Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องสั้นคั่นเวลา (ออกกลิ่นวายเล็กๆ ค่ะ) : ลมหนาว ติดต่อทีมงาน

+++ เมื่อวานไปเชียงใหม่มาค่ะ สลบยาวถึงเช้า ไหนๆ ก็ไปแล้วเลยแวะไปหาอาจารย์ที่ภาควิชาเสียเลย (พร้อมกับสัญญาที่ให้ไว้กับอาจารย์ก่อนหน้านี้ คือเอาหนังสือไปให้นั่นเอง ฮา)

เจอคำถามแรกของอาจารย์ เล่นเอาสะอึกเลย อาจารย์อินว่า นี่ สรุปคุณจะใช้นามปากกาไหนกันแน่ฮึ ! พอประโยคนี้มาเลยรู้เลย อาจารย์ตามดูความคืบหน้าลูกศิษย์อยู่นี่หว่า 55+ อะไรไม่ตกใจเท่าประโยคนี้ค่ะ "ดี คุณเอาหนังสือมาให้ผมแบบนี้ ผมจะได้เอาไปให้น้องๆ มันดู ว่ารุ่นพี่พวกมันเป็นคนเขียน"

ไม่ตกใจไงไหวคะ เด็กภาษาไทยแต่ละคน เวลาวิจารณ์งานนี่ เขาเล่นกันเละ ชนิดนักเขียนมาได้ยินต้องหลบไปซับน้ำตานั่นเทียว (คิดไปคิดมาก็ กรรมตามทันแล้ว ตอนเรียนไปสับงานชาวบ้านเค้าไว้แยะ T^T)

มาว่าเรื่องสั้นคั่นเวลารับหน้าหนาวเรื่องนี้กัน เรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะเหตุผลเดียวเลย คือมีคนสบประมาทว่าอินเขียนเรื่องสั้นแบบวายๆ ปนวัยรุ่นไม่เป็น ก็เลยจัดซะ

บางฉากบางตอนของเรื่องนี้มาจากประสบการณ์จริงของคนเขียนค่ะ แต่ไม่บอกว่าตรงไหน ให้เดาเล่นๆ กันเอง หุหุ

ส่วนเรื่องน้องเหมียว พรุ่งนี้ป๊ะกันค่ะ ^^   ++++



ลมหนาว


“ยุ่นรู้ไหม มีฉากนึงในเรื่องนะที่นัทชอบมากเลย  เป็นฉากที่คาเมะกับจินเดินมาจากปลายราวระฆังคนละฝั่ง แล้วมือที่สั่นระฆังนั่นก็มาแตะกันโดยบังเอิญตรงกลางทางเดิน ทำให้จินจำได้ทันทีว่าคาเมะคือคนรักของตัวเองเมื่อชาติก่อน”

“ก็แค่ฉากในนิยายเอง จะจริงจังอะไรนักหนานะ”

“นั่นสินะ นัทจะจริงจังอะไรกับมันนัก”



เสียงสนทนานั้นปลิวหายไปกับลมหนาวที่พัดผ่านมา แต่ภาพในความทรงจำนั้นไม่เคยลบเลือน ทุกอย่างยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง เพราะประโยคนั้นใช่ไหม ที่ทำให้ความร่าเริงของนัทหายไป เสียงที่ตอบกลับมาก็เศร้าเหลือเกิน แต่ว่าตอนนั้น ฉันกลับไม่รู้สึกถึงความเสียใจของเขาเลยสักนิด และปล่อยให้มันหายไปเหมือนกับสายลมที่พัดผ่าน กี่ครั้งแล้วนะ ที่ฉันทำร้ายนัทด้วยอาการเฉยชาอย่างนี้

ฉันไม่แปลกใจ และไม่โกรธนัทเลยจนนิดเดียว เข้าใจด้วย ว่าทำไมนัทถึงหนีฉันมาไกลแสนไกลอย่างนี้ มันก็สมควรแล้วล่ะ คราวนี้ขอฉันเป็นฝ่ายตามหานัทบ้างนะ ในเนปาลนี่คงหาสถานที่ที่นัทอยากไปได้ไม่ยากนักหรอก ในเมื่อมันเป็นสถานที่เพื่อใช้ขอพรเรื่องความรักแบบนี้

