ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 5.
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11313082/W11313082.html
ทักทาย
ขอบคุณ คุณ Mnemosyne, manimontra ที่ให้ Give ครับ
ปลา (love_plaka) : ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันครับ ^____^
manimontra : 
scottie : 5555 ไม่เป็นไรครับ ^^''
******************************************************************************
เมื่อเข้าสู่โค้งซึ่งเชื่อมทะเลสาบกับลำน้ำแยกอีกสองสาย กระแสน้ำกลับไหลแรงกว่าที่คาดไว้
นางต้องออกแรงพายบังคับเรือจนเหนื่อยหอบ ที่สุดสามารถผ่านช่วงกระแสน้ำเชี่ยวมาได้ แม้เหนื่อยแทบหมดแรง แต่เมื่อเข้าสู่อีกช่วงของทะเลสาบมังกรสวรรค์อันวิจิตรตระการตา ดอกบัวมากมายหลากสีสัน ไหลลอยเรื่อยตามลำน้ำไม่ขาดสาย ไม้น้ำริมฝั่งเขียวชอุ่มแผ่กิ่งก้านใบละลานตา ปกคลุมครึ้มร่มรื่นเป็นแนวยาวตลอดฟากฝั่ง กระแสน้ำบางช่วงตอนยังส่องประกายระยิบระยับงดงามงามจับตา
ราตรีอันดึกสงัดช่างสงบเงียบปราศจากสุ้มเสียงใด บรรยากาศรอบด้านดุจดั่งสวรรค์บนแดนดิน จิตใจแสนเหนื่อยล้าพลันชุ่มชื่นฟื้นคืนเรี่ยวแรงในบัดดล
นางเคยล่องในทะเลสาบแห่งนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยล่องในคืนไร้แสงเดือนดาวมาก่อน แน่นอนเหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นเนื่องเพราะเหตุผลเรื่องความปลอดภัย แสงราตรีอันวิจิตรในคืนอันเต็มไปด้วยหมู่เดือนดาวอาจทำให้ตื่นตาก็จริง ทว่าความสงบเยี่ยงนี้กลับทำให้จิตใจปลอดโปร่งกว่า ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบ อันหาได้น้อยนิดยิ่งในชีวิตของนาง...
ท่ามกลางความสงัดงัน หานอี้ซินพลันโพล่งขึ้น เป็นไร ไม่เคยล่องทะเลสาบยามนี้หรือ
นางหันขวับ คนผู้นี้ช่างทำเสียบรรยากาศจริงๆ
บุรุษหนุ่มจุ่มมือลงในกระแสน้ำ พยักหน้าดั่งพึงพอใจ บอกกับนางว่า ท่านบังคับเรือให้ไปตามกระแสน้ำ ช่วงเวลานี้กระแสน้ำจะไหลไปทางเหนือสู่ลำน้ำจินหลง พายตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ เบาแรงกว่า อีกไม่นานจะเข้าสู่ลำน้ำสายตะวันออก จากที่นั่นควรเดินทางไปยั้งทัพทัน
นางพยักหน้ารับทราบ อดเอ่ยถามมิได้ ดูท่านชำนาญพื้นที่แถบนี้มาก
ข้าพเจ้าเคยเข้ามาทั้งหาข่าว ทั้งดูทำเลลู่ทางหลายครั้ง เถียนฟู่โหย่วเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ภารกิจสำคัญเช่นนี้ไหนเลยผิดพลาดได้ ย่อมต้องเตรียมการเป็นอย่างดี
ถึงยามนี้ท่านจะบอกได้หรือยังว่า มีตำแหน่งใดในหน่วยพยัคฆ์คำรณ
หานอี้ซินนิ่งเงียบ ชำเลืองสายตาเอ่ยถาม ท่านต้องทราบให้ได้หรือ...
หากท่านต้องการเข้าร่วมกองทัพของเรา ประวัติในอดีตต้องกระจ่างชัด ช้าเร็วท่านต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพใหญ่ทราบ บอกข้าพเจ้าก่อนตอนนี้ได้หรือไม่
หานอี้ซินส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงเย็นชา ทำไมข้าพเจ้าต้องบอกท่านก่อน ท่านแม่ทัพเย่ต่างหากเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าต้องบอก ท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายสมควรยืนยันตัวตนข้าพเจ้าได้ ถึงเวลาท่านย่อมทราบเองว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ใด
นางบันดาลโทสะประดังพลุ่งพล่าน ใครเลยจะกล้าขัดคำสั่งนางถึงเพียงนี้! หานอี้ซินท่าน!
