Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๒ คนบ้าในกรงขัง) ติดต่อทีมงาน

ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๑ ศพเดินได้)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11309801/W11309801.html

บทที่ ๒ คนบ้าในกรงขัง

ฟ้าฉายมาถึงบ้านคานพิภพในราวๆ ห้าโมงเย็น เรือนทรงไทยโบราณสามหลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า อวดสายตาแก่แขกสาวผู้มาเยือนให้หยุดมอง ลมหนาวยามค่ำพัดลอยมากระทบฉุดให้หญิงสาวต้องยกสองแขนขึ้นกอดอก หญิงรับใช้วัยสามสิบรีบวิ่งเหยาะๆ ตรงมายังรถคันงามที่จอดอยู่หน้าเรือนหลังกลาง ใบหน้าคร้ามแดดฉีกยิ้มให้กับผู้เป็นเจ้านายทั้งสองก่อนหันมายังฟ้าฉาย

“สวัสดีค่ะคุณฟ้าฉาย...” น้ำเสียงคล้ายนกกระจิบบินลงทุ่งข้าวทำให้ฟ้าฉายต้องยิ้มแหย รีบยกมือไหว้ตอบหญิงรับใช้ที่คงมีอายุมากกว่าเป็นแน่

“หนูชื่อบัวเรียวนะคะ ได้เห็นตัวจริงแล้วคุณฟ้าสวยกว่าในรูปที่คุณอรให้ดูเยอะเลย” บัวเรียวหันไปส่งยิ้มให้อรอนงค์ก่อนเดินไปรับกระเป๋าเดินทางจากเศรษฐพงษ์

“ขอบใจจ้ะ” ฟ้าฉายบอกพร้อมคลี่ยิ้มก่อนที่บัวเรียวจะรีบหอบกระเป๋าเดินดุ่มๆ ไปยังเรือนฝั่งขวา

“บ้านคานพิภพมีเรือนอยู่สามหลัง หลังทางด้านซ้ายคือบ้านของคุณอาไพรินทร์ หลังกลางเป็นเรือนใหญ่ คุณปู่และคุณอาพิมพ์พารวมครอบครัวเธออยู่ที่เรือนหลังนี้ ส่วนหลังสุดท้ายเป็นของคุณพ่อฉันเองจ้ะ” อรอนงค์อธิบายขณะที่ฟ้าฉายทอดสายตามองเรือนทรงไทยทั้งสามหลัง หลังตรงกลางดูจะโดดเด่นและใหญ่ที่สุด แต่จุดที่งดงามที่สุดจะเป็นระเบียงด้านข้างเรือนของนายภูมิพงษ์ ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนีย์ภาพของแม่น้ำโขงที่อยู่ห่างจากตัวเรือนไปด้านซ้ายราวสองร้อยเมตร

เมื่อนำกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาเก็บยังห้องพักแล้ว บัวเรียวก็ขอตัวไปทำงานบ้านช่วยนางผุสดีที่เรือนใหญ่ ระหว่างนี้ฟ้าฉายจึงเอาเสื้อผ้าและของใช้จัดใส่ตู้เสื้อผ้าของอรอนงค์

ตระกูลคานพิภพเป็นตระกูลคหบดีและข้าราชการเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อรอนงค์เล่าว่าปู่ทวดของเธอย้ายมารับราชการที่เมืองแห่งนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า ต่อมาลูกหลานผู้สืบเชื้อสายก็ได้รับราชการกินตำแหน่งใหญ่โตกันทุกๆ คน รวมทั้งเหมราช คานพิภพ ซึ่งเป็นบุตรชายคนเล็กด้วยเช่นกัน

เหมราช ออกจากราชการเพราะขาซ้ายพิการเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่ถึงจะขาดรายได้จากการรับราชการคานพิภพก็ยังมีธุรกิจทั้งสาม อันได้แก่ โรงไหม โรงไม้ และโรงสีคานพิภพ ทั้งสามอย่างนี้สร้างรายได้ให้แก่ตระกูลนี้เป็นจำนวนเงินมหาศาลอีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่งมีให้เกิดในชุมชนรอบข้าง พวกชาวบ้านและคนในเมืองต่างนับถือและเกรงใจตระกูลคานพิภพด้วยเหตุฉะนี้

