Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กลร้ายในเงารัก - บทที่ 11 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11317764/W11317764.html

บทที่ 11

สี่ทุ่มไม่ใช่เวลาเข้านอน แต่เพราะของร้อนอยู่กับตัวทั้งวัน อคินจึงทำทีเอ่ยปลีกตัว แสร้งหาวดังๆ ให้พ่อหม้ายตาบอดได้ยิน เขาเห็นฝ่ายโน้นเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ จึงกระแอมนำร่องแล้วกล่าวว่า

"ขอโทษนะ เมื่อคืนนี้ผมดื่มหนักไปหน่อย แล้วตลอดวันนี้ก็มัวแต่ทะเลาะกับลูกค้าอาหรับคนหนึ่ง เขา.. "

"ไม่ต้องบ่นหรอก ยิ่งฟังคุณบ่นยาวเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น ผม.. "

"ถ้าคุณท่องให้ขึ้นใจว่าผมเป็นเพื่อนที่คุณไว้ใจมากที่สุด คุณก็จะละอายใจน้อยลง ผมก็จะสบายใจมากขึ้น"

สีหน้าของอคินดูจริงใจมาก ซึ่งมันก็เป็นจริงอย่างนั้น หากไม่นับเรื่องพุธชมพู เขาพร้อมจะทุ่มเทตัวเองเพื่อโอบอุ้มวิกฤติเลวร้ายของเพื่อนหนุ่มใหญ่คนนี้โดยไม่เกี่ยงงานหนักงานเบา

เรื่องนี้ล่ะ ที่เขาเจ็บแค้นสวรรค์ที่สุด ทำไมท่านจงใจให้เขากับดนัยดลต้องมาเป็นศัตรูเสน่หากันด้วย โลกทั้งใบมีผู้หญิงเป็นล้านๆ คน แต่ท่านกลับส่งพุธชมพูลงมาให้เขารัก ให้ดนัยดลรัก และสุดท้ายก็เลือกให้ดนัยดลสมหวังกับเธอ ทิ้งให้เขาอกหักยับเยิน

"ขึ้นนอนเลยไหม ผมจะพาไปส่งเอง" เขากุมมือหนุ่มใหญ่หน้าหมอง ใจหายแกมเวทนาเมื่อพบว่ามันเย็นเฉียบมาก

"ผมนอนที่ไหนก็ได้อคิน เพราะที่ไหนๆ ก็มืดมิดเท่ากันนั่นแหละ"

"พูดบ้าๆ น่า คนมองโลกในแง่ดีอย่างคุณ ท้อแท้เป็นด้วยหรือ มรสุมมาก็ผ่านไป เรื่องร้ายมาก็ผ่านไป มันไม่เคยมีอะไรหยุดอย่างถาวรตรงหน้าเราหรอกคุณดนัย"

ดนัยดลก้มหน้า เม้มปากกลั้นสะอื้นได้ แต่เบ้าตาเหมือนจะตื้นขึ้นทุกวัน นับแต่วันที่ยาหยีที่รักจากไป น้ำตารื้นได้ไม่นานก็ล้นแล้วไหลเงียบๆ

อคินกลืนน้ำลายสะทกสะท้อน การสูญเสียพุธชมพูไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้เขาลืมความชิงชังที่มีต่อหนุ่มใหญ่ใจดีเป็นบางขณะ เชื่อว่ามันจะค่อยๆ จางหายไปจนหมดในไม่ช้า

"ไปนอนเลยก็ได้ แต่ว่าคุณยังเล่าไม่จบ"

อคินลุกไปประคองร่างสูงให้ลุกจากเก้าอี้ เขาหัวเราะเบาๆ ระอาใจว่า เลือดบ้างานของดนัยดลค่อนข้างเข้มข้น มันหยุดไหลเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ขณะที่เจ้าของประจันหน้ากับเรื่องร้ายกะทันหันแล้วตั้งรับไม่ได้เท่านั้นเอง

แต่เมื่อนาทีอันพรั่นพรึงนั้นจากไป ดนัยดลก็ค่อยกลับคืนสู่ภาวะขยันดังเดิม แม้ว่ามันจะเคียงขนานไปกับความเศร้าโศกเสียใจก็ตาม




วิมานรักที่เหลือเพียงสามีเดียวดาย สิ้นไร้ความอ่อนหวานให้ชวนประทับใจอีกต่อไป ดนัยดลสะอื้นเบาๆ ขณะหย่อนสะโพกลงทับฟูกอุ่น ผ้าห่มที่คลุมเหนืออกไม่ได้ก่อความอบอุ่น นอกจากแผ่ไอหนาวเหน็บซ้ำเติมความว้าเหว่ อคินลูบไหล่เบาๆ กุมมือหลวมๆ แล้วปลอบโยนว่า

"เข้มแข็งไว้นะคุณดนัย มีแต่วิธีนี้ ที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามความทุกข์ไปได้โดยเร็ว"

"ไม่หรอกอคิน ผมก้าวข้ามทะเลระทมผืนนี้ไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะลอยคอไปตามลำพังตลอดทั้งชีวิต"

