Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กลร้ายในเงารัก - บทที่ 10 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11298966/W11298966.html

บทที่ 10

'น่าสมเพช' ความคิดแรกผุดขึ้นในสมอง เมื่อสายตากึ่งอาทรกึ่งชังกระทบกับเงาตะคุ่มใต้ผ้าห่ม แต่เหนือทรวงใหญ่ทอดสนิทสนมไว้ด้วยกรอบรูปของยาหยีที่รัก พ่อหม้ายตาบอดกอดทะนุถนอมด้วยสองแขน ท่าหลับกกรูปก็ดูว่าจะมีความสุขเสียจริงๆ

"จะตายอยู่รอมร่อแล้ว ยังมีแก่ใจนอนกอดรูปหลับอุตุ ทุเรศ"

เสียงกึ่งอาทรกึ่งชังก็ดังอุบอิบไม่พ้นลำคอ ขณะที่สืบเท้าเข้าใกล้อีกนิด เพราะอยากให้แน่ใจว่าเจ้าของวิมานรักหลับปุ๋ยไม่รู้สารู้สมว่ามีเงาปริศนาบุกรุกเงียบเชียบ

ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าเขาไม่ตามมาติดๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับดนัยดล ถูกปาดคอชิงทรัพย์หรือเปล่า ตู้เซฟก็วางติดกับโต๊ะหัวเตียงนี่เอง

"หลับให้สบายนะ มียามอย่างฉันคอยเฝ้าระวังให้แล้วนี่ ทุเรศจริงๆ "

อคินแดกดันหมั่นไส้ แต่พอหันหลังทำท่าจะกลับออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปดึงผ้าห่มซึ่งไหลมากองเอว ขึ้นไปคลุมจนถึงคอ จากนั้นก็ไปช่วยหรี่ระดับความเย็นของเครื่องปรับอากาศอีก มันเย็นเกินไปสำหรับชายพิการ

ก่อนหน้านี้ พุธชมพูอาจจะลุกมาหรี่เอง แต่เวลานี้เธอจากไปแล้ว คนที่จะทำหน้าที่ดูแลสามีพิการแทน ก็คงจะเป็นเขานี่ล่ะ แต่จะนานแค่ไหน เขาก็ตอบไม่ได้หรอกนะ

พอออกมาจากห้อง ปิดประตูเบากริบ ก็เดินมาสำรวจระเบียงสุดทางเดินอีกหน อยากให้แน่ใจว่าจะไม่มีเงาผีที่ไหนโผล่มาอีก

อคินยอมรับว่าไม่สบายใจเลย ที่พบว่าเงาปราดเปรียวในชุดดำเจาะจงห้องนอนของดนัยดลเป็นเป้าหมาย เห็นแก่พุธชมพู แม้ว่าจะรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างเห็นอกเห็นใจกับชิงชัง แต่เขาก็ขอสัญญากับดวงวิญญาณของเธอว่า จะไม่ทอดทิ้งหนุ่มใหญ่ใจดีไปในตอนนี้




ร่างสูงลงบันไดมาอย่างเนิบเนือย สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงตวาดกร้าวข้างล่าง ดวงตาเรียวหวานสาดแสงคมกล้าลงไปเพ่ง จนเห็นว่าเจ้าของเสียงคือนายอุ่น คนสวนชราตาเฮงซวย ที่ชอบมองเขาจิกๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั่นเอง

"นั่นใคร เฮ้ย เดินช้าๆ เว้ย ใครวะ ส่งเสียงมาเว้ย"

"ฉันเอง เก็บปืน"

เขาไม่เชิงตะโกน แต่ก็ต้องบอกดังๆ เพราะฝ่ายโน้นเล็งปืนเขม็ง พอลงมาใกล้อีกหน่อย จึงค่อยเห็นว่านายอุ่นไม่ได้ปรากฏตัวคนเดียว แต่พา 'นายสมบัติ' คนสวนรุ่นน้องมาด้วย แต่รายนั้นกุมมีดปลายแหลมด้วยท่วงท่าพร้อมแทง

"เก็บอาวุธ คนกันเอง แล้วดึกดื่นขนาดนี้ มาโผล่ทำอะไรกันในที่มืดๆ " เขาลงมาประจันหน้าสายตาจิกของคนสวนชรา

"คุณดีกว่า นี่มันดึกมากแล้ว มาทำอะไรในบ้านใหญ่ ลงมาจากข้างบนเสียด้วย"

"ขึ้นไปห่มผ้าหรี่แอร์ให้คุณผู้ชาย ได้ไหม"

อคินตอบไม่สะทกสะท้าน ปัดปืนที่ยังไม่เลิกเล็งออกด้านข้าง เดินผ่านออกไปหน้าระเบียงกว้าง เท้าสะเอวมองสวนมืด เห็นแสงสะท้อนเป็นริ้วๆ ของพรายน้ำจากสระด้านข้าง กับเงาตะคุ่มของศาลาโปร่งบนเนินหญ้าสีดำทึบ

"คุณเห็นอะไรผิดปกติหรือเปล่า" สองคนสวนตามออกมาแยกย้ายขนาบข้าง แต่นายอุ่นเป็นฝ่ายถาม

