Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บรักฝากตะวัน ตอนที่ 30 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11128532/W11128532.html
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11149808/W11149808.html
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11172233/W11172233.html
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11200956/W11200956.html

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11277064/W11277064.html

 

ตอนที่ 30 คำอธิษฐาน

 

          ชีวิตของชาวเขาสบเมฆมีชีวิตชีวาทุกครั้งที่ถึงหน้าเทศกาลต่างๆ  นี่อาจจะเป็นความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลายาวนานของแต่ละปี ช่วงนี้เป็นงานลอยกระทง...วันเพ็ญเดือนสิบสอง...ประเพณียี่เป็ง สุดแต่ใครจะเรียก            ตอนขับรถเข้าออกอาณาเขต ไม่ว่าจะหันไปทางไหน อาคเนย์จะเห็นแต่ป้ายเขียนเป็นระยะระยะ เรื่องงานลอยกระทง  ประกวดนางนพมาศ  อะไรทำนองนั้น แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรหรอก เทศกาลของคนกรุงเทพฯ มีได้ทุกวันอยู่แล้ว  

          พอถึงวันลอยกระทงจริงๆ ดูเหมือนทุกคนในพื้นที่จะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ อาคเนย์เดินจากเรือนเล็กเพื่อที่จะไปขออาหารเช้าจากเรือนใหญ่ เห็นในเขตไร่เริ่มวางประทีปตามรายทาง เมื่อไปถึง...พอดีเจอกับคนที่ออกมาจากเรือนใหญ่สวมชุดผ้าฝ้ายซิ่นแบบชาวพื้นเมือง ผมยาวถูกม้วนเกล้าขึ้นด้านหลังปักด้วยดอกไม้ที่ปลูกอยู่ในไร่ เดินเยื้องย่างระมัดระวังสมกับเป็นแม่หญิง          

          อาคเนย์หยุดกึก ไม่อาจถอนสายตาออก ...กับเจ้าของไร่อิงฟ้า...ใช้คำว่า ‘สวย’ คงไม่ได้ จะให้ถูกต้องเรียกว่า ‘งาม’ จะดีกว่า  

         

          มธรินส่งยิ้มให้กับคนที่ยืนตาค้างอยู่บันไดชั้นล่างสุด  ส่วนแม่สาวดาราหัวเราะคิกอยู่ข้างหลังนายหญิงตามเคย

          “นายอาร์ค ท่าจะตกตะลึงที่เห็นคุณริน ตาค้างเลยเจ้า”  

          เจ้าหล่อนกระซิบกระซาบ ออกจะภูมิใจที่เห็นว่านายหญิงนั้นแต่งชุดพื้นเมืองได้สวยงามจนทำให้คนรูปหล่อยืนตะลึงมอง

          หญิงสาวส่ายหน้า  “พูดมากน่า ดารา เจ้าไปหาอะไรให้นายอาร์คของเจ้าทานเถอะ”

          ร่างเพรียวเดินลงบันไดไปจนถึงขั้นเดียวกับเขา อาคเนย์ยังไม่พูดอะไรนอกจากมองตามทุกก้าว

          “เป็นอะไร   มธรินอดทำเสียงดุไม่ได้

          “ผมนี่โชคดีจริงๆ ที่มีโอกาสเห็นน้ารินแปลงโฉม ไม่อยากจะเชื่อ คนอะไร? สวมชุดราตรีก็สวย  ใส่ชุดพื้นเมืองก็ดูดี งามแต้ๆ”

          ใจกล้าพูดตรงๆ ไปตามที่คิด ใจความหลักเก็บกักไว้ก็จริง แต่ต้องมีการถ่ายทอดภาษาใจออกมาบ้าง ‘ทีละเล็กละน้อย’ ไว้คอยกัดเซาะหัวใจที่แข็งเป็นหินผาดวงนี้

          หน้านวลสีเข้ม   ที่ถูกชมตรงๆ
          “อย่ามาชมเสียให้ยากเลย ไม่มีอะไรจะให้หรอก”  

          เจ้าของไร่อิงฟ้าพยายามไม่หวั่นไหวเข้าไว้  เดี๋ยวได้ใจ พักนี้...มักทำอะไรเล็กน้อยๆ ส่งมาให้ตลอด

          “โธ่!  ใจดำ  แล้วนี่น้ารินจะไปไหน

          “จะไปอำเภอ   จะไปตัดสินกระทงประกวด เค้ามีงานที่อำเภอ เขาสบเมฆของเราส่งกระทงเข้าประกวดด้วย”

          “อ้าว! ทำไมผมไม่ทราบ”

          คราวนี้หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้  คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดไหนเชียว ต้องรู้เรื่องกิจกรรมไปเสียทุกอย่าง

          “ทำไมต้องมีคนรายงานด้วย คุณเพิ่งกลับจากถ่ายแบบที่เชียงรายไม่ใช่หรือ

          “ฮื่อ!”  

          ใบหน้าคมสันยิ้มเก้อ เริ่มสงสัยตัวเองเหมือนกันว่ากลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ยักรู้ตัว

          “ผมไปส่งนะ” เขาขออาสา

          เรื่องนี้เจ้าของไร่อิงฟ้าไม่ขัดหรอก เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาคเนย์คงไปจนได้

 

          ที่อำเภอเริ่มมีคนทยอยมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  อำเภอนี้มีถึง 12 ตำบล ไม่ใช่เมืองเล็กๆ ขบวนรถนางนพมาศกำลังจอดประจำที่ แต่ละอำเภอกำลังประดับตกแต่งสุดฤทธิ์ หวังพิชิตรางวัลและชื่อเสียง

          “คุณรีบกลับเถอะ เดี๋ยวคนมาเห็นจะยุ่ง อ้อ!...ไม่ต้องมารับนะ คุณธนัตถ์จะให้คนไปส่งเอง”

          “ครับผม...น้ารินไปก่อนเถอะ ขอผมแอบดูอะไรสักหน่อย เพิ่งเคยเห็น จะเก็บเอาไว้เป็นข้อมูล”

          ชายหนุ่มหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาโชว์  มธรินถึงพยักหน้าแล้วเดินไปหากลุ่มคนที่รู้จัก อาคเนย์แอบตามไปถ่ายรูปหล่อนเก็บไว้หลายภาพ  รวมทั้งขบวนรถของแต่ละอำเภอ

          รูปของมธรินจะเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว หล่อนจะได้ไม่หาว่าเป็นขโมยเหมือนรูปใบอื่นที่เขาขออนุญาตป้าแสงแอบจิ๊กไปเก็บไว้  ซ่อนไว้ในกระเป๋าสตางค์เพราะเอามาวางหราในเรือนเล็กไม่ได้ เดี๋ยวนายบอยตัวเล็กมันปากโป้งไปเล่าให้คนในไร่ฟังจะยุ่ง

 

*********************

          “เฮ้ย!  ไอ้หนุ่ม

          เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เขาต้องหันไปดู จำได้ดีกับร่างสูงพร้อมไม้เท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนวดเรียวเหนือริมฝีปากที่ถูกดัดจนโค้ง ยิ่งเห็นบ่อยครั้งยิ่งรู้สึกว่าเหมือนคุณปู่ของไร่อิงฟ้าเดินออกมาจากรูปถ่าย   

          ส่วนนิสัยนั่นไม่ต้องพูดถึง คงถอดกันมาบล็อกเดียวกันหมดทั้งตระกูล

          “สวัสดีครับ คุณลุง”  

          เขายกมือไหว้ทำความเคารพ เอาความใจกล้าหน้าด้านมาใช้เมื่อเผชิญหน้ากับลุงแท้ๆ ของนายหญิงแห่งไร่อิงฟ้า 

          “เฮ้ย!  จะมาสืบทีเด็ดของปางป่าสักล่ะสิ”  

          เสียงคนถามเอาเรื่องน่าดูชม ขบวนรถประดับด้วยดอกไม้สวยติดป้ายชื่อตำบลปางป่าสักเห็นชัดเจน โดยมีพิเชษฐ์ยืนควบคุมการตกแต่งอย่างแข็งขัน

          “เปล่าครับ ผมแค่มาถ่ายรูปสวยๆ เอาไว้เท่านั้น”

          “ไม่เชื่อหรอก... หัวหน้าคนงานที่ไหน? มีกล้องราคาแพงๆ”

          “โธ่!  คุณลุง  ผมไม่มีเจตนาอย่างนั้นหรอก นี่...จะดูก็ได้  ผมเปิดให้ดู  ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”

          ชายหนุ่มกดภาพที่เก็บเอาไว้ในกล้อง ผู้สูงวัยกว่ากลับไม่สนใจ เอาแต่จ้องหน้าของเขาคาดคั้น

