Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 5. ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11313123/W11313123.html



ทักทาย

ขอบคุณ คุณ  manimontra  ที่ให้ Give ครับ

manimontra : smile

scottie : มีบททั้งทีเล่ายาวเลย ^____^


**********************************************************************


บุลินสะลึมสะลือ เผยอเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ห้วงสมองมึนงง จับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก

เหลียวมองรอบกายถึงกับสะดุ้งเฮือก พบตนเองอยู่บนเรือเล็กลอยลำกลางมหานที เสื้อผ้า ร่างกาย ผมเผ้าซึ่งเดิมเปียกโชกแห้งสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าสิ้นสติไปนานเท่าไหร่ ยิ่งไม่ทราบทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วเขี้ยววายุไปอยู่เสียที่ไหน รัตติกาลยังคลุมรอบกาย สายลมเยือกกระโชกปะทะจนร่างสั่นสะท้าน

ความทรงจำสุดท้ายเลอะเลือนสับสน เหตุการณ์ต่างๆ พลันประดังเข้าในห้วงความคิดอีกครั้ง คำถามมากมายทยอยผุดขึ้นโดยไม่อาจหาคำตอบ จำได้เพียงเลาๆ ว่าจู่ๆ บังเกิดเปลวอัคคีคลุมรอบรถศึกของขุนพลเฒ่าอัฒฑ์กลางมหานที ไอระอุพุ่งปะทะแผดเผาแสบร้อนราวนั่งกลางกองเพลิง...ยามนั้นบังเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

เพลานี้ เหลียวมองบนเรือพบชายหนุ่มแต่งกายคล้ายลูกเรือของเฒ่าเวทิต และหญิงสาวผู้แอบขึ้นเรือมาสลบไสลสิ้นสติทั้งคู่ เส้นผมของชายหนุ่มเป็นสีน้ำตาลแดง อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมธาปุระ ใบหน้าขาวซีดจาง เมื่อเทียบกับชาวเมธาปุระอื่นๆ เค้าโครงหน้าจัดว่าคมคายไม่น้อย ควรอายุมากกว่าตนราวสามหรือสี่ปี ชายผู้นี้กระชากตนหลุดจากหลักแล้วเหวี่ยงขึ้นมาบนเรือเล็ก จากนั้นตนก็หมดสติไม่รู้สึกตัวกระทั่งบัดนี้

บุลินไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ จะมีเรี่ยวแรงกำลังกระชากตนหลุกจากหลัก แล้วเหวี่ยงโยนขึ้นมาอยู่บนเรือเล็กได้ ชายคนนี้ทำได้อย่างไรก็ในเมื่อรูปร่างก็แทบเทียบเท่ากับตน แล้วพละกำลังมหาศาลนั่นได้มาอย่างไรกัน ส่วนหญิงสาวผู้ยังสลบไสลคลับคล้ายคลับคลา จะกระโดดขึ้นเรือเล็กตามหลังมา แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นล้วนจดจำไม่ได้

มายากรหนุ่มสะบัดใบหน้าแรงๆ หมายขับไล่อาการมึนงงวิงเวียน พยายามเรียกสัมปชัญญะกลับคืน แหงนหน้าขึ้นมองบนนภา ดาราส่องประกายระยิบระยับเฉกเช่นเดิม จันทรายังคงสาดแสงนวลกลางนภา

แต่นั่นอะไร! จันทรามิได้เต็มดวง!
ขอบดวงจันทราเริ่มเว้าแหว่งเล็กน้อย แม้เป็นเพียงเล็กน้อย แต่จันทรามิได้เต็มดวงอย่างแน่นอน...
นี่เกิดอะไรขึ้น...ค่ำคืนนี้จันทราเพิ่งเต็มดวงเป็นคืนแรกมิใช่หรือ!

กระแสเสียงทุ้มกังวาน ดังขึ้นข้างกาย
“เวลาล่วงมาสามราตรีแล้ว นับจากพวกเราผ่านห้วงดารานาถ”

เจ้าของสุ้มเสียงเป็นชายหนุ่ม ผู้ซึ่งบุลินเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต ไม่ทราบว่าฟื้นคืนสติตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายหนุ่มเหลียวสำรวจรอบข้างเพียงครู่ ก่อนเบนใบหน้ามาเผชิญสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของบุลิน

มายากรหน้าตาตื่นตะลึง ฉงนฉงาย ได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ
“เป็นไปไม่ได้ เขี้ยววายุเพิ่งฝ่านห้วงดารานาถเมื่อครู่ เวลาจะผ่านมาสามวันแล้วได้อย่างไร แล้ว...ที่นี่ที่ไหน เราสามคนมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”

นารทผู้ถูกเข้าใจว่าเป็นลูกเรือของเฒ่าเวทิต กล่าวตอบ
“เป็นไปได้ เพราะพวกเราสิ้นสติมาสามวันแล้ว”