"เห็น" อคินตอบสั้นๆ

"จริงหรือ เป็นคนในชุดดำใช่ไหม ผมเห็นมันวิ่งตัดสวนกล้วยไม้มาทางนี้ ผมกับไอ้บัตินั่งอยู่โยงเฝ้ายาม พอเห็นเข้า ก็เลยวิ่งตามมันมา"


"จับได้ไหมล่ะ"

"เราเห็นมันอ้อมไปด้านหลังครัว แต่พอตามไปก็ไม่เจอแล้ว" นายสมบัติบอกบ้าง

"มันขึ้นไปข้างบน ตอนฉันเห็น มันกำลังจะเปิดประตูห้องคุณผู้ชาย" อคินหมุนตัวหานายอุ่นโดยเฉพาะ พร้อมกับเค้นเสียงฉีกใจว่า "ทีนี้ คงจะขอบใจฉันได้แล้วสินะ ซาบซึ้งด้วยก็ดีนะว่า ถ้าไม่ใช่เพราะฉันละก็ ป่านนี้ คุณผู้ชายอาจถูกเชือดคอไปแล้วก็ได้"

สองคนสวนกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่ได้นัด นายสมบัติมือสั่นเลย แถมยังแถไปยืนข้างนายอุ่น ตอนสบตาก็มีทีท่าคล้ายหารือในที

"เราต้องบอกตำรวจ ให้ตำรวจมาช่วยเฝ้าบ้านให้เราสักระยะ บางที ไอ้คนชุดดำอาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณผู้หญิง"

"อะไรนะนายอุ่น" อคินชักสีหน้าทันที "นี่ทุกคนเป็นบ้าอะไรไปกันหมด ฉันบอกจนคอจะแตกว่าพุธฆ่าตัวตายเอง ทำไมไม่เชื่อ ใครที่ไหนจะบุกเข้ามาฆ่าคนได้เงียบกริบขนาดนั้น"

"ก็เหมือนกับที่คนชุดดำแอบเข้ามาเงียบกริบ เพื่อเข้าห้องนอนคุณผู้ชายไงครับ" นายอุ่นย้อนเสียงเย็น แล้วตัดบทตามใจตัวเองว่า "ไม่รู้ล่ะ ผมไม่อยากเสี่ยง เราเพิ่งจะสูญเสียคุณผู้หญิงไปไม่นาน ศพก็มาถูกขโมยไปอีก แล้วคืนนี้ก็มีคนบุกรุกอีก ยังไงผมก็ต้องบอกตำรวจ เพื่อความปลอดภัยของคุณผู้ชายและเราทุกคน อ้อ คุณด้วย"

"ฉันไม่กลัวมันหรอก" อคินกระชากเสียงยโส

"แต่พวกเรากลัว" นายอุ่นย้อนกระชั้นชิด "แค่คิดว่ามีคนร้ายลอบเข้ามาฆ่าคุณผู้หญิงมันจะเป็นอะไรนักหนา ทำไมคุณอคินต้องไม่พอใจด้วย"

อคินสะบัดหน้า สบถด่าคนสวนชราด้วยถ้อยคำหยาบคายหลายคำเชียวล่ะ แต่มันดังอยู่ในใจนะ

เวลานี้ ก็ไม่อยากถกเถียงให้เปลืองน้ำลาย ใครอยากคิดเลยเถิดไปถึงไหนก็เชิญตามสบาย เขาเป็นคนเห็นพุธชมพูตายต่อหน้าต่อตาเป็นคนแรก เขาเชื่อสายตาตัวเองว่า ไม่มีใครฆ่าเธอแน่นอน เธอตายเพราะ 'ฆ่าตัวตาย'




อากาศยามสายค่อนข้างอึมครึม เพราะมีเค้าว่าฝนจะตก บนท้องฟ้าหนาแน่นด้วยก้อนเมฆสีเทา มันลอยอืดและเฉื่อยมาก เหนือเนินหญ้าเขียวที่ยังฉ่ำน้ำค้าง เรี่ยนวลด้วยละอองหมอกบางเบา มันเป็นปุยละเอียดยิบที่กว่าจะเห็นก็ต้องต้องเพ่งกันนิ่งๆ

อคินมองความงดงามเคลือบความมัวซัวผ่านหน้าต่าง เขายังสวมชุดนอน อ้าปากหาวยาวๆ ก่อนจะย้ายออกไปสูดอากาศแช่มชื่น กวาดตามองไปรอบๆ แล้ววกกลับมาจับทางเดินแคบๆ ของระเบียงโปร่ง มันทอดเป็นวงล้อมรอบตัวบ้าน แล้วไปบรรจบกับบันไดด้านข้าง

บนโต๊ะไม้สีฟ้าอ่อน ตั้งอาหารเช้ากับเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว เขาแวะมานั่งดื่มกาแฟ พบว่ามันยังร้อนอยู่เลย แสดงว่าอนงค์เพิ่งจะมาวาง แล้วก็คงเพิ่งจะผละไป