          “เอ็งคงเป็นดาราคนนั้นอย่างที่ลูกข้าพูดไม่ผิดเลย ตกลงเอ็งเป็นดาราจริงหรือเปล่า

          อาคเนย์ลังเลว่าควรโกหกหรือไม่โกหกดี  อย่างน้อยคุณพิศัยก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของมธริน  ล่าสุดที่พบกันตอนประชุมกับอำเภอเรื่องฝายแตกกับหน้าดินถล่ม  กลุ่มปางป่าสักยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการออกหน้าในการสืบหาผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องอย่างแข็งขัน  เจ้าตัวประกาศลั่น ไม่ยอมให้ใครมาเหยียบถิ่น แล้วยังที่พิเชษฐ์เป็นหัวขบวนร่วมกันกับตำบลอื่นไปดักจับไม้เถื่อนอีก ฝีมือญาติผู้พี่ไม่ใช่ย่อย ยิงปืนแม่นราวจับวาง

          “ผมเป็นดาราปลายแถวไม่ดังหรอกครับ ไม่อย่างนั้นไม่มารับจ้างทำไร่หรอกครับ”

          คิดอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้โกหก

          “คนกรุงอย่างเอ็ง ไว้ใจได้ที่ไหน

          คุณพิศัยบ่น พลางขยับมาใกล้เอียงเข้ามากระซิบกระซาบ

          “เออ...แล้วพักนี้ มีคนมากวนบ้างไหมวะ

          “ใครครับ เขากระซิบกระซาบตอบตามระดับเสียงของคนถาม

          “บ๊ะ! ก็ไอ้พวกจะเอาที่ดินไง” มือถือไม้เท้าขยับ

          “ผมทราบมาจากคุณธนัตถ์ ว่าเงียบไปแล้ว ได้ยินว่ามีผู้ใหญ่เค้าขอๆ กันเอาไว้”

          ชายหนุ่มเล่าตามจริง ไม่ได้เก็บกักอะไร เห็นว่าเป็นญาติสนิทของ’น้าริน’  สำหรับ ‘ผู้ใหญ่’ ที่เล่าลือกัน...ไม่ทราบว่าเป็นใคร? ทุกคนได้แต่รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ

          คนรอฟังคำตอบท่าจะพอใจ พยักหน้า...รับทราบ

          “นี่...เอ็งคอยห้ามนังรินบ้างนะ ได้ข่าวว่ามันไปช่วยแบกรับพวกดอยข้างบนลงมาทำงานด้วยอีก อย่าให้มันห่ามนัก ทำไร่ให้ดีๆ เอาตัวให้รอดก่อน อย่าคิดไปสงเคราะห์คนให้มันเกินตัว แล้วถ้ามันไม่ไหวให้เอ็งมาบอกข้าหน่อย”

          อาคเนย์นึกว่าหูฝาด หากเขาได้ยินเช่นนั้นจริงๆ  อีกฝ่ายคงรู้สึกตัวทำหน้าขึงขัง

          “ไม่มีอะไรหรอก ข้าจะได้สมน้ำหน้ามัน พวกผู้ดีตีนแดง เฮอะ... เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ช้าก็เร็วต้องเปิดไปอยู่บ้านผู้ดีเหมือนเดิม”

          คราวนี้ทั้งแววตาทั้งน้ำเสียงขัดเขินยิ่ง ทำให้ชายหนุ่มอดพยักหน้าเอาใจไม่ได้ ที่แท้ยังพอห่วงกันอยู่บ้าง!

          ความโกรธเกรี้ยวเรื่องที่ดินคงพอหายไปแล้วกระมัง คุณธนนท์เป็นคนบอกเขาว่าสาเหตุไม่มีอะไร คงอยากแก้ตัวที่ทำกับคุณปู่เอาไว้

          คุณพิศัยไม่ชอบทำไร่กาแฟ เพราะว่าได้เงินน้อยกว่าป่าสักทอง  ตัวเองไม่ถนัดและไม่อยากสืบทอดไร่กาแฟของคุณปู่ ท้ายสุดก็เลยแอบขายให้นายปีเตอร์ หนีไปอยู่กับภรรยาที่ปางป่าสัก ฟังๆ เรื่องแล้วดูคุ้นๆ ชอบกล

          ...บอกแล้ว นิสัยแบบนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกล ‘เหมือนกันทั้งตระกูล’

          “ถ้ามีอะไรผมจะไปบอกคุณลุงนะครับ”

          “เออ...ดี ดี อย่าลืมนะโว้ย 

          อบต.ปางป่าสัก ตบบ่าชายหนุ่มป๊าบใหญ่สองสามทีข่มขวัญ เป็นความนัยว่าถึงแก่ก็ยังมีแรงเตะปี๊บดังอยู่ อาคเนย์ต้องเดินลูบไหล่ป้อยๆ เดินตัวเอียงกลับมาที่รถ ญาติพี่น้องกัน ตัดไม่ได้ขายไม่ขาดอย่างนี้นี่เอง

******************************

          ชายหนุ่มกลับมาอยู่ที่ไร่อิงฟ้าคนเดียวพลางทำงานที่เกี่ยวกับบทละคร  เด็กดาราเอาอาหารกลางวันมาให้แล้วหายไป เขาทำงานของตัวเองจนลืมเวลา มารู้ตัวอีกทีเมื่อมีเสียงวิ่งตึงตังมาตามทาง

          “นาย...ไปลอยกระทงกันเถอะ...” 

          บอยวิ่งมาเกาะขอบบันได  ท่าทางตื่นเต้น  เด็กชายดูหล่อเป็นพิเศษด้วยเสื้อผ้าชุดประจำท้องถิ่น

          “ไม่ไปหรอก ทำงานอยู่”

          “ไปเถอะนาย ใครๆ เขาก็ไปกัน” 

          ใครๆ ที่บอกนั้นมองเห็นเป็นเพื่อนเด็กโขยงหนึ่งวิ่งตามเข้ามาเกาะระเบียงหน้าสลอน  หลายคนใช้บริการรถคันโตของนายอาร์คไปเที่ยวในเมืองออกจะบ่อย ถือว่าเป็นเกลอกันได้หมดเพราะบางครั้งฝั่งคนตัวเล็กยังมีน้ำใจมาดูแลช่วยสวนผัก ดูแลเรือนเล็กให้ สิ่งที่น่ารักคือเด็กพวกนี้ไม่เคยมือไวกับข้าวของชาวบ้าน  หลายครั้งที่เขาไปหาเจ้าของไร่อิงฟ้าที่เรือนใหญ่ได้ยินเจ้าหล่อนสอนภาษาอังกฤษและอบรมคุณธรรมอะไรไม่ทราบยาวเหยียด ปิดท้ายด้วยขนมของป้าแสงเป็นของอร่อยตบท้ายเรียกว่าใครไม่อยากฟังก็ต้องทน

          “ม่ายล่ะ ไม่เคยลอย...”

          อาคเนย์จำไม่ได้ว่าลอยกระทงครั้งล่าสุดของเขาเป็นปีไหน   ทราบแต่เพียงว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้ว

          เด็กๆ มองหน้ากันเลิกลั่กราวกับจะปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดี?

          “งั้น...ขับรถไปส่งพวกเราก็ได้ นะนายนะ”

          ยิ้มประจบของเด็กชายบอยกว้างจนเห็นฟันหลอ ทำให้ใจอ่อนจนได้ ...มันอ้อนเก่ง!

 

*******************

          ขบวนรถจอดตรงที่ประจำเรียงกัน  พวกเด็กๆ รีบเปิดประตูออกจากรถอย่างร่าเริงวิ่งออกไปก่อน   อาคเนย์เห็นทางเดินที่ตัดตรงไปยังริมลำธารถูกถางเตียนเป็นพิเศษ  ข้างทางตกแต่งด้วยดวงประทีป และเทียนบนถาดดินเผาเป็นแหล่งแสงสว่างคอยนำทางดูน่าสนใจไม่น้อย  จึงตัดสินใจเดินลงไปดูเสียหน่อย 

          ชายหนุ่มได้ยินเสียงคนหลายคนพูดคุยกันหลังดงต้นส้มที่ส่งกลิ่นอ่อนๆ  เสียงเพลงจากเครื่องเสียงขนาดเล็กแบบใช้กับเครื่องปั่นไฟดังแว่วออกมา   เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นคนงานอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ที่สำคัญ ทุกคนมีกระทงหมดไม่เว้นแม้แต่ป้าแสงและลุงเศก 

          “มีเตรียมเอาไว้ให้แล้วทางโน้นนะคะไม่ต้องห่วง รีบไปเถอะคะ   คนอื่นๆ รออยู่”  

          ป้าแสงบอกเมื่อเห็นเขาเก้ๆ กังๆ  ที่จริงชายหนุ่มคิดว่าไม่เป็นไรเพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญ หากยังยอมเดินตามพี่เลี้ยงทั้งสองของมธรินเข้าไปในแนวทางเดิน  โต๊ะตัวยาวมีอาหารและเครื่องดื่มวางตั้งอยู่  ไม่ไกลนักมีคนนั่งบนเสื่อเป็นกลุ่มๆ คนของไร่อิงฟ้าทั้งนั้น 