“ไม่จริง!”
“เป็นความจริง ฌานเวทที่ไม่สมบูรณ์ของนาง...” ปรายสายตาฉงนฉงายไปยังหญิงสาวผู้ยังสิ้นสติ “ทำให้เราหลุดจากเขตเตโชฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ได้ก็จริง แต่...อาจเพราะนางใช้พลังเกินความสามารถที่มี ผลกระทบแห่งพลังเวทที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ทั้งนางและพวกเราที่ตกอยู่ในเขตเวทเดียวกันสลบไสลไปถึงสามวัน”

บุลินทะลึ่งตัวลุกพรวด หน้าตาแตกตื่น กล่าวตะกุกตะกัก
“นี่มันเรื่องอะไรมัน...ขุนพลเฒ่าอัฒฑ์หายสาบสูญไปสี่สิบเก้าปี ทำไมจู่ๆ ถึงปรากฏตัวที่ห้วงดารานาถ แล้ว...นี่พวกเจ้าสองคนเป็นใครกัน พวกเจ้า...เจ้าสองคนใช้ฌานเวทได้ด้วยหรือ”

นารทมองประเมินอีกฝ่าย ชั่งใจชั่วครู่ ทอดถอนใจด้วยหาคำอธิบายใดไม่ได้ เพราะกระทั่งถึงยามนี้ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดนายเรือเฒ่าจึงต้องให้พาเจ้ามายากรหลบหนีมาด้วย

“เรื่องราวมากมาย...จะให้ข้าเริ่มเล่าอย่างไรดี”

เพียงรู้ว่าอีกฝ่ายจะอธิบายเรื่องราวให้ฟัง บุลินพลันกระตือรือร้น ถึงกับลืมเหตุหวาดหวั่นน่าสะพรึงทั้งมวลที่ผ่านมา แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะได้รับรู้สิ่งใด แต่ดวงใจที่อยากรู้อยากเห็นอันเป็นพื้นนิสัยเดิม อันสั่งสมขึ้นทีละเล็กตั้งแต่เด็ก นับจากได้ยินได้ฟังตำนานเล่าขานมากมายจากเหล่าพ่อค้าเร่ เวลานี้ย่อมรู้สึกเหมือนค้นพบลายแทงขุนทรัพย์อันล้ำค่า

มายากรหนุ่มรีบตั้งคำถามแรก
“เริ่มจากเจ้าทั้งสองเป็นใคร”

นารทเห็นกิริยาอยากรู้อยากเห็น ดั่งเด็กเล็กๆ กำลังจะได้ฟังนิทานของอีกฝ่าย อดหัวเราะออกมาเบาๆ มิได้ ฉุกใจคิดว่าควรเลียบเคียงถามความเป็นมาของอีกฝ่ายก่อน ค่อยดูว่าสมควรบอกเล่าเรื่องใดให้ฟังได้บ้าง

“เอาล่ะ...ก่อนที่ข้าจะตอบคำถาม บอกเล่าสิ่งที่ข้ารู้ เจ้าไม่คิดหรือว่า เจ้าเองควรบอกเล่าให้ข้ารู้ก่อนว่า เจ้าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดมายากรอย่างเจ้าจึงต้องการเดินทางไปพุทธินคราให้ทันในเหมันต์นี้”

บุลินยิ้มกว้าง เพราะจากคำถามทำให้ฉุกใจคิดได้รวดเร็ว หัวเราะแล้วกล่าวว่า

“ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ข้าก็เหมือนกับผู้คนอีกมากมายที่ต้องการไปยังพุทธินครา ให้ทันก่อนสิ้นเหมันต์ แต่เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ต้องการเกล็ดของมังกรเพลิงหิมะหรอก ข้าแค่อยากไปชมดูการสัประยุทธ์อยู่ห่างๆ มายากรอย่างข้าจะเอาเกล็ดมังกรเพลิงหิมะไปทำไม แล้วข้าก็ไม่มีความสามารถขนาดนั้นด้วย อ้อ...จริงสิ ข้าชื่อบุลิน ส่วนความเป็นมาของข้า...”

บุลินเริ่มเล่าประวัติของตนให้นารทฟัง ตั้งแต่แรกเกิดเป็นเด็กกำพร้า เติบโตขึ้นในหมู่บ้านชายขอบของแคว้นบูรพประเทศ ได้รับการสั่งสอนจากคณะพ่อค้าเร่ ตัดสินใจเดินทางออกจากหมู่บ้าน เร่เปิดการแสดงตามตำบลและเมืองใหญ่กระทั่งมาถึงเมธาปุระ จนได้ขอโดยสารเรือเฒ่าเวทิตไปยังพุทธินครา

มายากรหนุ่มเริ่มสนุนสนานกับการเล่าเรื่องของตน ไม่ว่าเล่าขับขานตำนานแห่งอดีตกาล หรือเพียงเล่าเรื่องราวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน บุลินล้วนชื่นชอบทั้งยังเพลิดเพลินได้พอกัน