หนุ่มหล่อไม่สนใจอาหารเช้า เขาดื่มกาแฟหมดถ้วย แล้วย้อนกลับเข้าห้อง ใจก็นึกเป็นห่วงดนัยดลขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะตื่นหรือยัง แม่พิศจัดการสำรับกับข้าวให้หรือยัง จึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

ครั้นออกมาหน้าโถง ก็ค่อยสะดุดตากับวัตถุสะท้อนแสงได้บนโต๊ะกระจก จึงแวะไปดู แล้วค่อยเบิกตากว้าง ใจหายวาบ แต่มือก็ว่องไวพอจะตะปบมันขึ้นมาพินิจด้วยความตระหนก พร้อมกับอุทานตะครั่นตะครอในใจว่า 'สร้อยคอของพุธ'

"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณอคินรูปหล่อ"

ผู้กองตั้นขวัญใจประชาชนแวะมาเป็นแขกยามสายโดยไม่บอกไม่กล่าว แม้แต่เสียงร้องทักก็ดังกะทันหัน อคินในภวังค์ตระหนกถึงกับตระหนกซ้ำสอง แต่ก็ยังมีสติพอที่จะรีบซุกสร้อยคอปริศนาใส่กระเป๋ากางเกงลวกๆ พลางกลบเกลื่อนมือสั่นๆ ไว้ใต้อิริยาบถไพล่หลังขณะหมุนตัวกลับ

"มิน่าล่ะ ฟ้ามันถึงอึมครึม ผู้กองตั้นบุกจู่โจมถึงบ้านผมแต่เช้าเชียว"

"โอ๊ะ ผิดแล้วคุณอคิน อย่าเผลอขี้ตู่เต็มเสียงอย่างนี้นา คนอื่นมาได้ยินเข้าจะหมายตาไว้เป็นผู้ต้องสงสัย"

อคินย่นคิ้ว อาการตระหนกค่อยๆ จางหายไป เพื่อเปิดทางให้อารมณ์ไฟเข้ามาแทนที่ ก็มันเป็นนิสัยของเขา แล้ววาจาสัพยอกของผู้กองตาเรียวก็ห่วยแตกมากด้วย

"ใจคอจะตั้งข้อสงสัยผมให้ได้ เพียงเพราะว่าผมเป็นคนแรกที่เห็นศพใช่ไหมผู้กองตั้น เฮงซวยจริงๆ "

ผู้กองหน้าเข้มเลิกคิ้วแล้วหัวเราะชอบใจ ก็ไม่นึกหรอกว่าหนุ่มหล่อจะผุดโพล่งตรงไปตรงมาเกินเหตุ ท่าทางก็ไม่ค่อยสบอารมณ์กับวาจาไม่จริงจังของเขา ปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงแบบนั้นเรียกว่าอะไรดี 'รีบร้อนตัว' ดีไหม

"ใจเย็นๆ ผมไม่มีเจตนาอย่างที่คุณอคินหาเรื่องสักนิดนา แค่ว่าแวะมาเยี่ยม"

"มาเยี่ยม หรือว่ามาหาเบาะแส" อคินเสียดสีเสียงเย็น "ผมไม่เชิญนั่งในนี้หรอกนะ อยากนั่งก็ไปข้างนอกโน่น มีอาหารเช้าเหลือๆ อยู่ อยากกินหรือเปล่าล่ะ ผมยกให้ แต่กาแฟหมดแล้วนะ คุณผู้กองค่อยไปขอดื่มเอาเองที่บ้านใหญ่เถอะ"

"ผมดื่มมาแล้วจากบ้านใหญ่จริงๆ อาหารเช้าด้วย ดูสิ พุงตึงอยู่เลย" ผู้กองอารมณ์ดีตบพุงยืนยันกลั้วหัวเราะครึกครื้น

"คุณดนัยตื่นแล้วหรือ"

"ตื่นแล้ว แต่สีหน้าไม่ดีแบบทรงตัวนะ"

"จริงสิ" อคินเพิ่งนึกออก "แวะมาแต่เช้านี่ มีข่าวเพิ่มเติมมาบอกหรือเปล่าครับ เจอศพพุธแล้วหรือ"

คนถูกถามส่ายหน้าด้วยกิริยาหนักใจ ตำรวจทำงานกันอย่างเต็มกำลัง ออกควานหาศพที่ถูกขโมยจากมือดีลึกลับ

ใครก็ตามที่ทำอย่างนั้นได้ นับว่าใจกล้าบ้าบิ่นและรักการเสี่ยงเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ใช่แค่นั้นนะ ก่อนจะลงมือปฏิบัติการ ก็เตรียมแผนเป็นลำดับขั้นตอนอย่างรัดกุม สุขุมรอบคอบเสียจนต้องยกนิ้วให้ เพราะเจ้าตัวไม่ทิ้งอะไรไว้เลยแม้แต่ร่องรอยอย่างเช่น 'ส้นรองเท้า'

"ไม่มีข่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาไม่ได้นี่ครับ" ภวังค์กึ่งหนักอกกึ่งชื่นชมหัวขโมยถูกเก็บเข้ากรุ เพื่อโปรยประโยคครื้นเครงกลั้วรอยยิ้มไปตามนิสัยปลอดโปร่ง "ผมแวะมาเยี่ยมทั้งคุณดนัยดล ทั้งคุณอคิน มันผิดตรงไหน"