          “เฮ้ย! นายอาร์คมาแล้ว มาครบแล้ว นาย...ทางนี้  ทางนี้ แหม...เกือบขี่มอไซด์ไปลากเองเลยนะเนี่ย”

          พวกแก้วกับพินส่งเสียงเรียกเขาก่อนเพื่อน  มิน่า...แถบทางด้านหน้าไร่ถึงได้ดูเงียบเชียบนัก  ที่แท้มารวมพลกันอยู่กันอยู่ที่นี่ นายบอยคงรับหน้าที่ไปพาตัวนายอาร์คมาสินะ

            ชายหนุ่มโบกมือให้ทุกคนก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่ร่างบางในชุดพื้นเมืองสีฟ้า หล่อนกำลังตักน้ำหวานให้พวกเด็กๆ ที่ถือแก้วเข้าแถวต่อกันอยู่   อาคเนย์ค่อยๆ เดินเข้าไปหา   ชุดของหล่อนเป็นชุดเดียวกับเมื่อตอนเช้าที่เขาไปส่งเพื่อไปเป็นกรรมการตัดสินการประกวดรถกระทงของอำเภอ

          “นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”  

          มธรินทักเป็นปกติ  สาละวนอยู่กับการจัดคิวเด็กๆ  จนกระทั่งมีคนมารับหน้าที่แทน

          “กลับมาถึงเมื่อไหร่ครับ?  ไหนว่าจะกลับดึก...”  

          ชายหนุ่มเกิดอาการพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าอาการโหวงเหวงทั้งวันมันเกิดเต็มตื้นขึ้นมาได้โดยทันที

          เมื่อเช้าหล่อนยังบอกอยู่เลยว่าต้องอยู่ให้คะแนนประกวดกระทงของแต่ละตำบล  ซึ่งน่าจะรวมไปถึงการร่วมงานสังคมกับธนัตถ์ในงานนางนพมาศช่วงตอนกลางคืน

          “งานไม่มีอะไรมาก คณะกรรมการชุดแรกเลยได้รับอนุญาตให้กลับมาได้ อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่ในชุดประกวดนางนพมาศ ตาไม่ถึง เขาไม่ให้เป็นกรรมการ”

          ปอยผมที่เก็บรวบเรียบร้อยเมื่อตอนเช้าดูไม่เป็นระเบียบเมื่อเวลาผ่านไป แต่สำหรับเขาแล้ว  หล่อนน่ามองเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแบบไหน  และนับวันเจ้าของไร่อิงฟ้ายิ่งดูพิเศษขึ้นทุกทีในสายตาของเขา

          “ต้องขอบใจเจ้าบอยนะ ที่เซ้าซี้ผมให้มาส่งที่นี่ ไม่อย่างนั้นลอยกระทงปีนี้คงเป็นปีที่เงียบเหงาสำหรับผมอีกปีหนึ่ง”

          คงตั้งหน้าตั้งตารอคอยถ้าเพียงเจ้าของไร่อิงฟ้าเอ่ยปากชวนสักนิด แต่คนทั้งหมดกลับปล่อยให้เขาเป็นผู้เลือกก้าวเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง

          “แหม...  ถึงไม่มีฉัน ก็ยังมีอีกหลายคน ...เราจะมารวมกันที่นี่ทุกปี ไม่เหงาหรอก ถ้าคุณเลือกที่จะมา”

          อาคเนย์ไม่อยากเอ่ยให้หล่อนอายหรอกว่าที่เหงานั้นคือ ‘เหงาหัวใจ’ ต่างหาก   เดี๋ยวนี้คนในไร่อิงฟ้าคงเริ่มรับรู้แล้วถึงสาเหตุที่นายอาร์คยังคงอยู่ป้วนเปี้ยนอยู่ในไร่อิงฟ้า   สายตาหลายคู่จึงแอบมองอย่างสังเกตสังกาในบางครั้งที่เขาเข้าไปใกล้นายหญิงของพวกเขา   ยิ่งทำให้ต้องระวังตัวไม่ให้ไปทำรุ่มร่ามเข้า

          สมหมายเดินจากริมตลิ่งน้ำมารายงาน

          “ทางไร่ปันนทีเริ่มลอยกระทงแล้วครับ”

          คนที่นั่งรวมกลุ่มกันเกือบทั้งหมดพากันลุกขึ้น  ส่วนเด็กๆ ทั้งหลายต่างไปยืนออกันอยู่แล้วที่ข้างลำธารซึ่งจะไหลต่อไปยังไร่อื่นๆ ที่ต่ำลงไป  จนไปบรรจบกับสายน้ำอื่น รวมไปเป็นแม่น้ำผ่ากลางอำเภอ

          “ผมยังไม่มีกระทงเลย”  

          อาคเนย์หันซ้ายขวา  มองหาของตัวเองที่ป้าแสงบอกว่ามีคนจัดให้แล้ว

          หญิงสาวไม่พูดอะไรเมื่อถูกทวง  นอกจากเดินไปหยิบกระทงที่ทำด้วยใบตองพับแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวมาส่งให้

          “นี่ของคุณ เตรียมไว้ให้แล้ว อุตส่าห์รีบกลับมาทำให้นะ” 

          วัสดุจากธรรมชาติและมีความละเอียดในรูปแบบ เขาเพิ่งทราบว่าหล่อนมีฝีมือทางนี้นอกเหนือจากการวาดภาพ  เล่นดนตรี   มธรินหยิบของตัวเองออกมาอีกอัน  ที่คล้ายกันก่อนจะเดินนำทุกคนไปที่ริมตลิ่ง  ต่างช่วยกันจุดธูปเทียนติดกระทง  ต่อกันเป็นทอด  ทั้งหมดให้หญิงสาวเป็นผู้อธิษฐานและลอยก่อน   กระทงของไร่อิงฟ้าลอยร่วมกับกลุ่มกระทงของไร่ปันนทีที่ไหลมาถึงก่อนมองเห็นดวงไฟเป็นสายยาว  ดูคล้ายสายดวงดาวระยิบระยับซ้อนอยู่ในเงาน้ำที่มืดสนิท

          “บางทีจะนิยมลอยเป็นกระทงสาย อย่างที่จังหวัดตาก” 

          หญิงสาวอธิบายมองดูกระทงของตัวเองไหลห่างออกไป  หลายๆ คนคอยลุ้นว่ากระทงของตัวเองจะไหลไปติดข้างทางหรือลุ้นว่าเทียนไขที่ปักลงไปจะดับก่อนถึงเวลา  ต่างคนต่างลุ้น มีการแซวโดยร้องเพลงกระทงหลงทางแล้วหัวเราะกันครื้นเครง อาคเนย์เห็นกระทงของตัวเองเกาะกระทงของมธรินไหลไปตามน้ำด้วยกัน  น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี 

          หลายๆ ปีก่อนเขาเห็นคนกรุงเทพพากันไปแออัดยัดเยียดลอยกระทงในสระว่ายน้ำของโรงแรมใหญ่ สิ่งสำคัญคือปาร์ตี้และคอนเสิร์ต ยังนึกสงสัยในความหมายของการบูชาพระแม่คงคาของคนกรุงฯ และไม่ได้ชื่นชมไปกับกิจกรรมแบบนี้สักเท่าไหร่  เพราะที่เห็นคือกระทงไม่ได้ลอยไปไหนนอกจากลอยวนเวียนแออัดอยู่ในที่แคบๆ  เช้ามาคนทำความสะอาดก็มาจัดการเก็บกวาดไปทิ้งขยะ  ดังนั้นจึงไม่เคยรับเชิญไปงานเหล่านี้สักปี 
                   แต่ปีนี้ไม่เหมือนกัน กระทงของเขาคงเกาะเกี่ยวกับกระทงของมธรินเดินทางไปบูชาพระแม่คงคาด้วยกันเป็นระยะทางยาวไกล

          “หนาวนะ...”    