“คุณอาไพรินทร์เป็นคนดูแลโรงไหม สามีเธอตายจากไปตั้งแต่วสันต์อายุได้ห้าขวบแล้ว เรือนด้านขวาเลยมีคุณอาไพรินทร์กับวสันต์อยู่กันเพียงสองคน” อรอนงค์เล่าขณะรื้อลิ้นชักเสื้อผ้าคล้ายกำลังค้นหาบางอย่าง

ฟ้าฉายเอาสองมือวางบนขอบหน้าต่างก่อนสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด แสงอาทิตย์ยามค่ำส่องกระทบสายน้ำโขงระยิบระยับท่ามกลางทิวหมอกสีขาวที่เริ่มลอยเหนือทิวไม้และชายป่าริมฝั่งแม่น้ำใหญ่

“แล้วคุณพิมพ์พาล่ะ?...” แขกสาวหันขวับมามองอรอนงค์ อีกฝ่ายยกเอาผ้าซิ่นสีม่วงในมือขึ้นดูก่อนสั่นศีรษะไปมาและวางมันลง

“อาพิมพ์พาดูแลโรงสีที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเมือง” เธอบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ฟ้าฉายทราบแค่ว่านายภูมิพงษ์ผู้เป็นพ่อของอรอนงค์ดูและโรงไม้คานพิภพ เมื่อได้ทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วเธอก็พอจะสรุปโดยคร่าวๆ ได้ดังนี้

นายเหมราช คานพิภพมีลูกสามคนซึ่งเกิดแต่ภรรยาเอกอันได้แก่ ไพรินทร์ พี่สาวคนโต เธอแต่งงานกับนายศักดิ์ มีลูกชายชื่อวสันต์ อายุยี่สิบสองปี ไพรินทร์ดูแลกิจการโรงไหมคานพิภพ และสามีก็ได้ตายไปตั้งแต่ที่ลูกชายอายุได้ห้าขวบ คนต่อมาคือนายภูมิพงษ์ มีภรรยาคือนางขจีเกศ แต่ว่าเธอได้ออกบวชชีเป็นแม่ชีตั้งแต่อรอนงค์อายุได้สี่ขวบ เขามีลูกสองคนซึ่งก็คือเศรษฐพงษ์วัยยี่สิบหกปีและอรอนงค์วัยยี่สิบสามปี ภูมิพงษ์ดูแลกิจการโรงไม้คานพิภพ และคนสุดท้ายคือนางพิมพ์พา เธอแต่งงานกับลูกชายร้านทองในตัวเมืองชื่อทรงพล ทั้งสองมีลูกสาวฝาแฝดวัยสิบเก้าปีอันได้แก่ แสงดาวและสกาวเดือน และทั้งหมดนี้คือสมาชิกในตระกูลคานพิภพ...

ดวงหน้าอิ่มเอิบของอรอนงค์ประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานขณะจ้องมองผ้าซิ่นสีแดงในมือ เธอถือมันไว้ก่อนหยิบเอาเสื้อลูกไม้สีขาวแขนยาวมาทับผ้าซิ่นก่อนตรงมายังเตียงนอน

“ฟ้า...มานี่เร็ว” คนที่ถูกเรียกเลิกคิ้วสูงทันที “เย็นนี้ฉันจะพาเธอไปเปิดตัว...” อรอนงค์ว่าพร้อมรอยยิ้ม ฟ้าฉายสาวเท้ามายังเตียงนอนก่อนทรุดนั่งลง สองตาจ้องมองผ้าซิ่นสีแดงที่อรอนงค์ค่อยๆ คลี่ออก

“อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันใส่ผ้าซิ่นผืนนี้ ก็สวยดีนะ เป็นไหมใช่มั้ย”

“ถูกเผง...ผ้าซิ่นสีแดงลายสร้อยดอกหมากผืนนี้ทอจากไหมเนื้อดีเลยนะ ถ้าคุณปู่เห็นคงชอบแน่ๆ” ปลายประโยคทำให้คนฟังต้องย่นหัวคิ้วเข้าหากัน ถ้านายเหมราชเห็นเธอใส่ผ้าซิ่นผืนนี้คงชอบเธองั้นเหรอ?

