Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วันแรกของจิตอาสา ปรัชญากะละมัง ติดต่อทีมงาน

อยู่นิ่งๆแล้วไม่รู้เป็นอะไรเหมือนจะคันหู ขณะที่คนเขากำลังเดือดร้อนเราเอาแต่นิ่ง
มันเลยคันขึ้นจริงในเวลานิ่งๆนี่เข้ามา มันต้องหาอะไรทำสักอย่าง ไม่ใช่ให้ดูดี แต่ให้เป็นประโยชน์
พอพ่อแม่เริ่มเปิดทางก็เลยหาที่หาทาง ออกมาทำอะไรสักอย่างตอนที่เขาน้ำท่วมนี่แหละ
เนื่องจากเป็นคนไม่เคยรู้อะไรเลยซักอย่าง ก็หา หาทางอินเตอร์เน็ตแบบที่ทุกคนเค้าทำกัน
หาว่าอ้วน เก๊า หลอดลมไว ไม่สนใจโทรศัพท์ ไปกลับไม่ค่อยถูกอย่างเรามันช่วยทำอะไรกับเขาได้บ้าง
ในตอนที่เขตบ้านเรานี้รองเท้าแตะถึงกางเกงในมันยังแห้งสนิท มันจะเปียกก็แต่เหงื่อคนอ้วนที่ยังไม่อาบน้ำ
เราน่าจะบรรเทาไอความเปียกใจของใครได้บ้าง มีส่วนมันไม่มากก็น้อย ขอให้ได้ทำอะไรสักอย่าง
ที่ดีกว่าอยู่บ้านนั่งอัพสเตตัสชวนอ้วกไปวันๆ หาประโยชน์จริงๆทำซะบ้างพ่อนักเขียนอิสสะเหรด
เซิร์ชไปเจอปั้น EM BALLแก้น้ำเสีย อืม ดูๆก็น่าสนใจ เลยตัดสินใจมันตรงนั้นหล่ะ ใจง่าย
ทีนี้ก็เริ่มเซี่ยมชวนเพื่อนที่มีอยู่ไม่กี่คนด้วยนิสัยอันกากเดนมนุษย์ที่เป็นอย่างพยายาม
ไอจะไปกับกลุ่มอื่นๆก็กลัวเขาไปในแบบไหนไม่รู้ เราไม่ไว้ใจหวงตัว
บางทีก็กลัวเราไปกับเขาแล้วเขาจะรู้สึกไม่สบายตัว เกรงใจเกรงกลัวหรือรำคาญ
คนน่ารังเกียจแบบตัวเราก็เลยต้องกบฏ หาไปมันเองนี่แหละ
พวกเพื่อนที่มันรับได้บ้างไม่ได้บ้างกับความกากเดนในสันดานนี่แหละ
ขอให้มีคนไปด้วย ไปคนเดียวมันคงจะรู้สึกว่าไปเป็นผู้ประสบภัย




งานนี้เราชวนเราต้องเป็นเจ้าพ่อ ต้องน่าเชื่อถือ ถุงมือพร้อม กะละมังพร้อม ไม่รู้มาจากไหนเหมือนกัน
แต่พร้อมแล้วสำหรับดินทรายหรือขายเขียดขายกบอะไรก็ตาม จะปั้นให้สนุกเลย ว่างจากดินน้ำมันมานาน

โพสต์สเตตัสชวนไปลงในเฟ๊ซบุ๊คที่อาจจะมีสองสามคนเห็น ไม่กี่คนจะมาคอยตามดูคนหน้าแปลก
เขาคงกลัวจะเป็นสเตตัสชวนอ้วกเช่นเคยๆ
ชวนเป็นพิเศษในเอ็มกับไม่กี่คนที่ยังไม่ย้ายไปเล่นไลน์ หรือมันจะย้ายไปเร็วๆนี้ก็คงน่ากลัว
ไอเราคงถอยไปอยู่ในถ้ำเรื่อยๆ เพราะไม่มีไอแผดไอโฟนกับเขา มือถือรุ่นเรามีแต่ไฟฉาย
ชวนทางโทรศัพท์หรอ ก็ไม่ได้โทรหรอก
ที่เม็มไว้จริงๆจังๆมีแค่ป๊ากะม้า ซึ่งจำได้อยู่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันมันจะเม็มไปทำไม
ก่อนจะปิดคอมชวนเพื่อนไปไม่กี่คน ก็ตอบรับกันมา ถึงวันจริงไปบ้างไม่ไปบ้าง
ก็ไม่ได้ถือสาอะไร ไม่นินทาให้ร้ายใครสักนิดเดียว เพราะเราก็เข้าใจเขา
ก่อนจะขออนุญาตออกจากบ้าน ต้องตอบคำถามแม่ ไอ้เราก็จำได้ว่าอะไรอมรินๆ
"อ๋อ อรุณอมรินทร์ครับ" ... จะบ้าเรอะอรุณอำมรินทร์มันน้ำท่วมจะไปได้ไง
อันเป็นเหตุให้มาเปิดคอมอีกรอบ อ๋อ ... คนรุ่นเก่าเขาเรียกกันว่า "โซโก้"
อมรินทร์ทาวเว่อ หรือมอล อะไรเนี่ยแหละ ตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้หรอก
ประเด็นที่สำคัญคือกะละมัง เขาเขียนในเว็บให้เอากะละมังไป เอ้า เราจะไปก็เอากะละมังไปสิ
กะละมังไม่ธรรมดา กะละมังดำ ใหญ่ ถึก ผ่านสนามซักมาแล้วหลายสนาม
ให้เรียกสบายปากก็กะละมังควาย เหมาะกับตัวคนถือมาก
ไอ้เจ้ากะละมังคู่ใจเนี่ย เพื่อนมันบอกว่าให้ติดป้ายหลุยส์วิตรอง แล้วมันจะฮากว่านี้
แต่ตอนนี้แค่กะละมังควายมันก็ฮากันทั้งทางแล้ว ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ทั้งที่เกี่ยวไม่เกี่ยวกับกะละมัง
ไม่รู้เขียนไปเขียนมามันวนซ้ำเนื้อบ้างหรือเปล่า แต่อย่ากระนั้นเลย
ถือว่าเสพความปัญญาน้อยของคนเขียนไป มันคงหาสาระไม่ค่อยได้อยู่แล้ว

