เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 4.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11291787/W11291787.html
ทักทาย 
ขอบคุณ คุณ มานีโอลา ที่ให้ Give ครับ
scottie : 5555 ผมคงต้องพิจารณา การเขียนของตัวเองแล้วล่ะ 
**********************************************************************
ภายใต้สัมปชัญญะเลือนลาง สติใกล้วิสัญญี บุลินแววเสียงหนึ่งก้องกังวานในห้วงความคิด...
เมื่อถึงพุทธินครา จงเริ่มหมักน้ำโสมด้วยวิธีเฉพาะของเจ้าในทันที อย่าลืมเสีย นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าต้องกระทำเมื่อเข้าสู่เมืองเอกแห่งแคว้นอุตรประเทศ...
มายากรหนุ่มไม่ทราบ นั่นที่แท้เป็นเสียงผู้ใด...
แม้ละม้ายคลับคล้ายเสียงเฒ่าเวทิต ทว่าก็ยังไม่อาจปักใจมั่นเช่นนั้น ยิ่งไม่รู้ว่าคำกล่าวนั้นที่แท้มีความหมายใด หากทุกถ้อยคำซึมซาบเข้าสู่ห้วงแห่งจิตสำนึกโดยมิอาจต่อต้าน ทั้งแน่ใจว่าตนมิอาจลืมเลือนประโยคนี้ตลอดกาล...
วูบต่อมา...อีกหนึ่งกระแสเสียง แทรกเข้าในห้วงสำนึกอีกครั้ง เอ่ยถามย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าเป็นใคร...เจ้าเป็นใคร...บุลินเจ้าเป็นใคร...
บุลินไม่อาจต้านทานกระแสเสียงนั้น...คลับคล้ายหลับ...ดั่งคล้ายตื่น...ภายใต้สภาวะในห้วงสติงุนงงเลอะเลือน มายากรหนุ่มดั่งได้ยินสุ้มเสียงตนเองดังแว่วแผ่วเบา...
ข้าชื่อ บุลิน...ความฝันในวัยเยาว์ของข้า คือการได้ติดตามรับใช้ขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา หรือนักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณสักคน...
ข้าต้องการติดตามท่านเหล่านั้นไปทุกแห่งหน อยากมีส่วนรับรู้ในวีรกรรมของพวกท่าน ต้องการบันทึกความกล้าหาญคุณธรรมความดีของท่านเหล่านั้น เพื่อจารึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่ง อรุณวดีมหาทวีป
ทว่าชีวิตในวัยเด็กช่างห่างไกลกับการเข้าใกล้ความฝันนั้นเสียเหลือเกิน ข้าเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลทว่าอุดมสมบูรณ์และสุขสงบ ทางใต้สุดของแคว้นบูรพประเทศอันมีเมธาปุระเป็นเมืองเอก
แคว้นบูรพประเทศนั้นแห้งแล้งกันดาร เกือบทั้งแคว้นถูกโอบล้อมด้วยแนวเทือกเขาตระหง่านยาวเหยียด ทิศเหนือเชื่อมติดกิ่งแขนงแห่งเทือกตารกคีรี แนวตะวันออกจากเหนือจรดใต้โอบล้อมด้วยเทือกเขาเมฆีบรรพต ภูมิประเทศรอบแคว้นคล้ายอยู่ในแอ่งกระทะ
แม้เมฆีบรรพตจะเป็นต้นธารมหานทีนิศาอัมพุ ทว่ามีเพียงผินดินส่วนน้อยเป็นแนวแคบยาว ริมฝั่งสองฟากมหานทีเท่านั้น ที่ดินอุดมสมบูรณ์พอเพาะปลูกได้
พื้นที่เหมาะแก่การเกษตรที่สุด กลับเป็นผืนดินด้านทิศใต้ อันมีเขตติดต่อกับแคว้นทักษิณาประเทศ และแม้เมธาปุระเมืองเอกแห่งแคว้น จะตั้งอยู่ด้านขวาของมหานทีนิศาอัมพุ แต่ดินอุดมรอบนครใหญ่กลับมิได้ใช้เพาะปลูกพืชผลใด
ข้าเป็นเด็กกำพร้า ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านมีเมตตารับอุปการะข้าไว้ แม้ไม่รู้ว่าบิดามารดาคือผู้ใด ญาติพี่น้องมีหรือไม่อยู่แห่งหนใดก็ไม่ทราบ
กระนั้นตั้งแต่เริ่มจำความได้ ข้ากลับไม่เคยคิดว่าตนเองมีชีวิตโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ยิ่งไม่เคยคิดว่าตนเองไร้ค่าไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด
ทั้งนี้เพราะท่านผู้เฒ่า เหล่าลุงป้า ต่างรักใคร่เอ็นดูช่วยกันเลี้ยงดูอมรมสั่งสอนข้า เพื่อนพ้องวัยเดียวกันก็พาวิ่งซนเที่ยวเล่นไปทุกแห่งที่ ข้าสามารถวิ่งเล่นไปทั่วหมู่บ้าน เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ได้ตามแต่ใจไม่มีผู้ใดว่ากล่าว
