ทั้งมนุษย์และดวงวิญญาณพากันยืนจ้องมองกันและกันท่ามกลางความเงียบ ภาคีเพิ่งได้โอกาสสำรวจใบหน้าของบาริสต้าหนุ่มอย่างละเอียด แม้ในขณะนี้วิญญาณของไม้เมืองจะปรากฏกายด้วยรูปลักษณ์เลือดทะลักมีแผลเหวอะหวะเต็มตัวและใบหน้า
แต่นักเขียนหนุ่มก็พอจำได้ว่าใบหน้าในยามปกติของไม้เมืองหล่อเหลาเหมือนบาริสต้าผู้อบอุ่นในซีรี่ย์เกาหลีขนาดไหน และสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีไม่เปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของไม้เมืองไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็คือสายตาที่มองภาคีอย่างไม่วางใจ ภาคีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เขาแน่ใจว่าบาริสต้าผู้นี้ไม่ชอบหน้าเขา
“ผมต้องขอบคุณคุณมากที่ช่วยเราไว้ ไม่งั้นผมกับพิมพ์พลอยคงถูกมือปืนนั่นยิงพรุนไปแล้ว” ภาคีพูด อะดรีนาลีนจากเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตเมื่อครู่ยังคงแล่นพล่านไปทั่วร่าง
“ใช้คำว่า “เรา” ไม่ได้หรอกครับ” ไม้เมืองตอบ เบือนหน้ามองไปทางห้องนอน และหันกลับมาจ้องภาคี “เพราะผมตั้งใจช่วยพิมพ์ ไม่ได้ช่วยคุณ”
ภาคีชะงัก ไม่ทราบว่าจะพูดอะไรดีนอกจากเม้มปาก พยักหน้าน้อยๆ และพึมพำออกมาเหมือนกระซิบ “เดี๋ยวผมจะบอกพิมพ์พลอยให้ก็แล้วกัน”
สีหน้าของไม้เมืองยังคงไม่สู้ดีนัก ผีหนุ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ภาคีรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นความผิดของเขา “มีดลอยไปแบบนั้น จะปักหัวคุณอยู่แล้ว ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไง คุณไม่รู้หรอกว่าถ้าคุณทับทิมไม่ช่วยคุณเอาไว้ ป่านนี้คุณได้มาอยู่โลกเดียวกับผมแล้ว”
ภาคีขมวดคิ้วเริ่มฉุน ไม่ชอบใจน้ำเสียงของไม้เมือง “ผมก็ขอบคุณไปแล้ว คุณจะให้ผมทำอะไรได้อีกล่ะ อย่าลืมว่าผมเป็นมนุษย์ พวกคุณเป็นวิญญาณ แล้ว - ”
“ - แต่พลังของคุณทับทิมมีน้อยมาก คุณก็รู้ว่าเธอไม่มีญาติทำบุญให้บ่อยๆ นอกจากน้องสาว พลังวิญญาณของคุณทับทิมใช้ไปจนเกือบเหลือศูนย์จากการที่ช่วยไม่ให้คุณถูกมีดปักเมื่อกี้ ต่อไปนี้หากไม่มีใครอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ ลำพังพักฟื้นพลังวิญญาณด้วยตัวเองคนเดียว กว่าจะฟื้นคืนแบบเดิมก็อีกเป็นเดือน” ไม้เมืองแทรกขึ้นเสียงเย็นชาพอๆ กับดวงตา
“แล้วจะให้ผมทำไงล่ะ?” ภาคีถาม ขณะหัวใจหล่นวูบจากการทราบว่าการ “พัก” ของทับทิมอาจกินเวลานานเป็นเดือน
“คุณมีญาติไม่ใช่หรือ? บอกให้ญาติของคุณทุกคนทำบุญให้คุณทับทิมในวันพรุ่งนี้” ไม้เมืองตอบห้วนสั้นโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
“แล้วคุณล่ะ?” ภาคีกล่าว จ้องมองรอยแผลบนใบหน้าของไม้เมือง “ต้องการ – เอ่อ – พลังวิญญาณเพิ่มหรือเปล่า ผมจะได้บอกญาติให้ทำบุญไปเผื่อ”
ไม้เมืองส่ายศีรษะก่อนตอบ “ขอบคุณ แต่ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก เพราะผมมีพ่อแม่คอยตักบาตรทำบุญให้ทุกเช้า พลังที่ผมใช้หมดไปกับการหยุดกระสุนเมื่อกี้ เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ฟื้นคืน”
ภาคีผงกศีรษะ คิดจะเปลี่ยนเรื่องถามไม้เมืองว่ามือปืนที่นอนตายอยู่เบื้องหน้าพวกเขาในตอนนี้ใช่คนเดียวกับนักฆ่าเมื่อคืนหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไป เสียงของพิมพ์พลอยก็ดังขึ้นว่า
“คุยกับใครอยู่หรือคะ?”
