Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนต์ไพร บทที่ 10 : คืนระทึก ติดต่อทีมงาน

บทที่  10


“ฝากฟ้า”

ไม่ว่าจะเป็นใครแต่ที่จิตใต้สำนึกบอกว่าเขาฝากฟ้าคือคนที่เขาห่วงที่สุด เสี้ยววินาทีนั้นเงาดำทะมึนที่พุ่งเข้ามาพุ่งออกไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตรงข้อมือ ลำแสงสว่างที่พาดผ่านตรงหน้าทำให้เขาตัดสินใจยกปืนขึ้นยิงไล่หลังเงาดำไปหนึ่งนัด

ชายหนุ่มหยิบไฟฉายขึ้นมาเปิดแล้วส่องไปยังต้นแสงไฟ ไม่ถึงสามวินาทีเขาก็พุ่งปราดไปอยู่ตรงหน้าเธอ ลืมความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว

“ฝากฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเขาถามละล่ำละลัก

“ฝากไม่ได้เป็นอะไร พี่สนต่างหาก...เมื่อกี้...ฝากเห็นเหมือนหมีดำตัวใหญ่กำลังจะทำร้ายพี่สน” หญิงสาวเล่าเสียงสั่นตะกุกตะกักเพราะยังไม่หายตกใจดี เสียงฝนทองร้องถามมาจากบริเวณลำธาร

“ฝากฟ้า...พี่สน...เกิดอะไรขึ้น”

“ฝน...รีบขึ้นมาเร็วเข้า” ชายหนุ่มร้องออกคำสั่งกลับไป

“นั่นมือพี่สน” ฝากฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจพลางส่องไฟฉายในมือไปยังข้อมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก้มลงมองตาม ตกใจไม่แพ้กัน ใจกระหวัดนึกถึงสิ่งที่พรานอ่องท่ายบอกเมื่อตอนหัวค่ำ

“พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก รีบไปตามฝนทองแล้วกลับไปรวมกันที่พักแรมกันเถอะ”


              **********


“แน่ใจนะว่าหัวหน้ายิงโดนมันจริงๆ”

พรานอ่องท่ายถามเพื่อให้แน่ใจหลังจากที่วนาสณฑ์พาฝากฟ้ากับฝนทองกลับมาและเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง พอรู้เรื่องแล้วพรานเฒ่าจึงออกไปดูที่เกิดเหตุก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ทุกคนนั่งรวมกันอยู่ข้างกองไฟ ยังไม่มีการกินอาหารค่ำซึ่งเป็นมื้อแรกของการดำรงชีวิตอยู่ในป่า หม้อสนามบรรจุข้าวและอาหารง่ายๆ วางอยู่ข้างกองไฟเพื่ออุ่นให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความรู้สึกหวาดหวั่นให้ทุกคนไม่น้อยและพุ่งความสนใจไปยังหัวหน้าอุทยานที่นั่งให้ฝากฟ้าทำแผลให้ในขณะที่ฝนทองนั่งหน้าซีดอยู่ข้างผู้กองดิตถ์โดยอ้างว่ากลัวเลือดและทำแผลไม่เป็น

“ผมไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าโอกาสถูกมันมีมากเพราะมันจู่โจมใกล้ขนาดนั้น และผมก็ยิงไล่หลังมันไปทันที ทำไมหรือพรานอ่องท่าย” วนาสณฑ์ย้อนถาม

“เพราะผมไม่เห็นรอยเลือดสักหยดเดียว ขนาดเดินตามไปไกลพอสมควรยังไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย”

พรานเฒ่าไม่ได้บอกว่า รอยเท้าที่เห็นบริเวณจุดที่หัวหน้าสนนั่งหายไปหลังจากเขาแกะรอยไปได้เกือบยี่สิบเมตร สายตากังวลมองไปยังบาดแผลของชายหนุ่ม มือเหี่ยวย่นล้วงเข้าไปในย่ามแล้วหยิบเอาหัวว่านชนิดหนึ่งออกมาพร้อมกับครกไม้อันเล็กวางลงบนพลาสติก ใช้มือหักว่านเป็นชิ้นเล็กๆ สองหัวแล้วใช้สากไม้อันเล็กตำโดยเอามือปิดไม่ให้ว่านกระเด็นออกมา ทุกคนมองการกระทำของพรานเฒ่าอย่างสงสัยและใคร่รู้