หานอี้ซินยื่นมือมาขอพาย กล่าวราวไร้เรื่องราวใด ให้ข้าพเจ้าพายบ้าง ท่านพักผ่อนเถอะ
นางแค่นเสียงเฮอะ กล่าวน้ำเสียงดูแคลน ดูสังขารท่านเสียก่อน โลหิตไหลซึมจากบาดแผลอีกแล้ว ข้าพเจ้ามีแรงพาย
หานอี้ซินรับฟังดังนั้น พลันล้มตัวลงนอน อย่างนั้นรบกวนท่านแล้ว ข้าพเจ้าขอพักผ่อนก่อน
นางอยากจะใช้พายทุบบุรุษร่างใหญ่สักทีจริงๆ ยียวนกวนโทสะนางไม่เลิกรา ความจริงนางเองก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ดีที่เรือแล่นตามกระแสน้ำค่อยพายเบาแรงอักโข จะอย่างไรยามนี้ยังทันเวลา นางไม่ควรเร่งพายจนเกินไป เนื่องเพราะต้องออมกำลังไว้ส่วนหนึ่ง เมื่อเทียบฝั่งยังต้องให้วิชาตัวเบาไปดักหน้าหยุดยั้งทัพ
ภารกิจครั้งนี้จะเรียกว่าสำเร็จได้หรือไม่... ครั้งนี้พิสูจน์ได้เพียงว่าในกองทัพมีไส้ศึก...
แต่ข่าวรั่วไหลจากไหน...ใครเป็นไส้ศึกเบาะแสขาดหายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้นางสามารถหยุดยั้ง การสูญเสียชีวิตเหล่าทหารกล้าโดยไม่จำเป็นไว้ได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อื่นๆ ไว้เป็นหน้าที่ผู้อื่นสืบหาเถอะ...
ทันใด หานอี้ซินผุดลุกขึ้นนั่ง สุ้มเสียงเครียด แฝงแววกังวล เรือใหญ่หลายลำ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!
นางรีบวางพายลง สัมปชัญญะพลันตื่นตัวเต็มที่ ก้มตัวหลบต่ำบนเรือเฉกเช่นหานอี้ซิน กระซิบสุ้มเสียงแผ่วเบา ท่านแน่ใจหรือ! เรือใหญ่หลายลำ...หรือนั่นเป็นเรือสินค้า
หานอี้ซินส่ายหน้า นิ่งขึงพยายามจับกระแสเสียงให้ชัดเจน เป็นเรือใหญ่...หกลำ มิใช่เรือสินค้าแน่นอน...
มั่นใจได้อย่างไรว่ามิใช่...
หานอี้ซินครุ่นคิด พลางอธิบายว่า เหล่าเรือสินค้าไม่ควรเดินทางเป็นขบวนพร้อมกันเช่นนี้ แต่ขบวนเรือใหญ่ถึงหกลำก็ไม่ควรเป็นเรือของศัตรู เพราะเรือจำนวนขนาดนี้ย่อมไม่สามารถเข้าสู่ทะเลสาบ โดยที่กองเรือรบของพวกท่านไม่รับรู้ ท่านรีบตัดสินใจจะทำอย่างไร เรือของเราเป็นเรือเล็ก จากระยะห่างพวกเราสามารถซ่อนตัวทัน คืนนี้ไม่มีแสงจันทร์เรือพวกนั้นมองไม่เห็นเราหรอก
นางเชื่อว่าหากหานอี้ซินมั่นใจเพียงนี้ คงมิใช่เรือสินค้าแน่ และไม่ทางเป็นเรือของศัตรูเช่นกัน...
การลอบส่งกองกำลังหรือเหล่ามือสังหารข้ามลำน้ำ เพื่อเข้ามาปฏิบัติการสืบข่าว หรือก่อความวุ่นวายของพวกกบฏย่อมสามารถกระทำได้ เพราะไหนเลยสามารถตั้งด่านขวางกั้นตลอดเขตแดน ทั้งกบฏฝ่ายเหนือและกองทัพองค์จักรพรรดิ ล้วนใช้หน่วยจารยุทธ์ปฏิบัติการเช่นนี้ ตลอดร่วมยี่สิบปีเฉกเช่นเดียวกัน
ทว่าการนำเรือใหญ่ถึงหกลำ เข้ามาถึงทะเลสาบมังกรสวรค์ย่อมเป็นคนละเรื่อง ไม่สามารถแอบซ่อนกระทำโดยกองทัพไม่รู้เห็นได้ อย่างนั้นหรือเป็นกองเรือของกองทัพ...แต่โดยปกติเรือของกองทัพไม่เคยลาดตระเวนมาถึงบริเวณนี้...