“คือ...คุณปู่ท่านเป็นคนชอบผู้หญิงแต่งตัวไทยๆ น่ะ คนสมัยนี้ไม่ค่อยจะนุ่งผ้าซิ่น นุ่งโสร่งกันหรอก จะมีก็แต่พวกชาวบ้านทั่วไป ในบ้านนี้ก็มีแค่คุณอาไพรินทร์กับคุณยายผุสดีและบัวเรียวที่ยังใส่ผ้าถุงผ้าซิ่นกันอยู่ คนอื่นๆ เขาก็นิยมนุ่งกางเกงบ้างกระโปรงบ้าง”

“แล้วเธอล่ะอร...ไม่ชอบใส่บ้างเหรอ?” ฟ้าฉายถามเสียงใสก่อนก้มลงมองลวดลายบนผ้าซิ่น

“ฉันก็ใส่บ้างแล้วแต่โอกาส เวลาไปวัดทำบุญ ผู้หญิงคนไหนก็ใส่ผ้าซิ่นกันทั้งนั้นแหละจ้ะ แต่ถ้าจะให้ใส่นอนหรือใส่เป็นกิจวัตรก็คงไม่ไหว มันไม่คล่องตัว” อีกฝ่ายยิ้มแหย ก่อนที่ฟ้าฉายจะหัวเราะน้อยๆ เธอเองก็ไม่ค่อยจะได้มีโอกาสใส่ผ้าถุงหรือผ้าซิ่นสักเท่าไหร่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปทำบุญหรือไปวัดดังที่อรอนงค์ว่า

“สงสัยคุณพ่อคงมาแล้ว” อรอนงค์ว่าขึ้นเพราะได้ยินเสียงเศรษฐพงษ์คุยกับใครอีกคนที่กลางเรือน ร่างอรชรลุกจากเตียงก่อนเดินไปเปิดประตูห้องและก้าวขาออกไป

“ฟ้า...ฟ้าออกมาไหว้คุณพ่อเร็ว” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นเพื่อนฟ้าฉายก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที หญิงสาวเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้องก่อนจะได้พบกับชายวัยสี่สิบห้าที่ยืนอยู่เคียงข้างเศรษฐพงษ์

เขาเป็นชายแก่ที่สูงราวๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร รูปร่างสมส่วนบึกบึนรับกับใบหน้าสี่เหลี่ยมคร้ามแดดไม่เหมือนกับลูกชายที่สูงโปร่งและผิวขาว คิ้วดำเข้มและไรหนวดเหนือริมฝีปากแดงก่ำทำให้ภูมิพงษ์ดูดีสมวัย แต่ทว่า...สายตาที่จ้องมองฟ้าฉายกลับเปล่งประกายความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด สองตาของหนุ่มใหญ่เบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย อรอนงค์หันไปมองเพื่อนสาวกับบิดาสลับไปมาก่อนจะสะกิดที่ไหล่หนาของภูมิพงษ์เพื่อเรียกสติผู้เป็นพ่อ

“อ้อ... สวัสดีจ้ะ หนูฟ้าฉาย” เขาพูดตะกุกตะกัก พยายามปั้นยิ้มกลบเกลื่อนอาการประหม่าหลังจากพบหน้าหญิงสาวผู้งดงามจากเมืองขอนแก่น “เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันที่เรือนใหญ่นะ” หันไปมองลูกสาวและลูกชายที่ยืนอยู่เคียงข้างก่อนจะผินหน้ามาหาฟ้าฉายอีกครั้ง “เดี๋ยวพ่อขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะจ้ะ...”