          หญิงสาวห่อตัวเมื่อสายลมโชยมาต้องกาย มองไฟจากกระทงระยิบระยับไกลออกไป  หากอาคเนย์รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน  ชายหนุ่มถอดเสื้อตัวนอกออกมาคลุมให้นายหญิงแห่งไร่อิงฟ้า  เสียงกระซิบคิกคักดังมาให้ได้ยินแว่วๆ แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่สนใจ 

          “สวมไว้เสีย เดี๋ยวน้ารินจะไม่สบาย” 

          กระแอมกระไอ พูดเสียงดังให้ได้ยินทั่วๆ เพื่อข่มความเขิน  คนตัวบางยิ่งแล้วใหญ่ไม่ยอมสบตาด้วยเลย กลับเสเดินไปทางกลุ่มที่กำลังจุดไฟเตรียมปล่อยโคมลอย ต่างคนต่างจับกลุ่มเบียดเสียดกันถือโคมลอย

          “นาย...มาเร็วๆ จะปล่อยโคมลอยแล้ว”  

          แก้วกับสมหมายเรียกเขาพร้อมกับส่งโคมลอยอันเดียวกับที่หญิงสาวกำลังถืออยู่ให้ทันทีเมื่อไปถึง   จากนั้นสองหนุ่มก็วิ่งหนีไปที่โคมอีกอัน ปล่อยให้หล่อนกับอาคเนย์ยืนเป็นคู่อยู่กันแค่สองคน ต่างคนต่างอธิษฐาน บ้างออกเสียงดังขอให้ถูกหวย เรียกเสียงหัวเราะได้อีกเฮใหญ่

          “เอ้า!  ปล่อย!!” 

          ใครไม่ทราบทำตัวเป็นหน่วยส่งสัญญาณ  โคมกระดาษนับสิบต่างพากันลอยสู่ท้องฟ้า  ห่างกันบ้างชิดกันบ้าง  ชายหนุ่มเห็นว่านอกจากของพวกเขาแล้วที่อื่นๆ ยังมีการปล่อยโคมลอยเช่นกัน  มองเห็นดวงไฟระยิบระยับบนฟากฟ้า

          ต่างคนต่างแหงนมองไปจนสุดสายตา  ดนตรีฉิ่งฉาบเริ่มบรรเลงตามความถนัด  พวกหนุ่มๆ พากันล้อมวงรอบกองไฟ  อาคเนย์ถูกลากไปหาพรรคพวกจนได้  ปกติเวลาถูกชวนก็ไปดื่มเป็นพิธีบ้างไม่มากนัก   ชายหนุ่มไม่ใช่พวกคอทองแดง  ชอบจิบไปคุยไปมากกว่า

          “แย่ว่ะ กินเหล้ากับนายอาร์คแล้วเหนื่อยชิบเป๋ง”   

          พวกนายแก้วชอบว่าอย่างนั้น แต่เห็นมาชวนทุกที

          “ทำไมล่ะ

          “อ้าว!  ก็นายกินเหล้านิ๊ดเดียว  แอบเติมน้ำบ้าง แอบเททิ้งบ้างล่ะ หนำซ้ำยังชอบยกแก้วหนี  พวกผมก็วิ่งตามไปเติมจนเหนื่อยนะสิ”

          คนพูดทำมือนิ๊ดเดียวจนเห็นภาพ ความสนุกของพวกเขาอยู่ตรงที่คอยจับผิดนายอาร์คว่าจะหาทางหลบเลี่ยงการดื่มอย่างไรไม่ให้เมานี่แหละ

          “นาย...นายว่าพระจันทร์กับพระอาทิตย์ใครเก่งกว่ากัน”

          ยามว่างชอบเอาปัญหาที่ฟังมาจากโทรทัศน์มาทายกัน

          “อ้าว! ก็ต้องพระอาทิตย์สิ  ใหญ่กว่าร้อนกว่า”

          หน้าตานายอาร์คตอนตอบซื่อสนิท ทำเอาคนทั้งกองหัวเราะกลิ้ง

          แกล้งอำใครไม่สนุกเท่ากับอำนายอาร์คของพวกเขา คนที่รู้เรื่องภายนอกกว้างใหญ่มากมาย แต่มาตายน้ำตื้นเอาแค่เนี๊ย

          สงสัยกันอยู่เรื่องเดียว ...เวลามีคนไปหลอกยืมตังส์นายอาร์คทีไร ถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆ ไม่เห็นสำเร็จสักราย!

          “โธ่!...นาย พระจันทร์เก่งกว่าต่างหาก  พระจันทร์ใจถึงกว่า กล้าออกมาตอนกลางคืน พระอาทิตย์นะป๊อด...หลบไปไหนไม่รู้” คนทั้งวงฮาครืนกันเป็นระยะ

          คนตอบผิดยิ้มแห้งแล้วโคลงศีรษะ เผลอเสียรู้อีกจนได้

          ”พระอาทิตย์กลัวผีหลอกแหงๆ”

          มุกซื่อๆ ที่ผลัดกันปล่อยออกมา ไม่ต้องซับซ้อนคิดลึก ถูกบ้างผิดบ้าง ก็สนุกสนานกันได้ตลอด บางทีก็ร้องเพลงแล้วรำวง  คนลุกขึ้นรำเป็นรอบๆ ไป 

          อาคเนย์ถูกดันให้ไปโค้งเจ้าของไร่อิงฟ้ามารำสองสามรอบ ก่อนจะมานั่งเช็ดเหงื่อที่เกิดจากการถูกลากไปลากมา แถมยังโดนค่อนแคะซึ่งๆ หน้าว่า ‘นายอาร์ครำเหมือนลิงควักกะปิ’

          นึกแปลกใจตัวเองอยู่ครามครันที่รู้สึกชินกับความวุ่นวายแบบนี้  ช่างต่างจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ลิบลับ   

 

*********************

 

          เมื่อสมควรแก่เวลา  มธรินก็ลุก หล่อนอนุญาตให้คนที่อยากอยู่ต่อเล่นร้องตามสบาย แต่ขอให้รักษาเวลางานวันพรุ่งนี้ รวมไปถึงการจัดการขยะและไฟประทีปที่เรียงรายอยู่โดยรอบ   โดยมีสมหมายและโจ๊กเป็นคนรับผิดชอบตามเคย ส่วนอาคเนย์ขอตัวกลับเช่นกัน

          พินเดินกระมิดกระเมี้ยนมาหา ตัวเอียงหน่อยๆ

          “นาย...ทำไมรีบกลับ?  อยู่ด้วยกันก่อนดิ นายไม่อยู่ไร่ตั้งหลายวัน พวกเค้าคิดถึ๊ง...คิดถึง” 

          คนชอบอ้อนคงเริ่มเมาอีกแล้ว มือข้างหนึ่งดึงแขนของเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้กลับก่อน

          แต่แล้วพินก็ถูกมือลึกลับจากเพื่อนฝูงที่อยู่ใกล้เขกหัวเบาๆ หนึ่งที พลพรรคอย่างสมหมายกับโจ๊กรีบปราดตามเข้ามา ในเวลางานเป็นหัวหน้า นอกเวลางานเป็นเพื่อนกัน 

          “เฮ้ย...ไอ้พิน เอ็งจะดึงนายอาร์คไว้ทำไมวะ?  เหล้าก็กินน้อยไม่สนุกหรอก”

          “น่านสิ ไปชวนนายอาร์คทำไมว้า? กินเหล้า แก้วเดียว ถือทั้งคืน  ร้องเพลงก็ไม่จบท่อน เสียงเหมือนเป็ด เอาแต่หัวเราะ แหะ...แหะ”

          สองหนุ่มคู่หูพยักพเยิดให้กัน ‘ออกจะดูถูกนายอาร์คไปสักหน่อย’ แต่แฝงความหมาย ทราบดีว่าตอนนี้นายอาร์คไม่สะดวกที่จะต่อปากต่อคำกับพวกเขาต่อหน้า ‘นายหญิง’

          “ป่าว!  เอาไว้หามพวกเรากลับไง  ฮิฮิ...นายตัวใหญ่ หิ้วพวกเรา...สบาย! รถของนายก็คัน...หย่าย เบาะนุ๊ม สบ๊าย! สบาย ฮิฮิ...” 

คนเมาพูดยานคางแล้วหัวเราะคิกคักคนเดียว  ...ไม่รู้เรื่องถือว่าไม่ผิด

          “ไอ้บ้า! ไปกินเหล้าต่อดีกว่า มานี่เลยเอ็ง...”