ฉันกับนัทเจอกันครั้งแรกตอนรับน้องคณะ แรกที่มองหน้ากัน มันเหมือนกับมีแรงดึงดูดให้เราเข้าหากัน ฉันไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นมันเรียกว่าอะไรกันแน่ ระหว่างคำว่า “ต้องชะตา” หรือ “บุพเพสันนิวาส”  แต่ที่รู้ก็คือ นับจากวันนั้น เราแทบจะไม่เคยห่างกันเลย ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร เราสองคนเป็นเหมือนเงาตามตัวของกันและกันมาตลอด ความผูกพันของเรามากขึ้นทุกวัน เมื่อฉันตัดสินใจย้ายไปเช่าคอนโดอยู่กับนัทเพียงสองคน ทั้งที่ภาคเรียนแรกในมหาวิทยาลัยยังไม่ทันสิ้นสุดเสียด้วยซ้ำ  

จะด้วยโชคชะตาหรืออะไรไม่รู้แน่ ที่ทำให้ฉันกับนัทได้ทำงานที่เดียวกันอีก ในตอนนี้ฉันอาจมีบางอย่างเปลี่ยนไป หรืออาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจของเขาเองก็ได้ จู่ๆ นัทถึงถามฉันกลางดึกคืนนั้น ใต้แสงจันทร์เดือนธันวาที่ทอแสงนวลเข้ามาในห้อง พระจันทร์เดือนธันวาที่นัทบอกว่า มันสวยที่สุด

“ยุ่น เราสองคนจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า”

“ตลอดไปสิ ทำไมนัทถึงถามแบบนี้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ” นัทตอบพลางถอนใจยาว ก่อนพลิกตัวมากอดฉันไว้แน่น “ยุ่น นัทขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“อะไรเหรอ”

“ถ้ายุ่นจะมีคนใหม่ หรืออยากไปจากนัท ช่วยบอกกันตรงๆ นะ อย่าโกหก ขอแค่นี้ได้ไหม”

“ทำไมขอแบบนี้ล่ะ”

ฉันถาม แต่นัทก็ไม่ตอบอะไร นอกจากกอดฉันแน่นขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงนัทไม่ตอบ ฉันเองก็พอจะเดาเหตุผลได้ไม่ยาก นัทเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่อายุได้แค่ ๕ ขวบ และต้องมาอยู่กับย่า แต่พออายุ ๑๗ ก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียงเดือนเดียว ย่าก็มาเสียไปอีกคน ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไม่มีใครสนใจไยดีนัทสักคนเดียว เขาเคยบอกกับฉันว่า เขาเกือบจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยแล้ว แต่อาจารย์ประจำชั้นให้เหตุผลเรื่องอนาคตและเรื่องทุนการศึกษาจนเจ้าตัวไม่กล้าปฏิเสธ

“แต่นัทดีใจนะที่การตัดสินใจตอนนั้น ทำให้นัทได้มาเจอยุ่น”

ฉันยังจำสายตาของนัทตอนที่พูดประโยคนี้ได้ดี ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความหมายและความรู้สึกที่ฉันบอกกับตัวเองทันทีที่สบตานัทว่า ฉันไม่มีวันจากเขาไปไหนแน่นอน


เราคบกันมา ๖ ปีก็จริง แต่ระหว่างเราไม่เคยมีอะไรเกินเลยนอกจากการกอดและจูบกันบ้างในบางครั้ง  จริงๆ แล้วที่ผ่านมาก็ใช่ว่า นัทจะไม่อยากทำอะไรที่มัน 'เกินเลย' กับฉัน ในเมื่อเรานอนร่วมเตียงเดียวกันทุกคืน หลายครั้งที่บรรยากาศพาไปจนเกือบจะถึงจุดนั้น แต่เขาก็พยายามห้ามใจตัวเองที่จะไม่ทำตามความปรารถนา คืนนั้น ฉันคิดว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้วที่ฉันจะให้ความมั่นใจกับนัทบ้าง

“นัท จำเรื่องเมื่อปีก่อนได้ไหม คืนที่เรานอนดูดาวกันบนดาดฟ้าน่ะ”

“จำได้สิ คืนนั้นยุ่นบอกว่าไม่เห็นดาวตกมานานแล้ว เราเลยขึ้นไปนอนรอดาวตกกัน”

“ใช่ เรารอกันจนถึงตีสี่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเห็น นัทเองก็เริ่มๆ จะหอบด้วย พอตัดสินใจจะกลับห้องเท่านั้นแหละ ดาวดันตกลงมาพร้อมกันสองดวงเลย นัทดีใจมากจนลืมอาการตัวเองไปเลย รีบอธิษฐานกันแทบไม่ทัน  ตอนนั้นยุ่นถามว่านัทอธิษฐานอะไร ก็ไม่ยอมบอก ตอนนี้บอกได้หรือยังล่ะ”