วูบนั้น นางค่อยได้คิดว่า เพราะเหตุใดกองเรือจึงอาจมาลาดตระเวนไกลเพียงนี้
ยามนี้ได้แต่ทอดถอนใจ นางไม่ควรทำให้ผู้อื่นลำบากมากไปกว่านี้ หันไปบอกหานอี้ซินว่า พวกเราเปิดเผยตัวเถอะ
หานอี้ซินพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่โต้แย้ง เนื่องเพราะพอจะคาดเดาได้แล้วว่า กองเรือที่มุ่งตรงมาเป็นของผู้ใด ดังนั้นยื่นมือหยิบพายที่วางอยู่ เริ่มพายเรือตรงไปด้านข้างกลุ่มเรือซึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงมา ชั่วอึดใจเมื่อพอจะมองเห็นลำเรือเบื้องหน้าถนัดชัด ค่อยตะโกนออกไปว่า
ธิดาท่านแม่ทัพเย่ซือป้ายอยู่บนเรือลำนี้ พวกท่านสังกัดหน่วยใด
ทันใด เสียงตวาดเจื้อยแจ้ว ดังจากเรือลำหน้า เหลวไหล! เกาทัณฑ์เตรียมยิง!
เข่ออ้าย เป็นเราเอง... นางตะโกนบอกออกไป ทราบว่าถึงเวลาเปิดเผยฐานะแท้จริงแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วบนเรือลำใหญ่ แปรเปลี่ยนเป็นร่ำร้องอย่างยินดี องค์หญิงเป็นท่าน! เร็ว! รีบนำองค์หญิงขึ้นมาบนเรือ
หานอี้ซินชะงักร่าง เขม็งจ้องมองนางสายตาแน่วนิ่ง!
นางได้แต่ทอดถอนใจ แต่ย่อมไม่หลบสายตาที่บุรุษร่างใหญ่เขม็งจ้องมา ท่านควรทราบว่า ข้าพเจ้าไม่อาจเปิดเผยฐานะแท้จริง
หานอี้ซินแค่นหัวร่อ เพียงยิ้มมุมปาก ไม่กล่าววาจาสักคำ
เพียงไม่ถึงอึดใจ ด้วยความรวดเร็วมีประสิทธิภาพยิ่ง ทหารราชองครักษ์บนเรือช่วยทั้งสองขึ้นบนเรือใหญ่ บัดนั้นเหล่าทหารทุกผู้บนดาดฟ้าเรือต่างก้มถวายคำนับ กระแสเสียงกระหึ่มดังขึ้นพร้อมเพรียง
องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!
สตรีผู้หนึ่งอายุยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี ใบหน้าหมดจดประทับรอยยิ้ม สวมเกราะดั่งบรรดาราชองครักษ์ รีบก้าวมาเบื้องหน้า ถวายคำนับอีกครั้ง สุ้มเสียงกังวานใส เจือแววสำนึกเสียใจ ทั้งระคนปีติยินดี
เข่ออ้ายค้นหาล่าช้า ทำให้องค์หญิงทรงลำบาก โปรดประทานอภัย
องค์หญิงผู้แอบอ้างเป็นธิดาแม่ทัพ เพียงผงกพระพักตร์ สุรเสียงแม้อ่อนล้าทว่ากังวานใส รับสั่งตอบ เข่ออ้าย ท่านลุกขึ้นเถอะ ขอบใจที่ออกตามหาเรา พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อย เชิญทุกท่านตามสบาย
สตรีผู้แต่งกายดั่งราชองครักษ์ ย่อมเป็น เย่เข่ออ้าย ธิดาเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย นางเห็นหานอี้ซินมิได้ถวายความเคารพ พลันบันดาลโทสะ ตวาดกราดเกรี้ยวใส่บุรุษร่างใหญ่
บังอาจ! เจ้าเป็นใคร! ไฉนยืนนิ่ง ไม่ถวายความเคารพองค์หญิง
หานอี้ซินแค่นเสียงแฮะ ยามนี้ค่อยถวายคำนับเช่นผู้อื่น
องค์หญิงอวี่หมิงทรงรีบปรามเย่เข่ออ้ายผู้เป็นธิดาแม่ทัพตัวจริง ช่างเถอะ เขาไม่ล่วงรู้ฐานะของเรา... ทรงหันไปรับสั่งกับบุรุษร่างใหญ่
เราคือราชธิดาองค์รองของจักรพรรดิว่านอู้ ดำรงตำแหน่ง องค์หญิงอวี่หมิง
หานอี้ซินรับทราบแล้ว ถวายคำนับองค์หญิงอวี่หมิงอีกครั้ง
องค์หญิงอวี่หมิงทรงฉุดดึงเย่เข่ออ้ายมาด้านข้าง สุรเสียงแผ่วเบารีบรับสั่ง เข่ออ้าย ท่านรีบอ่านจดหมายฉบับนี้
เย่เข่ออ้ายรับจดหมายจากพระหัตถ์ อ่านแล้วอุทานอย่างตื่นตะลึง นี่! ต้องรีบส่งข่าวไปยับยั้งทัพก่อน!