          “ม่ายเอา เค้าอยากให้นายอยู่ อยู่สนุกด้วยกันก่อนนะนายอาร์คจ๋า”

          คนที่บ่นเสียดายและพยายามเซ้าซี้ชายหนุ่มให้อยู่ต่อ กลับถูกพลพรรคบางคนที่เมายังไม่ได้ที่พากันล็อกคอพร้อมปิดปากไม่ให้โวยวาย ลากไปหลังต้นส้ม มีเสียงตุบตับเล็กๆ ก่อนที่จะโซเซออกมาอย่างมีเลศนัย

          เขาได้แต่หัวเราะขำ ส่ายหน้ากับความล้นของแต่ละคน เดินตามผู้หญิงและเด็กๆ ไปที่รถ

*********************

          อาคเนย์รับหน้าที่เป็นสารถีพาพวกผู้หญิงและเด็กๆ กลับมาก่อน  เพราะถึงอย่างไรวันพรุ่งนี้ยังเป็นวันทำงาน เด็กๆ ต้องไปเรียนหนังสือ

          “เสียดายจังเลย พรุ่งนี้น่าจะเป็นวันเสาร์นะพี่ดารา”

          เด็กชายบอยบ่นกับดาราที่เบาะหลัง เหล่า ‘ละอ่อนน้อย’ ของไร่อิงฟ้าสบายหน่อยตรงที่ได้นั่งรถคันโก้ของนายอาร์คกลับโดยไม่ต้องนั่งหลังรถกระบะของลุงเสกให้โดนลมหนาว

          “ดีแล้ว  จะได้ไม่ต้องนอนดึกมากเกินไป ได้ยินแม่บอกว่าชอบดูทีวีดึกแล้วตื่นสาย   อย่าให้รู้ว่าไม่อ่านหนังสือก็แล้วกัน” 

          มธรินคาดโทษจากที่นั่งหน้าเป็นเพื่อนคนขับ

          “ครับผม” 

          บอยรับคำหน้าชื่น   ไม่ทราบว่าจะทำตามได้แค่ไหน  เพราะพอลงรถได้ก็รีบวิ่งไปสมทบกับเด็กอื่นๆ ไม่สนใจว่าแม่จะเรียกให้กลับบ้านโดยเร็ว

          “เฮ้อ!...เด็ก” 

          หญิงสาวทอดถอนหายใจ  แล้วหันมาชะงักเมื่ออาคเนย์เดินตามไปยังเรือนใหญ่

          “ยังไม่กลับอีกหรือ

          หญิงสาวไม่เห็นว่าจะมีธุระอะไรที่บ้าน

          “พอดีป้าแสงกับลุงเศกชวนผมมาดื่มอะไรนิดหน่อย  ผมเลยรับปากเอาไว้”

          ชายหนุ่มเรียกหาผู้ใหญ่เป็นข้ออ้าง ซึ่งเป็นความจริง สาเหตุที่ไม่สามารถอยู่นั่งเล่นเป็นเพื่อนให้เจ้าพวกนั้นที่ไร่ส้มข้างลำธารได้เพราะมีคนชวนไว้  โจ๊กกับสมหมายนั้นคงทราบดี ถึงกันพรรคพวกไว้ไม่ให้ต้องลำบากใจ เพราะปกตินายอาร์คไม่เคยทิ้งพวกเขา ยกเว้นกรณีพิเศษ

          “ค่ะ ป้าเห็นว่าวันนี้พระจันทร์เต็มดวงสวยมาก คงยังไม่มีใครง่วงก็เลยชวนคุณอาร์คมาดื่มชาอ่อนๆ ไม่มีคาเฟอีนหรอกคะ สบายใจได้ว่าไม่ตาค้าง”

          “ถ้าอย่างนั้นรินขอที่มีคาเฟอีนนะคะ รับรองตาไม่ค้างหรอก”  

          เจ้าของไร่อิงฟ้าไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับเพราะกาแฟเหมือนอย่างคนส่วนใหญ่

 

          หล่อนปล่อยให้อาคเนย์นั่งเล่นอยู่ที่ระเบียงโดยมีป้าแสงและลุงเศกเป็นเพื่อนคุยพักใหญ่  ก่อนจะลงมาด้วยชุดผ้าฝ้ายลำลอง  พร้อมกับยื่นเสื้อตัวโคร่งมาคืนให้  ที่ประจำคือระเบียงที่หล่อนชอบนั่งท้าวคางดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง  มาคราวนี้เจ้าตัวมานั่งชันเข่าอย่างสบายอารมณ์เช่นเดิม

          “เอ๊ะ!....”  มธรินมองแก้วเครื่องดื่มที่พี่เลี้ยงจัดมาให้

          “วันนี้ดื่มกาแฟมากแล้ว ลุงเลยให้ป้าเปลี่ยนเป็นนมอุ่นๆ จะดีกว่า”

          ลุงเศกเอ่ยขึ้นเรียบๆ เพราะทราบว่าคุณรินกำลังจะบ่นว่าอะไร

          “โธ่! ลุง  รินไม่ใช่เด็กนี่คะ อาราบิก้านะ มีคาเฟอีนอย่างมากแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” 

          เรื่องทฤษฏีไม่มีใครกล้าค้านเจ้าของไร่อิงฟ้าหรอก ถึงอย่างไรเจ้าตัวยังยอมยกนมสดมาดื่มแต่โดยดี  บทจะว่าง่ายก็ง่าย  บทจะรั้นขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่  

          “ไม่เห็นอร่อยเลย  จืด!”
         
“รักษาสุขภาพดีกว่าครับ เมื่อปีก่อนคุณรินก็ไม่สบายช่วงนี้เหมือนกัน อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ลุงไม่อยากให้ไม่สบายอีก”  

          ผู้อาวุโสกว่าไม่สนเสียงโอดครวญ  คราวก่อนที่ขึ้นไปดูฝายนั่นก็ถือว่าเสี่ยงมากพออยู่แล้ว ต่อไปคงไม่ยอมอีก

          “น้ารินเคยป่วยหนักครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ครับ

          ชายหนุ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา มีแต่คนเล่าว่ามธรินไม่แข็งแรง หากเท่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยเห็นเป็นอะไรหนักหนาสักที

          “ปีก่อนหน้าโน้นค่ะ ซมไปเป็นเดือน” 

          ป้าแสงเป็นคนตอบแทน  เจ้าตัวจึงไม่พูดอะไรอีกนอกจากจับแก้วนมอุ่นมาจิบเห็นแต่ลูกตาดำกรอกไปมา  ไม่มีข้อโต้แย้ง

          อาคเนย์เพิ่งสังเกตว่าหล่อนอ้อนแอ้นกว่าที่เคยเห็น  เผลอทอดสายตาที่อุ่นละมุนกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

          เสียงกระแอมพร้อมขยับตัวของลุงเศกทำให้เขาต้องเปลี่ยนอิริยาบถ

          “เดี๋ยวลุงจะไปดูไฟรอบๆ บ้านเสียหน่อย” 

          ผู้อาวุโสกว่าบอกสั้นๆ  พลางลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับภรรยาคู่ชีวิตพร้อมกับข้ออ้างเรื่องไปดูห้องครัว ทิ้งให้สองคนนั่งด้วยกันตามลำพังที่ระเบียงไม้ใต้แสงจันทร์  อาคเนย์ได้กลิ่นดอกไม้หอมลอยตามลมมาเป็นพักๆ

          “น้ารินอยากได้ดอกไม้ไหม

          หญิงสาวสั่นหน้าแทนคำตอบ  คงเกรงว่าจะได้อะไรที่เป็นรูปหัวใจไปสะสมอีก 

          ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาขยับเข้าไปนั่งบนม้ายาวตัวเดียวกับเจ้าของไร่อิงฟ้า ใกล้แต่ไม่ชิดจนน่าเกลียด  พลางชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

          “พระจันทร์สวยนะครับ”

          เขาชวนหล่อนคุยด้วยมุกที่สุดแสนจะโบราณถูกงัดมาใช้ ความรู้สึกเหมือนกำลังเป็นหนุ่มรุ่นกระทงที่ริจีบผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่ผู้หญิงคนนี้คงไม่หวั่นไหวกับคำหวานของใครง่ายๆ 

          “มันก็สวยอยู่เป็นปกติ...โอ๊ะ!  นั่นไง  กระต่ายกำลังตำข้าว”  
          คนตอบแหงนดูบนฟ้า พร้อมกับทำมือเหมือนอยากจะเอื้อมไปให้ถึง 

          “น้ารินดูอย่างไรให้เป็นกระต่าย?  ไม่เห็นเหมือน  มีแต่เงาตรงนั้นตรงนี้”   

          เขาพยายามเพ่งมองตามมือเรียวยาวนั่น   นิทานสมัยเก่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กผุดขึ้นมาในความทรงจำ  จริงสินะ  ...อาคเนย์หลงลืมไป จำได้แต่เพียงมนุษย์คนแรกไปเหยียบดวงจันทร์เพื่อพิสูจน์ว่าที่นั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากหินและดินแห้งแล้งที่ชื่อนีล อาร์มสตรอง

          อ้อ...เพิ่มมาอีกหน่อยจากพลพรรคเมื่อครู่...พระจันทร์ใจถึงกว่าพระอาทิตย์ คำถามนี้เคยได้ยินมาก่อนแล้วจากรายการโทรทัศน์

          โธ่!...เขาจะพูดได้อย่างไรว่าพระจันทร์เก่งกว่า ในขณะที่เจ้าของไร่อิงฟ้าซึ่งเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ยืนอยู่ใกล้ๆ

          “สงสัยคุณจะจินตนาการไม่ถึง ไหนว่าเป็นดาราต้องจินตนาการเข้าถึงบทบาทไง นั่นไง!  เห็นกระต่ายกำลังตำข้าวอยู่เลย  โน่น!...ตากับยาย  นี่จะเล่าให้ฟัง  กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว...มีตากับยายคู่หนึ่ง รักกันมากเหลือเกิน... ทั้งสองคนยังเลี้ยงกระต่ายไว้เป็นเพื่อนอีกหนึ่งตัว... ตากับยายสัญญากันไว้ว่าถ้าใครตายก่อนให้ไปรออยู่ที่ดวงจันทร์ กระต่ายกลัวว่าตากับยายจะไม่ใครช่วยหุงหาอาหารก็เลยขอตามไปด้วยอีกคน เอ๊ย...อีกตัว...”