แน่นอนว่าเสี่ยเส็งเขาเอาจริง เราก็ด้วย นัดกันไปปั้นดินรอบบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น
นัดกันที่แม็คโดนัลด์โรบินสัน ใครจะมาตอนไหนก็มาขอให้ได้ไปแล้วไม่เลทเป็นพอ
ด้วยความที่ว่าเราเป็นกึ่งเจ้าภาพที่ชวน ชายหนุ่มรูปงาม ... ไม่ใช่หรอก
ก้อนกลมๆก้อนนึงก็หิ้วกะละมังควายพร้อมถุงมือพลาสติกหกคู่ครึ่ง
เดินอย่างสง่าผ่าเผยไม่อายใครเปิดประตูเข้าสู่แม็ค สิ่งแรกที่รับรู้คือ เขามองกู ทุกคนเลย
กะละมังควายนี่มันแปลกมากหรอ แบบว่า อาจจะมีธุระเลยถือมา อะไรงี้ เป็นไปได้ ยิ่งช่วงนี้น้ำท่วมด้วย
เพียงแต่คงไม่มีใครมันถือเข้าแม็คโดนัลด์ย่านธุรกิจที่ทั้งไทยฝรั่งแขกพลุกพล่านแค่นั้นเอง
ก้อนกลมๆรีบหาที่นั่ง ใกล้ๆประตูให้เพื่อนมันสังเกตุง่ายๆว่าชายหนุ่มรูปงาม ... ไม่ใช่
ว่าก้อนกลมๆกับกะละมัง จัดเต็ม และเตรียมพร้อมอยู่ ณ จุดนี้แล้ว
นั่งสักพักก็ เริ่มจะไปวิปัสสนา(หลับ) ... เราทำได้ยังไง เราเป็นคนอ้วนที่เข้ามาในร้านอาหาร
แล้วจะไม่สั่งอะไรกินหรอ บ้ารึเปล่า จบความคิดนั้นยังไม่ทันหลุดหางของเสียงคิด
เสียงเดินจริงก็เกิดขึ้น ก้อนกลมๆก็เดินไปที่เค้าเตอร์ เข้าแถวผิดอีกต่างหาก
ไปเข้าแถวที่เขาสั่งแล้วมารอรับ ไม่เป็นไร ไม่มีใครรู้ กูไม่อาย
เอาใหม่ ต่อแถวถูกละ ... พนักงานไปเข้าห้องน้ำ ... เออ รอได้ ระหว่างนี้ก็ดูเมนู
เบอเกอร์ มื้อหนักไป ไก่ เป็ปซี่ ... ก็เก๊าท์อีก ไอเฟรนช์ฟรายนี่หล่ะ
เหมาะกับคนไขมันอุดตันในเส้นเลือดอย่างเรา ว่าแล้วก็สั่ง
เฟรนช์ฟรายกับโฟลตโอวัลติน(ไอติมโปะโอวัลติน) ก็กลับมานั่งต่อ
ร้านแม็คนี่แปลก ยังคิดๆอยู่ว่าถ้าทำสถิติเขาคงจะตกใจ สาขานี้มีแต่คนแก่เข้าจริง แต่เป็นคนแก่ที่น่ารักนะ
เห็นเขาคุยกันแล้วรู้สึกอบอุ่นดี เหมือนอยู่สมาคมสีเหลือง หรือซุ้มเต็กเลี้ยวที่สวนลุม
มีกลิ่นหล่อฮังก้วยกับกลิ่นฟันปลอมโชยๆมา ... ทำไมถึงรู้สึกเหมาะกับแม็คสาขานี้ขึ้นมาแล้ว