วัยเด็กข้าช่วยเหลืองานบ้านสารพัด เท่าที่มีเรี่ยวแรงพอจะทำได้ เมื่อเติบโตขึ้นข้าก็ช่วยเหลืองานในไร่นาอย่างแข็งขัน ทั้งเริ่มตระหนักแล้วว่า วิถีชีวิตอันสุขสงบในหมู่บ้าน ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ
ข้าอยากเห็นโลกกว้าง อยากเดินทางท่องเที่ยว กระนั้นข้าก็ไม่เคยเกียจคร้าน กลับยิ่งต้องการช่วยงานในไร่นาของท่านผู้เฒ่า เหล่าลุงป้ามากขึ้นกว่าเดิม เพราะข้าเริ่มรู้สึกว่าเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกับพวกท่าน กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ
ในวัยเยาว์ ข้าไม่รู้หรอกว่าสถานที่ซึ่งเกิดและเติบโต แท้จริงตั้งอยู่ส่วนไหนของแผ่นดินอันไพศาล ปริมณฑลที่รู้จักจำกัดอยู่เพียงขุนเขาตระหง่านทางทิศตะวันออก และสายธาราทอดยาวตลอดทิศเหนือ แล้ววกอ้อมทางตะวันตกโอบทั้งหมู่บ้านเอาไว้
ในสายตาของเหล่าเด็กๆ เช่นข้า ณ เวลานั้น ขุนเขาและสายธาราช่างยิ่งใหญ่เหลือประมาณ คนในหมู่บ้านเรียกยอดตระหง่านสูงสุดว่า พระแม่ธรณีแห่งแผ่นดิน และเรียกสายธาราว่าธิดาของพระแม่
ที่เป็นเช่นนี้เพราะความอุดมสมบูรณ์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากน้ำใสในกระแสธารา อันมีต้นกำเนิดจากยอดสูงสุดของขุนเขา ผืนดินอุดมจึงกลายเป็นไร่นาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มีน้ำหล่อเลี้ยงเต็มเปี่ยมตลอดทุกฤดูกาล ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มากมายจนเหลือเฟือ หมู่บ้านของเราไม่เคยประสบกับความอดอยากแร้นแค้น
กระนั้นในบางครั้ง พระแม่และพระธิดาทรงพิโรธจึงลงโทษพวกเรา กระแสธาราไหลเอื่อยกลับกลายเป็นเชี่ยวกรากรุนแรง ชั่วพริบตากวาดซัดโถมทำลายไร่นาพืชผล บ้านเรือนพินาศแทบหมดสิ้น
ยามนั้นหลายต่อหลายชีวิต ต้องดับสูญกลางกระแสกราดเกรี้ยว ว่ากันว่าโทสะของทั้งสองพระองค์เกิดจากการที่มีบางคนในหมู่บ้านไม่เคารพยำเกรง กระทำการขนถ่ายทิ้งสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นลงสู่สายน้ำ โทสะของพระองค์จะคลายลงก็ต่อเมื่อ เหล่าชาวบ้านจัดพิธีพลีกรรมขอสมาพระแม่และพระธิดาอย่างถูกต้อง
ยามเด็กบ่อยครั้งที่ข้าแหงนคอขึ้นฟ้า เหม่อมองความชันตระหง่านที่คล้ายไม่มีวันปีนขึ้นสู่ยอดสูงสุดได้ และหลายครั้งเช่นกันที่พยายามเดินย้อน ตามแนวลำน้ำขึ้นไปทางเหนือของหมู่บ้าน
แต่ด้วยเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดของเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ช้าข้าก็เหนื่อยหอบจนหมดแรง ไม่สามารถแม้แต่จะเหยียดขาก้าวต่อไป ในใจนั้นครุ่นคิดว่า ชีวิตนี้คงไม่มีวันเดินไปถึงต้นน้ำเป็นแน่
ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น เริ่มเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น จึงค่อยๆ ตระหนักว่า ปริมณฑลที่รู้จักนั้นช่างเล็กกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน หากเทียบกับความไพศาลของผืนแผ่นดิน
ข้าเริ่มเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากการสดับตรับฟัง ยังจำได้ถึงวันแรกที่นั่งล้อมวงข้างเพื่อนวัยเดียวกัน พวกเราต่างตาลุกวาว นั่งฟังนิทานแสนมหัศจรรย์ของเหล่าพ่อค้าเร่ ผู้เข้ามาค้าขายในหมู่บ้าน