“เรื่องที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้น่ะ อย่าสนใจเลย”

นัทบอกพร้อมกับหลบตาฉัน ฉันยิ้มนิดๆ นัทไม่ใช่คนที่จะซ่อนความรู้สึกเก่งนักหรอก ทำไมฉันจะไม่รู้ว่านัทขออะไรกับดาวตกดวงนั้น เราคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว ความปรารถนาของเขาก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น แต่มีเรื่องเดียวที่เขาไม่เคยปริปาก

เขามองหน้าฉันอย่างคิดไม่ถึง เมื่อฉันเริ่มต้นที่ริมฝีปากนุ่มๆ ของเขา นัทตอบสนองฉันพอสมควรแล้วก็ดันตัวฉันออก ก่อนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างคนที่ต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ฉันมองนัทนิ่งอยู่สักครู่ ก็ลุกขึ้นมากอดเขาไว้จากทางด้านหลัง หน้าฉันแนบกับแผ่นหลังของเขา

“ยุ่น อย่าทำแบบนี้เลยนะ นัทไม่อยากให้มันเกิดขึ้น”

“ทั้งที่มันเป็นความต้องการของนัทน่ะหรือ”

“ความต้องการของนัทคนเดียว แต่คนอื่นเขาไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอกนะ”

“ใครจะมารู้กับเราล่ะ ยุ่นเต็มใจให้นัทแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไงล่ะ”

นานเท่านานที่นัทนิ่งเงียบ มีเพียงมืออุ่นๆ ของเขาเท่านั้นที่จับมือฉันบีบแน่น และแล้วเขาก็ตัดสินใจ

“แน่ใจแล้วนะยุ่น ที่จะทำอย่างนี้”

“แน่” ฉันตอบอย่างมั่นใจ เมื่อสิ้นคำตอบนั้น นัทก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว ฉันคลายมือที่โอบเอวนัทออก มองหน้าเขานิ่ง นัทสบตาฉันแวบเดียวเท่านั้น แล้วริมฝีปากอุ่นๆ นั่นก็ประทับที่หน้าผากฉัน อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าทุกครั้ง ก่อนที่จะเคลื่อนผ่านไปยังตำแหน่งอื่นๆ  


หลังจากที่เราเป็นของกันและกันไม่นาน ฉันก็ต้องเปลี่ยนงานจากแผนกเดิมไปยังแผนกใหม่ หน้าที่ความรับผิดชอบของฉันก็มีมากขึ้นด้วย บ่อยครั้งที่ฉันต้องหอบงานกลับมาทำที่ห้องพัก ความห่างของฉันกับเขานับวันยิ่งจะไกลกันออกไปทุกที ไกล...ทั้งที่เราอยู่ใกล้กันแค่มือคว้านี่เอง

ฉันไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของนัทอย่างเดิม อาจเป็นเพราะความเคยชินก็ได้ ที่ทำให้ฉันมองความห่วงใยอาทรที่เขามีให้เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว บางทีติดจะรำคาญเอาเสียด้วยซ้ำ นัทไม่พูดอะไรสักคำเวลาที่ฉันเผลอตวาดใส่เขา นอกจากสายตาเศร้าๆ ที่มองมาคู่นั้นเท่านั้น ความใกล้ชิดกันมากเกินไป บางทีก็ทำให้เรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญไปเหมือนกัน และที่ร้ายไปกว่านั้น คือลืมที่จะใส่ใจกับสัญญาณเตือนภัยบางอย่างที่ส่งมา

นัทเริ่มหันเข้าหาโลกอินเทอร์เนตมากขึ้น เมื่อฉันเห็นนัทนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แทนที่ฉันจะเริ่มรู้สึกตัวว่า  ฉันปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวนานเกินไปแล้ว ฉันกลับมองว่า นัทไม่ช่วยอะไรฉันเลยสักนิด เอาแต่หาความสำราญให้ตัวเอง โดยลืมไปว่า นัทเคยอาสาช่วยงาน แต่ฉันเองต่างหากที่เคยตวาดใส่เขา และห้ามไม่ให้เขามายุ่งกับงานของฉัน เมื่อฉันหงุดหงิดและเริ่มพาลมากเข้า นัทก็ตัดปัญหาด้วยการยกโน้ตบุ๊คเดินหนีเข้าห้องไปดื้อๆ


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 54 20:08:23

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 54 20:03:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com