บอกไม่ถูกเหมือนกัน เป็นเก๊าท์เหมือนเขาด้วยอีกต่างหาก
นี่เขียนๆมามันชักยาว ไม่ต้องเล่าตอนที่นั่งรอแล้วมั้งคนอ่านเบื่อพอดี ข้ามถึงไปตอนเพื่อนมันมาเลย
ยาวแน่ๆถ้าเก็บรายละเอียดขนาดนี้
จนถึงเพื่อนคนแรกเดินเข้ามา เดินเกือบจะผ่านเราไปเหมือนจะหาอะไรกลมๆบางอย่าง
(ตูไม่ค่อยเด่นเลยเนอะ) เราก็ทำหน้าตายมองตามมันไปเรื่อยๆ ดูซิว่ามึ*จะเจอกูมั้ย
จนมันหันลงมามันก็หัวเราะมุกหน้าตายๆของเรา เจอกันด้วยเสียงหัวเราะ
เมื่อวานเพื่อนคนนี้มันถามว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง ก้อนกลมๆตอบว่า "ไอแผด"
ไม่ใช่รีเซิร์ชอะไรหรอก เล่นเกม เน็ต เฟซบุ๊ค แบบที่วัยรุ่นทั่วๆไปเขาทำกัน เพราะมันต้องมีช่วงคั่นเวลา
อืม มันเอามาจริง ไอแพ็ดนี่มันทำให้คนกลายเป็นคนบ้าได้ นี่ไม่ได้หมายถึงติดเกมหรืออะไรนะ
แต่เวลามีคนเอาให้เราเล่นแล้วคือมันต้องเอียงไปเอียงมา ลูบนั่นลูบนี่ เขย่าอีก ไหนจะพวกปล่อยพลัง
อะไรไม่รู้เยอะแยะ มีทั้งเป่าทั้งดีดทั้งตีแหละไอแผดไอโฟน ประมาณว่าถ้าเรารู้ตัวตลอดเวลา
เราถอยตัวเองออกมาดูตลอดเวลาว่า ไอก้อนกลมๆนี่มันกำลังทำอะไรอยู่ มันรู้สึกเหมือนคนเออออกับตัวเอง เหมือนความต้องการของเด็กๆที่เขย่าอะไรเล่นๆ แต่ความพอใจในตอนนี้มันยกระดับขึ้นหน่อย
คือมีจอภาพ ขยับได้มีเสียงด้วย แต่สุดท้ายมันก็ไม่ต่างไป
เพื่อนออกความเห็นว่าอยู่ตรงนี้กับรถแข่งมานานแล้วนะ ไปเดินเล่น B2S กันเถอะ
"กะละมังหล่ะ" ... ไม่รู้ จำไม่ได้ว่าพูดกันว่าอะไรมาก จำได้แต่หัวเราะ
แล้วก้อนกลมๆก็พากะละมังควายไปเดิน B2S กับเขาจริงๆ ไม่รู้เขาจะดีใจรึเปล่าว่าไออ้วนนี่มันพกกะละมังมามันต้องซื้อเยอะแน่ๆอะไรยังงี้ เดินไปขำไป ไม่หยิบจับหนังสืออะไรมาอ่านสักเล่ม เอาแต่ขำ
ยังกะจะพากะละมังควายมาโชว์ตัว นี่กูเอากะละมังมากินจั๊งฟู้ดกับพามาเดินอ่านหนังสือหรอ
ระหว่างนั้นสิ่งที่น่าจะฮาก็เกิดขึ้น มือคนอ้วนหลวมลงเพราะขำมุกก่อนหน้านี้โดยหารู้ไม่ว่ามุกต่อไปฮากว่า กะละมังตก เสียงดังมาก ดังนานด้วยเพราะมันสวิง โซนหนังสือที่ตกนั้นช่างเหมาะสมกับกะละมังควาย
เด็กอ้วนที่หน้าตายิ้มอย่างไม่มีแก่นสารในเวลานั้น ต้องประสบชะตากรรมที่โซนศาสนาและปรัชญา ...
...
หันมากันทั้งบีทูเอสหล่ะทีนี้ หนอนหนังสือส่วนใหญ่หันมาบึ้งตึง เพราะถือว่าไปรบกวนเขา (จริง)
โดยเฉพาะโซนศาสนาและปรัชญาผู้มีความสุขกับปัจจุบันและหาความจริงในชีวิต
เป็นโซนที่อารมณ์เสียที่สุดเมื่อกะละมังควายตกพื้นห้าง อะไร กูกำลังค้นหาความจริงของชีวิตอยู่นะ
เอิ่ม ... ก้อนกลมๆกับเพื่อนของก้อนกลมๆได้แต่ยิ้ม ไม่หรอก พ่นหัวเราะเลย มันฮาจริง
ทำกะละมังตกกลางห้างนี่มันฮาจริง โดยเฉพาะถ้าเราเป็นคนป้ำเป๋อทำตกเอง ในที่ที่คนทุกคนต้องการ
ความสงบ ความรู้ และความจริงในชีวิต ... ขณะนั้นกะละมังก็ตกส่งเสียงดังยาว
ตามติดด้วยเสียงหัวเราะของเด็กกวนตีนไม่มีมารยาท แหม่ ไม่รู้แหละ
ฝากความขอโทษให้คนที่หน้าเคร่งขรึมในโซนปรัชญาทุกคนด้วย
ก้อนกลมๆกับกะละมังไม่ได้ตั้งใจ
เด็กอ้วนกับเพื่อนวิ่งอย่างช้าๆเข้าไปที่โซนการ์ตูนเด็กเพื่อไปหัวเราะฮาอย่างอัดอั้นกันสองคน
น้ำลายจะพุ่งพุงจะเล็ด กะละมังควายมันตก ดีที่ไม่แตก เดินวนหัวเราะกันอยู่แถวนั้นอ่ะ
หัวเราะกันเอง เดินวนไปเจอใครเขาก็ยิ้ม เฮ่ยมาดูนี่เร็ว เด็กอ้วนเอาถังถลอกๆมาเดินห้างโว้ย ...
เราตัดสินใจพากะละมังควายกับสังขารปุ้มปุ้ยลงบันไดเลื่อนด้วยท่าที่เท่ห์ที่สุดที่จะทำได้
เพื่อกลับมายังแม็คและรอเพื่อนอีกคนที่โทรไปล้อชื่อพ่อมันเพื่อเร่งให้มันรีบมา
นั่งในมุมอับของแม็คเพื่อให้มันหาไม่เจอจะได้ล้อมันอีก สนุกมาก แต่แปลก ...
ในยามน้ำท่วมเช่นนี้แมลงสาป มด หนู ตะขาบ มันรู้ว่าต้องทำยังไงให้ตัวมันรอด มันรู้ว่าจะไปที่ไหน
สัตว์พวกนี้เหนือกว่าเรามากเรื่องสัญชาตญาณ เช่นกัน
ไอ้บ้านั่นมันหาที่เราเจอเหมือนติดจีพีเอสหรือถามสิริมาก่อน
บินถลาเข้ามาแล้วประเดิมด้วยชื่อพ่อของคนที่ล้อมันไปเมื่อกี้อย่างไม่เกรงใจโต๊ะข้างๆ ... ไม่ใช่สิ
โต๊ะรอบข้าง ถึงตอนนี้เรามีกันสามคนแล้วถ้าจะไม่มีใครมาก็พอไปปั้นกันได้
ขณะเดียวกันโต๊ะรอบข้างก็เป็นสาวๆลองเครื่องสำอางค์ เขากรี้ดกร้าดพอกัน
อีกโต๊ะหนึ่งก็เป็นฝรั่งกับโน๊ตบุ๊ค ที่น่าใส่ใจคือ มันไม่มีใครสั่งอาหารมากิน มาทำธุระกันทั้งนั้น
สักช่วงหนึ่งก้อนกลมๆก็หลุดพูดอะไรก็ไม่รู้ ดังเกินไป ฝรั่งถอนหายใจ เก็บเม้าส์ ย้ายโต๊ะหนี
ไอนี้ดทูคอนเซ็นเทรต โซกู้ดบาย เรานี่มันสวะจริงๆ เขาเดือดร้อนกันได้ข้ามแผ่นดินเพราะเรา