องค์หญิงอวี่หมิงพระพักตร์ขรึม ทรงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาโดยย่นย่อ จากนั้นรับสั่งว่า ท่านรีบปล่อยพิราบสื่อสารไปยั้งทัพก่อน แล้วให้คนนำสารติดตามไปเล่าเรื่องโดยละเอียดอีกทางด้วย แล้ว...
ปรายพระเนตรไปยังหานอี้ซิน จัดที่พักให้คนผู้นั้นด้วย เขาชื่อหานอี้ซิน มีความดีความชอบช่วยคุ้มครองเราระหว่างเดินทาง
สีหน้าเย่เข่ออ้ายเปี่ยมแววฉงนฉงาย กราบทูลด้วยความประหลาดใจ สุ้มเสียงหวาดระแวง นัยน์ตาคนผู้นั้นปรากฏแววสีเขียวจางๆ เขาเป็นชนเผ่าทางตะวันตกนี่เพคะ!
องค์หญิงอวี่หมิงรับสั่งแผ่วเบา คนผู้นี้ไว้ใจได้ เขาต้องการเข้าร่วมกองทัพของเรา ท่านไม่ต้องห่วง เราจะให้ท่านแม่ทัพใหญ่ซักถาม ทวนประวัติคนผู้นี้ด้วยตัวเอง หาก...ท่านแม่ทัพใหญ่เห็นว่ามีปัญหาก็...จัดการตามที่สมควร
เย่เข่ออ้ายแม้ยังขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็รีบทำตามรับสั่ง ยังปรายสายตามองหานอี้ซินแวบหนึ่ง ค่อยล่าถอยออกไป หานอี้ซินตั้งแต่ขึ้นบนเรือ หลังถวายคำนับองค์หญิง ก็ยืนนิ่งตำแหน่งเดิมไม่เคลื่อนไหว...
ประกายตาเย็นชาเหลือบชำเลืององค์หญิงอวี่หมิง ใบหน้านั้นซีดขาวเนื่องเพราะเสียโลหิตมิใช่น้อย หากร่างสูงใหญ่ยังสงบนิ่งมั่นคงดั่งขุนเขาตระหง่าน สีหน้าราบเรียบเฉยชาไม่ทราบกำลังคิดใคร่ครวญเรื่องราวใด...
องค์หญิงอวี่หมิงรับสั่งกับบุรุษร่างใหญ่ เจ้าวางใจ เราจะให้ท่านแม่ทัพใหญ่แต่งตั้งเจ้าเป็นขุนพลตามสัญญา
หานอี้ซินคล้ายยิ้มมุมปากเล็กน้อย กราบทูลว่า ขอบพระทัยองค์หญิง
องค์หญิงอวี่หมิงพยักพระพักตร์ รับสั่งว่า ลงไปพักผ่อนในเรือเถอะ เดี๋ยวเราจะสั่งให้หมอลงไปดูบาดแผลเจ้า
หานอี้ซินทูลตอบน้ำเสียงแฝงแววประชดประชัน ขอบพระทัยองค์หญิง ถวายคำนับแล้วล่าถอย เดินลงไปในห้องท้องเรือ
องค์หญิงอวี่หมิงทรงทอดถอนพระทัย ราตรีนี้ใกล้สิ้นสุด แต่ลางสังหรณ์อันแรงกล้า กลับถาโถมเข้าในพระทัยแจ้งแก่พระองค์ว่า บัดนี้เค้าเงื่อนทะมึนแห่งมรสุมร้ายคลี่กางกรงเล็บ ปกคลุมทั่วมหาอาณาจักรเทียนหมิงแล้ว!
รุ่งเช้า แสงอาทิตย์อ่อนจางสาดคลุมสายธารา เรือใหญ่ทั้งหกลำแล่นออกจากทะเลสาบมังกรสวรรค์ ผ่านเส้นทางลำน้ำจินหลงมุ่งหน้านครหนานสุ่ย ตกยามสายค่อยบรรลุถึงท่าเทียบเรือของกองทัพ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหนานสุ่ย จัดสร้างเป็นป้อมปราการมหึมาอันแข็งแกร่ง นับเป็นหนึ่งในสามท่าเทียบใหญ่ที่สุดของอาณาจักร ทั้งขบวนเรือรบทั้งกำลังทหารประจำการล้วนพรักพร้อมสู่สมรภูมิ
องค์หญิงอวี่หมิง เย่เข่ออ้าย หานอี้ซิน พร้อมเหล่าราชองครักษ์ เร่งรีบจัดขบวนเดินทางด้วยม้ามุ่งหน้าสู่นครหนานสุ่ย องค์หญิงอวี่หมิงแต่งพระองค์ชุดเกราะอ่อน พระเกศาขมวดมุ่นเสียบพระจุฑาทองรูปหงส์เหิน พระสิริโฉมผุดผาดทว่ายังแฝงแววซีดเซียว หากสายพระเนตรนั้นสงบนิ่งมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว วรองค์สูงโปร่งทรงอาชาเหยาะย่างผ่านแถวทหารซึ่งรอรับเสด็จขนัดแน่น
เหล่าทหารทั้งหมด ถวายคำนับพร้อมกัน เปล่งเสียงกึกก้อง องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!