"พูดอะไรอย่างนั้น โลกนี้ไม่ได้มีพุธคนเดียวเสียเมื่อไหร่ คุณเองก็ยังหนุ่มยังแน่นนะ จะแต่งงานใหม่อีกสักกี่ครั้งก็ได้"

"ไม่มีใครมาแทนที่พุธของผมได้หรอกครับ แล้วผมก็หวงแหนที่ของเธอมาก จะไม่ยอมให้ใครมา.. "

"เอาล่ะ พักผ่อนเถอะ"

น้ำเสียงตัดบทกระด้างหูไปสักนิด ทำให้ดนัยดลเอียงหน้าเงี่ยหูอย่างไม่แน่ใจ อคินบดกรามระงับความชังที่พลุ่งขึ้นวูบหนึ่ง เขาเกลียดคำว่า 'พุธของผม' เพราะมันไม่ใช่ พุธชมพูเป็นของเขาต่างหาก ดนัยดลมาทีหลัง แล้วแย่งชิงไปอย่างหน้าด้าน

สวาทรอยแรกบนเรือนร่างผุดผ่อง มันควรจะเกิดจากสัมผัสของเขา แต่ดนัยดลก็ยังคงเป็นเจ้าของมันอย่างหน้าด้านเช่นเคย ถ้าหนุ่มใหญ่ตาบอดยังไม่หยุดรำพันห่วยแตกให้ได้ยินอยู่อีก เห็นทีว่าความชังจะไม่จางหายไปง่ายๆ เสียแล้วล่ะ

"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า" ดนัยดลถามให้แน่ใจ

"ผมง่วงเฉยๆ คุณพักผ่อนเถอะนะ"

"คุณยังไม่เล่าเลยว่า การค้าของเรากับลูกค้าอาหรับมีบทสรุปยังไง"

"ผมนัดเจอเขาพรุ่งนี้ คุณอย่าห่วงเลย ผมมีวิธีรับมือ และสัญญาว่า เราจะไม่สูญเสียลูกค้ารายนี้ไป"

"น้ำเสียงเหมือนเจอเสี้ยน" ดนัยดลหัวเราะในลำคอ เขาเจอบ่อยจนเบื่อ

"ทนายรัศมีเล่าเหมือนกันว่าคุณดนัยเก่งนักกับการปราบเสี้ยน คุณมีวิธีของคุณ ผมก็มีวิธีของผม"

"อคิน" หนุ่มใหญ่ถอนหายใจพลางดึงมือที่เกือบจะหลุดจากไออุ่น "ขอบคุณนะ แล้วก็ขอโทษที่.. "

"เงียบ แล้วพักผ่อน ราตรีสวัสดิ์คุณดนัย"

โดนตัดบทเฉียบเข้า ดนัยดลก็ได้แต่พยักหน้า หุ้นส่วนหนุ่มช่วยถอดแว่นดำวางบนโต๊ะเล็ก ขยับหมอนให้เข้าที่ ดึงผ้าห่มคลุมถึงคอ จากนั้น ก็ขยับถอยห่างจากหน้าเตียงสองก้าว แล้วทอดความเงียบให้ทำงาน




เวลาผ่านไปยี่สิบนาที โลกมืดของดนัยดลก็เงียบกริบ แต่โลกสลัวของอคินเริ่มตื่นตัว หนุ่มมุทะลุเร่งหาที่เก็บของร้อนเป็นการใหญ่ แต่ก็เป็นไปอย่างเงียบเชียบแกมระมัดระวัง

เขาเห็นตู้เซฟ แต่ก็มองข้ามมันไป เพราะวิเคราะห์ได้ว่า พุธชมพูสวมสร้อยเส้นนี้ถี่เกินไป จนไม่น่าจะเสียเวลารื้อเก็บรื้อฉวยจากในนั้น

ดวงตาเรียวหวานเปล่งแสงเจิดจ้ากลางความสลัว ร่างสูงเคลื่อนย้ายปราดเปรียวจากมุมหนึ่งสู่อีกแห่ง ตู้ไม้ทรงเตี้ย มีลิ้นชักสามชั้น ถูกดึงแล้วรื้อค้นลวกๆ เขาคิดว่าน่าจะมีกล่องเฉพาะสำหรับเก็บเครื่องประดับ แต่มันก็ไม่มี

ในตู้เสื้อผ้าก็มีช่องลิ้นชัก ดึงออกดูก็แน่นไปด้วยผ้าผ่อนจุกจิก จำพวกผ้าเช็ดหน้า เนกไท ผ้าพันคอ ชั้นอื่นก็เป็นจำพวกชุดชั้นใน ถุงเท้า

"เราจะบ้าแล้วนะพุธ เธอเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้ที่ไหน"

เขาพึมพำร้อนรน เหงื่อเริ่มชื้นแผ่นหลัง ตาก็กวาดไปจับร่างใต้ผ้าห่มเป็นระยะ และทุกครั้งที่ดนัยดลขยับไหว ใจเขาก็เต้นระทึก เกรงว่าเจ้าตัวจะตื่นมาได้ยินเสียงผิดปกติแล้วแหกปากร้อง