นั่งไปสักพักนึง แถวนั้นก็โล่งไปด้วยมนุษย์ปกติ เหลือแต่โต๊ะของพวกเราในละแวก
ก้อนกลมๆไปซื้อไส้กรอกสี่ไม้ได้ กับน้ำใหญ่ๆหนักๆอีกแก้ว พอทุกคนเริ่มหมดมุกคุยกัน
ทีนี้โทรตาม ทำไมมามันแค่สามคน ด้วยความที่ไม่รู้จักเม็มเบอร์ ทีนี้สุ่มอย่างมีสติปัญญา
ดันโทรไปหาคนที่เมื่อวานไม่ได้คุยไว้มาก ตาคนนี้ช่างกล้อง มันก็อยู่กันสามคนแล้วที่กาชาด
เป็นตากล้องกันสองคน ไม่ชอบเลยมันจะถ่ายเรา ยังไงไม่รู้เวลาขึ้นกล้อง ตอนปกตินี่ก็อ้วนอยู่นะ
แต่พอถ่ายรูปแล้วทำไมดูอ้วนก็ไม่รู้ สามคนนั้นก็กำลังรอจะช่วยเขาอยู่เหมือนกัน
เอ้า ทีนี้รออะไร กาชาดก็กาชาด ไปขนก่อนแล้วปั้นดินต่อก็ได้ แน่นอน กับกะละมังไปกาชาดด้วย
สามคน(หนึ่งมัง)นั่งสามล้อไปกาชาด ไม่มีอะไร ยกเว้นมุกตลอดทาง สามล้อแกก็ฮาไปด้วย โอ้ยสนุก
แต่ตอนนี้ไม่รู้จะเล่าอะไรนอกจากกะละมังกับพุงของคนเขียนมันต้านลม จะข้ามไปถึงกาชาดเลยนะ
มาถึงกาชาด สิ่งแรกที่คาดหวังคือ เขาคงจะเข้าใจกับการมาของชายหนุ่มรูปงามและกะละมังควายดำ
ไม่หรอก จิตอาสาเขายังฮาเรา คนอ้วนกับกะละมังนี่ฮาจริงๆมั้งเนี่ย กว่าเขาจะชิน เราก็เด่นไปเลย
เอาหล่ะ พอเจอเพื่อนอีกสามคน ตอนนี้รวมเราเป็นหก ความอายมันหายน้อยลงหน่อย
คนมันเยอะ กะละมังที่ถือก็ดูมีเหตุผลขึ้นหน่อย อุปทานกันได้
เราโชคดีที่ว่าไม่มีดีเลย์ต้องรอรีอะไรเลย พอหากันเจอ งานก็เริ่มพอดี
จิตอาสาช่วยกันแพ็คและเรียบเรียงถุง แถวยาววนไปมา เห็นแล้วชื่นใจครับ
แต่ที่ยาวคือคนเอาของใส่ถุงนะ คนแพ็คผูกมีประมาณสิบคน
แล้วพวกเราชายชาตรีจำนวนนึง คือพวกที่เอาของขึ้นรถ

ทีนี้ก็เริ่มขนของ บางคนถูกส่งขึ้นบนรถไปเรียงของ ส่วนเราอยู่ข้างล่างคอยยกส่งต่อไปให้ข้างบน
น้ำใจไหลทะลักจะท่วมเราเอา ตอนแรกของมาช้าๆ ระบบยังไม่ลงตัว แต่พออีตอนมันมาเยอะแล้วนะ
จะบอกว่าแทบจะหมุนไม่ไหวก็ได้แหละ แรกๆพวกเราง้างมือรอคนผูกถุง แต่หลังๆคนผูกถุงมันส์มือ
ตอนนี้ถุงมันทะลักมือพวกเราแทน มันเห้ย เห้ย !!! อะไรเนี่ย เยอะไป เห้ย !! ผมไม่ได้จบบริหารทรัพยากรมานะบางครั้งจิตอาสาตัวหลักต้องตะโกนให้หยุดก่อน เพราะพวกชายชาตรีเราขนขึ้นกันไม่ทัน
โอ้ยสนุกครับสนุกมากจริงๆ สนุกดีกว่าอัพสเตตัสบนเฟ๊ซบุ๊คเป็นไหนๆเลย แปลกมาก ไม่เหนื่อยครับ
มาถึงตอนเขียนอยู่นี่ก็ไม่เหนื่อยเลย ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ กับอีกหลายๆพรุ่งนี้นี่จะไปอีก
เรากำลังสนุกบนความทุกข์ของใครรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่ใจซื่อสัตย์กับใจตัวเองบอกว่ามันสนุก
เอาหล่ะ เราออกมาตอนหน้าที่ของเราเสร็จพอดี เพราะเพื่อนคนหนึ่งปวดฉี่
ไม่ทันอยู่ปรบมือแสดงความยินดีกับเขา เดินวนไปวนมา เจอลิฟท์มันเขียนว่าห้องน้ำอยู่ชั้นสามกับชั้นหก
แน่นอนหล่ะ กะละมังควายกลับมามีบทบาทอีกครั้ง หัวเราะคิ้กคัก กะละมังขึ้นลิฟท์
คุณลุงที่ทำงานที่นั่นกดให้เราไปชั้นหก โอเคเราไปพร้อมกะละมังควายแลเสียงหัวเราะ
ไร้เดียงสาในชีวิต แต่ก็แหลมคมสุดๆ
ห้องน้ำกาชาดนี่หลอนใช่เล่น ไปคนเดียวคงกลัว แล้วเพื่อนมันก็สนองบรรยากาศนั้นให้เราเลยทันที
เราเข้าไปในห้อง ออกมาปุ้บมันหายปั้บ โถ่พ่อคุณ เล่นกันยังกับเด็ก ใครอยู่กับผมมันไม่รู้จักโตกัน
ไม่ต้องมาแอ้คติ้งตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ นึกสนุกยังไงก็สนุกยังงั้น เพราะก้อนกลมๆอย่างเรานี่บ้าติงต๊อง
ไม่มีใครต้องเกร็งหรือทำเป็นเข้มเพราะเกรงในตัวเรา ซึ่งการไม่ถือตัวนั่นเป็นสิ่งที่คิดว่าน่าจะเลยดีนะ
ผมยืนนิ่งๆ รอมันโผล่ออกมามองเราเอง แหม่ กลยุทธ์ตอนเล่นซ่อนแอบกลับมาอีกครั้ง
โอเคหล่ะจบแก๊กเล็กๆนั้นไป เราก็เดินกันมาที่ลิฟท์ โดยไม่รู้ว่ามีแม่หญิงเดินตามจะมาลงลิฟท์อีกสองคน
ที่ผมจำได้คือเพื่อนตากล้องมันกำลังจบประโยคด้วยคำว่า "ขี้" ด้วยเสียงทะเล้นอันดัง
แม่นางหญิงสองคนพยายามแตะส้นสูงให้เสียงมันดังๆ ให้รู้ว่ากูสองคนมาแล้วนะ สงบๆกันหน่อย
แม่นางหญิงสองคนนั้นต้องอึ้งเมื่อเจอก้อนกลมๆถือกะละมังควายหน้าลิฟท์ ไฮ โซ มาก
ผมนึกตลกอะไรไม่รู้ แม่นางสองคนนั้นเขาเดินกระแทกส้นสูงต่อเนื่อง
ระหว่างกำลังต๊อกแต๊กของพวกเธอว์นั้น ผมก็แทรกด้วยแตะของรองเท้าแตะกวนตีนของผมไปสามแตะ
โอ้ยฮา ฮากริบฮากลั้น เด็กอ้วนกวนตีนกับกะละมังควาย เชื่อไหมว่าผมเห็นแม่นางสองคนนั้นยิ้มด้วย