นิทานทุกเรื่องล้วนเปี่ยมชีวิตชีวา เต็มไปด้วยสีสันแห่งจิตวิญญาณของเหล่าขุนพล จอมเวทย์ นักปราชญ์ เรื่องราวของท่านเหล่านั้นล้วนเป็นการเสียสละ และอุทิศชีวิตตนเองรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อปกป้องดินแดนอรุณวดีมหาทวีป เป็นวีรกรรมที่คล้ายไม่มีวันเล่าจบสิ้น ข้านั่งฟังกระทั่งผล็อยหลับไปอย่างมีความสุข
หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่เหล่าพ่อค้าเร่เข้ามาในหมู่บ้าน ข้าจะติดสอยห้อยตามวิ่งไปโน่นมานี่ ทำธุระทุกอย่างสารพัดเพื่อแลกกับการได้ฟังนิทานมหัศจรรย์เหล่านั้นอีก
พ่อค้าเร่กลุ่มนี้ก็ใจดีเหลือแสน ลุงป้าทั้งหลายไม่เพียงเล่าทุกเรื่องราวที่ข้าอยากรู้โดยไม่เบื่อหน่าย ท่านป้าคนหนึ่งยังสอนข้าเขียนอ่าน หากไม่ใช่เพราะป้าท่านนั้น เด็กกำพร้าคนนี้จะมีโอกาสรู้จักตัวหนังสือได้อย่างไร
สมาชิกในกลุ่มพ่อค้าเร่มีราวสามสิบคน ทั้งหมดจะเข้ามาในหมู่บ้านทุกสามหรือสี่เดือน พร้อมนำเกวียนร่วมสิบเล่มบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ ผ้าพับแพรพรรณ เครื่องโลหะวาววับ คันไถเหล็ก มีดพร้าคมกริบ ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับผลผลิตอันอุดมจากเรือกสวนไร่นา
ทุกครั้งท่านป้าจะหาเวลามาเล่านิทาน สอนหนังสือข้าไม่เคยขาด หลายครั้งท่านมีตำรับตำรา หนังสือบันทึกมาฝากข้าด้วย ยิ่งกว่านั้นเมื่อข้าเริ่มพ้นวัยเด็ก ท่านป้ายังสอนการหมักน้ำโสมด้วยวิธีเฉพาะของท่านเอง น้ำโสมของท่านป้ารสชาติกลมกล่อมหอมหวาน กลิ่นกำจรฟุ้งกำจายไกลดั่งเป็นน้ำอมฤตของเหล่าเทวะ
ท่านป้ามักเล่าว่าแคว้นบูรพประเทศของเรา แม้ผืนดินไม่อุดมสมบูรณ์เท่าแคว้นทักษิณาประเทศ ไม่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อเฟื่องฟูด้วยศิลปหัตถกรรมเช่นแคว้นปัจฉิมประเทศ และแม้ไม่มั่งคั่งด้วยสินแร่อัญมณีเท่าแคว้นอุตรประเทศ แต่แคว้นของเราก็ทัดหน้าเทียมตาไม่ด้อยกว่าแคว้นใด
นั่นเนื่องเพราะแคว้นบูรพประเทศ อุดมด้วยเหล่านักปราชญ์เปี่ยมผู้มีความรู้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นแต่งตำรับตำรา หนังสือบันทึก คัมภีร์สารพัด สืบทอดต่อกันมานับร้อยปี
เมธาปุระนครเอกแห่งแคว้น ปกครองโดยคณะมนตรีแห่งปราชญ์ ถือกันว่าเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าของผู้ใฝ่ศึกษาจากทุกแคว้น เฉพาะอย่างยิ่งในหอสมุดเมธา เป็นแหล่งรวบรวมสรรพวิชาทั้งแผ่นดิน ทั้งยังเป็นที่เก็บรักษาประวัติศาสตร์ตั้งแต่เริ่มต้นของอรุณวดีมหาทวีป
หลังเล่าเรียนกับท่านป้าไม่นาน ข้าก็มีความรู้พอจะเข้าใจได้ว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เคยคิดว่าเป็นเพียงนิทานแสนมหัศจรรย์ ซึ่งบัดนี้ได้ซึมซับอยู่ในห้วงคำนึงหมดสิ้น แท้จริงไม่ใช่นิทานแม้สักเรื่องเดียว
เหล่านั้นล้วนเป็นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของเหล่าผู้กล้าหาญ ที่เล่าสืบทอดต่อกันมายาวนานตลอดหลายร้อยปี นับจากวันนั้นสายตาที่ข้ามองทุกสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ข้าเรียนรู้เรื่องราวอัศจรรย์ของท่าน พรหมปราชญ์ ตรรก ผู้วางรากฐานก่อตั้งอรุณวดีมหาทวีป ข้าตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของท่าน ราชปราชญ์ วสิษฐ์ และ ท่าน ราชปราชญ์ ทักษะ ผู้เปลี่ยนการปกครอง ทำให้แคว้นบูรพประเทศปกครองโดยคณะมนตรีแห่งปราชญ์ แทบที่จะปกครองโดยราชตระกูลเช่นแคว้นอื่น