นักเขียนหนุ่มหันไปทางต้นเสียง พิมพ์พลอยก้าวออกมาจากห้องของเธอ มือหนึ่งคล้องหูกระเป๋าถือของพี่สาวไว้กับแขน อีกมือถือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คซึ่งเป็นของเธอเอง สายตาของหญิงสาวพยายามหลีกเลี่ยงซากศพในห้องโดยการจ้องตรงมาที่ใบหน้าของภาคีตลอดเวลา
“ผมกำลังคุยกับไม้เมือง เขาเป็นคนช่วยคุณไว้จากมือปืน” ภาคีตอบ หันพยักพเยิดไปยังจุดที่วิญญาณของบาริสต้าหนุ่มยืนอยู่ให้พิมพ์พลอยทราบว่าไม้เมืองยืนอยู่ตรงนั้น ภาคีคิดว่าเขาเห็นสายตาของไม้เมืองสะท้อนประกายแห่งความห่วงใยวูบวาบเมื่อจ้องมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“พี่ไม้...” พิมพ์พลอยพึมพำ สีหน้าของเธอถูกความเศร้าเข้ากลืนกิน เธอพูดเพียงเท่านั้นและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“บอกพิมพ์ว่าผมจะอยู่ช่วยเธอเสมอ” ไม้เมืองหันมากล่าวกับภาคี “บอกพิมพ์ว่า ผมเป็นห่วงเธอ ผมจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าเรื่องอันตรายทั้งหลายแหล่นี้จะจบสิ้นไปจากชีวิตของเธอ”
ภาคีมองหน้าไม้เมือง แล้วสลับหันกลับมองพิมพ์พลอย หนึ่งวิญญาณกับหนึ่งมนุษย์คู่นี้ทำให้ภาคีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกที่หวิวใจแปลกๆ เมื่อทวนประโยคนั้นของไม้เมืองให้หญิงสาวฟัง พิมพ์พลอยรับฟังด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาคลอเบ้า เธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“งั้นรีบไปกันเถอะ” ภาคีพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองกลับไปที่ศพของมือปืนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันมาถามวิญญาณของบาริสต้าผู้โชคร้าย “คุณจำได้มั้ยว่ามือปืนคนนี้ ใช่นักฆ่าที่เล่นงานคุณเมื่อวานหรือเปล่า?”
ไม้เมืองตอบด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่ใช่”
“แน่ใจนะ?” ภาคีนิ่วหน้า
“แน่ใจ” ไม้เมืองตอบ “เพราะผมรู้ว่าคนที่ฆ่าผมคือใคร”
“ใคร?” นักเขียนหนุ่มถามอย่างกระตือรือร้น
“ผมไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร แต่จากที่ผมเห็น มันมีร่างกายที่สูงมาก ประมาณ 185 ขึ้นไปเห็นจะได้ รูปร่างของมันใหญ่โตเหมือนนักกล้าม และดวงตาของมันเหมือนดวงตาของนกเหยี่ยวมาก มันเป็นดวงตาที่เมื่อคุณมอง คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่า มันเป็นคนอันตรายที่ไม่ควรเข้าใกล้อย่างที่สุด”
ไม้เมืองตอบด้วยเสียงเย็นเยือก และเป็นอีกครั้งที่เขาหันมองพิมพ์พลอยด้วยความห่วงใย
********
เหยี่ยวดำนั่งอยู่ในรถกระบะสีขาวที่เขาขโมยมาเมื่อสองชั่วโมงก่อน และตอนนี้ มันกำลังจอดอยู่ในลานจอดรถของคอนโดมิเนี่ยมที่เหยี่ยวดำคุ้นเคย
เหยี่ยวดำทราบดีว่าเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะใช้รถตู้คู่ใจในขณะที่ตำรวจกำลังจับตามองหารถตู้ของเขาอยู่เช่นนี้ แต่เหยี่ยวดำชำนาญในการขโมยยวดยานพาหนะ เขาไม่เคยมีปัญหาในการหารถยนต์ใช้งานสองสามชั่วโมงสักคัน
เหยี่ยวดำใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยเล่นเมื่อนึกถึงคืนหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เขาก็ขโมยรถกระบะรุ่นเดียวกันนี้ที่โฆษนาว่ามียอดขายอันดับหนึ่งในประเทศไทย และก็ดูเหมือนว่า มันจะมียอดหายอันดับหนึ่งในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