ที่มันต่อเนื่องกว่านั้นคือพวกเราต้องลงลิฟท์ด้วยกัน เพื่อนผมมันหัวเราะกันอุบอิบตลอดทางลิฟท์
ผมถามมันหัวเราะอะไร "กะละมัง" มันขำตรงไหนเนี่ย "ตรงที่มึ*เอามาเดิน" ไม่หรอก
มันชินกับกะละมังผมแล้วที่มันหัวเราะคือผมกระแทกรองเท้าแตะแกล้งแม่นางพวกนั้น แต่มันแก้ทางทัน
เพราะพวกเราและแม่นางอยู่ในลิฟท์ด้วยกัน จะทำไรได้
และช่วงเวลาที่เบียดเสียดทางอารมณ์ขัน ความกดดันเชิงบวกก็ผ่านไป
พวกเราออกมา และรีบออกมาจากกาชาด จะไปปั้นดินต่อเลย จอมยุทธ์ผู้ไร้นามทั้งหกก็เดินกันไป
พอเรียกสามล้อได้ปุ้บ เพื่อนผมมันยังไม่ทันอธิบายว่าโซโก้มันอยู่ที่ไหน ผมก็รีบโหย่งเหย่งสังขาร
ขึ้นสามล้อคนแรก เพื่อกดดันคนขับ(ตอนนี้เขาอารมณ์ดีอยู่)
เอ่อ .. เรื่องที่น่ากลัวและเป็นประเด็นหลอนทรมาณมากๆเกิดขึ้นตอนก้าวขาหนึ่งขึ้นสามล้อ
อีกขาเขย่งพยุง ... อีตาขาที่เขย่งนี่ มันเป็นตะคริวกระชั้นชิดทันทีเลยครับ ตะคริวชนิดที่ว่า ...
... อาจมีพลังงานหรือวิญญาณอยู่ก็เป็นได้อย่างที่พี่ป๋องชอบบอกเราในรายการของเขา
เจ็บปวดทรมาณมาก และยิ่งมันเกิดขึ้นในสถานการณ์ไม่สงบแบบนี้
มันเดือดร้อนครับ มันเจ็บ ไม่ใช่เล่น และนานด้วย
ความเจ็บปวดมันเหมือนโดนดูดด้วยกล้ามเนื้อตัวเองดูดแรง
เหมือนโดนตัวอะไรมันกัดกินดูดเนื้อเราอยู่ข้างใน เอาออกได้จะรีบเอาออก จากขาปกติ
กลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนจะเดินมาแล้วเป็นกิโลกิโลทั้งยังนั่ง มันเหนื่อย และเจ็บมากที่ไอก้อนนั้น
บ้าจริง เพื่อนคนหนึ่งเสียสละนั่งยองๆเพื่อตัวผมจะได้พาดขาที่เป็นตะคริว
จะให้ผมมีมารยาทอะไรสภาพกายตอนนั้นมันทำไม่ได้จริงๆ
ที่ที่ขาผมพาดไปคือ ข้างๆไหล่ของพี่คนขับรถ ตอนนี้แกอารมณ์เสียละ หน้าไม่เอาด้วยละ
ผมเจ็บแหละ พูดอะไรไม่ได้ ตามทางพยายามเล่นมุกกันไปให้พี่คนขับแกไม่เครียด
แต่เหมือนจะทำให้แกหมั่นไส้เรากว่าเดิม ถึงตอนนี้ปวดเท่าวินาทีแรกทุกอย่าง
เพื่อนมันพยายามทำให้เราไม่เครียด หารู้ไม่ เราไม่เครียดหรอก แต่สีหน้ากับเสียงร้อง
มันเป็นไปตามกายที่รู้สึกเจ็บจริงๆ ไม่รู้จะเก็กทำไม เหมือนทรมาณก็มันทรมาณ แต่ผมไม่เครียดเลย
ใจผมยังหัวเราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรของกู อะไรของมัน โอ้ย ชีวิตกูขำดีแท้ ...
สามล้อจอด ชะตากรรมเกิด
ปัจจุบันเป็นเป๋กะละมัง ณ จุดนี้ที่กำลังหาที่เกาะเกี่ยวเพื่อเดินด้วยขาตะคริว อย่างตะแคงๆ
ไม่รู้ทำไม เราก็กระเตงกะละมังควายดำของเราเหมือนเดิม
มาถึงใกล้ๆ ผมถามเพื่อนว่าถึงแล้วหรอ น้ำเสียงยังกะคนป่วยโคม่า โดเรม่อนเจอหนู แต่เป็นแค่ตะคริว
"ฮ๊ะ เดินอีก !!!!" โอยยยย ตอนนั้นหาโคมไฟเขียวๆมาเกาะ มันเดินแทบไม่ด้ายยยเลยแหละ
กลายเป็นก้อนเป๋กลมๆกับกะละมังควายแล้ว เพิ่มเคสฮามาอีกเคสคือเป๋ ... อ้วน สีหน้าดูไม่ได้
มีกะละมังควายแล้ว มันยังจะเป๋อีก ... สุดย๊อด
พระมหาสมปองครับ ถ้าท่านมาเทศน์วันนี้ผมขอไปยืนข้างๆท่านนะ ผมจะช่วยเรียกเสียงฮาให้
อยากจะเล่า แต่อันนี้ไม่มีรายละเอียดอะไร คือเราเอาสังขารเป๋ของเรากับกะละมังควาย
ไปเข้าโรงแรมหรูเพื่อเดินผ่านเข้าสู่โซโก้แหล่งโม่ดิน โอ้ยเขามองเราด้วยสายตาที่ยินดีต้อนรับทุกคน