"ไม่ผิดหรอก ถ้าจะควักไอ้ลูกตาขี้ระแวงทิ้งไปเสียก่อน"

อคินแดกดันไม่เกรงใจ แล้วรีบเดินออกจากห้องโถง มือหายสั่นแล้ว แต่สร้อยคอของพุธชมพูในกระเป๋ากางเกง ออกจะร้อนๆ แหลมๆ มันหมั่นทิ่มหมั่นเผาให้เขาร้อนรนไม่เป็นสุข

โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ผู้กองตั้นไม่เห็น ลำพังไม่มีเบาะแสหลักฐาน เขายังถูกเกี่ยวเข้าไปเป็นผู้ต้องสงสัย แต่สร้อยคอเส้นนี้ มันเป็นหลักฐานชิ้นเป้งๆ เชียว เขาคงไม่รอดแน่

"ผมคุยกับคนสวน ทราบว่าคุณอคินย้ายเข้ามาพักอยู่ที่นี่นานกว่าสามเดือนแล้ว" ผู้กองตั้นเปรยยิ้มๆ "พอจะเล่าได้ไหมครับว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้ตายเป็นยังไงบ้าง เช่นว่า.. "

"มันจะมีความสัมพันธ์อะไรนักหนาเล่าผู้กองตั้น" อคินหยุดเดินแล้วหันไปขัดคอเสียงกระด้าง "ผมเป็นแขกนะ เป็นเพื่อนกับสามีของเธอ ผู้กองตั้นต้องการให้ผมมีความสัมพันธ์กับภรรยาของเพื่อนแบบไหนหรือ"

"แหม ผมก็.. "

"ผมจะอยู่ที่นี่สามชั่วโมง สามวัน สามเดือน หรือต่อให้สามปี แล้วจะทำไม ไปเกี่ยวอะไรกับความสัมพันธ์บ้าๆ ที่คุณกำลังจะยัดเยียด ทุเรศจริงๆ "

"คุณอคิน ใจเย็นลงหน่อย คุณกำลัง.. "

"ทำไมต้องใจเย็น" หนุ่มมุทะลุเค้นเสียงเข้มขึ้น "ถ้าเป็นคุณล่ะ ผู้กองตั้น คุณใจเย็นได้หรือ มีตำรวจเฮงซวยที่ไหนก็ไม่รู้ จ้องจับตาจับผิด เพราะตัวเองไร้ประสิทธิภาพในการปิดคดี แค่คนฆ่าตัวตายคนหนึ่ง มันไม่ดังเอิกเกริกละสิ เลยต้องหาทางบิดเบือนให้มันดูเป็นการฆาตกรรมแทน แต่เรื่องนั้นผมก็ไม่สนหรอก ถ้าไม่ดึงผมเข้าไปเป็นเหยื่อห่วยๆ "

"คุณจะเป็นเหยื่อห่วยๆ หรือจะเป็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง เวลาเท่านั้นที่จะไขข้อกระจ่างทั้งหมดนี้ได้" ผู้กองตั้นกล่าวปิดบทพาลของคู่สนทนา "ถ้าคุณคือความจริงที่ขาวสะอาด คุณก็อยู่เฉยๆ ไปเถอะ ปล่อยให้ผมร้อนรนไปฝ่ายเดียวก็พอแล้ว"

"ผู้กองตั้น" อคินชักสีหน้า

"เหมือนคุณดนัยดลไงครับ" ผู้กองตั้นยิ้มสุขุม "ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะร้อนรนหรือไม่พอใจผมตรงไหนเลย ทั้งที่ความจริงแล้ว ผมก็เคยบอกว่าทุกคนในบ้านหลังนี้ สามารถเป็นผู้ต้องสงสัยได้หมด"

"ก็แน่ละสิ เขาจะไปร้อนรนทำไม ตอนเกิดเรื่องเขายังหลับอุตุอยู่เลย จะว่าไปแล้วนะ ผมยังอดเคืองเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ภรรยานอนข้างแท้ๆ ยังปล่อยให้ลงมาตายเสียได้ พวกเศรษฐีก็เป็นแบบนี้ นอนสบายจนเคยตัว หลับแล้วหลับเลย"

"ทำไม คุณไม่เป็นอย่างนั้นหรือ"

"ไม่เป็น" อคินสวนเข้ม "ผมมันคนจน ต้องดิ้นรนหาข้าวสารกรอกหม้อกรอกปากเองตั้งแต่เด็ก ผมต้องตื่นตีสองไปทำงานในตลาดสดหาค่าขนมไปโรงเรียน เลิกเรียนก็ต้องตะลอนๆ หางานพิเศษทำสำรองไว้เป็นค่าเทอม"

"อ้อ"

"ตลอดชีวิตของผม เติบโตมากับการหลับๆ ตื่นๆ และตื่นมากกว่าหลับ แต่รู้ไหม ไอ้เศษเงินที่ผมได้มา มันเทียบไม่ได้เลยกับฟ่อนเงินของไอ้ลูกเศรษฐีที่ตื่นลืมตา พ่อแม่ก็มาวางตั้งไว้ให้เห็นบนโต๊ะหัวนอน"

