดำทะมึนคลี่คลุมนภา ไม่ทราบก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด...

เงาแห่งอันธการเคลื่อนครอบคลุมจันทราจนสิ้นแสง ประกายดาวดารดาษระยับเต็มผืนฟ้า พลันหม่นแสงวูบคล้ายสลายกลายเป็นกรวดทราย ทุกแห่งหนกลับตกอยู่ใต้ความมืดมนแห่งห้วงกระแสอากาศทะมึน ดั่งรัตติกาลได้ซ้อนทับรัตติกาล ราวอณูแห่งแสงสว่างได้ถูกกลืนกินจนสิ้นในพริบตา

บัดนั้น บังเกิดเสียงอาชาแผดร้องดังกึกก้องมหานที!
ทุกผู้บนนาวาเขี้ยววายุต่างสะดุ้งเฮือก เหลียวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก!
เป็นไปได้อย่างไร! กลางมหานทีจะบังเกิดเสียงอาชาได้อย่างไร!

ท่ามกลางเงารัตติกาลอันเย็นเยือกแทบบาดผิว เบื้องหน้ากลางมหานทีศศิกันทราบังเกิดหมอกขาวกลุ่มใหญ่ เคลื่อนเข้าปกคลุมกระแสธารารอบด้านหมดสิ้น เสียงอาชากึกก้องมหานทีแผดร้องจากภายในสายหมอกหนานั่น กลางกลุ่มหมอกปรากฏจุดแดงก่ำสว่างวาบ ราวนัยน์ตาอสูรสัตว์ฉายประกายเรืองรอง ดั่งแสงแห่งอัญมณีทับทิมรวมแปดคู่!

กลุ่มเมฆทะมึนค่อยเคลื่อนคล้อยออกจากจันทราอย่างแช่มช้า แสงจันทราสาดส่องกระจ่างนภาอีกครั้งในฉับพลัน ภาพเบื้องหน้าสะกดจนทุกผู้แทบไม่กล้าหายใจ เพราะตรงหน้ากลางสายหมอกหนา ปรากฏรถศึกเทียมอาชาสีดำสนิทแปดตัว คล้ายเหินลอยอยู่กลางมหานทีศศิกันทรา!

บุลินตกตะลึงพรึงเพริด ปากอ้าตาค้าง ละล่ำละลักแทบไม่เป็นประโยค
“นั่น...นั่นมัน...นั่นมันอะไร!”

เสี้ยวพริบตา หญิงสาวด้านข้างผุดลุกขึ้น เชือกซึ่งผูกมัดตัวนางไว้อย่างแน่นหนาไม่ทราบหลุดจากกายได้อย่างไร หญิงสาวกลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ใบหน้าซึ่งก้มงุดแทบตลอดเวลา เพลานี้เขม้นมองแน่วนิ่ง ไม่คลาดจากรถศึกเทียมอาชาสีดำสนิททั้งแปดตัวเบื้องหน้า

สุ้มเสียงกังวานใส เอ่ยราวไม่เชื่อในสิ่งซึ่งปรากฏต่อสายตา
“อัศวเนตรโลหิต แห่งศานติธานี!”

มายากรหนุ่มหันขวับ ยังละล่ำละลักแทบหยุดหายใจ
“เจ้าว่ากระไร...นั่นคืออัศวเนตรโลหิตหรือ! ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้น...”

ครานั้น บังเกิดเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ นายเรือเฒ่าเวทิตเดินมาหยุดเบื้องหน้าบุลินและหญิงสาว พลางหันไปสั่งนารทผู้เดินตามมาห่างๆ สุ้มเสียงแฝงรอยกังวลกระทบโสต

“เจ้ารีบสะกดทุกคนบนเรือให้หลับเสีย...ยกเว้นเจ้ามายากรบุลินกับแม่หนูคนนี้”

นารทขมวดคิ้ว ส่งกระแสเสียงถามด้วยความสงสัยยิ่ง
“เหตุใดจึงต้องยกเว้นมายากรผู้นี้”

กระแสเสียงนายเรือเฒ่าตะคอกสั่งการ
“เจ้าไม่ต้องถาม รีบสะกดทุกคนให้หลับเดี๋ยวนี้!”

นารทเพียงพยักหน้า ไม่ตอบคำอีก เมื่อเฒ่าเวทิตไม่คิดอธิบาย ก็เปล่าประโยชน์ที่จะถามอันใด...