ทว่าเรื่องราวซึ่งตรึงติดในห้วงคำนึง นับแต่เยาว์วัยของข้าและพ้องเพื่อนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องราวอันแสนตื่นตาตื่นใจของ 6 เวทศาสตราศักดิ์สิทธ์ และวีรกรรมซึ่งช่วยปกป้องอรุณวดีมหาทวีป ของบรรดาขุนพล จอมเวทย์ เหล่าปราชญ์ ผู้ครอบครองเวทศาสตราศักดิ์สิทธ์ทั้ง 6 สืบเนื่องจากอดีตกาล
ข้าจดจำนาม ผู้ครอบครองเวทศาสตราศักดิ์สิทธิ์รุ่นปัจจุบันได้ขึ้นใจ ท่านเหล่านั้นคือ ท่าน เทวปราชญ์ ภรต และท่าน เทวปราชญ์ คามิกา แห่งเมธาปุระ เจ้าฟ้ามกุฎราชกุมาร มารุต และขุนพล อัฒฑ์ แห่งศานติธานี เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท ญาดา และขุนพล กุญช์ แห่งพุทธินครา
ทว่าท่านเหล่านั้นหายสาปสูญสิ้น หลังประกอบวีรกรรมครั้งยิ่งใหญ่เมื่อสี่สิบเก้าปีก่อน
ณ เวลานั้น ข้ารู้แล้วว่าขุนเขาทางทิศตะวันออก ซึ่งเคยคิดว่าไม่มีวันปืนขึ้นไปได้ แท้จริงเป็นเพียงแขนงเศษเสี้ยวหนึ่งของ เทือกเขาเมฆีบรรพต ที่ทอดแนวมหึมาโอบทิศตะวันออก คลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ทั้งแคว้น ส่วนสายธาราที่โอบทั้งหมู่บ้านไว้ ก็เป็นเพียงแขนงเล็กๆ ของมหานทีนิศาอัมพุ หนึ่งในสี่มหานทีซึ่งไหลหล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิตบนผืนทวีป
ข้าเรียนเขียนอ่านและหมักน้ำโสมหลายปี กระทั่งวันหนึ่งเมื่ออายุครบสิบปี ท่านป้าจึงเริ่มสอนศาสตร์แห่งมายากล ห้าปีเต็ม ท่านป้าสอนมายากลทุกแขนงโดยไม่ปิดบัง แล้ววันหนึ่งท่านก็หายตัวไป...
ไม่เพียงท่านป้า เหล่าพ่อค้าเร่กลุ่มของท่านซึ่งเข้ามาค้าขายในหมู่บ้านนับสิบปี กระทั่งสนิทชิดเชื้อเป็นที่ไว้วางใจของชาวบ้าน ต่างพลอยอันตรธานไม่กลับมาค้าขายที่หมู่บ้านอีกเลย...
มีเรื่องเล่าลือไปต่างๆ นานามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วลงความเห็นกันว่า พ่อค้าเร่โชคร้ายกลุ่มนี้คงพบโจรใจทมิฬระหว่างเดินทาง ทั้งหมดคงไม่แคล้วถูกปล้นชิงสังหารเสียชีวิตสิ้นแล้ว
ข้าได้แต่รับฟังอย่างเงียบงัน...แต่ไม่เคยเชื่อเช่นนั้น
ข้ายังคงเฝ้ารอท่านป้า ทว่าก็ไม่ได้ข่าวของท่านหรือพ่อค้าเร่กลุ่มนั้นอีกเลย และยิ่งนานวันข้ากลับยิ่งมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม บางสิ่งในตัวข้าบอกว่าท่านป้ายังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งจะต้องได้พบกับท่าน
เมื่ออายุครบสิบแปด ข้าก็รู้ว่าได้เวลาต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว...
ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านลุงท่านป้า เพื่อนพ้องพี่น้องชาวหมู่บ้าน ทุกคนซึ่งช่วยกันเลี้ยงดูเด็กกำพร้าคนนี้จนเติบใหญ่ ต่างพยายามห้ามปรามสารพัดไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นห่วง ไม่อยากให้ข้าออกเดินทางไปเผชิญภัยนอกหมู่บ้าน
ใช่ว่าข้าไม่รัก ไม่ห่วงหาอาทรผู้คนเหล่านั้น อีกทั้งในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไปแห่งหนใด แต่บางสิ่งในตัวกลับเรียกร้องและเร่งเร้าให้ออกเดินทาง ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นและไม่สามารถต่อต้านขัดขืน มีเพียงสิ่งหนึ่งที่รู้และมั่นใจยิ่ง ข้าไม่มีวันใช้ชีวิตทำไร่ทำนาเฉกเช่นชาวบ้านทุกผู้ได้
ท่านป้าเคยบอกไว้ในวันแรกที่เริ่มสอนศาสตร์แห่งมายากล วันหนึ่งเจ้าจะเป็นผู้ใช้มายาศาสตร์ที่เก่งกาจที่สุด