'เป็นข้อมูลใหม่สินะ' ผู้กองตั้นคิดขำๆ กับตัวเอง เพราะความตั้งใจจริงๆ ในวันนี้ ก็คือแวะมาสอดส่องหาร่องรอยที่น่าจะเป็นเบาะแสสาวโยงไปเชื่อมกับการตายของคุณผู้หญิง

เขาอาจจะไม่ติดใจอะไรก็ได้ หากว่าน้ำเสียงของนายอุ่น ไม่แฝงกระแสชิงชังบางอย่าง หรือแววตาของคนสวนชราจะไม่เปล่งประกายเกลียดๆ แล้วดูสิ พอมาถึง ปากก็ทำทีชวนคุยไป ตาก็ลอบสำรวจไป แต่กลับจับพลัดจับผลูได้รับรู้เกร็ดประวัติอันลำเค็ญของหนุ่มหล่อมาแทนเสียฉิบ

"ความจนมันคงเป็นปมด้อยขนาดเขื่องละสินะ ผมไม่คิดว่าคุณอคินเคยพยายามจะปลดมันออก ตรงกันข้าม เหมือนว่าคุณตั้งใจเก็บมันไว้เป็นแรงผลักดันตัวเอง"

หนุ่มเจ้าของปมด้อยขนาดเขื่องไม่ตอบ คุณผู้กองก็ไม่ถือสาที่เจ้าตัวเมินหน้าเย่อหยิ่ง ออกจะเห็นใจในกิริยาสูดหายใจลึกคล้ายพยายามระงับความพลุ่งพล่าน รอยยิ้มสุขุมคลี่บางขึ้นบนริมฝีปากหยัก ในทันทีที่ตนมีบทสรุปในใจทำนองว่า 'อืม น่าสนใจดี เห็นทีต้องสืบสาวประวัติกันสักหน่อย'




ทนายรัศมีแวะมาเยี่ยมเจ้านายตาบอดตอนพักกลางวัน หล่อนตรงไปยังศาลาโปร่งที่เจ้าตัวนั่งนิ่งหน้าตรงไปยังหย่อมสวนดอกไม้ดอกจิ๋วๆ แต่สีสวยๆ

ก่อนหน้านี้ เขากับภรรยาก็คงใช้ที่นั่น กะหนุงกะหนิงเก็บเกี่ยวความสำราญในเสน่หาอ่อนหวาน อาจจะกอดกันบ้าง หอมแก้มกันบ้าง สนทนาด้วยเรื่องรอบตัวรอบใจ สลับกับชื่นตาชื่นทรวงกับเหล่าสีสันของมวลดอกไม้

แต่ยามเที่ยงที่อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าที่ควรของวันนี้ เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพัง ไม้เท้าวางข้างตัว แว่นตาดำบดบังดวงตาพิการไว้เบื้องหลัง คนตาบอดมักจะมีประสาทหูค่อนข้างฉับไวละสินะ เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าๆ เบา เขาก็เอียงหน้าเงี่ยหูอย่างตั้งใจทีเดียว

"คุณอคิน" เขาเรียกเบาๆ

"ทนายรัศมีค่ะ" หล่อนบอกเบาๆ เช่นกัน แล้วก็นั่งเก้าอี้ตัวตรงข้าม "ฉันแวะมาเยี่ยม เอ้อ ตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวันค่ะ เป็นห่วงว่าคุณดนัยจะกินข้าวหรือยัง"

"ครับ แม่พิศเพิ่งจะยกกลับไปเมื่อกี้นี้เอง ผมกินไม่ค่อยลง แต่รำคาญคนแก่เซ้าซี้ ก็เลยฝืนกลืนไปสามสี่คำ เอ้อ ทนายรัศมีมาก็ดีแล้วครับ พอจะทราบข่าวอะไรเพิ่มเติมอีกไหม"

"ยังค่ะ" ทนายคนสนิทตอบอย่างรู้ใจ "ก่อนจะมา ฉันโทรไปถามผู้กองตั้นแล้วค่ะ คำตอบก็เหมือนเดิม กำลังพยายามอย่างเต็มที่ คุณดนัยอดทนหน่อยนะคะ ฉันเชื่อในความสามารถของตำรวจว่า พวกเขาต้องหาศพคุณพุธเจอแน่ๆ ค่ะ"

ให้กำลังใจไปแล้ว ตัวเองก็ใจหายเอง เมื่อเห็นน้ำตาสายบางไหลลอดขอบแว่นตาดำ โถ เจ้านายของหล่อนช่างน่าเวทนาแท้ๆ

แต่ภาวการณ์เช่นนี้ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการปลุกเร้าจิตใจให้เข้มแข็ง หล่อนเชื่อว่าด้วยความดี ความเก่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานเดิมของเจ้านาย อีกไม่นานหรอก เขาต้องก้าวข้ามวิกฤติเลวร้ายคราวนี้ไปได้แน่

"คุณดนัย"