ไม่รู้ต้อนรับหรือขำ
บัดนั้นก้อนกลมก้อนใหญ่พกสังขารหิ้วกะละมังควายไปยังแม็คโดนัลด์ที่โซโก้ มาถึงแล้วโซโก้
... "ขอน้ำหน่อย ... " ร้านไหนก็เถอะ ก้อนกลมไม่ขออะไรไปมากกว่านี้ ตูโคม่าแล้วตอนนี้
ไปหาที่นั่งที่เหมือนจะนิ่ม นั่งแล้วก็แข็งอีก ไม่เป็นไร เราจะมายืดขา โอยยยย ตอนนั้นมันดีขึ้นแล้ว
มองไปข้างหน้าเห็นป้ายระวังลื่น ... สำนึกในความโชคดีของตัวเองและกะละมังจริงๆ ถ้าล้มครั้งนี้
มันจะทั้งเจ็บมากทั้งฮามาก ไออ้วนล้ม กะละมังตก ร้องไห้เป็นตะคริว ... งานนี้ผมแจ้งเกิดแน่
คนในแม็คเยอะมากเพราะมาปั้นดินเหมือนกันหน้าตาอิ่มเอิบบ้างเลอะเทอะบ้าง น่าชื่นชมทุกคน
หลังจากดัดห่าขาตะคริวแล้ว ลุย ลุย ลุย แบบกระเผกๆนั่นแหละ เข้าโซโก้
กลิ่นอีเอ็มบอลจุลินทรีย์โชยมายิ่งทำให้ใจมันฮึกเหิม
แต่ก็แค่ใจ เพราะขามันกระเผกทั้งทาง นึกถึงหมาสามขา แบบนั้นเลย แต่มีกะละมังควายติดมาด้วย
เพื่อนสองคนที่เคยมาแล้วเขาอาสาจะไปผสมดินให้ พวกเรามีหน้าที่ไปหามุมที่นั่งรอ
เขาเคยมาแล้ว บอกว่าไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องอยู่ข้างล่าง ไปหาที่เงียบๆบำเพ็ญเต๋าตามสบายเลย
ก็ตามนั้น เราได้มุมที่เหมือนช่องว่างที่เพิ่งถูกปิดไปด้วยไม้ทาสีขาว เคาะเข้าไปเสียงมันกลวงๆ
แถมข้างๆมีเหมือนจานข้าวกินเหลือๆ ... อาจจะต้องขอเชิญพี่ป๋องกับคุณริวอีกแล้วแหละครับ
แต่กระนั้น ความอ้วน ความเจ็บ และความฮา มันไม่ขัดกัน เพราะยังไงความอ้วนชนะ
"ไปเดินหาไรกินกัน" เพื่อนที่คุ้นเคยกับโซโก้พาไปฟู้ดคอร์ด มันไม่กินอะไรเลย
แต่เราซื้อโยเกิร์ตถ้วยควายมากินหนึ่งถ้วย ถ้ามีตังเยอะจะซื้อมากกว่านี้ แต่น้อยแล้ว
ถ้วยมันควายมาก เกือบสู้กะละมังได้ วันนั้นเขาคงดีใจที่ขายได้ ว่าแล้วก็เดินกระเผกกิน
กระเผกกินไปจนถึงจุดที่จับจอง ไอพวกนั้นยังไม่มา นั่งรออีกนานพอควร ผมยืดขาอย่างไร้มารยาท
กอดกะละมังกินโยเกิร์ตกลางโซโก้ คนมองเขาคงคิดว่าขอทานคนนี้โลภมากกักฬะจัง
สักพักมันก็มา ทุกคนก็ใส่ถุงมือล้อมกะละมังแล้วปั้น ในตอนนี้ที่นี่
เป็นที่ที่กะละมังควายนั้นไม่น่าอับอายอีกต่อไปแล้ว รู้สึกปกติสุดๆ แต่ขาก็ยังเจ็บอยู่ดี
EM BALL นี่เพื่อนมันบอกว่าต้องปั้นให้แน่น ให้โยนตกแล้วไม่แตก ทุกคนก็ปั้นเยอะ
แต่แตกทุกลูก โยนแล้วแตกคืนสู่พสุธา ถึงไม่แตกก็จิ้มให้มันแตก พวกบ้า
ผมนี่แหละคนแรกที่ปั้นเสร็จ "อ้าอันนี้ของตู ดูซิเสร็จคนแรกเลย"
เสียงของเพื่อนอีกคนทิ้งก้อนดินของตัวเอง แล้วมาลูบเอาดินไปจากเราง่ายๆเลย
โอ่ งง ใช่ แล้วมันทำยังงี้กับลูกที่เราปั้นสำเร็จทุกลูก มันขโมยผลงานจนเรานึกว่าเราทำงานโรงงานนรก
เห็นร้านข้างๆแล้วนึกตลก มันเป็นร้านที่บริการเกี่ยวกับสินค้าแอ๊ปเปิ้ล (สตีฟ ไม่ใช่ผลไม้)
เราคิดกันว่าถ้าจู่ๆทำหน้าตายเข้าไปนั่งปั้นข้างในนั้นแล้วบอกว่ามาช่วยกันหน่อยมันจะเกิดอะไรขึ้น
โอ้ยขำ จำได้ความคิดหนึ่งที่ว่า เอาดินร่วนๆไปโรยบนไอแผดของคนในนั้นคนนึง
"เขาปั้นดินกันอยู่ น้ำท่วมทั่วแผ่นดินมาสนุกลูบเขย่าอารายตรงนี้ ฮืมมมม"
"เฮ่ย เดี๋ยวก็เจ๋งหมดหรอก"
"เอ้านี่มึ*อยู่ในร้านซ่อม"