กระแสเสียงนั้นสะท้านสะเทือนก้องลำน้ำกว้าง เนิ่นนานยังมิยอมจางหาย!
เนื่องเพราะนี่มิใช่เป็นการถวายพระพรตามหน้าที่ซึ่งต้องกระทำ หากกระแสเสียงนั้นเปล่งออกจากห้วงลึกในจิตใจ ของเหล่าทหารกล้าแห่งอาณาจักรเทียนหมิง!
เย่เข่ออ้ายในชุดราชองครักษ์ ติดตามเบื้องหลังพระองค์ไม่ห่าง แววตาเปล่งประกายรักใคร่จงรักภักดี จับจ้องพระพักตร์ด้วยความปีติยินดียิ่ง เนื่องเพราะการเคลื่อนทัพล้อมเทือกเขาเทียมเมฆามิใช่ปฏิบัติการลับ ดังนั้นเวลานี้ทั้งกองทัพย่อมทราบแล้วว่า องค์หญิงทรงเสี่ยงภัยออกสืบข่าวด้วยพระองค์เอง กระทั่งสามารถหาหลักฐานหยุดยั้งทัพทันก่อนตกสู่กับดักของศัตรู พระปรีชาขององค์หญิงซึ่งทุกผู้แจ้งประจักษ์มานานแล้ว ยามนี้ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพและภักดีอย่างลึกซึ้ง
เสียดาย...องค์หญิงอวี่หมิง...มิใช่พระราชบุตร... หากในสายตาเย่เข่ออ้าย ใช่พระราชบุตรหรือไม่...ไม่มีอันใดแตกต่าง
นับแต่ย้ายนครหลวงจากเหนือสู่ภาคใต้ บัดนี้ไม่มีกฏมนเทียรบาลข้อใด...ห้ามมิให้พระราชธิดาขึ้นครองบัลลังก์!
ประกายคมกล้าลึกล้ำในดวงตาหานอี้ซิน ฉายแววประหลาดใจไม่น้อยต่อความภักดี ซึ่งเหล่าทหารทั้งหลายแสดงต่อองค์หญิงอวี่หมิง กระแสความคิดอันเฉียบคมหยั่งคำนวณเหตุการณ์ ภาพเบื้องหน้ายิ่งกว่าข้อมูลข่าวสารที่เคยรับทราบ หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้...เรื่องราวทุกอย่างอาจง่ายดายขึ้นอีกมาก...
บุรุษหนุ่มยังไม่มีตำแหน่งในกองทัพ ยามนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดามิได้สวมใส่กราะใด เหยาะย่างอาชาอยู่แถวเกือบหลังสุด กระนั้นด้วยรูปร่างสูงใหญ่ทั้งแววตาสีเขียวจางๆ ย่อมเด่นสะดุดตาทุกผู้ แม่ทัพนายกองหลายคนมองด้วยสายตาฉงนฉงาย แต่ก็เพียงแวบเดียวแล้วจางหาย ไม่มีผู้ใดประหลาดใจหรือสงสัยมากความ ว่าเหตุใดจึงปรากฏชาวภาคเหนือร่วมขบวนองค์หญิง
ทั้งนี้เพราะสงครามแบ่งแยกมหาอาณาจักร ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน การเปลี่ยนข้างแปรพักตร์เกิดขึ้นตลอดเวลา สงครามครั้งนี้เกิดจากความขัดแย้งของผู้ครองอำนาจ และความคิดด้านการปกครองอาณาจักรที่แตกต่าง มิใช่เป็นความขัดแย้งจากเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ขอเพียงเป็นผู้มีความสามารถทั้งอาณาจักรเหนือและใต้ต่างยินดีใช้สอย ทุกผู้ย่อมคาดเดาว่าบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้เป็นอีกหนึ่งในผู้สวามิภักดิ์ต่อแดนใต้
ทว่าเจตจำนงแท้จริงเป็นเช่นไร...ย่อมมีเพียงหานอี้ซินที่ทราบกระจ่าง...
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขบวนขององค์หญิงก็บรรลุถึงนครหลวงแห่งมหาอาณาจักร ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครและเหล่าทหารที่เฝ้ารักษาประตูเมือง ย่อมได้รับทราบข่าวสารทั้งหมดตั้งแต่รุ่งสาง ดังนั้นตั้งแถวรอรับเสด็จองค์หญิงอวี่หมิงกลับเข้านครหนานสุ่ยเนืองแน่น สภาพการณ์มิต่างจากเหล่าทหารที่ท่าเทียบเรือ เป็นอีกครั้งที่เสียงถวายพระพรดังกระหึ่มกึกก้องประตูเมืองหนานสุ่ย!
องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!
องค์หญิงอวี่หมิงทรงโบกพระหัตถ์ แย้มสรวลให้กับเหล่าทหารกล้าซึ่งประจำอยู่ทั้งบนกำแพงเมือง ทั้งตั้งแถวรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูเมือง ไปจนกระทั่งถึงหน้าตึกที่ทำการผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร เสียงถวายพระพรดังต่อเนื่องยาวนานกระทั่งทรงหยุดยั้งอาชาหน้าตึกที่ทำการ
ณ หน้าตึกที่ทำการ ขบวนทหารคุ้มครองเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับขบวนขององค์หญิง ตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่นานแล้ว สีหน้าแต่ละผู้ล้วนฉายแววจงรักภักดี ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครเข้ามาถวายคำนับอีกครั้ง บังคับอาชาขึ้นนำหน้าแถวทหาร ทำหน้าที่นำขบวนเสด็จมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง
เส้นทางสู่พระราชวังหลวงมุ่งตามถนนหลักสายใหญ่ ตัดผ่านเกือบกึ่งกลางนครหนานสุ่ย พระราชวังหลวงตั้งอยู่ทางทิศเหนือ รายล้อมด้วยคูน้ำกว้างและกำแพงสูงหลายชั้น บริเวณโดยรอบเป็นย่านพำนักของเหล่าขุนนาง คหบดี รวมถึงบรรดาราชองครักษ์และผู้มีตำแหน่งต้องเข้าเฝ้าทั้งหลาย นับเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในนครหลวง
ทันทีที่ถึงประตูพระราชวังหลวง หัวหน้าราชองครักษ์ตำหนักนอกรีบเข้ามาถวายคำนับ กราบทูลว่า ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา ให้องค์หญิงอวี่หมิงและท่านหัวหน้าแซ่เย่ เข้าเฝ้าทันทีพระเจ้าค่ะ
องค์หญิงอวี่หมิงพยักพระพักตร์ รับสั่งว่า ฝ่าบาทประทับอยู่ไหน
หัวหน้าราชองครักษ์ตำหนักนอก กราบทูลว่า ทรงหารือข้อราชการกับท่านเสนาบดี และท่านแม่ทัพใหญ่ที่พระตำหนักมุ่งฟ้าพระเจ้าค่ะ
องค์หญิงอวี่หมิงหันสบพระเนตรกับเย่เข่ออ้าย เนื่องเพราะทรงทราบดีว่าเหล่าคนนำสาร ซึ่งเย่เข่ออ้ายแยกย้ายส่งไปแจ้งข่าว ทางหนึ่งส่งไปยั้งทัพ อีกทางแจ้งเรื่องราวทั้งหมด ให้แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายรับทราบ ย่อมถึงหนานสุ่ยตั้งแต่รุ่งสาง ดังนั้นฝ่าบาทต้องทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว
ฝ่าบาทเมื่อทรงเรียกหารือข้อราชการในพระตำหนักมุ่งฟ้า แสดงว่าต้องการหารือเป็นการลับ ไม่เช่นนั้นคงมีพระบัญชาเรียกประชุมเหล่าขุนนางในห้องท้องพระโรง ผู้ที่ทรงหารือด้วยนอกจากท่านแม่ทัพเย่ซือป้าย คาดว่าอาจมีเพียงท่าน เซี่ยสุ่ยเสอ เสนาบดีกลาโหม และท่าน หลูเฟิงต้า เสนาบดีคลังสองท่านเท่านั้น
องค์หญิงอวี่หมิงทรงสั่งหานอี้ซิน ให้รออยู่กับเหล่าราชองครักษ์ พระองค์กับเย่เข่ออ้ายรีบมุ่งไปยังพระตำหนักเข้าเฝ้าตามพระบัญชา ทันทีที่เสด็จถึงหน้าพระตำหนัก หัวหน้าขันทีซึ่งรอรับเสด็จด้วยความกระวนกระวาย รีบนำเสด็จเข้าสู่ภายในพระตำหนักทันที ทั้งยังแอบกระซิบกราบทูลว่า
ฝ่าบาททรงพิโรธตั้งแต่เมื่อวาน กระทั่งบัดนี้ยังไม่ทรงคลาย องค์หญิง...เอ่อ...องค์หญิง...