“นั่นอะไรน่ะพราน” ดิตถ์ถามขึ้นก่อนใคร

“ว่านกำแพงเจ็ดชั้น เวลาเข้าป่าควรจะพกติดตัวไว้เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีภูติผีปีศาจหรือสิ่งอัปมงคลในป่าแห่งนี้หรือไม่”

พูดจบก็เอามือหยิบเอาว่านที่ตำพอละเอียดขึ้นมาทำปากขมุบขมิบเกือบนาทีแล้วจึงเอาไปโปะลงที่บาดแผลซึ่งเป็นรอยคล้ายเล็บข่วนบนมือของป่าไม้หนุ่ม เจ้าตัวทำหน้างงๆ ในขณะที่ฝากฟ้าเบิกตากว้าง

“ทำอะไรคะพรานอ่องท่าย แล้วแผลจะไม่เป็นบาดทะยักเหรอ”

“ไม่หรอก ถ้าไม่ทาต่างหากล่ะที่จะเป็นมากกว่านี้ ผมเสกคาถาป้องกันภัยและภูตผีให้แล้ว คืนนี้จะไม่มีอาการปวดและแผลจะแห้งเร็วในวันสองวันนี้” ตอบอย่างมั่นใจขณะเก็บอุปกรณ์ลงย่ามตามเดิม

“พรานหมายความว่าไอ้ตัวนั้นมันไม่ใช่สัตว์ป่าจริงๆ แต่เป็น...ภูติผีอย่างนั้นหรือ” ดิตถ์ถาม

พรานกะเหรี่ยงเงยหน้าขึ้นสบตาวนาสณฑ์อย่างชั่งใจ “ผมแค่ป้องกันไว้ก่อน ว่านนี้ไม่เป็นอันตรายถ้าไม่ใช่ภูตผีก็แล้วไป แต่ถ้าใช่ก็จะได้กันไว้ก่อน”

“น่ากลัวจัง”

ฝนทองรำพึง ในขณะที่ฝากฟ้ามีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่มือสีแทนข้างที่มีผ้าพันแผลเลื่อนไปกุมมือเธอไว้อย่างปลอบใจทำเอาดวงตาของทิวาเป็นประกายวาบเมื่อเห็นภาพนั้น วนาสณฑ์ไม่ทันเห็นเพราะเขาหันไปเอ่ยกับรุ่นน้อง

“อย่าคิดมากน่าฝน พรานอ่องท่ายแค่กันไว้ก่อน ความจริงอาจไม่มีอะไรน่ากลัวก็ได้”

“ไม่รู้ล่ะ แต่ยังไงพรานอ่องท่ายก็ต้องดูแลคุ้มกันพวกเราให้ปลอดภัยจนจบงาน” ทิวาพูดขึ้นเสียงเข้มเช่นเดียวกับประกายตาร้อนแรง

“พรานอ่องท่ายอาจจะดูแลเราก็จริงในบางส่วน แต่หลักสำคัญคือทุกคนต้องระวังตัวเอง” ผู้กองหนุ่มเอ่ยขึ้นบ้าง เขาไม่ค่อยชอบใจทิวานักที่พูดเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายที่ใครๆ ต้องมาดูแลและเขาต้องปลอดภัยเสมอ

“ระวังได้แต่จะช่วยได้เท่าไหร่ไม่รู้ในเมื่อไม่มีคาถาอาคมอะไรสักอย่าง” ทิวาโต้กลับ

“บอกแล้วไงว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังกังวลใจ” ผู้กองหนุ่มขึ้นเสียงนิดหนึ่งบ่งบอกถึงความเหลืออด

“ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่เราคิด แต่ป่านี้ก็คงมีอะไรน่ากลัวแอบแฝงอยู่ไม่มากก็น้อยแหละ”

“ไม่ต้องกลัวหรอกนะครับคุณทิวา พวกเรามีอาวุธถ้ามีอะไรเราก็สามารถป้องกันตัวได้” จ่าขวดเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้กองของตนเองกำลังหงุดหงิด

“ดีครับจ่า เพราะผมก็อยากกลับออกไปครบอาการสามสิบสอง”