"ผมสบายดี" ดนัยดลรีบบอกพร้อมกับสูดจมูก "ขอโทษที่อ่อนแอให้เห็น ผมจะพยายามเข้มแข็ง จะต้องไม่ป่วยไม่ไข้จนกว่าจะเจอศพพุธ จนกว่าผมจะแน่ใจว่าพุธฆ่าตัวตายจริงๆ ผมไม่เชื่อหรอกทนายรัศมี ผมไม่เคยเชื่อเลย"

อคินหรี่ตาร้อนลึกพร้อมกับชะงักฝีเท้า ทุกครั้งที่ได้ยินเพื่อนหนุ่มใหญ่ตาบอดรำพันว่าไม่เชื่อๆ เขารู้สึกเกลียดแรงกล้าขึ้นวูบหนึ่งเสมอ

ทำไมดนัยดลไม่เชื่อคำบอกเล่าของเขา การไม่เชื่อนั่นล่ะ ที่ทำให้เขาตกที่นั่งผู้ต้องสงสัย ผู้กองตั้นคงจะได้ยินไอ้วลีที่ว่านั่นล่ะ เจ้าตัวถึงได้พยายามเบี่ยงเบนความจริง หวังจะปั้นคดีฆ่าตัวตายให้กลายเป็นฆาตกรรม

"คุณอคิน"

ทนายรัศมีเลิกคิ้ว แล้วหันมองไปทางบันได หล่อนอดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าหนุ่มหล่อหุ้นส่วนใหม่ยืนอยู่บนขั้นที่สอง เขาพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายทักทาย แล้วสืบเท้าเนิบขึ้นมาวางถาดเครื่องดื่ม

"ดื่มกาแฟก่อน มีขนมอบด้วย พุธเป็นคนทำ คุณกินเสียหน่อย เมื่อกี้นี้ กินข้าวยิ่งกว่าแมวดมเสียอีก"

"เอาไว้ก่อนเถอะ ผมไม่หิว"

"ไม่หิวก็ต้องกินบ้าง ทรมานร่างกายไม่ได้นะ เป็นห่วงตัวเองหน่อย ไหนจะตาคุณอีก เอ้อ จริงสิ พอพูดเรื่องนี้แล้วก็นึกขึ้นได้ ว่าจะถามอยู่หลายครั้ง แต่มักจะมีเรื่องอื่นมาขัดแล้วทำให้ลืมทุกที ตาของคุณมันไม่มีปฏิกิริยาอะไรบ้างหรือ"

ดนัยดลก้มหน้าลง เขากลืนน้ำลายให้ทนายรัศมีสงสารอีกครั้ง หล่อนขึงตากับอคินเป็นเชิงว่า 'อย่าเพิ่งถามเรื่องพวกนี้ในเวลานี้'

จากนั้น ก็รีบหันเหบรรยากาศโศกอมอึมครึมด้วยการรายงานความคืบหน้าของงานในบริษัท เท่าที่สังเกตก็พอจะเห็นละว่า เจ้านายไม่ค่อยสนใจรับรู้จริงจังนัก หล่อนก็เข้าใจและไม่ตำหนิหรอก เพราะมรสุมยักษ์ที่สาดซัดชีวิตส่วนตัวในคราวนี้มัน 'ร้าย'




หลังจากที่แน่ใจว่าดนัยดลตาพิการ ตั้งมั่นขังตัวเองไว้ในคุกแห่งความเงียบ ทนายรัศมีก็สบตาเป็นเชิงชวนให้หุ้นส่วนใหม่รูปหล่อย้ายไปหาที่สนทนากันใหม่

อคินพาหล่อนมานั่งใต้ซุ้มไม้ร่มรื่นใกล้สระน้ำ เขาเสยผมด้วยท่าทางอึดอัดระคนอัดอั้น หล่อนเห็นเข้า ก็ถอนใจยาวอย่างเห็นใจ

"ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี" หล่อนปรารภกลั้วหัวเราะเนือยๆ "คุณดนัยทำงานตามลำพังมาตั้งนานไม่เคยมีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว แต่บทจะมีขึ้นมา ก็จำเพาะว่าคุณต้องมาเป็นหุ้นส่วนพอดี เหมือนเป็นคราวเคราะห์ของคุณเลยนะ"

"เคราะห์อะไร"

"ก็เคราะห์ร้ายที่มาลงหุ้นลงขันกับคุณดนัยในช่วงนี้เข้าพอดีไงคะ ดูสิ เวลานี้ คุณดนัยทำอะไรไม่ได้เลย ภาระทุกอย่างถูกย้ายถูกโอนมาแหมะบนบ่าของคุณหมด ทั้งดูแลบ้าน ทั้งงานในบริษัท เหมือนไม่ยุติธรรมนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงยังไง"

"ไม่หรอก ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น" อคินแย้งเสียงอ่อนจากใจจริง "คุณดนัยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม จำได้ว่าเคยเล่าให้คุณฟังแล้วนี่ สภาพไอ้หนุ่มขี้เมาของผม มันไม่น่าคบหาเลย แถมยังมีเรื่องเกือบถูกไอ้พวกฝรั่งรุมอัดเละ แต่คุณดนัยกลับออกหน้ายื่นมือปกป้อง"

"เขาเป็นคนดีแบบนั้นอยู่แล้ว"