หัวใจของข้าในปีที่อายุครบสิบแปด ไม่มีความลังเลเลยว่าข้าคือ มายากร ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์มายากลทุกแขนง งานของข้าคือสร้างความระทึกตื่นตาตื่นใจ มอบความบันเทิงอันเกิดจากความฉงนสนเท่ห์กับทุกผู้คน กระนั้นส่วนลึกในจิตใจยังพร่ำย้ำเสมอว่า ไม่เพียงศาสตร์แขนงนี้ที่จักต้องแสดงให้ทุกผู้ได้ประจักษ์
ข้ายังมีหน้าที่อื่นอีกซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง หน้าที่ของ คีตกร ผู้สืบทอดเรื่องราว เล่าขับขานวีรกรรมของเหล่าขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา นักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณ ตลอดถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ทุกบทแห่งผืนแผ่นดิน นั่นเป็นหน้าที่ซึ่งข้าเต็มใจกระทำอย่างยิ่ง
เมื่อรู้ว่ารั้งตัวข้าไว้ไม่ได้ ทุกคนในหมู่บ้านช่วยกันรวบรวมเงินให้ข้าเป็นค่าเดินทาง ชาวหมู่บ้านจัดพิธีพลีกรรมให้พระแม่และพระธิดา เพื่อทั้งสองพระองค์จักได้ประทานพรแก่ข้า ให้เดินทางโดยปลอดภัยและประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ปรารถนา เป็นครั้งแรกหลังพ้นวัยเยาว์ที่ข้าหลั่งน้ำตาอย่างไม่อายใคร ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กกำพร้าคนหนึ่งจะเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหมู่บ้านเพียงนี้
เมื่อถึงเวลาเดินทาง ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้าน ตบไหล่ข้าเบาๆ เอ่ยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา บุลินจงจำไว้ เจ้าเป็นบุตรของพวกเราทุกคน จงออกเดินทางตามที่ใจเจ้าปรารถนา แต่เมื่อถึงวันหนึ่งไม่ว่าเจ้าจะค้นพบสิ่งที่ต้องการหรือไม่ จงกลับมาหาพวกเรา ทุกคนจะรอเจ้ากลับมา
วันนั้นข้าออกเดินทางจากหมู่บ้านอันสุขสงบ ทิ้งเหล่าคนที่รักและเอื้ออาทรไว้เบื้องหลัง ข้าเปี่ยมความเชื่อมั่นในยามออกเดินทาง ตั้งความหวังในเบื้องต้นจะแสดงมายากลหาเลี้ยงชีวิต จากนั้นจะสร้างชื่อเสียงในฐานะมายากรและคีตกร นักเล่าเรื่องผู้รอบรู้ในประวัติศาสตร์ วีรกรรมของเหล่าผู้กล้ามากที่สุด
ทั้งยังตั้งความหวังเลิศลอยไว้อีกว่า ภายในเวลาไม่นานอาจมีขุนพล จอมเวทย์ หรือนักปราชญ์สักคนเห็นความสามารถในการขับขานเรื่องราว พวกท่านอาจยินยอมให้ข้าติดตามรับใช้ จดบันทึกวีรกรรมของท่านให้เป็นที่รับรู้สืบทอดกันต่อไปจนชั่วกาลนาน ความฝันในยามอายุสิบแปดมีเพียงนี้เอง
วันที่ข้าออกเดินทางจากหมู่บ้านเป็นช่วงต้นเดือนสี่ ฤดูหนาวอันเย็นเยือกได้ผ่านพ้นไปร่วมเดือน หิมะน้ำแข็งละลายหมดสิ้นแล้ว เส้นทางถนนหนทางสามารถใช้เดินทางได้อย่างสะดวกอีกครั้ง น้ำใสในสายธาราก็ล้นเต็มตลิ่งเหมาะที่จะแล่นล่องขึ้นเหนือเป็นที่สุด บรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ กำลังเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลังออกจากหมู่บ้าน ข้าล่องเรือตามสายธาราธิดาของพระแม่ขึ้นไปทางเหนือ ไปไกลกว่าทุกครั้งที่เคยแล่นล่องเดินทาง กระทั่งขึ้นเทียบท่าเหนือสุดจากนั้นเริ่มออกเดินตามรอยทางเกวียน เดินจากหมู่บ้านหนึ่งสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า ข้าไม่มีเป้าหมายว่าจะไปแห่งหนใด เพียงต้องการขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ
เดินทางนานนับอาทิตย์ ในที่สุดก็มาถึงตำบลแห่งหนึ่งอันมีท่าเทียบเรือใหญ่ ทิศเหนือของตำบลนี้เป็นสายธารากว้าง ชาวบ้านบอกว่าธาราสายนี้ไหลไปบรรจบกับมหานทีนิศาอัมพุ บรรดาเรือสินค้าต่างใช้เป็นเส้นทางแล่นล่องขึ้นเหนือ เพื่อขึ้นไปค้าขายยังเมธาปุระ นครเอกแห่งแคว้นบูรพประเทศ