          นักสำรวจจำเป็นดูจริงจังเกินปกติ คราวนี้เขาหันไปมองคนข้างๆ เต็มตา เริ่มรู้ทันแล้วว่า มธรินมักถือโอกาสเลี้ยวลดอย่างนี้เสมอเวลาที่จวนตัว และคราวนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพังโดยที่มีคนเปิดโอกาสให้เป็นกรณีพิเศษ  

 

          อาคเนย์หันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจ ท้าวคางเอียงหน้ามาสบตากับคนที่เห็นชัดว่าอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูก

          “ผมคงจินตนาการไม่ถึงหรอก นอกจากดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้ๆ”  ...แค่เอื้อมมือก็คว้าถึง

          และจริงๆ ไม่ใช่ดวงจันทร์ หากเป็นดวงตะวันที่ฉายแสงอบอุ่นมาสู่หัวใจต่างหาก ใช่อาคเนย์เพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะแสงตะวันนั้นฉายฉานครอบคลุมทั้งเขาสบเมฆเลยทีเดียว

          ตาสีน้ำตาอมเทาทอดมองนุ่มนวล ชายหนุ่มคิดไกลไปอีกว่าถ้าจู่ๆ ไปรวบคนตัวบางากอดแน่นๆ นี่  จะได้ไม้กระบองฟาดศีรษะเป็นรางวัลหรือไม่? 

          “...ไม่ว่าจะมีอะไรบนนั้น และถึงไม่ใช่พระจันทร์เต็มดวงวันเพ็ญเดือนสิบสองมันก็สวยทั้งนั้น   ถ้าผมได้มาอยู่ข้างๆ น้ารินอย่างนี้” 

 

          พลังบางอย่างทำให้มธรินไม่อาจทำเป็นรู้ไม่ชี้อีกต่อไป  รับรู้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น  ท่ามกลางกลางแสงจันทร์ที่สว่างนวล  แก้มเรียวมีสีเข้มจัดขึ้น

          “แหม...เกลียดคนรู้ทัน” 

          หล่อนพึมพำในลำคอหยิบแก้วน้ำมาจิบแก้คอแห้ง แบบนี้ทำให้ใจสั่นพิกล

          ที่จริงตามกำหนดการ หล่อนคิดว่าจะต้องอยู่ช่วยธนัตถ์จนถึงงานเลิก  หากเมื่องานต่างๆ เสร็จเร็วอบต.หนุ่มจึงอนุญาตให้หล่อนกลับก่อนได้

          “ผมทราบว่ามีคนที่ไร่อิงฟ้ารออยู่...หลายคน” 

          ธนัตถ์หลิ่วตาล้อเลียน  ดังนั้นคนที่มารับช่วงต่อจากหล่อนก็คือฝาแฝดน้องสาวของเขา ที่กรุงเทพฯ ลอยกระทงเป็นเพียงกิจกรรมสนุกสนานทั่วไป แต่ในท้องถิ่นนี้ การลอยกระทงมีความหมายหลายหลาก

          ทั้งเป็นการสืบสานประเพณีที่เก่าแก่และงดงามเอาไว้  และเป็นการได้มาอยู่รวมกันเพื่อขอขมาต่อพระแม่คงคาที่ศรัทธา คนแถวนี้ถือว่าเป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ ตอนแรกเด็กๆ จะเห็นเป็นเรื่องสนุกสนานเมื่อนานวันเข้าจะฝังเป็นความทรงจำในภายหลัง ประเพณีจะถูกอนุรักษ์และสืบสานจากรุ่นสู่รุ่นไม่สูญหายไปตามกระแสกาลเวลา

 

          อาคเนย์มองอิริยาบถของหล่อนด้วยความขบขัน  ถึงจะวางมาดเป็นเจ้าของไร่อิงฟ้าอย่างไร ก็เป็นผู้หญิง  

          “อย่ามองมากได้ไหม?  แล้วไม่ต้องยิ้มอย่างนี้ด้วย  ไม่อย่างนั้นจะฟ้องลุงเศกนะ”

          หญิงสาวทำเข้มงวดเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเขา  คงรู้สิว่าเป็นคนยิ้มสวย ถึงได้ขยันยิ้มนัก หลายครั้งที่อยากเอามือไปปิดตาคู่นั้นเสียจะได้ไม่ลำบากใจ  

          “ไม่ต้องมาขู่เลย ผมไม่สนหรอก”

          คนตัวโตเหยียดแข้งเหยียดขาสบายใจ 

          “อยู่ใกล้ๆ น้าริน ที่ไหนก็สุขใจ” ชายหนุ่มฮัมเป็นเพลง ไม่ใช่แซวเล่นเหมือนเช่นเคย 

          “วันนี้พูดดีจัง บรรยากาศพาไปหรือเปล่า

          ดูหล่อนช่างระแวดระไวเสียเหลือเกิน

          “เปล่า...ผมไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอย่างนั้น สำหรับน้าริน หลายอย่างอยู่ในนี้” 

          เขาทาบมือตรงหัวใจ ทำท่าอึดอัดราวกับจะระเบิดออกมา    

          “มากมาย จนไม่รู้ว่าจะเอาออกมาได้อย่างไร

          ริมฝีปากของคนฟังแย้ม อาคเนย์คนชอบกวนหายไปตอนไหน...มธรินจำไม่ได้เสียแล้ว  

          “โอ๊ย!...แค่นี้ก็มากพอแล้ว” 

          หญิงสาวเอ่ยเบาๆ  ถ้าบอกว่าเดี๋ยวยุงชุมเพราะน้ำเน่าเดี๋ยวจะมาโกรธกันอีก ไม่อยากทำลายบรรยากาศสวยๆ แบบนี้

          คราวนี้ยิ้มสวยส่งมาอีกจนมธรินต้องเมินไปทางอื่น อะไรหลายอย่างไม่จำเป็นต้องพูดจริงๆ  ยิ่งนับวันเพียงแค่มองสบตากันก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  แต่หล่อนยังเป็นคนแปลกที่พอใจกับความพอดีพองามและพยายามรักษาระดับเอาไว้เสมอ

          “อีกไม่นาน...สิ่งที่น้ารินตั้งใจ จะสัมฤทธิ์ผล ถึงวันนั้นจะรำคาญผมไหม?...”  

          “มันแล้วแต่คุณ...ถึงตอนนั้น สิ่งที่คุณคิดเอาไว้ก็อาจจะบรรลุผลเช่นกัน คุณอาจจะไม่มีเวลาที่จะหันกลับมาทางนี้ก็ได้”

          ถ้าคนที่ถามไม่ใช่อาคเนย์  มธรินอาจจะยืนยันแข็งขัน  หากเมื่อเป็นเขา  โลกมายาล้วนเอื้อที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง  โลกของอาคเนย์หมุนเปลี่ยนเร็วกว่า  หล่อนไม่อยากให้ใครหรือแม้แต่ตัวเองคาดหวังอะไรมากนัก

          “แต่ว่า...ฉันจะอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหนหรอก” หล่อนยิ้มหวาน 

          อาคเนย์ก้มหน้ารับในสิ่งที่หล่อนบอก

 

          “น้าริน เคยรักใครสักคนไหม  

          จู่ๆ ชายหนุ่มกลับเกิดอยากทราบขึ้นมา   ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่เขาอยากทราบว่าอะไรหนอที่ทำให้มธรินเป็นคนที่มั่นคงแน่วแน่เช่นนี้  ทั้งๆ ที่ชีวิตของล่อแหลมไม่น้อยกับการที่จะเป็นอย่างคนมีเงินมีตระกูลดีทั้งหลาย  ที่จริงป่านนี้ ชื่อของมธรินน่าจะอยู่ในหนังสือราคาแพง  เป็นแบบปก หรือไม่ก็เดินแบบการกุศลเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ เป็นกัน  หล่อนมีโอกาสจะเจอกับเขาในรูปแบบนั้นมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

          “ก็รักทุกคน โอ๊ย! ลูกเด็กเล็กแดง  รักเต็มไปหมดแหละ” 

          หล่อนหัวเราะ ตาวิบวับ แน่ล่ะ...เข้าใจที่ถามแต่เลี่ยงไม่ตอบ จะว่าไปเจ้าของไร่อิงฟ้าเลี้ยวลดเก่งกว่าใครๆ

          “ไม่ใช่น่า! ผมแค่อยากรู้  น้ารินไม่เหมือนใครที่ผมรู้จัก  ผม...แค่...อยากรู้”

          “แหม...ก็พูดยากนี่นา” 

          มธรินลำบากใจที่จะอธิบาย เพราะที่จริงหล่อนไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร

          “ฉันอาจจะรักตัวเองมากเกินไป ที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเอง หรือไม่ก็...รักตัวเองน้อยเกินไป ที่มาทำอะไรอย่างที่ใครๆ เขาเรียกว่าลำบาก”

          “ไม่เอา!...เรื่องนั้นผมทราบแล้ว...ตกลงน้ารินเคยรักใครหรือเปล่า

          อาคเนย์เซ้าซี้เหมือนเด็กๆ   แขนข้างหนึ่งท้าวพิงพนักหันมาตรง

           “ทีผมยังอุตส่าห์....”