สำหรับหญิงสาวผู้แอบขึ้นเรือมา นารทยังพอเข้าใจได้ว่าไม่มีเหตุอันใดต้องปิดบังนาง เพราะด้วยวิชาหลากหลายที่หญิงสาวผู้นั้นแสดงให้เห็น นับจากฝีเท้าว่องไวเบากริบที่แอบขึ้นเรือในพริบตา การย่อกระดูกหดกล้ามเนื้อควบคุมปราณทั่วร่าง ทำให้แอบซ่อนอยู่ในช่องเก็บสินค้าได้เกือบครึ่งค่อนวัน

เหล่านี้ย่อมพอจะบอกได้อย่างแน่ชัด หญิงสาวเป็นคนในสายตระกูลนักรบ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นคนของเมืองใด...กษมปราการ...ศานติธานี...หรือพุทธินครา...แอบขึ้นเรือมาด้วยเหตุใด...

แต่สำหรับมายากรนามบุลิน นารทนึกอย่างไรก็มองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมนายเรือเฒ่าต้องการให้ประชาชนสามัญคนหนึ่งรับรู้เรื่องราวเหล่านี้...

จะอย่างไร เมื่อเป็นความต้องการของนายเรือเฒ่า นารทย่อมไม่อาจขัดอันใดได้...

เมธาปราชญ์นารท แห่งเมธาปุระตวัดผ้าโพกเกล้าออก เผยเส้นผมยาวสีน้ำตาลอมแดงอันเป็นจุดเด่นของชาวแคว้นบูรพประเทศ ประกายในดวงตาเจิดจ้าดั่งแสงสุริยาทิตย์ ลึกล้ำดุจดั่งห้วงดารานาถ

ชายหนุ่มมีร่างเล็กผอมบาง สัดส่วนรูปร่างแทบละม้ายเหมือนบุลินและหญิงสาว คลับคล้ายดั่งเป็นสามพี่น้องอายุไล่เลี่ย นารทควรสูงวัยกว่าบุลินเพียงสองสามปี

ลักษณะแตกต่างของทั้งสามนอกจากหน้าตา ซึ่งมิได้ประพิมพ์ประพายคลับคล้าย ยังมีเส้นผมซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง บุลินเส้นผมยาวสีดำขลับ หญิงสาวเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม ส่วนนารทมีเส้นผมน้ำตาลอมแดงเป็นประกาย แต่หากทั้งสามคลุมปกปิดเส้นผมและใบหน้า อาศัยเฉพาะรูปร่างก็ยากยิ่งจะระบุว่าผู้ใดเป็นใคร

นารทตวัดผ้าโพกเกล้า คล้องพันบนมือข้างซ้าย พลันสะบัดปลายมือพรึบ ตวัดผ้าโพกเกล้าเป็นเกลียววนรอบกาย จากนั้นพลันม้วนคืนสู่ข้อมือในบัดดล อากัปกิริยาทั้งรวดเร็วทั้งปราศจากสุ้มเสียงใดแม้น้อยนิด

เฒ่าเวทิตพยักหน้าช้าๆ น้ำเสียงกังวานเปี่ยมแววชื่นชม
“ยอดเยี่ยมจริงๆ ร่ายฌานเวทโดยมิต้องเอ่ยมนตรา วัยเพียงเท่านี้เกือบข้ามจากขั้น ‘เมธาปราชญ์’ เข้าสู่ขั้น ‘มหาปราชญ์’ ได้ ความสำเร็จในภายหน้าของเจ้า ไม่แน่ว่าอาจทัดเทียบท่าน ‘ราชปราชญ์ วสิษฐ์’ ท่าน ‘ราชปราชญ์ ทักษะ’ หรือท่าน ‘พรหมปราชญ์ ตรรก’ ก็เป็นได้...”

“ข้าย่อมไม่มีความสามารถทัดเทียมท่านวสิษฐ์และท่านทักษะ ในชั่วชีวิตนี้ยิ่งไม่อาจคาดหวังความสำเร็จตามรอยท่านตรรก ขอเพียงสามารถก้าวทันท่าน ‘เทวปราชญ์ ภรต’ และ ‘ท่านเทวปราชญ์ คามิกา’ ผู้เป็นสหายของท่านผู้เฒ่า ข้าก็ถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่ยิ่งในชีวิตแล้ว”

เฒ่าเวทิตแค่นเสียงเฮอะ ไม่ตอบคำ ชำเลืองมองหญิงสาว เอ่ยถามว่า
“แม่หนูเจ้าชื่ออะไร”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เอ่ยตอบด้วยอาการตกประหม่าเล็กน้อย
“...สิตา...วาสิตา...ค่ะ...เจ้าค่ะ...”