ดูเหมือนว่าคำพูดของทิวาจะก่อความรู้สึกระคายเคืองให้หลายคนไม่น้อย โดยเฉพาะวนาสณฑ์ นายทิวาคิดหรือว่าทุกคนอยากจะเจอเรื่องไม่ดี เมื่อเจอแล้วทุกคนต้องมาระดมความคิดและปรึกษากันว่าจะทำยังไงนั่นต่างหากคือเรื่องสำคัญ ไม่ใช่โวยวายและใส่อารมณ์อย่างที่หนุ่มนักพฤกษศาสตร์กำลังทำอยู่

“เอาล่ะ เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของทุกคน เราจะจัดเวรยามกันโดยแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรกตั้งแต่สามทุ่มถึงเที่ยงคืน ช่วงที่สองเที่ยงคืนถึงตีสาม แล้วช่วงสุดท้ายตีสามถึงเช้า ผมจะรับช่วงเที่ยงคืนถึงตีสามเอง คุณทิวาจะรับช่วงไหนก็บอกนะครับ วันนี้ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ได้”

ไม่มีเสียงตอบรับคำพูดตัดบทของวนาสณฑ์จากทิวานอกจากทำเป็นเฉย มีเพียงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าบิ๊กกับจ่าแก้วเท่านั้นที่รับอาสา

         
                                      ***********


อาหารค่ำในป่าคืนแรกนั้น ทุกคนกินอย่างไม่ค่อยรู้รสมากนักเพราะต่างครุ่นคิดกับคำพูดของพรานเฒ่า หลังจากอาหารจบสิ้นแล้ว บรรดาผู้ชายทั้งหลายก็ตั้งวงร่ำสุราที่หอบหิ้วกันมาจากในเมืองกันต่อ ยกเว้นทิวาที่เดินเข้าเต็นท์ที่มีด็อกเตอร์อลันเข้าไปนอนพักเอาแรงอยู่ก่อนแล้ว ส่วนสองสาวนั้นเก็บถ้วยจานไปรวมๆ กันไว้ที่พลาสติกซึ่งวางอยู่ตรงโคนยางนาห่างจากกองไฟไม่มากนัก

“บิ๊กอย่าดื่มมากเพราะต้องอยู่เวรกะแรก” วนาสณฑ์เตือนลูกน้องของตัวเอง

พูดแล้วก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะรับแก้วเหล้าจากมือของเบ้ง แต่ก็มีมือขาวนวลยื่นมาตัดหน้ารับไปถือไว้ก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พอเหลือบไปมองก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง ในขณะที่ดิตถ์ขมวดคิ้วในตอนแรกก่อนจะคลี่ยิ้มพลางมองเพื่อนอย่างรอดูท่าที

“อย่าบอกนะว่าจะดื่มเอง” วนาสณฑ์ลองหยั่งเชิง “เอ...ไม่ไหวมั้ง มันแรงนะนั่น”

“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฝากไม่อยากให้พี่สนดื่ม มือเป็นแผลยังจะดื่มเหล้าอีก เดี๋ยวก็แผลเปื่อยไม่หายสักทีหรอก”

ฝากฟ้าบอกเสียงห่วงๆ แต่ไม่เข้มจริงจังนักเพราะเธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเธอก้าวก่ายชีวิตเขา อีกอย่างก็กลัวคนในวงตำหนิไม่น้อย

“พี่ดื่มฆ่าเชื้อโรคในบาดแผลต่างหาก” เขาบอกยิ้มๆ นัยน์ตาเป็นประกายปลาบปลื้มอย่างปิดไม่อยู่

“ฆ่าเชื้อตรงไหนคะ ในเมื่อแผลอยู่ข้างนอก ถ้าจะฆ่าเชื้ออย่างที่พี่สนว่าก็ต้องเอาราดลงแผลเลยไม่ใช่เหรอคะ”

“เขาเรียกว่ารักษาจากภายในมาสู่ภายนอกไงจ๊ะน้องฝาก” ดิตถ์ว่าจึงถูกถองด้วยศอกแข็งๆ ของเพื่อน

ความอยากดื่มของป่าไม้หนุ่มหายไปแล้ว ความสุขใจยากที่จะบอกกับใครแล่นเข้ามาแทนที่ เขาไม่รู้สึกว่าการเข้ามาบงการในการกระทำเล็กน้อยของเขาจะเป็นเรื่องน่ารำคาญ ตรงกันข้ามกลับอยากให้เจ้ากี้เจ้าการในชีวิตของเขาไปทั้งชีวิตเลยยิ่งดี