          “เฮ้อ!...แหม  พูดยากจริงๆ นี่”   หล่อนเบือนหน้าหนี ก่อนจะถอนใจยาว  

          “ตั้งแต่เด็ก  ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันต้องอยู่กับพี่ปรัช  ต้องแต่งงานกับเขา  แล้วพี่ปรัชก็คือคนที่จะต้องดูแลฉัน  ตลอดไป   การอยู่กับพี่ปรัชไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันลำบาก  และฉันก็รักเขา  เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่”

          ตาสีเข้มหันกลับมาสบตากับเขา นิ่ง...

          “ฉันเป็นอย่างนี้มาจนโต  จนกระทั่งได้เวลาที่สายตาของพี่ปรัชไม่ได้มองมาที่ฉันเพียงคนเดียว  แทนที่จะเสียใจมากมาย....ฉันกลับรู้สึกพอใจที่เป็นอิสระ และแล้ว...ก็...มีผู้ชายอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน...”

          “คุณธนัตถ์?....” 

          ชื่อนี้แวบเข้ามาในสมองของเขาอึงอล  ผู้ชายที่เพียบพร้อมและดีพอสำหรับหล่อนอีกคนหนึ่ง

         

          “คุณปู่ของฉัน” 

          หล่อนเฉลยกลั้วหัวเราะตาระยิบระยับกว่าเดิม ราวกับเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร

          “โธ่เอ๊ย!”

          “ท่านเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ฉันสามารถทุ่มเทหัวใจให้ได้ไม่ใช่หรือ

          มธรินเลิกคิ้ว  เป็นเชิงถาม เมื่อเห็นว่าอาคเนย์ถอนหายใจโล่งอก

          ถึงแม้คุณหญิงวณวรกานต์จะดูแลหล่อนอย่างดีไม่ให้ลำบากมาตลอด  แต่สายเลือดนักพัฒนาของปู่...พ่อ  รวมกับสายเลือดของแม่ มันยังถูกปลุกขึ้นมาจนได้

          “หัวใจของน้ารินแข็งแกร่งเหลือเกิน เข้มแข็ง ผมนับถือน้าริน”

          “ขอบใจ...”

          คนร่างบางดูภูมิใจนิดๆ คงจะชอบฟังมากกว่ามีคนชมว่าสวยอีกกระมัง

          “ผมไม่ถามเรื่องปริญอีกแล้วละนะ”  

          ตอนนี้เขาไม่ได้ซ่อนอะไรเอาไว้   กับมธริน ความจริงใจและตรงไปตรงมาเท่านั้นที่หล่อนเชื่อมั่น 

          “ก่อนหน้านี้ผมอยากให้น้ารินลงเอยกับปริญจริงๆ เพราะเขาเป็นคนที่ดีมาก และผมก็เชื่อว่าเขารักน้ารินจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมทราบว่าน้ารินคิดอย่างไร และมีเหตุผลที่จะไม่รักปริญแบบนั้น”

          “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าอยู่ฝ่ายฉัน เพราะคุณจะขึ้นชื่อว่าหักหลังเพื่อน 100 เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ”

          คำสรุปของหญิงสาวนั้นจริงจังเช่นกัน   

          หลายคราที่หวั่นเกรง  รู้สึกผิด  หากเมื่อถึงเวลานี้ อาคเนย์จะยืดอกรับผลนั้นโดยไม่โทษใครทั้งสิ้น

          “ผมยินดีรับสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจ”

          “จะ...คอยดู” 

          เจ้าของไร่อิงฟ้าสิ กลับยังหวั่นใจ หล่อนกำลังทำผิดกับผู้เป็นที่รักและมีพระคุณอย่างคุณยาย  จะซ่อนความรู้สึกผิดไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน? ความรู้สึกนี้บาดลึกอยู่ในอกทุกครั้งที่ก้าวเดินไปข้างหน้า

 

          “ผมตัดสินใจแล้ว น้าริน”  จู่ๆ อาคเนย์ก็โพล่งขึ้นมา

          “คริสต์มาสนี้  ผมจะไปหาแม่สักครั้ง” นานๆ ไปรวมครอบครัวสักทีคงไม่เป็นไร

          ตาสีเข้มเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความยินดี กับความสุขของคนอื่น   ไม่ต้องอธิบายมาก  มธรินต้องเข้าใจ           

          “ยินดีด้วย”

          “ผมก็แค่ ติดไปกับครอบครัวของพี่สาว นานๆ จะรวมครอบครัวสักที ก็...ลองดู แต่ไม่รับประกันนะ น้ารินอาจต้องมาฟังผมบ่น บ่น บ่นอีกก็ได้”

          อีกฝ่ายไม่ต่อความ  หากรอฟัง  

          “น้ารินไม่โกรธผมนะ ที่ผมไม่อยู่ฉลองวันขึ้นปีใหม่กับน้าริน”

          “ทำไมต้องโกรธ?   ปกติฉันก็ฉลองนิดหน่อยที่ลานหน้าบ้าน  เช้ามาก็ไปวัด ไปทำบุญ  ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไร”

          คราวนี้อาคเนย์ไม่หลงกลว่ากำลังถูกยั่วให้น้อยใจ 

          “แต่ปีนี้พิเศษแน่ เพราะน้ารินต้องเหงา เพราะไม่มีผม” 

          “หลงตัวเองจริงๆ”  หล่อนส่ายหน้า

          ชายหนุ่มทำทีเป็นเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า  หากมือที่ว่างอยู่ข้างตัวค่อยๆ เลื่อนขยับจนสัมผัสกับปลายนิ้วของคนข้างเคียง   ได้ยินเสียงทอดถอนหายใจแผ่วบาง แต่ยอมปล่อยให้เขาขยับมาเกาะกุมมือข้างนั้น  นิ้วมือสอดประสานกันเงียบๆ เบาๆ

          “ถึง...ตัวของผมจะอยู่ที่ไหน?  แต่ ว่า  ผมทราบดี   หัวใจของผม  อยู่ที่ใด

 

 ********************

 

          ทั้งๆ ที่อากาศหนาวน่านอน  แต่มธรินจำต้องตัดใจสลัดผ้าห่มลุกขึ้นมาจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวให้สมกับเป็นวันใหม่ในปีใหม่   ตอนนี้ทุกคนคงกำลังรอที่จะไปวัดพร้อมกันเหมือนเช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา

          เดิมหญิงสาวเป็นเพียงแค่คนหน้าใหม่  หากในปีนี้ไม่ใช่อีกแล้ว  ชื่อเจ้าของไร่อิงฟ้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น  เป็นส่วนหนึ่งของคนในพื้นที่มากขึ้น  แม้จะเก็บตัวเงียบอย่างไร  สังคมเล็กๆ ยังอยากให้หล่อนออกไปเปิดตัวในฐานะที่เป็นเจ้าของไร่ใหญ่ที่สืบทอดมาจากคุณปู่ ไม่รวมกับที่สั่งสมความเป็นเจ้าของไร่อิงฟ้าด้วยตัวเองมานานปี มธรินจำเป็นต้องแบกรับบทบาทของผู้นำคนหนึ่งในชุมชนเช่นกัน

          “ปีใหม่นี้น้ารินจะเหงาแน่ เพราะไม่มีผม”

          คนตัวโตพูดเอาไว้ด้วยความมั่นใจก่อนไปต่างประเทศ  หญิงสาวได้แต่หัวเราะ หากเมื่อถึงวันนี้ กลับรู้สึกเหงาจริงๆ ตามที่เขาว่าไว้ เมื่อนาฬิกาตีขึ้นต้นวันใหม่ในปีใหม่ หญิงสาวได้รับโทรศัพท์จากอาคเนย์ก่อนเป็นคนแรก นานๆ ครั้งที่เขายอมติดต่อมาโดยตรง เพราะปกติจะผ่านลุงเศกและป้าแสง การสนทนาจบลงด้วยคำบอกเล่าสั้นๆ