ข้าเรียนรู้จากการตำราของท่านป้าว่า ผืนแผ่นดินอันไพศาลแห่งนี้เรียกว่าอรุณวดีมหาทวีป ประกอบด้วยสี่แคว้นใหญ่ อุตรประเทศ บูรพประเทศ ทักษิณาประเทศ และปัจฉิมประเทศ
แต่ละแคว้นมีนครเอกเรียงตามลำดับคือ พุทธินครา เมธาปุระ กษมปราการ ศานติธานี นครเอกทั้งสี่ต่างตั้งบนฝั่งมหานทีใหญ่สี่สาย มีชื่อเรียกขานดังนี้ ศศิกันทรา นิศาอัมพุ อินทุธารา จันทราชลธี
ณ ขณะนั้น ข้าคิดเพียงว่าหากบรรลุถึงนครเอกแห่งใดแห่งหนึ่ง ย่อมสามารถแล่นล่องไปตามมหานทีทั้งสี่ เดินทางจากนครเอกแห่งแคว้นหนึ่ง สู่นครเอกของแคว้นอื่นๆ ได้โดยไม่ยากเย็น
ทุกท่าเทียบบนเส้นทางสู่แต่ละนครเอก ย่อมมีการค้าขายคึกคัก คลาคล่ำด้วยผู้คนหลากหลายทั้งบรรดานายเรือ พ่อค้าวานิช เหล่าผู้เดินทางสัญจร ข้าจะใช้โอกาสนี้แสดงมายากล เล่าขับขานประวัติศาสตร์สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักไปทั่ว
หลังตั้งเป้าหมายเป็นที่แน่นอน จึงตัดสินใจเช่าห้องพักเล็กๆ สำหรับผู้เดินทางอาศัย คิดพักอยู่ในตำบลแห่งนี้ชั่วคราว ข้ารู้ว่าการเดินทางในวันข้างหน้าใช้เงินทองไม่น้อย ดังนั้นต้องเริ่มเปิดการแสดงหารายได้ รวบรวมเป็นค่าใช้จ่ายและค่าเดินทาง
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังพักผ่อนเต็มที่หนึ่งคืน ข้าเริ่มออกเดินสำรวจสถานที่ต่างๆ มองหาทำเลเหมาะๆ เพื่อใช้เป็นเวที ที่สุดจึงตกลงใจเลือกย่านตลาดเป็นแห่งแรก เพราะบริเวณนั้นมีผู้คนพลุกพล่านสัญจรไปมาไม่ขาดตลอดทั้งวัน
วันนั้นทั้งวัน ข้าเตรียมตัวจัดอุปกรณ์ซึ่งจะใช้ในการแสดง สิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นล้วนหาซื้อได้ในตลาด กระทั่งบ่ายคล้อย อาทิตย์เริ่มเคลื่อนใกล้ขอบฟ้า ข้าจึงมาถึงย่านตลาดตรงที่ว่างซึ่งหมายตาไว้ ปักเสาสูงเล็กๆ สี่ต้นเป็นขอบเขตเวทีในการแสดง บนเสาไม้แต่ละต้นปักเทียนยาวซึ่งยังไม่ถูกจุดไว้
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ข้าก็เริ่มเปิดการแสดงครั้งแรกในชีวิต
วันนั้นข้าแต่งกายด้วยชุดสีฉูดฉาด เพื่อเรียกความสนใจของผู้เดินผ่านไปมา เสื้อขนาดพอดีตัวสีแดงแขนยาวจรดข้อมือ รอบคอมีปกเป็นแฉกหลากสีจนดูลายตา กางเกงสีเขียวขายาวคลุมมาถึงข้อเท้า มือและเท้าทั้งสองข้างสวมถุงมือถุงเท้าสีดำ มีหมวกผ้าสักหลาดทรงสามเหลี่ยมสีน้ำเงินเข้มสวมบนศีรษะ ด้วยเครื่องแต่งกายเช่นนี้ เพียงแรกเมื่อเดินมาหยุดยืนกลางเวที ย่อมบังเกิดเสียงหัวเราะดังลั่นจากผู้ชมรอบด้าน
ข้าเดินยิ้มหัวเราะอย่างร่าเริง ขาทั้งสองก้าวยาวๆ มาหยุดยั้งกลางเวที จากนั้นค่อยวาดมือทั้งสองวนไปมาทางซ้ายทีทางขวาที พริบตาขณะชูมือทั้งสองข้างขึ้นบนอากาศ พลันปรากฏนกพิราบสีขาวมากมายนับสิบตัวโบยบินออกจากสองมือ เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านี้ เหล่าผู้ชมก็ส่งเสียงฮือฮาปรบมือกันเกรียว
การแสดงค่อยๆ ดำเนินต่อไปชุดแล้วชุดเล่า บางคราเพียงเคลื่อนไหวมือไม่กี่ครั้ง พลันปรากฏผ้าชิ้นเล็กๆ หลากสีสันร่อนไปมากลางอากาศ เมื่อขยุ้มผ้าเหล่านั้นเข้าด้วยกันขมวดเป็นปมแล้วโยนขึ้นบนฟ้า เศษผ้าชิ้นเล็กกลับผูกกันเป็นผืนยาวเหยียด ตั้งตรงดิ่งขึ้นสูงไปในอากาศจนดูคล้ายจะลับหายเข้าในก้อนเมฆ
ทว่าเพียงดีดนิ้วมือ ปมของผ้าทั้งหมดพลันหลุดจากกัน และทันใดนั้นเศษผืนผ้าเล็กๆ มากมายได้กลับกลายเป็นดอกไม้สวยสดหลากสีสันละลานตา ร่วงหล่นโปรยปรายจากฟ้าลงมายังเบื้องล่างอย่างน่าอัศจรรย์ ตลอดเวลานั้นเสียงฮือฮาอย่างตื่นตะลึง เสียงปรบมือเกรียวกราวไม่เคยเว้นขาดหายแม้สักช่วง