ดิตถ์ส่งสัญญาณกับจ่าแก้วฝ่ายนั้นจึงรินเหล้าใส่แก้วใบเล็กแล้วมองหญิงสาวเพียงคนเดียวในวงคล้ายจะลองใจ ก่อนจะยื่นให้หัวหน้าอุทยานใหม่ แต่ชายหนุ่มส่ายหน้า หันไปมองดวงหน้านวลเนียนที่มีอิทธิพลต่อความคิดแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“ขอบคุณครับจ่าแก้ว แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าดื่มแก้วนี้ไปแล้วจะถูกใครดุหรือบ่นให้หรือเปล่า”

“อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าหัวหน้าเกรงใจเขาหรือเปล่า”

“ขอโทษนะคะทุกคนที่ขัดจังหวะ ฝากอาจคิดมากเกินไป ความจริงพี่สนอาจจะแข็งแรงเกินกว่าจะถูกเหล้าแค่นี้ทำร้ายได้ เชิญดื่มตามสบายนะคะ”

พูดจบฝากฟ้าก็ยื่นแก้วเหล้าคืนให้เจ้าตัว แต่วนาสณฑ์ยังนั่งยิ้มนิ่งเฉยอยู่

“ไม่กลัวพี่ตายหรือ ถ้าพี่เป็นอะไรไปจะกลับไปบอกกับลุงพันเดชว่ายังไง”

ฝากฟ้าไม่รู้จะขำหรือหมั่นไส้คนพูดดี

“ขอโทษอีกครั้งนะคะ ฝากเพิ่งรู้ตัวว่าไม่น่าทำตัวเป็นแม่แก่ขัดคนดื่มเหล้าเลย” ฝากฟ้าทำหน้าสำนึกผิดจริงๆ ก่อนจะวางแก้วเหล้าใบจิ๋วลงบนผ้าพลาสติกข้างวนาสณฑ์

“แต่ถ้าขัดเพราะห่วงพี่ยอม”

หญิงสาวหลุบตาลง นึกอายว่าทำไมหนอถึงได้เห็นเขาเป็นคนใกล้ชิดที่ควรจะดูแลบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำร้ายร่างกายตัวเองอย่างนี้

“สงสารลุงพันเดชต่างหากล่ะคะ ลุงพันเดชเคยบ่นอยู่เสมอว่าตั้งแต่พี่สนเรียนวนศาสตร์แล้วชักจะกลายเป็นขี้เหล้าเมายา สุขภาพจะย่ำแย่เดี๋ยวไม่ได้แก่ตาย...อันนี้ลุงพันเดชพูดนะคะฝากไม่ได้พูด”

ตอนท้ายฝากฟ้ารีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ

“เฮ้อ...อิจฉาคนมีคนห่วงใยจริงๆ” ดิตถ์เอ่ยลอยๆ

วนาสณฑ์หันมาหลิ่วตาให้เพื่อน แต่พอหันไปอีกที คนที่ห่วงคนอื่นก็ลุกหนีไปยังเต็นท์แล้ว เขาจึงหันมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนราวกับว่าเป็นความผิดที่เอ่ยทะลุกลางปล้องจนเป็นต้นเหตุให้ฝากฟ้าลุกไป เขาจึงจะลุกขึ้นบ้างตั้งใจว่าใครถามก็จะบอกไปว่าไปสำรวจความเรียบร้อย แต่เสียงหนึ่งหยุดไว้ก่อน

“เดี๋ยวครับหัวหน้าสน ยกแก้วนี่ก่อน”

ดิตถ์พยักหน้าล้อเลียน แต่เพื่อนมองไปยังเต็นท์ก่อนส่ายหน้า

“พอแล้วครับจ่า”

“เกรงใจหนูฝากเหรอครับหัวหน้า” จ่าแก้วแซว

“นั่นสิ จ่าแก้ว ชักจะยังไงๆ เสียแล้ว เพิ่งเห็นเพื่อนผมเกรงใจสาว สงสัยจริงว่าคนนี้จะมีอะไรพิเศษอะไรมากกว่าคนที่ผ่านมา ตอนแรกก็ทำให้เดินทางเข้าป่ามาด้วยได้ทั้งที่ว่าจะไม่มา ตอนนี้พอโดนทักท้วงก็ไม่กล้าแตะเครื่องดื่ม”

“พูดมากน่า ไปนอนกันได้แล้ว”

“อะไร เห็นเขาไปนอนก็เลยจะไปนอนด้วย”