"ใช่ เพราะเขาเป็นคนดี ผมถึงยอมแพ้ใจเขา และยึดถือเขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่ง ภาระแค่นี้มันน้อยนิดนัก หากจะเปรียบกับมิตรภาพที่ผมได้รับจากเขา ให้หนักอึ้งกว่านี้ผมก็ไม่เกี่ยงและไม่ถอยด้วย ยังไงก็จะขอดูแลเขาไปจนกว่าตาเขาจะหาย"

"จะหายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ" ทนายรัศมีเปรยอย่างกังวล

"เท่าที่รู้มา คุณหมอริชาร์ดไม่เคยตรวจรักษาคนไข้พลาดสักรายเลยนะ ผมว่าคงจะอีกไม่นานหรอก เรื่องเลวร้ายพวกนี้ มันก็จะค่อยๆ ซาลงไปเอง"

ทนายสาวทำปากยื่นตาละห้อย ก็เห็นด้วยกับบทสรุปเฉื่อยๆ ของหุ้นส่วนใหม่รูปหล่อ เพราะนอกจากรอให้วันเวลาดีๆ มาเยือน ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ล่ะ แล้วสักอึดใจหนึ่ง หล่อนก็ค่อยหันไปถามประเด็นสำคัญขึ้นว่า

"เอ้อ แล้วที่คุณโทรตามฉันมา บอกว่ามีธุระสำคัญจะปรึกษาด้วย มันคือ.. "

"ครับ ผมไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใคร คุณเป็นนักกฎหมายนี่ แล้วในเมืองไทยนี่ ก็มีคุณนี่ล่ะ ที่ผมไว้ใจได้ คุณดูนี่"

อคินสำรวจดีแล้วว่าแถวนี้ไม่มีใครมาเพ่นพ่าน จึงล้วงสร้อยคอเส้นสำคัญออกมาให้คุณทนายสาวจับจ้องแล้วตาโต หล่อนจำได้ว่ามันเป็นเครื่องประดับชิ้นโปรดที่พุธชมพูหยิบใช้บ่อยมาก นัยว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่สามีซื้อให้รับขวัญตำแหน่งคุณผู้หญิง

"นี่มันสร้อยคอคุณพุธนี่คะ มีอะไรหรือ"

"มันไปอยู่ในห้องโถงที่เรือนพักหลังเล็กของผม"

"แล้วทำไมคะ"

"คุณทนาย ทำไมถามไม่เข้าท่าแบบนี้เล่า ถ้ามันไม่มีอะไร ผมจะเรียกมาปรึกษาหรือ สร้อยคอของพุธมันย้ายจากที่ของมัน แล้วไปโผล่ที่เรือนพักของผม คุณคิดยังไงล่ะ"

อคินปิดประโยคด้วยการย้อนถามยียวน แต่สีหน้าแลหมกมุ่นด้วยด้วยริ้วรอยหวั่นวิตก ทนายรัศมีตรึงสายตาครุ่นคิดแน่วนิ่งอยู่กับสร้อยคอเส้นสวยในฝ่ามือตัวเอง

"อย่ามัวแต่นิ่ง" อคินเร่งด้วยเสียงร้อนรน "ผมต้องการความเห็น ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจว่ามันเป็นของคนตายนะ ผมไม่เคยรังเกียจพุธหรอก แต่ตอนนี้ มันอยู่ในสถานะของร้อน แล้วมันก็อยู่กับผม คุณลองคิดซิว่า ถ้าคุณดนัยทราบเรื่องนี้เข้า เขาจะ.. "

"ให้ทราบไม่ได้หรอกค่ะ" ทนายสาวรีบบอกเสียงสุขุม "คุณดนัยมองไม่เห็น โอกาสหวาดระแวงมีเยอะมาก คนตาบอดอยากจินตนาการอะไรก็ได้ที่มันสว่างง่ายในที่มืด แถมยังปักใจเชื่อได้ง่ายๆ อีกเหมือนกัน"

"เออ นั่นแหละที่ผมคิดได้น่ะ แต่ผมจะทำยังไง มันไม่ควรอยู่กับผม" อคินบอกสะบัดๆ

"คุณเจอมันตอนไหนคะ"

"ตอนเช้า ตื่นมาก็เจอเลย เกือบซวยด้วย เพราะผู้กองตั้นโผล่ไปพอดี ผมใจหายวาบเลย เขายิ่งมองผมเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ด้วย สายตาเฮงซวยชะมัด"

"ไม่หรอกค่ะ ผู้กองตั้นไม่เคยสรุปอะไรง่ายๆ จนกว่าเขาจะมีหลักฐานที่แน่นหนาพอ คุณสบายใจได้ เขาเป็นตำรวจขี้เล่น อารมณ์ดี แต่ทำงานฉับไวรอบคอบและละเอียดลออมาก ถูกใจชาวบ้านถ้วนหน้า ไม่อย่างนั้นจะได้ฉายาขวัญใจประชาชนหรือ"

"ไม่ได้เรียกมาให้ชื่นชมคุณผู้กองนะครับ ผมอยากได้คำแนะนำจากนักกฎหมายว่า ควรจัดการกับไอ้ของร้อนแบบนี้ยังไง"