เขาไม่กลัวหรอกว่าใครจะพรวดเข้ามาเห็น แต่รำคาญที่จะต้องมานั่งตอบคำถามว่า 'เขามาทำอะไรอยู่ในนี้' แล้วถ้าเรื่องนี้ลอยไปเข้าหูผู้กองตั้น มันก็จะกลายเป็นประเด็นสงสัยเคลือบน้ำตาลที่อมแล้วอร่อยสุดแสนทีเดียว

"เอาวะ ไว้ในลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงนั่นแหละ"

เขาพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่ออับจนกับแหล่งเก็บของร้อน แล้วปรี่ไปทรุดยองๆ ชำเลืองมองคนนอนหลับแวบหนึ่ง ก่อนจะดึงลิ้นชักเล็กเบากริบ ค่อยๆ หย่อนเจ้าตัวดีลงไปซุกชิดมุม จากนั้น ก็ระบายลมหายใจโล่งอก

แต่ฉับพลันนั้น ดนัยดลก็ส่งเสียงไอรุนแรง แถมยังลุกพรวดขึ้นมาโก่งคอด้วยท่าทางทรมาน อคินสะดุ้งโหยง ดีดร่างถอยห่างเป้าหมายอย่างลุกลี้ลุกลน จนเสียหลักล้มหงายหลัง เขาบดกรามโมโห ถลึงตาวาวดุ เกือบจะหลุดเสียงสบถด่าออกไปแล้วเชียวว่า 'ไอ้เวรเอ๊ย'

"พุธ นั่นพุธหรือเปล่า พุธเป็นอะไร พูดกับพี่สิครับ ยาหยี อย่าร้องไห้ บอกพี่มา เกิดอะไรขึ้น แล้วที่รักไปอยู่ที่ไหนมา รู้ไหมว่าคนทางนี้เขาออกตามหากันจ้าละหวั่น ที่รักครับ ที่รัก พุธ อย่าเพิ่งไป พุธ.. พุธ"

อคินหรี่ตากัดปาก ออกจะหวาดเสียวที่หนุ่มตาบอดละเมอเป็นจริงเป็นจัง ร่างคลุกปนกับผ้าห่มเคลื่อนวนเป็นวง แขนก็เหยียดไปข้างหน้า ปากก็ร้องเรียกปนรำพัน เขาอยากจะเข้าไปช่วยประคองให้นอนลง อยากปลอบใจว่า พุธชมพูไม่ได้กลับมา

เธอไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกันกับสามี กับเขา และโลกของเธอมันก็อยู่ไกลมาก เธอคงไปๆ มาๆ ไม่สะดวกหรอก ทางที่ดี สามีควรจะหักอกหักใจ รีบกลับมาเข้มแข็งเร็วๆ เสียทีมากกว่า ฝันร้ายจะได้ไม่เข้ามารบกวนในยามหลับ

แต่คงไม่ต้อง เพราะร่างละเมอค่อยๆ เอนลงทอดนอนไปเอง ความเงียบที่ก่อเกิดหลังจากนั้น เหมือนกับจะบอกอคินว่า ดนัยดลหลับต่อแล้วล่ะ เขาจึงค่อยปล่อยลมหายใจที่กลั้นอยู่นานออกมาช้าๆ แล้วปลีกเร้นกลับเรือนพักไปเงียบๆ




ทนายรัศมีเดินสวนทางกับพนักงานหลายคนบนทางเดินแคบๆ ที่มุ่งตรงไปยังห้องประชุมใหญ่ วันนี้ อคินนัดลูกค้าอาหรับมาเจรจา รวมทั้งนายหน้าหัวหมอคนหนึ่ง กับทนายของฝ่ายคู่แข่งรายสำคัญ

เมื่อคืนวานตอนตีหนึ่งเศษ หล่อนกลับจากงานเลี้ยงสังสรรค์ เพิ่งจะวางกระเป๋าถือ และถอดเสื้อคลุมตัวนอกโยนลงตะกร้าผ้า อคินก็โทรศัพท์เข้ามารายงานความคืบหน้าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
 
"ผมนำสร้อยคอของพุธไปไว้ในลิ้นชักโต๊ะเล็กหัวเตียง คุณคิดว่ายังไง"

"คิดอะไรคะ"

"คุณทนาย อย่ามายียวนตอนดึกๆ ผมเครียดจะบ้าตายอยู่แล้ว"

"ก็ฉันไม่เข้าใจที่คุณถามนี่คะ" หล่อนหัวเราะขำๆ ไม่ถือสาเสียงตึงของหุ้นส่วนใหม่ของเจ้านายตาบอด "ของร้อนไม่อยู่กับตัวก็ดีแล้วนี่ ตอนนี้ก็เลิกกังวลกับเรื่องนี้ แล้วหันกลับมาเอาใจใส่กับคนปองร้ายในที่มืดดีกว่า"

"คืนนี้มันไม่มา"

"ถ้าเป็นฉันก็ไม่ไปให้โง่หรอกค่ะ เมื่อคืนนี้ คุณพลาดเองที่ไปเรียกมัน ทำให้มันตื่น เขาเรียกอะไร งูตื่นน่ะ"