“ฉันจะไปดูความเรียบร้อยหน่อย อีกอย่างจะเข้าเวรตอนเที่ยงคืนด้วย” วนาสณฑ์บอกเสียงเน้นหนักแต่หน้ายิ้มๆ

“เข้าใจครับหัวหน้าสน” ดิตถ์พยักหน้าพลางลากเสียงยาว “เชิญเถอะ เรื่องเข้าเวรฉันขอเป็นวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”


                             *************


เที่ยงคืนนิดหน่อย วนาสณฑ์ลุกขึ้นมาเปลี่ยนยาม เขาถามความเรียบร้อยกับบิ๊กที่มีสีหน้าอ่อนเพลีย ก่อนจะไล่ให้ฝ่ายนั้นไปพักผ่อนในเต็นท์ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุนแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างกองไฟที่ยังลุกสว่างจ้า มือจับฟืนใส่กองไฟเพิ่มอีกจากนั้นก็มองไปทั่วบริเวณ ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณไม่มีแม้เสียงแมลงกลางคืน ดวงจันทร์ครึ่งซีกถูกเมฆเลื่อนเข้าบดบังอย่างช้าๆ ทั้งที่ตอนที่เขาออกจากเต็นท์เดียวกับดิตถ์ยังไร้เมฆ วนาสณฑ์เลื่อนสายตาไปมองเต็นท์ของหญิงสาวสองคน ทุกอย่างนิ่งไม่ไหวติง เขาหันกลับมายังกองไฟ หยิบหม้อสนามใบที่ว่างรินน้ำจากขวดซึ่งตักมาจากลำธารใส่ลงไปแล้วสอดกับไม้คานยาวและวางบนไม้ง่ามที่ฝังดิน พอเอี้ยวตัวมองหากาแฟก็มองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวตรงหางตา ร่างที่คุ้นตาเขาเดินหายไปทางราวป่าด้านหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อเบนหน้าไปยังเต็นท์ของสุภาพสตรีสองคนในคณะทุกอย่างยังเงียบไม่ไหวติงเช่นเดิม…

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครคนใดคนหนึ่งจะกล้าเดินเข้าป่าเพียงลำพังโดยไม่ปลุกคนไปเป็นเพื่อนไม่มีแม้ไฟส่องทาง เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปทันที

ความเย็นแผ่คลุมร่างกายเมื่อส่องไฟฉายไปข้างหน้าขณะสาวเท้าไม่ช้านัก ไม่แน่ใจว่าฝากฟ้าหรือฝนทองที่ออกมาเดินกลางคืน แต่ไม่ว่าจะเป็นใครเขาก็อยากเตือนว่านี่ไม่ใช่สถานที่จะเดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้ ยิ่งเดินไปข้างหน้าเหมือนมีอะไรดึงดูดให้เดินไปเรื่อยๆ เงาวูบวาบพร้อมกับเสียงพรึ่บพรั่บลอยผ่านหน้าไป

“ฝากฟ้า ฝนทอง” เขาเรียกเพื่อให้มั่นใจว่าหากเป็นคนก็ต้องตอบกลับมา แต่คำตอบคือความเงียบ

ระหว่างที่ลังเลว่าจะเดินหน้าหรือหมุนตัวกลับไปที่พักแรมเพื่อให้แน่ใจ กลิ่นสาบลอยมาเข้าจมูกจนสะอิดสะเอียนตามมาด้วยเสียงคำรามจากด้านหลังทำให้เขาหมุนตัวกลับพร้อมกับยกปืนขึ้นเล็ง

แต่ภาพที่เขาเห็นทำให้แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา

“โยดี”

ใบหน้าขาวเผือดค่อยปรากฏรอยยิ้ม

“หัวหน้าสน”

“โยดีมาได้ยังไง...นี่มันกลางป่านะ...แล้วมากับใคร” ชายหนุ่มถามเสียงรัว รู้สึกเหมือนลิ้นตัวเองพันกันจนยุ่งเพราะสับสนและไม่คาดคิด

“โยดีมากับพ่อค่ะ” สาวน้อยตอบเสียงอ่อนเบาแทบจะกลืนไปความมืดมิด

ตีสามกว่านี่นะ !