ขำดีที่ว่าโลกจินตนาการที่ไร้เดียงสายังไม่หายไปจากกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่กลุ่มนี้
ไม่รู้ รู้สึกว่า อีกสามคนปั้นไม่ได้เลย คนนึงมันก็ปั้นแต่ลูกใหญ่เห็นแล้วนึกถึงหน้าเตียวหุยในสามก๊ก
ใหญ่เลยได้น้อยลูก ปั้นกันไปจนเย็นเกือบห้าโมงพอดี กะละมังเจ้าคุณก็ถูกขูดรีดดินจนหมด
กระแทกเทให้ได้ใช้หมดอย่างเป็นจังหวะ รวมแล้วได้ก้อนดินน้อยอีกก้อนสุดท้ายรวมทั้งหมด
ไม่บอกว่ากี่ลูก เพราะลืม แต่น้อย น้อยมาก น่าอาย เสร็จแล้วก็โมเมเอาไปวางที่ไหนไม่รู้
ไอเราก็เดินเอากะละมังไปล้างที่อ่างล้างหน้า ระหว่างนั้นจำไม่ค่อยได้เกิดอะไรขึ้น แต่ฮาเหมือนเดิม
ตอนนี้เหลือสี่ มันตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกระแทกปากที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตากล้องสองคนกลับไปแล้ว
พ่อคุณ
F4 เดินวนเซ็นทรัลเวิล์ดกับกะละมังควายเดิมๆที่เละกว่าเดิมจากการใช้งานแล้ว
เดินกันนานมาก เดินเพื่อหาอะไรกิน จริงๆคนเขียนจะไม่นิยมกินของห้าง นิยมอะไรธรรมดา
แต่พอถึงเวลาเขาจะพากันไปกินเราก็ต้องไม่แยกตัว
หลังจากเดินพิจารณากรรมฐานเซ็นทรัลเวิล์ดอยู่นานเกือบชั่วโมงได้
ก็สรุปว่ากินซิสเล่อ โอย จริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดัดจริตตัวเอง แต่นะ เค้าลงมติแล้ว
และเราตังน้อย ต้องติดหนี้เค้าทั้งที ก็ปล่อยเค้าลากเราไป
เมื่อนั้น กะละมังควายดำกับเด็กอ้วนก็พร้อมกันอยู่หน้าซิสเล่อแล้ว
สี่คนหนึ่งมังเดินเข้าไปตามที่บริกรจัดหาที่นั่งให้ คือริมกระจก
กะละมังก็ทำหน้าที่พิงกระจกอย่างสบายใจ
ระหว่างที่พวกเรากำลังหนักใจกับตัวเลขในเมนูแลพากันคร่ำครวญ
รู้งี้กูน่าจะกินดินที่ปั้นๆไปนั่นหล่ะดีแล้ว
แถมตอนนี้เอากะละมังเข้าซิสเล่อด้วย เดินออกไม่ได้แน่ มันติด
คนเขียนไปเจอหน้านึง มันถูกที่สุด กำลังจะเอ่ยปากบอกอะไรบางอย่างที่เป็นโอกาสแต่มิตรสหาย
ทันใดนั้นพี่บริกรบอกว่า "เฉพาะวันพุธครับ" ... ไอหนุ่มกะละมังเริ่มซีดเซียว
ไก่ก็กินไม่ได้ทั้งที่มันถูกที่สุด สงสัยหนี้จะเริ่มลอยมา
เพื่อรักษาความคาดหวังของเพื่อนว่าเราจะไม่หนีไปกินข้าวแกงหรือนั่งเฉยๆมองพวกมันกิน
โชคดีที่เพื่อนคนนึงมีเงินที่อาม่าให้มาตั้งนมนานแล้วไม่เคยเอามาใช้
ตอนนี่แหละได้ใช้ อาร์มาเกดอนเริ่มขึ้นแล้ว อาม่าต้องช่วยได้
เราจะไม่อธิบายตอนกำลังกิน เพราะผมเริ่มลืม ขนาดน้ำเปล่าสั่งยังต้องคิดแล้วคิดอีก
รู้แต่ตอนจ่ายตังผมออกมายืนรอข้างนอก เอากะละมังวางไว้ตรงที่นั่งรอคิว
ผมได้ยินเสียงหนึ่งบอกว่า "ว้ายน่าตกใจมาก" ใช่ เพศที่สามคนนั้น
เขาพูดถึงกะละมังควายของผมนี่แหละ ได้ยินดังนั้นไม่อยากรบกวน
ผมเดินไปหยิบกะละมังออกมาอย่างผ่าเผย ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนนึง เขาหันมาและตกใจกับสิ่งที่พบ
"จตุจักรหรอคะ" อาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิด แต่สิ่งที่เขาพูดคือ "ขอโทษค่ะ"
เช่นกันกับผมแค่เปลี่ยนค่ะเป็นครับ แต่ด้วยน้ำเสียงที่ละอายมากกว่ายิ่งนัก ไม่ใช่ละอายในความผิด
แต่ละอายในกะละมัง
จากนั้นเราก็เดินแบบรีบกลับ ไม่รู้เฉไปเฉมาหาทางออก เดินผ่านเวทีเดี่ยวเปียโนบ้าง จุดถ่ายรูปบ้าง
โดนผลักดันให้เข้าไปใกล้ๆใครบ้าง หรือว่ากะละมังกระแทกเสียงดังป้างป้าง ป้าบป้าบ บ้าง
ไม่ใช่ประเด็น กูพบกับความอายมาจนชาชินแล้ว
ผมนึกว่าเรื่องทั้งหมดจะจบและค่อยๆเงียบลง ไม่ ต่ออีกที่ฉากรถไฟฟ้า
เป็นซิตคอมฉากสุดท้ายแล้วของวันนี้ ผมซื้อบัตรเรียบร้อยจะเดินทางกลับบ้าน
เอาบัตรใส่ช่องที่เขาให้ใส่ ประตูมันจะเปิดออกและปิดเมื่อเดินผ่านไป แต่ผมดันโง่แบบไม่มีประสบการณ์
เอากะละมังผ่านไปก่อน แม่เจ้ามันเกือบจะบีบผมแตก "ทำไมกูไม่ยกกะละมังวะเนี่ย"
คือความคิดที่เด้งขึ้นอย่างไม่มีประโยชน์เมื่อผ่านมันมาแล้ว
เราก็ขึ้นบันไดไปตามป้ายที่บอกให้กลับวงเวียนใหญ่ ถึงบริเวณที่เรียกว่าชานชาลา
คนเยอะมาก เหมือนมารอเอาเมล็ดข้าวจากงานแรกนาขวัญไปปลูกบ้าน แต่นิ่งและไร้ชีวิตมากกว่านั้น
เทียบกับบีทูเอสโซนศาสนาและปรัชญาแล้วจำนวนคนมันเยอะกว่าเป็นไหนๆ
แต่ความสัมพันธ์ของคนหมู่มากในนั้นมันก็มีน้อยพอๆกันกับในร้านหนังสือ
มาอยู่รวมกันเฉยๆ มีจุดประสงค์คล้ายๆแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ไม่มีสมาคม ไม่มีอะไรอื่น
เป็นที่ที่เหงาได้สไหรับคนคนเดียวที่คิดมากๆ พอจะเอาไปถ่ายมิวสิควีดีโอให้กระชากใจได้
ทันใดนั้นเหตุการณ์และความรู้สึกเดิมๆก็เกิดขึ้น ไอ้กะละมังควายมันพยศตกสู่พระแม่ธรณีอีกแล้ว
"ปั๊ง!!!!" "แกวง แงว แงว แงว แง ... ว" นั่นแหละ ผู้โดยสารทั้งหมดมองมาที่กะละมังควายดำ
และก้อนอ้วนกลมๆที่ซุ่มซ่ามทำมันตกด้วยสายตาที่เย็นชา
แต่ผมทำตัวเหมือนดารา ยิ้มให้ทุกคน เบิร์ดรักทุกคน อายนิดนึง ไม่รู้จะทำตัวยังไง
ตอนนี้ต้องเก็บกะละมังและชะตากรรมที่ตก รีบเดินตามเพื่อนที่รุดหน้าไปกอนแล้ว
แหวกฝูงชนที่มองเราอย่างเซเล็บ แต่ไม่มีใครขอลายเซ็นหรืออยากจับเนื้อจับตัวเลยซักคน
เข้ารถได้ ดีนะที่มีคนไม่มากเพราะเพื่อนมันพามาท้ายขบวน
ผมยืนแรดอยู่หน้าประตูเลย กลัวกะละมังเกะกะหรือจะเอาฮาไม่รู้
ก่อนประตูจะปิด มีคนกลุ่มนึงมองมาที่เราแล้วยิ้ม รอยยิ้มไม่ต่างจากที่เคยเห็นในรายการแกล้งคน
ผมพอจะอ่านปากเขาได้นะ
"กะละมัง"
เปิดสถานีต่อไปอีก
เจออีก คราวนี้เขาหัวเราะก่อน แล้วปากเขาพูดยาวๆกว่าคนเก่านิดหน่อยเหมือนจะ
"กะละมังซักผ้า"