น้ำเสียงนายเรือเฒ่ายิ่งกล่าวยิ่งเคร่งเครียดจริงจัง
“นารท วาสิตา เจ้าสองคนไม่ว่ามีจุดมุ่งหมายใด รีบหลบหนีไปเสีย...พาเจ้ามายากรไปกับพวกเจ้าด้วย”

วาสิตานิ่งเงียบ นารทขมวดคิ้วนิ่วหน้า เฒ่าเวทิตเห็นกิริยาดังนั้นของทั้งสอง อดบังเกิดโทสะมิได้

“พวกเจ้าอย่าคิดฉวยโอกาสจับปลาตอนน้ำขุ่น! ฌานเวทของพวกเจ้าแม้รวดเร็วทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยให้ปรากฏ แต่คิดจะเทียบกับคน ‘ผู้นั้น’ ยังห่างไกลกันนัก ชั่วชีวิตของพวกเจ้ายังมิแน่ว่าจะตามมันทัน!”

บุลินยังคงไม่รู้ความว่านอกจากตน เฒ่าเวทิต นารท วาสิตา ทุกผู้บนเรือต่างหลับใหลด้วยมนต์สะกดของนารท ทั้งไม่รับรู้คำสนทนาใดระหว่างคนทั้งสาม เพราะห้วงความคิดของมายากรหนุ่มสับสนอลหม่านงุนงง พยายามจับต้นชนปลายเรื่องราวเท่าที่เรียนรู้มา ปากคอยังพึมพำเสียงสั่น

“อัศวเนตรโลหิต...หรือว่านั่นคือ...คือขุนพล ‘อัฒฑ์’ แห่งศานติธานี ผู้หายสาบสูญเมื่อสี่สิบเก้าปีก่อน!”

เฒ่าเวทิตหันมาพยักหน้าตอบรับ หัวร่อหึๆ ในลำคอ
“ความรู้ของเจ้าก็ไม่เลวนี่เจ้าหนุ่ม”

เฒ่าเวทิตปรายสายตาชำเลืองมองนารท เอ่ยอย่างเฉื่อยชา
“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย แม้เวลานี้เจ้าเฒ่าอัฒฑ์จะสัญญาวิปลาส ก็อย่าหมายว่าจะเอาชนะมันได้”

นารทคล้ายครุ่นคิดแวบหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงเปี่ยมความมุ่งหวัง
“หากท่านผู้เฒ่า...”

เฒ่าเวทิตตะคอกตัดบท โทสะประดังเดือดดาล
“อย่ามัวพิรี้พิไร ขณะยังมีโอกาส พวกเจ้าทั้งสองรีบพาเจ้ามายากรหนีไป!”

เสียงเปรี้ยงก้องกลางมหานที! อัศวเนตรโลหิตทั้งแปดแผดเสียงร้องอึงคะนึง!

อัศวทั้งแปดยกขาหน้าเผ่นโผนโจนทะยานกลางห้วงอากาศ ดุมล้อรถศึกเริ่มค่อยๆ หมุนอยู่กับที่เหนือผิวมหานทีอย่างช้าๆ สายบังเหียนขยับเคลื่อนไหววูบไปมา บนรถศึกซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกขาวเริ่มคลี่สลายจางลง ปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งยืนตระหง่านกุมสายบังเหียน!

ฉับพลัน เปลวอัคคีร้อนแรงแผ่ซ่านจากรถศึก เพลิงแห่งฤทธาฌานเวทห่อหุ้มรถศึกจนสิ้น ไอร้อนระอุพุ่งวูบแผดเผาปะทะกายทุกผู้ที่ยังมีสัมปชัญญะ ทั้งหมดรู้สึกคล้ายดั่งยืนต้านปะทะสายลมอัคคีกลางทะเลเพลิง!