กลางเรือนใหญ่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งรายล้อมทุกด้าน โต๊ะไม้ตัวยาวแวดล้อมด้วยเหล่าสมาชิกจากบ้านคานพิภพ อรอนงค์จูงแขนเพื่อนสนิทที่แต่งกายด้วยเสื้อลูกไม้สีขาวและผ้าซิ่นสีแดงลายสร้อยดอกหมาก ผมดำสลวยม้วนเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอยก่อนเอาดอกจำปีสองสามดอกปักไว้ เหมราช คานพิภพจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเธอต้องทนหนาวกับเสื้อฝ้ายบางๆ นี้อย่างทรมานแค่ไหน เพียงเพื่อแลกให้เขาประทับใจในวินาทีแรกที่พบเธองั้นหรือ?...

เมื่อทั้งสามมาถึงโต๊ะทุกร่างก็หันขวับมาที่เธอทันที อรอนงค์หันไปทางชายวัยเจ็ดสิบที่จ้องมองฟ้าฉายด้วยความตะลึงงัน ไม้เท้าที่วางพาดกับขอบโต๊ะกลิ้งล้มลงพื้นจนทุกคนสะดุ้งโหยง เศรษฐพงษ์รีบวิ่งไปหยิบไม้เท้าขึ้นมาให้ผู้เป็นปู่ขณะที่พิมพ์พาและทรงพลจ้องมองแขกสาวผู้มาเยือนด้วยสายตาเดียวกันกับที่ภูมิพงษ์ทอดมองเธอเมื่อแรกเห็น

“นี่ฟ้าฉายค่ะ เพื่อนสนิทของอรเอง... ฟ้าฉาย นี่คุณปู่จ้ะ” หญิงสาวยกมือทำความเคารพเจ้าบ้านแห่งคานพิภพ ชายวัยเจ็ดสิบปีผู้จัดได้ว่ามีอิทธิพลคนหนึ่งแห่งเมืองนี้ ผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะบ่งบอกสังขารที่กำลังร่วงโรย ดวงตาสีเทาหม่นแสงที่อยู่บนใบหน้ายับย่นทอดมองหญิงคราวหลานแน่นิ่ง แววตาที่แสดงถึงความตกใจกลัวของเขาทำให้หญิงสาวต้องย่นคิ้ว

อรอนงค์แตะแขนฟ้าฉายเบาๆ เพื่อแนะนำญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ให้รู้จักกับเธอ นางไพรินทร์ หญิงวัยห้าสิบรูปร่างท้วมนั่งข้างวสันต์ผู้เป็นลูกชาย ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปี รูปร่างสมส่วนและใบหน้าคมคายหล่อเหลาเอาการ อีกฝั่งเป็นนางพิมพ์พาวัยสี่สิบและนายทรงพลผู้เป็นสามี พิมพ์พาเป็นคนรูปร่างอวบคล้ายกับพี่สาวแต่ผิวขาวกว่ามาก และหญิงสาวฝาแฝดสองคนที่นั่งข้างกันคือ แสงดาวและสกาวเดือน ใบหน้าที่ตบแต่งจนเกินพอดีของทั้งสองหันมาปรายตาให้กับฟ้าฉายแวบนึงก่อนหันไปคุยกันจ้อแจ้จนผู้เป็นแม่ต้องปรามเสียงค่อย

ความแปลกใจของฟ้าฉายเกิดขึ้นเมื่อได้สบตากับเหล่าผู้ใหญ่ของบ้านนี้ที่มองเธอราวกับว่ากำลังเห็นผี สีหน้าอันซีดเผือดและดวงตาที่เบิกกว้างทำเอาพวกลูกหลานต้องหันไปมองพ่อแม่ของตนด้วยความสงสัย มีเพียงภูมิพงษ์คนเดียวเท่านั้นที่ชวนหญิงสาวคุยอย่างอารมณ์ดี