          “ผมหวังว่าดาวดวงที่ผมกำลังดูอยู่จะเป็นดาวดวงเดียวกับที่น้ารินกำลังดู และพรุ่งนี้ ดวงตะวันที่ขึ้นที่เขาสบเมฆ จะเป็นดวงตะวันดวงเดียวกันของผมและน้าริน”

          จะเพราะอะไรเล่า แววตามุ่งมั่นอย่างนั้นหรือ? ที่ทำให้เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

          มธรินสลัดศีรษะ รีบอาบน้ำแต่งตัว ป่านนี้ของไหว้พระคงถูกเตรียมเรียบร้อยแล้ว

          ถ้าจะพูดถึงปีใหม่ทางเหนือนี้ จะให้คึกคักจริงๆ น่าจะเป็นช่วงสงกรานต์ แต่มทรินยังมีความเป็นคนภาคกลางดังนั้นจึงถือเสมือนวันปีใหม่ไปตามสากล  หญิงสาวกับพวกป้าแสงตั้งใจจะไปวัดเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เป็นวัดประจำหมู่บ้าน เพราะหลวงพ่อส่งข่าวมาไว้ว่าวันนี้จะทำการ 'ชะลอ' ศาลาการเปรียญจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ตอนแรกๆ หล่อนไม่เข้าใจ แต่พอมีคนอธิบายจึงถึงบางอ้อ... ชะลอที่พูดถึงคือเป็นการเคลื่อนย้าย

          ศาลาการเปรียญของวัดมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ทำด้วยไม้สักเนื้อดีทั้งหลัง คณะกรรมการวัดตัดสินใจที่จะไม่รื้อแต่จะใช้วิธีขยายต่อเติม แต่เพราะพื้นที่ปัจจุบันไม่เพียงพอเลยต้องขยับออกไปอีก 10 เมตร จึงจะสามารถขยายพื้นที่ได้สวยงาม

          ที่จริงเทคนิคอีกอย่างคือการถอดสลักออกแล้วแยกไม้กระดานแต่ละแผ่นออกจากกัน แต่นั่นจะเสียเวลาและบางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดถ้าช่างไม่ชำนาญเรียงไม้กลับเข้าที่เก่าสลับแผ่นกัน

          การชะลอต้องใช้กำลังคนมากพอดู แต่คนในพื้นที่บอกว่าไม่ยาก เพราะนายช่าง หรือที่เรียกว่า ‘สล่า’ เตรียมการถอดหมุดและเตรียมสถานที่ตั้งจุดใหม่เอาไว้อย่างดีเรียบร้อยแล้ว คนในไร่แถบนี้จึงพากันเตรียมกำลังพลไปเช่นกัน หลังทำบุญก็จะเริ่มกันเลย

          เสร็จพิธีทางศาสนาแล้ว พวกผู้ชายต่างพากันเตรียมตัว ผู้คนเหล่านี้มาจากในท้องที่ คนจากไร่เล็กไร่ใหญ่ และคนของไร่อิงฟ้าต่างอยู่ประจำที่รอสัญญาณในจุดของตัว  มธรินกับพวกผู้หญิงทำหน้าที่เป็นกำลังใจและน้ำท่าให้พวกผู้ชาย

          การขนย้ายดำเนินการตามพิธีท้องถิ่น บางเรื่องหญิงสาวยังต้องมีคนอธิบายเหมือนกัน หล่อนอยู่รวมกลุ่มกับพวกนายปีเตอร์และคนเฒ่าคนแก่ที่มาดู พอสัญญาณเริ่ม หัวหน้าขบวนก็พากันออกแรงยกเคลื่อน แวบหนึ่งร่างสูงหนาของใครคนหนึ่งปราดเข้าไปรวมกับพวกโจ๊กและสมหมาย มีเสียงเฮทักกันลั่นคึกคักกันขึ้นมาอีก

          “นายอาร์คมาแล้วเจ้า!”

          แม่ดารา เจ้าประจำร้องทัก หน้าตาดีใจเสียยิ่งกว่าใคร ในขณะที่มธรินต้องสำรวมเอาไว้ ไหนว่าจะไม่กลับมา? เมื่อคืน...ที่โทรศัพท์มาก็คงอยู่ในประเทศไทยแล้วสินะ

 

          ศาลาการเปรียญไม้สักหลังเก่าถูกกำลังคนยกไปวางบนเสาไม้สักต้นใหม่ซึ่งถูกตั้งรอเอาไว้ พอเข้าที่แล้ว ทุกคนร้องเฮ้! ขึ้นมา มัคทายกถือไมโครโฟนกล่าวขอบคุณพี่น้องท้องถิ่น พร้อมกับเชิญชวนเรื่องงานบุญครั้งต่อไปยาวเหยียด

          ร่างสูงสนทนากับพวกคนในไร่อิงฟ้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยอาการเก้อเขินเล็กน้อย เขาไหว้สองสามีภรรยาเจ้าของไร่ปันนทีและพ่ออุ้ยแม่อุ้ย ผู้เฒ่าทั้งๆ ที่ไม่รู้จักสักคน แล้วขยับเข้ามาหามธริน

          “สวัสดีปีใหม่ครับ...น้าริน”

          อาคเนย์ซับเหงื่อไหลเป็นน้ำ ร่างสูงไปมุดอยู่ที่เสาออกแรงเต็มที่  คงหวังบุญมากโข

          หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ ไม่นึกว่า...จะมาถึงเร็ว เมื่อคืนไม่มีสัญญาณบอกสักนิด อากาศหนาวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ กลับมีสายลมอุ่นพัดผ่านเข้ามาวูบหนึ่งยามเมื่อเห็นว่ามีใครกลับมาอยู่ด้วย

          “มาถึงเมื่อไหร่

          “เมื่อเช้า พอที่ไร่บอกว่าอยู่ที่นี่ เลยรีบบึ่งรถมา กะมาทำบุญกับน้าริน”

          “ทำไมรีบมา

          ตาสีน้ำตาลเทาแลมาวูบหนึ่ง   ขยับเอียงศีรษะมาใกล้ๆ ลดเสียงเบาอ่อน

          “ผมบอกแล้วว่าตะวันของเราจะเป็นดวงเดียวกันที่เขาสบเมฆ”

          ริมฝีปากหยักยิ้มส่งมาหวานหยด

           มธรินค้อน พูดออกมาได้ ‘ตะวันของเรา’ เชอะ...น้ำเน่าชะมัด!

          เอาเถอะ คราวนี้ต้องเงียบไว้ก่อน  อยู่ในอาณาเขตวัดต้องสำรวม...

 

          มธริน อาคเนย์และสมาชิกไร่อิงฟ้าต่างกราบพระพุทธรูปประจำวัด ทุกๆ คนต่างอธิษฐานขอพรพระเพื่อเป็นสิริมงคล ขอให้ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ผ่านมาพร้อมกับความสุขสมหวัง

          อีกไม่นาน ต้นกาแฟพันธุ์ใหม่ที่เริ่มต้นปลูกตั้งแต่คุณปู่ยังไม่สิ้นจะต้องเริ่มออกดอกเห็นผล มธรินเฝ้านับวันเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อถึงเวลานั้นหล่อนจะไปกราบขอโทษคุณยายที่มุสาทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้ ต่อให้ท่านทุบตีด่าว่าหล่อนก็จะยอม ขอเพียงแต่ให้ผลงานในฐานะลูกหลานของวณวรกานต์ หลานของคุณปู่สำเร็จในมือ ถึงตอนนั้นมธรินจะไม่ต้องเกรงอะไร 

          แต่ทว่า... ในโลกนี้ไม่มีใครสมปรารถนาไปเสียทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายเกินไป ต้นกาแฟของไร่อิงฟ้าก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎเกณฑ์

 

*********************************

          ตอนนี้ตรงกับช่วงวันลอยกระทงพอดี เลยเอามาลงเร็วหน่อย  หวังว่าเนื้อเรื่องคงจะพอทำให้คลายเครียดกันไปได้บ้าง

          ขอขอบคุณผู้อ่านและผู้ถูกใจทุกท่าน   คุณMnemosyne, คุณอาราเร่, คุณสามปอยหลวง, คุณมานีโอลา, คุณArgent, คุณเสือสั่งป่า, คุณTyra, คุณGracie Lou Freebush, และคุณห้าสิบป่าย

          โดยเฉพาะคุณห้าสิบป่าย และทุกท่านที่กำลังเผชิญน้ำท่วมอยู่ เป็นกำลังใจให้เต็มที่ค่ะ ขอให้ผ่านเวลานี้ไปให้ได้

 

แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 54 23:27:13

จากคุณ : รุ้งปลายฟ้า
เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 54 23:24:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com