เฒ่าเวทิตทะยานร่างไปเบื้องหน้าตรงหัวเรือ มือซ้ายวาดออกยกต้านไอระอุที่พวยพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศทาง มือขวากลับโบกร่ายไปเบื้องหลัง พริบตานั้นร่างลูกเรือทั้งหมดที่หลับใหล กลายสภาพแปรเปลี่ยนเป็นหุ่นดินหมดสิ้น ไอร้อนระอุกลับมิสามารถแผดเผา ระคายผิวหุ่นดินเหล่านั้นแม้เพียงเล็กน้อย!

“ข้าจะคุ้มครองเฉพาะคนของข้า หากพวกเจ้าไม่หนีก็หาหนทางรอดกันเอาเอง เจ้าเฒ่าอัฒฑ์เพิ่งเริ่มปลดปล่อยฌานเวท เวลาหลบหนียังพอมี นี่เป็นโอกาสรอดสุดท้ายของพวกเจ้าแล้ว”

นารทร่ายวาโยฌานเวท ใช้กระแสอากาสต้านปะทะไอระอุแห่งอัคคี กัดฟันกรอดกล่าวว่า

“เตโชฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ เมื่อเริ่มปลดปล่อยพลัง จะติดตามไปจนกว่าจะทำลายเป้าหมายสลายสิ้น หากตกอยู่ภายใต้เขตแห่งฌานเวท ไม่สามารถหลบหนีพ้นทั้งสิ้น ฌานเวทของข้าแม้พาทั้งสองหนีไปพร้อมกันได้ แต่ไม่มีทางหลุดพ้นจากเขตเตโชฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ ที่สุดพวกเราก็ต้องถูกเปลวอัคคีเผาผลาญ!”

กระแสเสียงกังวานเปี่ยมความมั่นใจของวาสิตาเอ่ยขึ้น
“ท่านร่ายฌานเวทพาพวกเราหนีเถอะ...ข้ามีวิธีหลบหนีจากเขตเตโชฌานเวท”

นารทหันมองหน้าวาสิตาวูบ แม้ประหวั่นสงสัยแต่ก็ทราบดีว่าไม่อาจเสียเวลาขบคิดสิ่งใด กระชากร่างบุลินหลุดจากหลักอย่างง่ายดาย เหวี่ยงร่างมายากรหนุ่มไปอยู่บนเรือเล็ก ทะยานร่างตามขึ้นไปพร้อมกับวาสิตา

“‘วิทูตรีศูล’ จงสถิตแก่ข้า!”

สิ้นประโยค ปรากฏแสงสว่างเรืองรอง เชื่อมประสานเข้ากับร่างของนารท ในมือชายหนุ่มพลันปรากฏตรีศูลยาวร่วมสามศอก สีเงินบริสุทธิ์เปล่งประกายเรืองรอง!

นารทตวัดตรีศูลหมุนวน บังเกิดสายลมหอบเรือเล็กหลุดพ้นจากเขี้ยววายุ ลำเรือละลิ่วลอยขึ้นสูงกลางนภา แต่ไม่ว่าเรือเล็กละลิ่วลอยสูงเพียงใด ไอระอุแห่งเปลวอัคคีของขุนพลเฒ่าอัฒฑ์ ยังคงพุ่งโจมตีเข้าใส่ด้วยความเร็วยิ่งกว่าประกายสายฟ้า ยิ่งมาเปลวอัคคียิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ แทบเทียบเท่าผิวพระสุริยาทิตย์!

วาสิตาพลันร่ายฌานเวท ประกาศก้อง
“‘ภูษาแพรม่วง’ จงสถิตแก่ข้า!”

สิ้นประโยค บังเกิดแสงสว่างวาบคลุมร่างวาสิตา ปรากฏสายแพรสีม่วงเข้มความยาวดุจอนันต์ คลี่ครอบคลุมห่อหุ้มลำเรือไว้สิ้น กระแสเสียงกังวานใสของหญิงสาวร่ายฌานเวทแห่งตนอีกครั้ง

“มหาเวทย์ดับจันทรา!”

แสงจันทราดับวูบ! ดาราสิ้นประกาย! ทุกสรรพสิ่งดั่งถูกคลุมด้วยม่านอันธการผืนใหญ่ในบัดดล!

ภายใต้เงาทะมึนอันมืดมิด บังเกิดเสียงเฒ่าเวทิตอุทานอย่างตื่นตะลึง
“ภูษาแพรม่วง...มหาเวทย์ดับจันทรา...นี่เจ้าเป็นศิษย์ของนาง!”

จากคุณ : big pigdaddy
เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 54 11:21:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com