"ถ้าไม่ซ้ำเติมนี่ จะไม่มีความสุขใช่ไหมครับ คุณนี่ร้ายจริงๆ แล้วนี่ยังไง กลับดึกนอนดึกขนาดนี้ พรุ่งนี้ประชุมเก้าโมงครึ่งนะ ลุกไหวหรือ"

"อย่าห่วงฉันเลยค่ะ ห่วงเรื่องพรุ่งนี้ดีกว่า คุณอคินแน่ใจนะคะว่าเอาอยู่"

"ทำไมครับ"

"ก็ลูกค้ารายนี้ไม่ค่อยหนักแน่นเลยน่ะสิคะ ตอนแรกฉันก็ทักท้วงแล้วนะคะ แต่คุณดนัยก็มองโลกในแง่ดีเกินไป อ้างว่าไม่หนักแน่นก็ดีแล้ว ตะล่อมง่าย แล้วดูซิ ง่ายเขาตอนนั้น แต่มายากเราตอนนี้"

อคินหัวเราะคล้ายดูแคลนฝ่ายตรงข้ามเสียจัง จนทำให้หล่อนอดระอาใจไม่ได้ ดูไปแล้ว นิสัยมั่นใจในตัวเองเกินไปของเขา ก็คลับคล้ายกับดนัยดลนั่นล่ะ เพียงแต่อคินออกจะดุดันเด็ดขาด ในขณะที่ดนัยดลนิยมออมชอมกับตะล่อมด้วยคำหวาน

"สวัสดีตอนเก้าโมงยี่สิบนาที"

เสียงทักทายปนทะเล้นของอคิน สะกดมือที่ทำท่าจะผลักประตูห้องประชุม ร่างโปร่งหมุนกลับกระฉับกระเฉง พลางพยักพเยิดเหมือนรับรู้ แล้วถามย้ำตามที่ใจกังวลว่า

"แน่ใจนะคะว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณอคินมั่นใจ ฉันสงสารคุณดนัยค่ะ ไม่อยากให้เขาต้องสูญเสียลูกค้าที่ตัวเองเดินทางไปตะล่อมอยู่ตั้งนานให้กับคู่แข่งง่ายๆ นี่ถ้าตาเขาไม่บอด.. "

"หยุด"

หนุ่มหล่อหรี่ตาหวานด้วยแววกรุ้มกริ่ม ดีดปากคุณทนายช่างรำพัน เขาเชื่อตั้งนานแล้วว่า หล่อนจงรักภักดีต่อดนัยดล

จะว่าไปแล้วหนุ่มใหญ่คนนี้ก็มีวาสนาน่าอิจฉาอยู่หรอก คนรอบข้าง คนใกล้ชิด และคนในปกครอง ก็ล้วนรักใคร่ ชื่นชม และยกย่อง มันไม่ใช่เหตุผลของความร่ำรวย แต่น่าจะเป็น 'อุปนิสัยใจคอ'

"เดี๋ยวคุณจะได้เห็นว่า ผมเก่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้านายของคุณแม้แต่น้อย ดื่มกาแฟสักถ้วยหรือยัง"

"ยังค่ะ ตรงดิ่งมาที่นี่ก่อน อยากจะเห็นข้อมูล อุ๊ย อะไรคะ คุณอคิน"

ทนายรัศมีร้องเสียงหลง เมื่อโดนตะครุบแขนปุบปับ มือใหญ่ข้างนั้นลากเบาๆ ตัวโปร่งในชุดสูทเคร่งขรึมสีฟ้าอมเทาก็พลิ้วตามว่าง่าย หล่อนได้ยินเขาหัวเราะซุกซน แถมยังเปล่งวาจาทะเล้นออกมาด้วยว่า

"ดื่มกาแฟสิครับคนสวย ในระหว่างที่คุณดนัยทำงานเองไม่ได้ ผมก็ต้องทำหน้าที่แทนไปก่อน ดูแลหมดทั้งงานทั้งคน โดยเฉพาะคุณทนายรัศมีคนสวย ที่ผมมองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่งว่าคุณกับคุณดนัย มีความผูกพันลึกซึ้งกันมากแค่ไหน"

"หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังมีอารมณ์ทะเล้นได้อีกหรือคะ"

"ไม่ใช่ทะเล้นหรอก ผมก็แค่อยากขอบคุณที่คุณแนะนำผมเรื่องของร้อนเท่านั้นเอง"

ทนายสาวร้อง 'อ้อ' แล้วหัวเราะแผ่วในลำคอ แต่ก็ไม่ลืมปลดนิ้วออกจากต้นแขน หล่อนเป็นสาวหวงตัวมาแต่ไหนแต่ไร ปีนี้ก็สามสิบเศษแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีชายหนุ่มแวะเวียนมาแจกขนมจีบ ส่วนหนึ่งก็มาจากมาดเคร่งขรึมกับความหวงตัวจัดนี่ล่ะ

ดังนั้น การตะครุบแขนอย่างวิสาสะของอคินเมื่อครู่ จึงก่อความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยิ่งถูกเขาลากย้อนกลับมาตามทางเดินแคบ และสวนทางกับสายตาหลายคู่ หล่อนก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกใหญ่เลย