อาหารที่ทานเป็นอาหารพื้นเมืองง่ายๆ ที่ฟ้าฉายคุ้นเคย แต่ก็มีแกงไทยๆ หลายอย่างที่นางผุสดี แม่บ้านวัยหกสิบเข้าครัวทำพร้อมกับบัวเรียว นอกจากเจ้านายในบ้านแล้วคนที่มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ก็ยังมีนางผุสดีอยู่อีกคน หญิงสูงวัยเอาแต่จ้องหน้าเธอนานจนฟ้าฉายอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็ต้องทำทีเป็นหันหน้าหนีไปคุยกับอรอนงค์และเศรษฐพงษ์แทน

เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงได้กลับมายังที่พักในเวลาเกือบสองทุ่ม วันนี้อากาศยังไม่หนาวมากนักแต่บัวเรียวก็ยกชามาให้จิบถึงในห้อง สองสาวจึงได้นั่งสนทนาพลางจิบน้ำชาอุ่นๆ และคุยกันเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั่งมาถึงเรื่องที่ฟ้าฉายยังคลางแคลงใจอยู่

“ตกลงว่า...ผู้หญิงที่ชื่อจันทร์หอมนี่ เธอหายตัวไปงั้นเหรออร” คำถามของเพื่อนสนิททำให้อรอนงค์เลิกคิ้วสูง เธอมองฟ้าฉายด้วยความแปลกใจก่อนยกน้ำชาขึ้นจิบ

“ฉันเองก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ตอนเกิดเรื่องฉันยังเด็กมาก สิ่งที่ฉันเล่าให้เธอฟังก็มาจากการที่คุณยายผุสดีเล่าให้ฉันฟังอีกทีนึง...”
“คุณยายผุสดี...” ฟ้าฉายลากเสียง นึกถึงหญิงแก่ร่างท้วมที่ยืนมองเธออย่างไม่กระพริบตาเมื่อตอนทานมื้อเย็น

“คุณยายผุสดีเธอเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เธอเอ็นดูฉันกับพี่พงษ์มาก ตั้งแต่ที่คุณแม่หนีไปบวชคุณยายผุสดีก็คอยเลี้ยงดูพวกเรามาโดยตลอด เพราะคุณพ่อท่านเองก็วุ่นอยู่แต่กับงานในโรงไม้ทั้งวัน...” คนเล่าคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้จะขาดแม่ให้ความอบอุ่นแต่เธอก็ยังมีคนที่หวังดีและคอยดูแลไม่ห่างกาย “ว่าแต่...ทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?”

ดวงหน้านวลเนียนของฟ้าฉายนิ่งค้างไปแวบหนึ่งก่อนรีบตอบอ้อมแอ้ม “ก็...ฉันก็สงสัยน่ะ อยากรู้ที่มาที่ไปว่าเป็นยังไง พอฉันเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟังนะ ก็ทำเป็นตกใจยกใหญ่เลย...”

“จริงเหรอฟ้า... ไม่ต้องกลัวไปหรอก บ้านนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด” อรอนงค์ผายยิ้มกว้าง แต่ทว่าฟ้าฉายก็ไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไหร่แล้วว่าบ้านคานพิภพจะไม่มีอะไรน่ากลัวเลย  

อรอนงค์ยอมเปิดปากเล่าเรื่องจันทร์หอมอีกครั้งก่อนที่จะทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เธอเล่าว่า... จันทร์หอมเป็นหลานสาวของคุณยายผุสดี เดินทางมาจากขอนแก่นเพื่อมาทำงานบ้านช่วยผู้เป็นป้า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากและยังมีจิตใจโอบอ้อมอารีอีกต่างหาก ผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้มเหมือนเธอยังไงล่ะ...ฟ้าฉาย

ลมหนาวเย็นๆ พัดลอดเข้ามาทางช่องไม้สู่ห้องนอนทำให้สองสาวต้องเอาผ้าห่มมาคลุมร่างกายถึงสองชั้น กลิ่นหอมของดอกปีปและดอกไม้หอมนานาชนิดตลบอบอวลกันอยู่ภายในสวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่ ขณะที่ทุกร่างกำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ นั้นเสียงร้องโหยหวนของใครบางคนก็ดังขึ้น