“มากับพ่อ มาทำอะไรกัน”

เขาถามอย่างแปลกใจและงุนงง ให้ตายเถอะ ต่อให้เป็นคนชาวเขาอยู่กลางป่ากลางดง แต่นี่คือผู้หญิงนะ พ่อของเจ้าหล่อนคิดยังไงทำไมถึงพามาด้วย แล้วที่ไม่อยากเชื่อคือทำไมปล่อยโยดีมาเดินท่อมๆ กลางป่ามืดสนิทอย่างนี้ ดูสิฟืนไฟก็ไม่มีทำยังกับว่าไม่ใช่คนธรรมดาที่จะไปไหนมาไหนโดยไม่กลัวอะไรเลย ความคิดหลังนี้ทำให้ชายหนุ่มเย็นสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

ถ้าไม่เคยเห็นโยดีมาก่อน เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็น...

“พ่อมาล่าสัตว์ค่ะ ตอนนี้นอนอยู่ในป่าทางด้านโน้น” พูดพลางยกมือชี้ไปทิศตรงข้ามกับที่พักแรมของเขา วนาสณฑ์มองตาม คิ้วยังขมวดไม่หาย

“แล้วทำไมถึงแยกตัวมาล่ะ ไม่อยู่กับพ่อ แล้ว...ไม่กลัวเหรอ ไฟฉายก็ไม่มี”

สาวน้อยส่ายหน้า ไม่ให้ความกระจ่างได้เลยว่าอาการนั้นหมายถึงอะไร

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับเถอะ เดี๋ยวหัวหน้าจะไปส่ง”

“ไม่...อย่า” เสียงปฏิเสธทันควันแต่แผ่วหวิวราวกับคนพูดอ่อนระโหยเต็มที

“โยดีมาได้ก็กลับได้”

พลันมีเสียงเดินสวบสาบดังมาข้างหลัง พร้อมกับแสงไฟวูบวาบ ชายหนุ่มหันกลับไปมอง และส่องไฟฉายไปยังต้นเสียง

“หัวหน้าสน นั่นพูดอยู่กับใครครับ”

“พรานอ่องท่าย ฉันกำลังคุยอยู่กับเด็กผู้หญิงที่หมู่บ้านบนเขาโน้น”

พรานเฒ่าเดินเข้ามาใกล้ ทำหน้างงงวยเมื่อมองไม่พบใครนอกจากร่างสูงที่ยืนถือปืนเอชเคอย่างไม่ระมัดระวังตัวนัก

“ไหนครับหัวหน้า ไม่เห็นมีใครเลย”

“อ้าว...เอ๊ะ ก็เมื่อตะกี้โยดียังยืนคุยอยู่กับผมอยู่ตรงนี้เลย” เขาส่องไฟไปรอบๆ ใจเต้นขึ้นมา

พรานอ่องท่ายยืนมองชายอ่อนวัยกว่าด้วยท่าทางครุ่นคิด ประสบการณ์การเดินป่าที่ผ่านมาบอกให้รู้ว่าบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาโดยที่ไม่มีใครเรียกร้อง

“ผมว่าเรารีบกลับกันไปที่เต็นท์เถอะครับหัวหน้า”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนนิ่งและมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจึงเอ่ยกระตุ้นว่า “ผมเชื่อตาตัวเองว่าไม่เห็นใครยืนกับหัวหน้านอกจากหัวหน้ายืนพูดคนเดียว”

“เป็นไปได้ยังไงในเมื่อ...” เขาค้าน

“หัวหน้าได้แตะต้องตัวเธอหรือเปล่าล่ะ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“นั่นยังไงล่ะ ภาพที่เห็นอาจไม่มีตัวตน หรืออาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น”

วนาสณฑ์ตัวเย็นเยือกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ถ้าโยดีไม่ใช่คนจริงๆ แล้วทำไมเขาต้องเห็นเป็นภาพเธอล่ะ ทำไมไม่เป็นภาพอื่น เป็นใครที่เขาไม่รู้จัก เป็นสัตว์ก็ได้...นึกถึงตอนนี้เขาก็นึกได้ว่าก่อนที่จะเห็นโยดีหูเขาได้ยินเหมือนสัตว์คำราม แล้วยังกลิ่นสาบนั่นอีกล่ะ?

“พรานจะบอกว่าโยดีไม่ใช่คน”

“ผมยังอธิบายอะไรให้หัวหน้าฟังไม่ได้นัก ตอนนี้เรากลับกันก่อนเถอะ”

                          ***************

จากคุณ : permanent stream
เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 54 08:20:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com