และแล้วในที่สุดการแสดงก็ดำเนินมาถึงชุดสุดท้าย ข้าเคลื่อนกายมาหยุดยืนกลางเวทีอีกครั้ง วาดมือสองข้างเป็นวงกลมรอบตัว พริบตานั้น มือเรียวเล็กและแขนยาวของข้าปรากฏประกายไฟลุกพรึบขึ้น
เปลวไฟแดงฉานลุกท่วมแขนและสองมือ ทว่าข้ากลับไม่รู้สึกร้อนแม้แต่น้อย
มือทั้งสองยังคงวาดเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่า เกิดเป็นห่วงเพลิงลอยละลิ่วไปมารอบตัวเต็มไปหมด ทันใดสองมือสะบัดขึ้นเหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว ห่วงเพลิงพุ่งละลิ่วตามมือขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศ เมื่อหมุนมืออีกครั้งห่วงเพลิงทั้งหมดกลับรวมกันเข้าเป็นวงเพลิงขนาดใหญ่
ข้าดึงมือทั้งสองข้างลงมาแนบลำตัวอย่างรวดเร็ว ห่วงเพลิงวงใหญ่หมุนติ้ว คล้องลอดผ่านศีรษะลงมาถึงปลายเท้า ทว่าเปลวเพลิงกลับไม่หยุดยั้งแค่นั้น ห่วงเพลิงขยายวงกว้างเลียโลมพื้นดินอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายออกรอบด้านกระทั่งถึงเสาไม้สี่ต้นซึ่งเป็นขอบเวที
ทันใด เปลวไฟพุ่งวูบสว่างขึ้นสูงเกินศีรษะ กลายเป็นกำแพงเพลิงโอบรอบตัวข้าไว้
เสียงร้องเอะอะด้วยความตระหนกดังจากรอบด้าน เหล่าผู้ชมต่างขยับถอยหนีด้วยกลัวว่าเปลวเพลิงจะลุกลามออกมาถูกตัว และยังไม่ทันที่ความตื่นตระหนกจะจางหาย กำแพงเพลิงพลันม้วนเข้าสู่จุดศูนย์กลางคือตัวข้า ยามนั้นทั้งร่างถูกครอบคลุมด้วยเปลวเพลิงแดงฉานจนสิ้น
ในเสี้ยวพริบตา สรรพสิ่งรอบด้านคล้ายหยุดนิ่ง เสียงเอะอะโวยวายเซ็งแซ่พลันจางหาย เพราะบัดนี้สายตาทุกคู่ต่างถูกภาพเบื้องหน้าตรึงอยู่กับที่ เนื่องเพราะเปลวเพลิงแดงฉานกำลังโอบอุ้มร่างข้าไว้ จนลอยสูงขึ้นลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งอยู่เหนือของศีรษะทุกผู้ คล้ายข้ากำลังยืนอยู่บนเปลวเพลิงกลางอากาศก็มิปาน
ทันใด มือซึ่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิงทั้งสิบนิ้ว วาดออกรอบด้านอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นเทียนสี่เล่มซึ่งปักไว้บนเสาไม้ถูกจุดพรึบสว่างไสวขึ้นพร้อมกัน
พริบตา พลุไฟหลากสีสันละลานตายิงขึ้นจากยอดเสาทั้งสี่ต้น เหล่าผู้ชมต่างส่งเสียงฮือฮาสะดุ้งตกใจ จังหวะนั้นเปลวเพลิงรอบเวทีทั้งหมดพลันอันตรธานสูญสลาย
ข้าม้วนร่างตีลังกาลงมา ยืนโค้งให้กับผู้ชมที่ต่างอ้าปากตาค้าง
เสียงปรบมือเกรียวดังยาวนานไม่หยุด ทุกคนที่ได้ชมการแสดงล้วนตกตะลึงตื่นตาตื่นใจ พากันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มายากลของข้าช่างมหัศจรรย์ ราวเป็นการใช้มนตราปั่นเสกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจริงๆ เหล่าเด็กๆ ต่างพากันเงียบกริบตาลุกวาว ช่างเหมือนได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองและพ้องเพื่อนในวัยเยาว์
เพียงวันแรกหลังเปิดการแสดงในย่านตลาด ชื่อของข้าก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง วันต่อๆ มาจึงได้รับอนุญาตจากหัวหน้าตำบล ให้แสดงมายากล ณ จัตุรัสกลางได้ นั่นยิ่งทำให้ข้ามีชื่อเสียงเลื่องลือที่เป็นที่รู้จักไปทั่ว รายได้จากการแสดงแต่ละครั้งนับว่าเป็นกอบเป็นกำ ข้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการหาเลี้ยงชีพอีกต่อไปแล้ว