ฟ้าฉายสะดุ้งโหยงก่อนดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เสียงร้องราวกับกำลังเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสดังแว่วมาตามสายลมยามดึกฉุดให้ขนในกายของผู้ที่ได้ยินต้องลุกซู่ อรอนงค์เองก็ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงที่ยังคงดังอยู่นี้ เจ้าของห้องค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งเคียงข้างฟ้าฉายขณะสายตาเพ่งมองไปยังหน้าต่างที่ยังปิดสนิท

“เสียงใครน่ะอร...” ฟ้าฉายเอ่ยถามกลางความมืดภายในห้อง อรอนงค์ตะลีตะลานลุกจากเตียงไปคว้าเอาตะเกียงไฟมาถือไว้ เมื่อเร่งแสงไฟในตะเกียงห้องนอนจึงสว่างโร่ขึ้นมา ร่างเพรียวบางเดินไปยังประตูห้องก่อนผลักมันออกเบาๆ ฟ้าฉายรีบลุกจากเตียงและก้าวขามาหาผู้เป็นเพื่อนอย่างใจเต้น เสียงครวญครางโหยหวนอันนั้นเงียบลงแล้ว

เมื่อผลักประตูออกมาอรอนงค์ก็ได้พบกับร่างสูงโปร่งของเศรษฐพงษ์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องนอนของเขา ชายหนุ่มมองหน้าน้องสาวก่อนก้าวขาฉับๆ มายังกลางเรือน อรอนงค์รีบปรี่ออกมาจากห้องพร้อมกับฟังฉายที่เดินตามมาติดๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดก็ได้ยินฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา สามร่างหันไปมองผู้มาเยือนพร้อมกัน

“คุณพ่อ...” อรอนงค์ครางเสียงแผ่วขณะที่เศรษฐพงษ์รีบเดินดุ่มๆ ไปหาบิดาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“เสียงคุณอาพัฒน์เหรอครับ...แล้วตอนนี้เป็นยังไง” ภูมิพงษ์ยิ้มเรียบๆ ให้ลูกชายก่อนถอนหายใจด้วยอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าคล้ำแดดที่ยังแฝงเค้าโครงของความหล่อเหลาอยู่ค่อยๆ หันมาหาอรอนงค์

“ใช่...แต่ตอนนี้สงบลงแล้ว ทีแรกนึกว่าหลุดออกมาจากกรงเสียอีก อย่าห่วงไปเลยนะ” ชายวัยสี่สิบห้าบอกเสียงพร่าก่อนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ดวงตาอันแสนเจ้าเล่ห์หันมาจ้องมองฟ้าฉายประหนึ่งพญาเหยี่ยวทอดมองหนูตัวน้อยๆ  ริมฝีปากแดงคล้ำจุดยิ้มเยือกเย็น

“ไม่ต้องกลัวนะหนูฟ้า...ก็แค่คนบ้าเท่านั้นเอง” เสียงหัวเราะเบาๆ ของนายภูมิพงษ์ทำเอาแขกสาวอย่างเธอใจเสียขึ้นมา หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ ก่อนเอี้ยวมองชายสูงวัยกว่าเดินหายลับเข้าห้องพักไป เศรษฐพงษ์บอกลาก่อนกลับเข้าไปนอนเช่นกัน เหลือเพียงเธอและอรอนงค์ที่ยืนเคว้งอยู่กลางเรือน

“ไปนอนกันเถอะฟ้า...ไม่มีอะไรแล้วนะ” ผู้เป็นเพื่อนปลอบฟ้าฉายเบาๆ หญิงสาวทอดมองไปยังทิวไม้หลังเรือนที่เอนไหวเพราะแรงลม คนบ้าอย่างนั้นเหรอ?... บ้านนี้มีคนบ้า... ใช่สิ ในสำนวนคดีจันทร์หอมที่พ่อเธอให้อ่าน นายพัฒน์ ลูกชายคนสุดท้องของเหมราชเป็นบ้าหลังจากที่จันทร์หอมหายตัวไป...

แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 54 09:25:42

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 54 09:07:23




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com