เขาขโมยรถคันนั้นเพื่อไล่ล่าเหยื่อที่เป็นเบาะแสสำคัญซึ่งเชื่อมโยงมาถึงการตัดสายเบรกที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เหยี่ยวดำรีดความลับมาจากเหยื่ออย่างยอดเยี่ยม สิบสองแผลที่ลึกถึงกระดูกกับการควักหัวใจมาวางไว้บนหน้าผากของเหยื่อ เหยี่ยวดำจดจำงานศิลปะทุกชิ้นที่เขาสร้างขึ้นได้ดี เขาคิดว่างานชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของเขา
เหยื่อยังไม่ตาย แต่หัวใจถูกควักออกมาเต้นตุบๆ บนหน้าผากเจ้าของของมัน เลือดเป็นกองเนืองนองเหมือนรูปดอกบัว ลมหายใจของเหยื่อแผ่วพลิ้วล่องลอย ดวงตาเหลือกค้างโปนถลน สถานที่ที่เหยี่ยวดำเลือกใช้เป็นตึกร้างแห่งหนึ่งที่ลือนักลือหนาว่าผีดุ และตอนนี้ คำเล่าลือคงจะทวีความรุนแรงอีกหลายเท่าเมื่อเกิดการฆาตกรรมขึ้นในนั้น
พวกนั้นจะตกใจขนาดไหน หากได้มาเห็นแกลอรี่ย์ส่วนตัวในห้องใต้ดินของเขา เหยี่ยวดำนึกสงสัยมาตลอด เขาเคยคิดหาทางเผยแพร่ผลงานมาหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาส เพราะหากเหยี่ยวดำทำอย่างนั้น ตำรวจก็จะสืบหาตัวเขาได้ง่ายกว่าที่ควรจะเป็น
นิ้วของเหยี่ยวดำเคาะบนพวงมาลัยเป็นจังหวะถี่กระชั้น เขากำลังรู้สึกคันมืออยากสร้างงานศิลปะชิ้นใหม่เหลือเกิน เหยี่ยวดำควรจะหาใครสักคนมาเป็นเหยื่อ แต่เขารู้ใจตนเองดีว่า ตราบใดที่หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาดื้อรั้นยังคงอยู่บนโลกใบนี้ เหยี่ยวดำก็ไม่มีทางไปฆ่าใครอื่นได้อีก
รอยด่าง...เขาอยากลบรอยด่าง พร้อมๆ กับสร้างงานศิลปะ
แต่เขาจะไปล้ำเส้นไม่ได้ นายท่านสั่งไม่ให้เหยี่ยวดำยุ่งกับเรื่องนี้อีก เขาต้องภาวนาให้มือสังหารจุดตายล้มเหลว หากเหยี่ยวดำไปขัดขวางหรือสอดแทรกการทำงานของมือสังหารจุดตาย นายท่านคงไม่ชอบใจและอาจสั่งพักร้อนเหยี่ยวดำให้นานขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น ในตอนนี้เหยี่ยวดำจึงทำได้เพียงนั่งรอในรถ ทอดสายตาผ่านกระจกหน้ามองไปที่ลานจอดซึ่งรถยนต์ที่หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาดื้อรั้นเป็นเจ้าของกำลังหมอบสนิทใต้แสงไฟ เสียงปืนที่ดังสามนัดเมื่อไม่กี่นาทีก่อนบอกให้รู้ว่าเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นแล้ว หากมือสังหารจุดตายเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซค์ของมัน ก็หมายความว่าภารกิจสำเร็จ แต่หากไม่ -
ความคิดของเหยี่ยวดำหยุดชะงักกลางคัน เขาสังเกตเห็นใครบางคนกำลังเดินตรงมาที่รถยนต์ของหญิงสาว แล้วเหยี่ยวดำก็เห็นว่าผู้ที่เดินมาด้วยอากัปกิริยาเร่งรีบร้อนรนมีด้วยกันสองคน หนึ่งคือชายหนุ่มหน้าคมร่างสูง อีกหนึ่งคือหญิงสาว...
หญิงสาวผู้มีนัยน์ตื้อรั้น!
เหยี่ยวดำกัดกรามกรอด สองมือกุมพวงมาลัย จ้องมองสองหนุ่มสาวเปิดประตูก้าวขึ้นไปบนรถยนต์ หญิงสาวเป็นคนขับ ชายหนุ่มเป็นคนนั่ง แล้วเหยี่ยวดำก็แยกเขี้ยวยิ้มให้กับเงาของตัวเอง เสียงปืนสามนัดที่ดังขึ้นเมื่อครู่ ต้องเป็นหลักฐานแห่งความล้มเหลวของมือสังหารจุดตายเป็นแน่ ในเมื่อเหยื่อหนีรอด ความตายก็มักสะท้อนกลับไปที่ผู้ล่าเสมอ
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ย. 54 12:19:57
|
|
|
|