"คุณแน่ใจนะคะว่าไม่ได้เผลอหยิบติดมือมา อาจจะเป็นตอนเมา"

"เมา"

"แม่พิศกับอนงค์เล่าให้ฟังค่ะ" หล่อนบอกยิ้มๆ "คุณดื่มจัดนี่ อาจเป็นไปได้ว่า.. "

"เป็นไปไม่ได้หรอกคุณทนาย" อคินเถียงฉับไวเลย "ผมไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่าสร้อยคอเส้นนี้มันถูกเก็บไว้ที่ไหน แค่เห็นว่าพุธสวมมันบ่อย วันเว้นวันก็ว่าได้"

"ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องมีใครสักคนขโมยมันไปวางไว้ด้วยจุดประสงค์ไม่ดีบางอย่าง คุณอคินคงไม่มีศัตรูที่ไหนนะคะ"

"ไม่มี อาจจะมีก็ได้ถ้าผมมีเวลาหาเรื่องนะ แต่ตั้งแต่กลับเมืองไทย ผมต้องทำตัวเป็นเงาให้คุณดนัยดลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ว่าได้ จะเอาเวลาไหนไปหาเรื่องสร้างศัตรู"

ทนายรัศมีหรี่ตาลึก เปลวแดดเต้นระริกเหนือสวนหย่อม สายลมแผ่วๆ โชยมาไกวช่อดอกไม้ที่ชูสีสด มันส่ายไหวนิดๆ คล้ายริ้วความคิดที่เคลื่อนไปและเคลื่อนไปอยู่ในสมองสุขุมของหล่อน

"หรือว่าจะเป็นคนชุดดำลึกลับเมื่อคืนนี้หรือเปล่าคะ" หล่อนเปรยการคาดเดาออกมา พร้อมกับเฉลยต่อทันทีเมื่อเห็นดวงตาเรียวหวานของคนฟังเบิกกว้างเหมือนตกใจ "ตอนจอดรถ ฉันเจอนายสมบัติพอดีค่ะ เขาเล่าให้ฉันฟัง"

'ไอ้บ้าเอ๊ย' อคินสบถด่าคนสวนปากสว่าง เขากำชับแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ปิดเป็นความลับ รอดูคืนนี้อีกสักคืน ถ้ามันกล้าดีโผล่มาอีก เขามั่นใจว่าต้องจับตัวได้แน่ ถึงตอนนั้นค่อยจับส่งตำรวจแล้วแฉเรื่องราวให้ยาวแค่ไหนก็ได้

"อย่าไปโกรธเขาเลยค่ะ" คุณทนายดักคอเพราะอ่านแววตาเคืองออก "เขาก็ร้อนใจและห่วงความปลอดภัยของคนในบ้านเท่ากับคุณอคินนั่นแหละ"

"ผมเข้าใจเรื่องนั้น แต่ผมยังไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ เราน่าจะรอจัดการกันเองก่อน"

"ฉันเข้าใจค่ะ แต่ก็อยากจะเตือนสติเล็กน้อย อย่าลืมว่าฝ่ายเราอยู่ในที่แจ้งนะคะ แต่ทางโน้นมาแบบนินจาเชียว ป้องกันเปิดเผยรัดกุมแค่ไหน ก็ยากจะต่อกรกับการจู่โจมแบบซุ่มซ่อนอยู่ดีละค่ะ รู้หลายหัวดีกว่าเก็บไว้อุบอิบกันเองไม่ใช่หรือคะ"

"เอาเถอะ กลับมาเรื่องนี้" อคินตัดบท "ไหนคุณบอกมาซิว่า ผมต้องทำยังไงบ้าง"

"นำไปเก็บในที่ที่มันอยู่สิคะ" คุณทนายแนะนำพรืดออกมาเลย มันฟังง่าย แต่คนฟังไม่ยินดีนัก

"แล้วผมจะไปรู้หรือว่ามันอยู่ของมันที่ไหน"

"ถ้าให้เดาก็ต้องเป็นห้องนอนนั่นแหละค่ะ ฉันแนะนำได้เท่านี้ อ้อ แต่ถ้าจะให้แนะนำเพิ่ม ก็ต้องกำชับว่าอย่าพูดเรื่องนี้กับใครอีก เราจะรู้กันเพียงสองคนจนกว่าจะจับตัวไอ้หัวขโมยได้ เอ.. ฉันไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่า ไอ้หัวขโมยมันมีคนเดียวหรือมากกว่านั้น ทั้งขโมยสร้อยคอ ทั้งขโมยศพ คุณว่ามันเป็นไปได้ไหมที่การขโมยสองเรื่องนี้จะเชื่อมโยงกัน"

'ไม่รู้' อคินตอบในใจ เขาส่ายหน้าแล้วเสยผมด้วยกิริยาหงุดหงิด ตอนนี้ ไม่อยากคิดว่าขโมยมีกี่คน และการขโมยสร้อยขโมยศพมันเชื่อมโยงกันหรือเปล่า เพราะตราบใดที่ 'ของร้อน' มันอยู่กับตัว เขาก็คงไม่มีสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้อย่างจริงจังหรอก

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 54 10:53:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com