... นั่งจนเหลือสองคนลงสถานีสุดท้ายด้วยกัน มิตรสหายร่วงโรยล้มหายตายจาก (กลับบ้านมัน)
เราแยกย้ายบอกลากันขึ้นมอเตอร์ไซค์ เหลือแต่คนเขียนกับกะละมัง


ประโยคท้ายสุดที่สื่อสารกับพี่วินมอเตอร์ไซค์คือ
"ช้าหน่อยนะพี่ มันต้านลม"

-แก่นความ-
บัดนี้ทรนงได้แล้วว่ากะละมังกูมีประโยชน์กว่าเสื้อผ้าสวยๆ
กะละมังนี่แหละเป็นสิ่งเดิมแท้ สิ่งที่เราใช้จริงใช้ได้ อย่าไปอายใคร กะละมังนี่แหละคือจริตแท้จริงของเรา
เมื่อรู้ว่ามันมีประโยชน์จะผิดปิดมันไปทำไม เอามันออกมา ใช้งานมันเลย ... อย่ามัวแต่หลบอยู่ในคติของตัวเอง
อย่ามัวแต่สร้างตัวตนบังหน้า ไอ้ของเดิมๆแท้ๆของเรานี่หล่ะที่มีประโยชน์ ของที่ใช้ได้จริง จะทิ้งจะเมิน เพียงเพราะเราอายหรอ ไร้สาระสิ้นดีอายอะไร ความเป็นความอยู่จริงๆของตัวเอง ปิดบังไปทำไมถ้าเราแข็งแรง

ไม่ต้องไปสนใจตัวตนเสื้อผ้าปลอมๆที่ไปสรรหามาใส่หรอก ใช้ไม่ได้ ...

เขียนมาตั้งนานแก่นอยู่ไม่กี่บรรทัดท้าย
ให้สติรักษาทุกท่านครับ

รัก กราวกริบ

จากคุณ : กราวกริบ
เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 21:21:50 A:27.130.91.219 X: TicketID:337541




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com