ประตูห้องทำงานของอคินถูกผลักเข้ามาเองโดยไม่มีเสียงเคาะนำร่อง เขากำลังจะเซ็นชื่ออนุมัติการซื้อวัสดุสิ้นเปลือง แม้จะได้ยินเสียงที่ไม่พึงประสงค์แล้วตามด้วยเสียงฝีเท้า แต่ก็ยังไม่เงยหน้าจนกว่าจะอ่านเอกสารให้จบก่อน

"ผมหวังว่าคุณอคินจะไม่ผิดสัญญา งานนี้ผมเสี่ยงกับการถูกไล่ออกมาก ถ้าเจ้านายทราบว่าผมขายข้อมูลให้คุณละก็ ไม่ใช่แค่ถูกไล่ออก แต่อาจติดคุกได้ด้วย"

ทนายคู่แข่งรายสำคัญนั่นเอง เขาชื่อ 'อมฤต บันลือประถม' อคินทราบว่าเขาไม่ค่อยกินเส้นกับทนายรัศมี ตั้งแต่คราวที่เจ้าตัวว่าความแพ้ในคดีแบ่งสมบัติของมหาเศรษฐีรายหนึ่งเมื่อสามปีก่อน แรงแค้นที่โดนรุ่นน้องเฉือนลาย ทำให้อมฤตคิดกำจัดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

แต่ก็โชคดีที่เรื่องไม่ร้ายแรงลุกลามจนควบคุมไม่ได้ เพราะบังเอิญว่า ในคืนที่ทนายรัศมีถูกทำร้ายบริเวณหน้าบ้านตัวเอง ดนัยดลซึ่งแวะไปส่งลูกค้าแถวนั้นพอดี เห็นเหตุการณ์และช่วยเหลือไว้ได้ทันทวงที

แน่นอนว่า หนุ่มใหญ่ใจดีย่อมไม่เอาความ แต่ก็คาดโทษเฉียบขาด ทำนองว่า 'เกิดซ้ำเมื่อไหร่ แฉแหลก' คดีที่เกือบจะก่อความเสื่อมเสียถึงขั้นติดคุก จึงเงียบฉี่เข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่นั้นมา แต่ก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า มันถูกรื้อค้นกระโตกกระตากอีกครั้งด้วยฝีมือเฉียบคมของ 'อคิน'

"คุณยังใจร้อนเหมือนเดิม" อคินเงยหน้าเมื่อเซ็นชื่อลงในเอกสารเรียบร้อย แล้วผายมือเยือกเย็นให้แขกหน้าหงิกนั่ง

"หุบปากไปเลยคุณอคิน" ทนายอมฤตเกือบตะคอกล่ะ "ผมไม่มีเวลามาเล่นลิ้น ว่าเรื่องของเราให้จบ ผมทำงานให้คุณเรียบร้อยดีไม่ใช่หรือ ลูกค้าอาหรับคุณก็ได้ไปแล้ว ลูกค้าญี่ปุ่นอีกสองรายคุณก็ได้ไป แล้วไหนยังจะลูกค้าที่มาเลเซียอีกสองคน ก็เลิกล้มการถอนโครงการแล้วไม่ใช่หรือ"

"ครับ ทั้งหมดเป็นความช่วยเหลือของคุณ ซึ้งใจจัง"

"คุณอคิน"

ทนายหนุ่มหน้าหงิกกระชากเสียงไม่พอใจ ฝ่ายตรงข้ามชั่วร้ายจะตาย ดึงความลับที่แม้แต่ตัวเองก็เกือบลืมไปแล้วมาข่มขู่ บีบคั้นให้ต้องทรยศต่อเจ้านาย แอบขโมยข้อมูลสำคัญในบริษัทมาขายในราคาถูก

ที่มันน่าแค้นใจยิ่งกว่านั้น ก็ตรงที่เขาต้องมาร่วมประชุม ยืนยันความลับของนายหน้าเจ้าเล่ห์ที่เขาบังเอิญไปทราบมาว่า เจ้าตัวแอบมีสัมพันธ์สวาทลับๆ กับภรรยาน้อยของเจ้านาย ทำให้ฝ่ายโน้นตกที่นั่งอึ้งรับประทาน ไม่กล้าหือกับหนุ่มหล่อที่เจ้าเล่ห์กว่าสักคำ

"อย่าดุเดือด" อคินหรี่ตา "การทำงานมันก็ต้องมีชั้นเชิงจริงไหม ผมไม่เคยเป็นเจ้าของบริษัทก็จริง แต่ก็เดินตามก้นเจ้านายฝรั่งสุดโหดและจอมเขี้ยวมานานหลายปี เรื่องเหลี่ยมคูสารพัดนี่ ผมเรียนรู้มาจากเขา"

"หัวไวนะครับ"

"ครับ ถ้าหัวไม่ไว บริษัทของคุณดนัยก็คงสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่งใจไม่ถึง ใช้วิธีฉวยโอกาสซ้ำเติมคนล้ม"

"ก็มันเป็นชั้นเชิงทางธุรกิจนี่ คุณพูดเองไม่ใช่หรือ"

"ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะไม่พูดว่า คุณดนัยโชคดีที่มีผมเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญชวนผมมาเป็นหุ้นส่วนอย่างได้จังหวะละนะ  แต่จะพูดว่า พวกคุณเองต่างหากที่เคราะห์ร้าย มาจ๊ะเอ๋กับผมเข้า เอ้า เอาไป"

เช็คที่กรอกจำนวนเงินตามที่ตกลงกันถูกยื่นไปข้างหน้า ทนายอมฤตหยิบขึ้นมาสำรวจความถูกต้องแวบหนึ่ง หน้าหงิกเริ่มจะมีสีสันของรอยยิ้มละโมบ อคินเบะปากคลื่นไส้ เสียดสีในใจว่า 'ทำเป็นพูดโน่นอ้างนี่ ที่แท้ก็ใจคอไม่ดี กลัวไม่ได้เงินนั่นล่ะ'

"สบายใจได้นะครับ ทั้งหมดนี้ มันเป็นแค่การทำงานร่วมกัน จบแล้วจบเลย แต่ถ้าคุณนึกสนุกอยากเป็นศัตรูกับผม วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาขุดคุ้ยหวังคุกคาม ก็ลองดูได้"

'ไม่หรอก ใครจะโง่หาเรื่องใส่ตัว' ทนายอมฤตหัวเราะในลำคอ ขณะผุดความคิดดูแคลนวาจาทิ้งท้ายของหนุ่มหัวหมอ

จะว่าไปแล้ว ดนัยดลก็โชคดีจริงๆ นั่นล่ะ เพราะหากพิจารณาตามเหตุตามผล หนุ่มตาบอดคนนั้นทำอะไรไม่ได้แล้ว ไหนจะมาเจอมรสุมซ้ำซ้อน ภรรยาตายอย่างคลุมเครือ แถมศพก็มาถูกขโมยอย่างลึกลับอีก ถ้าไม่ได้อคินยื่นมือโอบอุ้มไว้ละก็ บริษัทคงปิดตัวเองไปนานแล้ว




ระหว่างขับรถกลับบ้านพิณพิไล ทนายรัศมีอดไม่ได้ที่จะกล่าวขอบคุณอคินซ้ำๆ ซากๆ จนเขารำคาญ แล้วพานเลี้ยวรถไปจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หล่อนตาโตแล้วถามอย่างแปลกใจว่า

"จอดที่นี่ทำไมคะ"

"กินข้าวที่นี่"

"แต่เรานัดคุณดนัยไว้แล้ว ป่านนี้เขาคงรอเราอยู่"

อคินโทรศัพท์ไปรายงานข่าวดีให้พ่อหม้ายตาบอดทราบประมาณสิบนาที ทนายรัศมีรู้สึกทึ่งแกมหวั่นใจลึกไปด้วย

หากเจ้านายหนุ่มมองไม่เห็นอีกเลยตลอดชีวิต บริษัทที่เขาบุกเบิกมาอย่างตรากตรำ คงไม่แคล้วต้องยกให้เป็นสมบัติอย่างสมบูรณ์ของอคินแน่ๆ เพราะชายคนนี้เก่งเหลือเกิน พนักงานทั้งบริษัท ก็ดูว่าจะมีความยำเกรงไม่น้อย

"เรียบร้อยครับ คุณดนัยอนุญาตให้เรากินข้าวที่นี่ได้ พอใจไหม ลงจากรถได้แล้ว"

ทนายสาวหัวเราะเหลือเชื่อ แต่ก็ยอมลงมายืนอวดมาดเคร่งขรึมกลางเปลวแดดยามบ่ายจัด คิ้วเรียกเลิกขึ้นอย่างตื่นเต้น ทันทีที่สายตาปะทะกับหุ่นบึกบึนของผู้กองตั้น

ซึ่งตรงกันข้ามกับอคิน ที่ลอบสบถ 'ไอ้เฮงซวยเอ๊ย' ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องมาเจอ เขาคงไม่เลี้ยวเข้ามา กลับลำตอนนี้ก็ไม่ทัน เพราะฝ่ายโน้นเหลียวมาเห็นเข้าแล้ว แถมยังหันฝีเท้ามาสมทบเสียอีก

"มากินข้าวกันหรือครับ"

เสียงสุขุมมันฟังปลอดโปร่งหู แต่อคินไม่โปรดปราน เพราะไม่ถูกชะตาที่เจ้าของเสียงอคติใส่ก่อน ดังนั้น แทนที่จะตอบคำถาม เขาจึงเลือกที่จะตอกหน้าด้วยคำถามไม่เกรงใจกลับไป

"มาฉลองที่เจอศพของพุธแล้วหรือครับ ทำไมไม่แจ้งให้เราทราบ"

"เราหรือ หมายถึงใครกับใครครับ"

แทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะสะอึก กลับกลายเป็นตัวเองที่หน้าร้อนผ่าวเหมือนถูกตบ อคินบดกรามโกรธๆ เกือบสะบัดหน้าใส่รอยยิ้มยียวนอยู่แล้วเชียว ผู้กองปากเสียก็หลุดประโยคชั่วออกมาฉีกใจอีกว่า