องค์หญิงอวี่หมิงฝืนแย้มสรวล รับสั่งว่า กงกงวางใจ เราจะระมัดระวัง ไม่ทำให้เสด็จพ่อ กริ้วเพิ่มขึ้นอีก
พระตำหนักมุ่งฟ้าเป็นหอสูงตั้งโดดเดี่ยวกลางพระราชอุทยาน สร้างในปีแรกเมื่อย้ายนครหลวงสู่หนานสุ่ย เดิมเมื่อจักรพรรดิว่านอู้ทรงมีดำริจะสร้างพระตำหนักหลังนี้ เหล่าแม่ทัพ เสนาบดีล้วนใจหายวาบ ทั้งหมดเกรงว่าพระองค์จะดำเนินรอยตามพระปัยกา ผู้สร้างพระตำหนักเทิดฟ้าอันเป็นหอสูงเสียดฟ้าในนครหลวงเดิม อันทุกผู้เชื่อว่าเป็นต้นเหตุแห่งความตกต่ำเสื่อมโทรมของมหาอาณาจักร
แต่จักรพรรดิว่านอู้ไม่ทรงกระทำผิดพลาดเยี่ยงพระปัยกา พระตำหนักหลังนี้มิได้สูงเสียดฟ้า ทั้งมิได้ตกแต่งตระการฟุ่มเฟือยผลาญพระราชทรัพย์เสียเปล่า สาเหตุที่รับสั่งให้ปลูกสร้างเพราะทรงต้องการใช้เป็นที่ประชุมลับ ด้วยในระยะแรกเมื่อย้ายนครหลวงราชสำนักระส่ำระสาย มิอาจแยกแยะผู้ใดภักดีผู้ใดคิดเอาใจออกห่าง เชื้อพระวงศ์หลายองค์ต่างคิดตั้งตนเป็นใหญ่
ภายหลังเมื่อกำราบจนเหตุการณ์ในราชสำนักสงบเรียบร้อย ความสำคัญของพระตำหนักมุ่งฟ้าก็ลดน้อยลง แต่สามเดือนหลังนับจากเริ่มสงสัยว่ามีไส้ศึกในกองทัพ จักรพรรดิว่านอู้ทรงมีบัญชาให้แม่ทัพใหญ่ และเสนาบดีซึ่งทรงไว้เนื้อเชื่อพระทัยที่สุด หารือข้อราชการเป็นการลับบ่อยครั้ง
เหล่าราชองครักษ์กระบี่ทองนำเสด็จองค์หญิง และนำเย่เข่ออ้ายขึ้นสู่ชั้นบนสุดของพระตำหนัก หลังกราบบังคมทูลและมีพระบัญชาให้องค์หญิงและเย่เข่ออ้ายเข้าเฝ้า พระองค์จึงเสด็จนำเข้าสู่ภายใน ทว่าทรงชะงักเล็กน้อย ขมวดพระขนงมุ่น เมื่อทอดพระเนตรพบว่า นอกจากแม่ทัพใหญ่ และเสนาบดีคนสนิททั้งสองยังมีบุคคลอื่นร่วมหารือ...
หนึ่งคือ องค์หญิงเซี่ยหมิง อีกหนึ่งคือ องค์ชายตงหมิง ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระเชษฐภคินี และพระอนุชาต่างพระราชมารดาขององค์หญิงอวี่หมิง...
จักรพรรดิว่านอู้ประทับนิ่งขึง สีพระพักตร์เคร่งเครียด แววพระเนตรขุ่นมัว ปีนี้มีพระชนมายุสี่สิบเจ็ดชันษา พระเกศาเริ่มปรากฏสีดอกเลา หน้าที่ประทับประกอบด้วยบุคคลผู้มีกระแสรับสั่ง ให้เข้าเฝ้าปรึกษาข้อราชการเป็นการลับโดยด่วนอันได้แก่ องค์หญิงเซี่ยหมิง องค์ชายตงหมิง แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอ และเสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า
จักรพรรดิว่านอู้รับสั่งสุรเสียงกราดเกรี้ยว สองพระหัตถ์ทุบพระบัลลังก์ เจ้าออกไปก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า! คำนึงถึงฐานะตัวเองบ้างหรือไม่!
องค์หญิงอวี่หมิงสีพระพักตร์เผือด แม้ทรงคาดไว้แต่แรกว่าเสด็จพ่อต้องกริ้ว แต่อย่างน้อยทรงคิดว่าความดีความชอบที่ทรงกระทำ อาจทำให้กริ้วน้อยลงได้บ้าง ทว่าการณ์กลับไม่เป็นดังคาด
หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ
แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายรีบก้าวออกมา กราบบังคมทูลว่า ครั้งนี้องค์หญิงทรงสร้างทำความดีความชอบ ทำให้กองทัพไม่สูญเสียไพร่พล ทั้งมีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัดว่าในกองทัพมีไส้ศึก
ทันใด สุรเสียงกังวานใส แฝงแววประชดประชันขององค์หญิงเซี่ยหมิง รับสั่งแทรกขึ้น ยามนี้เมื่อปรากฏผลงาน ย่อมสามารถกล่าวเช่นนั้น แต่ท่านแม่ทัพใช่คิดในทางกลับกันบ้างหรือไม่ หากผิดพลาดขึ้นผู้ใดสามารถรับผิดชอบได้...