แม้ก่อนออกเดินทางจากหมู่บ้าน ข้าเปี่ยมความเชื่อมั่นในมายากลซึ่งท่านป้าถ่ายทอดให้ ทว่าลึกๆ ก็ยังอดหวาดหวั่นมิได้ ด้วยไม่เคยรู้ว่าภายนอกนั้นศาสตร์แขนงนี้มีความน่าพิศวงตื่นตาเพียงไร ข้าสนุกกับการแสดงมายากล เล่าประวัติวีรกรรมของเหล่าผู้กล้าอยู่ในตำบลนี้ร่วมครึ่งเดือน
จากนั้นจึงเริ่มเดินทาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมธาปุระเมืองเอกแห่งแคว้น ข้าล่องตามลำน้ำสาขาของมหานทีนิศาอัมพุขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ หยุดพำนักตามตำบลใหญ่ริมฝั่งน้ำเป็นระยะ ข้ามิได้เร่งรีบเดินทาง คราแรกคิดว่าจะใช้เวลาเพียงสามเดือนสู่เมธาปุระ แต่คราวหนึ่งข้าหยุดพำนักที่ตำบลหนึ่งถึงสามเดือนเพื่อหมักน้ำโสม
ข้าตัดสินใจหมักโสมด้วยสูตรของท่านป้า ในจำนวนเท่าที่ข้าพอจะนำติดตัวเดินทางไปด้วยได้ หลังจากนั้นจากยังล้มเจ็บป่วยหนักอีกเกือบเดือน กว่าจะทุเลาแข็งแรงพอเดินทางต่อไปก็ล่วงเลยมาถึงสองเดือน เมื่อหายป่วยทุเลาแข็งแรง ข้าเดินทางถึงตำบลใหญ่แห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่มหานทีนิศาอัมพุ
หลังจบการแสดงประจำวันช่างเป็นโชคดีของข้า มีนายเรือผู้หนึ่งชื่นชมการแสดงของข้าเป็นอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อข้าเอ่ยปากบอกว่าต้องการเดินทางไปเมธาปุระ นายเรือผู้นั้นก็ชักชวนให้ขึ้นเรือไปด้วยกัน เพราะกำลังจะออกเรือในวันพรุ่งพอดี ด้วยความเอื้อเฟื้อของนายเรือผู้อารี ข้าจึงได้โดยสารโดยไม่เสียค่าเดินทาง
ในวันแรกที่ข้าได้โดยสารเรือขนาดใหญ่ มุ่งเข้าสู่มหานทีนิศาอัมพุ ข้าตื่นตะลึงกับความไพศาลเบื้องหน้าจนไม่อาจระงับความตื่นตระหนก มหานทีใสกระจ่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แม้แล่นล่องกลางกระแสธาราก็ไม่มีทางมองเห็นฝั่งไม่ว่าจะฟากใดทั้งสิ้น
กระแสลมกลางลำน้ำยิ่งพัดกระโชกแรง สายน้ำยิ่งไหลเชี่ยวกราก เรือสินค้าแล่นลิ่วดุจลูกธนู แม้รู้มานานแล้วว่ามหานทีทั้งสี่ ใหญ่กว่าสายธาราธิดาของพระแม่ในหมู่บ้านข้ามาก แต่จะอย่างไรก็ยังไม่มีทางจินตนาการความกว้างใหญ่ ดั่งภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเลยจริงๆ
เพียงครึ่งวันหลังโคลงเคลงอยู่บนเรือ ข้าวิงเวียนจนไม่อาจทำสิ่งใด ต้องเข้าไปนอนสลบไสลในห้องพัก กระทั่งอาทิตย์เคลื่อนคล้อยเย็นย่ำมาเยือน ค่อยรู้สึกดีขึ้นจึงออกมาสูดอากาศบนดาดฟ้า นายเรือผู้อารีเพียงเห็นท่าทางของข้า เขาถึงกับหัวเราะแกมขบขันแกมสงสาร บอกว่าเพียงเท่านี้ก็วิงเวียนยืนไม่มั่นแล้ว อย่างนี้จะแล่นล่องในมหานทีได้หรือ
เรือสินค้าใช้เวลาเดินทาง รวมทั้งแวะพักขนถ่ายสินค้า และรับสิ่งของเพิ่มเติมตามท่าเทียบต่างๆ ครั้งละหลายวัน กว่าจะถึงเมธาปุระจึงใช้เวลาอีกร่วมเดือน รวมเวลาตั้งแต่เดินทางจากบ้านเกิดจนถึงเมธาปุระ นับเป็นเวลากว่าแปดเดือน น้ำโสมซึ่งหมักไว้ร่วมครึ่งปีก่อนเริ่มกลมกล่อมพอดี
เจ้าเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าเวทิตอย่างไร... กระแสเสียงเดิม แทรกเข้าในห้วงสำนึก เร่งเร้าให้ตอบคำถามนั้นโดยพลัน...
ข้า..รู้จักนายเรือเฒ่า จากหนังสือบันทึกซึ่งท่านป้าทิ้งไว้ให้ นายเรือเฒ่าเวทิตแม้ไม่ใช่ขุนพล จอมเวทย์หรือนักปราชญ์ แต่กลับเป็นหนึ่งในผู้มีชื่อเสียงเกียรติ์ประวัติเกรียงไกรไปทั่วทั้งสี่มหานที ในหนังสือบันทึกมีหลายต่อหลายเรื่องเล่าขานถึงนายเรือผู้นี้ ว่ากันว่าเฒ่าเวทิตเป็นนายเรือที่เก่งกาจ และบ้าบิ่นที่สุดในสี่ห้วงมหานที
ข้ารู้เพียงเท่านี้...
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
วันลอยกระทง 54 10:38:19
|
|
|
|