"แหม จริงสิ ผมไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณอคินเป็นเพื่อนสนิทของคุณดนัยดล ภรรยาของเพื่อนสนิท ก็เหมือนกับภรรยาของตัวเองนั่นแหละ ใช้คำว่าเราก็ดีครับ กลมกลืนดี"

"ผมไม่ขำด้วยเลย" อคินเสียงเข้ม หน้าตึง "ผู้กองตั้นพูดแบบนี้ ใครผ่านมาได้ยิน จะเข้าใจว่ายังไง"

"เข้าใจยังไงก็ช่างเขาเถอะครับ เราจะไปเดือดร้อนกับความจริงที่เรารู้ดีแก่ใจไปทำไม"

"ผู้กองตั้น"

"เอ้า เชิญครับ ไหนๆ เราก็มาเจอกันแล้ว มื้อนี้อนุญาตให้ผมฉีกกระเป๋าเอง เชิญๆ ทนายรัศมีคนสวย ไม่ได้เจอกันนาน ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ มีคนมาจีบหรือยัง แล้วใบสมัครของผมจะว่ายังไง กรอกไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วนะ"

หนุ่มหล่อหรี่ตาหงุดหงิด อารมณ์อยากกินอยากกลืนถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อยากกลับ เขาปรายตาไปจับลูกน้องสองสามคนของผู้กองปากเสีย ฝ่ายโน้นส่งยิ้มไมตรีมาให้ เขาก็เลยเดินไปใกล้ แล้วถามความคืบหน้าไปลอยๆ

"ผู้กองตั้นระดมกำลังเต็มที่อยู่แล้วครับ นี่ก็ไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนเต็มๆ แล้ว มีแต่คนโทรศัพท์มาบอกว่าเจอเบาะแสเยอะแยะไปหมด แต่พอเราไปถึง มันก็ไม่ใช่"

"เราต้องรอต่อไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหน ป่านนี้ศพไม่เน่าหมดแล้วหรือ"

"ครั้งสุดท้าย ก็มีผู้หญิงโทรเข้ามา บอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณพุธชมพูครับ เธอแจ้งว่าเห็นคนน่าสงสัยแบกกระสอบพาดบ่าหายเข้าไปในป่าละเมาะข้างคลอง ไม่แน่ใจว่าจะใช่ศพหรือเปล่า เราก็ตามไปดู เอ้อ แต่ปรากฏว่า.. "

"มันไม่ใช่"

อคินช่วยต่อให้อย่างหมั่นไส้ เขาตวัดตาร้อนเข้าไปในร้าน เห็นผู้กองคู่อริจองโต๊ะชิดมุม เลื่อนเก้าอี้ให้คุณทนายสาว ตัวเองก็กวักเรียกบริกรมาสั่งอาหาร ทำท่าเหมือนลืมไปว่า ลูกน้องตัวเองกับเขายังยืนอยู่นอกร้าน

"เชิญในร้านดีกว่าครับ" ลูกน้องตัวใหญ่ยศจ่าของผู้กองผายมือ เหมือนช่วยตัดบทสนทนา

"เดี๋ยว ผมขอทราบชื่อเพื่อนของพุธได้ไหมครับ เธอแจ้งไว้หรือเปล่า ถ้าได้ที่อยู่ด้วยก็ดี"

"คุณอคินจะทราบไปทำไมครับ"

"ผมจำเป็นต้องตอบหรือเปล่า ถ้าจำเป็นก็ตอบได้ แต่ถ้าไม่จำเป็น ผมขอสงวน"

โดนตอกกลับด้วยเสียงกระด้างปนหน้าตึงเข้า ลูกน้องตัวใหญ่ยศจ่าก็ทำหน้าอึดอัด หันไปหารือกับเพื่อนยศเดียวกัน ด้วยกิริยาพยักพเยิด สุดท้ายอีกคนก็ตอบเลี่ยงๆ ไปว่า

"เราต้องขอรายงานผู้กองก่อนนะครับ"

"ไม่ต้อง ผมรายงานเอง"

อคินประชดแล้วสะบัดหน้าเข้าข้างใน เขาเป็นเพื่อนเก่าของพุธชมพู เพื่อนของเธอทุกคน เขาก็รู้จัก แล้วถ้ามีใครสักคน เผลอปากเปราะ เอ่ยพาดพิงถึงเขาในฐานะผู้ต้องสงสัยขึ้นมา รับรองว่าพอเข้าหูผู้กองตั้น เขาจะยิ่งโดนเพ่งเล็งหนักกว่าที่เป็นอยู่

ดังนั้น ถ้าทราบว่าใครโทรแจ้งเข้ามา เขาจะรีบไปเจอและดักทางไว้ก่อน ไม่รู้ล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฆาตกร แต่ในเมื่อโดนผู้กองเฮงซวยสงสัยชั่วๆ เข้าแล้ว จะให้อยู่เฉยรอให้ข้อกล่าวหากลายเป็นจริงมันก็กระไรอยู่




ผู้กองตั้นขวัญใจประชาชน กลายเป็นผู้กองปีศาจที่จิกกัดเงากระชั้นชิดในสายตาของอคินไปแล้ว เขาเกลียดผู้กองคนนี้จับใจแล้วล่ะ