องค์หญิงเซี่ยหมิง พระชนมายุมากว่าองค์หญิงอวี่หมิงสี่พระชันษา พระวรกายสูงทัดเทียบพระขนิษฐา พระขนงบางเฉียบ ดวงพระเนตรคมกริบเฉียบขาด ราวจะกรีดทะลุถึงจิตใจผู้คน แม้พระสิริโฉมงดงาม หากพระพักตร์เย็นชา ริมพระโอษฐ์บางคล้ายแย้มสรวลเย้ยหยันเป็นอาจิณ
สายพระเนตรคมกริบ ตวัดเขม้นมององค์หญิงอวี่หมิง จากข่าวที่เรารับทราบ ครั้งนี้น้องอวี่หมิงถูกซุ่มทำร้ายระหว่างทาง เคราะห์ดีที่ยังรักษาชีวิตรอด หากพลาดพลั้งถูกจับเป็นตัวประกันจะเป็นอย่างไร...
องค์ชายตงหมิงแย้มพระสรวล สุรเสียงร่าเริงรับสั่งแทรกขึ้น เสด็จพี่เซี่ยหมิงทรงกังวลเกินไปแล้ว ผู้มีความสามารถเช่นเสด็จพี่อวี่หมิง ไหนเลยยินยอมให้ถูกจับได้ อย่าว่าแต่คนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ครั้งนี้...เสด็จพี่ได้รับความช่วยเหลือ จากคนของอดีตหน่วยพยัคฆ์คำรณใช่หรือไม่
องค์ชายตงหมิง พระชนมายุน้อยกว่าองค์หญิงอวี่หมิงสี่พระชันษา วรองค์ยังสูงไม่ทัดเทียมพระเชษฐภคินีทั้งสอง สีพระพักตร์ผ่องใส ดวงพระเนตรเป็นประกายหากสงบแน่วนิ่ง ฉายพระปัญญาอันสุขุมเฉลียวฉลาด พระอิริยาบถแม้คล้ายปล่อยพระองค์ตามสบาย กระนั้นยังนุ่มนวลเปี่ยมสง่าราศี คล้ายดั่งมังกรน้อยเกียจคร้านที่ยังมิอาจเหินบิน
องค์หญิงเซี่ยหมิงแค่นพระสรวล รับสั่งสุรเสียงเย้ยหยัน นั่นมิใช่รับไส้ศึกอีกคนเข้ามาหรือ
จักรพรรดิว่านอู้โบกพระหัตถ์ พยักพระพักตร์ รับสั่งถามเย่ซือป้าย ท่านแม่ทัพคิดเห็นอย่างไร กับอดีตหน่วยพยัคฆ์คำรณผู้นี้...นี่ใช่กับดักอีกหรือไม่
แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายนิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง กราบทูลตอบว่า เฉพาะข่าวสารที่ได้รับขณะนี้ กระหม่อมยังไม่อาจถวายความเห็นได้ ขอองค์หญิงทรงเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดให้กระหม่อมรับทราบอีกครั้ง ค่อยถวายความเห็นให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย
องค์หญิงอวี่หมิงพยักพระพักตร์ ทรงคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นลำดับเรื่องราวไว้เรียบร้อย ทรงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวตามลำดับ นับจากเดินทางออกจากหนานสุ่ยเมื่อสองวันก่อน ขณะมุ่งหน้าสู่จุดหมายกลับถูกซุ่มทำร้ายระหว่างทาง หลบหนีกระทั่งถึงสาขาของลำน้ำจินหลง หานอี้ซินพบเห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ
หลังจากนั้นมุ่งสู่บึงภูตจันทรา พบเถียนฟู่โหย่วถูกสังหารในบ้านกลางบึง ค้นเจอหลักฐานจดหมายและกระบอกส่งสารโลหะภายในบรรจุม้วนผ้าแพร ล้วนเป็นแบบก่อสร้างแปลกประหลาดไม่คุ้นตา จากนั้นหลบหนีมาทางทะเลสาบมังกรสวรรค์กระทั่งพบกองเรือของเย่เข่ออ้าย สุดท้ายทรงบอกเล่าปูมหลังของหานอี้ซิน ทั้งทรงเล่าถึงรายละเอียดเรื่องราวการสมคบคิดและการทรยศหักหลัง อันเกี่ยวเนื่องกับเฉินเทียนหรานและเถียนฟู่โหย่ว ซึ่งหานอี้ซินเป็นผู้บอกเล่าให้ฟัง...
จากคุณ |
:
big pigdaddy
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ย. 54 11:18:32
|
|
|
|