กินข้าวเสร็จแล้ว แทนที่จะแยกย้ายกันกลับ หรือไม่ก็ไปเร่งลูกน้อง ระดมกำลังสืบเสาะหาแหล่งที่ซ่อนศพ แต่เจ้าตัวกลับดื้อด้านขอตามกลับมาบ้านพิณพิไล อ้างว่ามีบางเรื่องอยากคุยกับดนัยดล

"ผมไม่อยากให้คุณรบกวนเขา ถ้าไม่ใช่ข้อมูลที่ส่วนตัวมาก ผู้กองตั้นคุยกับผมก็ได้ครับ" เขาแย้งอย่างนั้น ตอนไปหยุดที่ลานจอดรถหน้าร้านอาหาร

"แหม บังเอิญส่วนตัวมากเสียอีก คุณอคินคงตอบได้ไม่ละเอียดเท่าเจ้าของข้อมูลหรอกครับ"

แล้วเสียงยียวนก็ยอกย้อนกลั้วหัวเราะกลับมาให้สะอึก ร่างสูงใหญ่แยกไปขึ้นรถตัวเอง ในขณะที่เขายังยืนใจสั่นมือสั่นด้วยแรงชิงชัง จนทนายรัศมีสะกิดเร่งนั่นแหละ ถึงได้เผลอสะบัดหน้าใส่ แล้วตะบึงรถกลับมาด้วยลีลากระชากกระชั้น

"ผู้กองตั้นอยากทราบเรื่องอะไรหรือครับ"

คำถามผ่านสุ้มเสียงเนือยของดนัยดล ดึงตัวเขากลับออกมาจากภวังค์ชิงชัง ครั้นเห็นหนุ่มใหญ่ยื่นมือคล้ายคลำหาถ้วยกาแฟ เขาก็รีบยกส่งให้ถึงมือ

"ขอบคุณนะอคิน"

"เออ"

"เสียงแบบนี้ คงมีใครทำให้หงุดหงิดอีกละสิ"

แทนที่พ่อหม้ายหนุ่มใหญ่จะขุ่นเคืองว่าเพื่อนรุ่นน้องกระแทกเสียงไร้มารยาท กลับหัวเราะในลำคออย่างเข้าใจ เสียงที่ย้อนสัพยอกก็แลว่าใจดีและไม่ถือสา

เขาเอียงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามซ้ำกับคุณผู้กองด้วยคำถามเดิม ฝ่ายโน้นก็รอจังหวะตอบอยู่แล้ว แต่พอถึงคิวตอบ กลับแสร้งยียวนยั่วโทสะหนุ่มเดือดง่ายเสียได้ว่า

"อยากทราบเรื่องส่วนตัวมากของคุณดนัยดลไงครับ"

หนุ่มเดือดง่ายก็เลยออกอาการเดือดจริงๆ ทั้งหน้าทั้งแก้มร้อนฉ่าเหมือนโดนจ่อด้วยไฟนรก

อคินรู้สึกไปเองว่า ผู้กองชั่วปรายตาไล่เงียบๆ ผ่านรอยยิ้มอารมณ์ดี ทนายรัศมีก็รู้สึกเช่นกัน จึงสะกิดแขน พยักหน้าเป็นเชิงเตือนให้เขาปลีกตัวไปก่อน หล่อนทำทีออกตัวว่า

"ถ้าอย่างนั้น เชิญผู้กองตั้นคุยกับคุณดนัยไปก่อน ฉันกับคุณอคินขอตัวออกไปหารือเรื่องร่างสัญญาใหม่ข้างนอกนะคะ อ้อ คุณดนัยคะ ยินดีด้วยอีกครั้งกับข่าวดีค่ะ ลูกค้าใหม่ไม่เสียไป ลูกค้าเก่าก็ย้อนกลับมา"

"ครับ ยกความดีทั้งหมดให้คุณอคินไปเลย ผมเป็นหนี้บุญคุณเขา ถ้าไม่ได้เขา ผมคง.. "

"ทิ้งหนี้บุญคุณของคุณลงถังขยะไปเถอะ ผมเบื่อจะฟัง มันเลี่ยน เข้าใจไหมคุณดนัย"

คนอื่นอาจไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นสาเหตุให้หนุ่มหล่อตาหวานเผยความหงุดหงิดผ่านวาจาแดกดัน ร่างสูงลุกผลุงขึ้นด้วยกิริยาฉุนเฉียว แล้วก้าวฉับๆ ออกจากห้องโถง โดยมีคุณทนายคนสวยตามออกไปอย่างงงๆ

แต่ในรอยยิ้มเยือกเย็นของคุณผู้กอง กลับตรงกันข้าม เขาเห็นความหวาดกลัวบางอย่าง ส่ายไหวอยู่ในดวงตาคู่หวาน อันที่จริง อคินไม่จำเป็นต้องเกิดความรู้สึกแบบนั้นเลย ถ้าเพียงแต่เจ้าตัวจะตระหนักในความจริงให้มั่นคงและให้ตลอดไปว่า 'ตนไม่ใช่ฆาตกร'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 54 17:15:15




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com