“ข้าเคยอ่านในหนังสือว่า มังกรเพลิงหิมะเป็นหนึ่งในสี่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งผืนพิภพ อันประกอบไปด้วย มังกรเพลิงหิมะ มยุรสิลา อานนท์มัตสยะ อัศวเนตรโลหิต โดยมังกรเพลิงหิมะจะพ้นจากการจำศีลในทุกช่วงเหมันต์ของพุทธินครา เมืองเอกแห่งแคว้นอุตรประเทศจัดงานฉลองประจำปีอันยิ่งใหญ่ ท้าทายเหล่าผู้กล้าหาญทั่วแผ่นดินเข้าร่วมสัประยุทธ์ ขึ้นไปบนยอดสูงสุดของเทือกเขาตารกคีรี...”

บุลินยิ่งเล่ายิ่งลืมไปแล้วว่า ตนต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มถาม ต้องการรู้เรื่องราวจากอีกฝ่าย

“หากแม้ขุนพล ผู้เรืองเวทย์ หรือจอมปราชญ์ผู้ใด มีฝีมือเพียงพอทำให้มังกรเพลิงหิมะสลัดเกล็ด และยังโชคดีมีชีวิตรอดนำเกล็ดมังกรกลับลงมา อาจได้ครอบครองศาสตราซึ่งว่ากันว่ามีฤทธาเป็นรองเพียง 6 เวทย์ศาสตราศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทว่า...”

เล่าถึงตอนนี้ มายากรหนุ่มทอดถอนใจ เอ่ยต่อว่า
“มังกรเพลิงหิมะไหนเลยพบเจอได้ง่ายดาย เก้าในสิบส่วนของเหล่าผู้เผชิญโชค กลับต้องสิ้นชีวิตเพราะความหนาวเยือกแห่งยอดตารกคีรี หาไม่ก็ต้องตายเพราะอดอาหารและน้ำ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีผู้เดินไปแสวงหาโชคมากมาย แต่ส่วนมากมักไม่รอดกลับมา ผู้ที่ได้ครอบครองเกล็ดมังกรในรอบห้าสิบปี มีไม่เกินสิบคนเท่านั้น”

นารทสงบฟังนิ่งเงียบ ใบหน้านั้นมีแววครุ่นคิดตลอดเวลา ทั้งยังสอบถามเรื่องราวที่บุลินเล่าเป็นระยะ กระทั่งมายากรหนุ่มเล่าจบ นารทยังนิ่งเงียบ คล้ายยังสงสัย ตกลงใจประการใดไม่ได้ ก่อนหันมองหน้าบุลินครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า

“นารท...คือชื่อของข้า ตำแหน่งปัจจุบันคืออาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา...”
“หา!” บุลินอุทานอย่างดีใจราวค้นพบขุมสมบัติล้ำค่า ท่าทีต่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นนอบน้อมเกรงใจอย่างยิ่ง

“เจ้า...เออๆ ท่าน...ท่านนารท อย่างนั้นท่านก็เป็นปราชญ์ใช่หรือไม่ ต้องใช่สิ...ต้องเป็นปราชญ์ถึงดำรงตำแหน่งในหอสมุดเมธาได้ ข้า...ข้าขออภัย...”

“เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เอาละ...บุลิน เจ้าอยากถามอะไรข้า”

เมื่อรู้ฐานนะแท้จริงของชายหนุ่ม บุลินกลับอึกอักไม่กล้าเอ่ยถาม แต่เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดความประหวั่นสงสัย อยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะความประหม่าจนได้

“ผู้ที่อยู่กลางห้วงดารานาถ คือขุนพลเฒ่าอัฒฑ์จริงๆ หรือ”

นารทนิ่งครู่หนึ่ง เอ่ยถามย้อนกลับ
“เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับขุนพลอัฒฑ์”

บุลินนิ่วหน้าชั่วอึดใจ เรียบเรียงเรื่องราวเท่าที่รู้ในห้วงคิด เอ่ยตอบ
“เมื่อแรกครั้งท่านพรหมปราชญ์ ตรรก พาเหล่าราชตระกูลและประชาชนชาวเรา เดินทางอพยพมาจนถึงอรุณวดีมหาทวีป ท่านและเหล่าปราชญ์ได้สร้างเวทศาสตรา อันสามารถดึงอำนาจแห่งจักรวาลทั้งแสนโกฏิมาใช้ เรียกขานเป็น 6 เวทศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ อันมีนามว่า ‘ปิ่นจันทร’ ‘ศรสูรยะ’ ‘วชิรภูตบดี’ ‘มณีอินทรา’ ‘ดาบวรุณาทิตย์’ ‘ภูษิตอัคนี’ ทุกช่วงราวหนึ่งร้อยปี เวทศาสตราศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนผู้สืบทอดครั้งหนึ่ง...”

มายากรหนุ่มเหม่อมองไปยังห้วงมหาทนี ดั่งกำลังทบทวนเรื่องราว ค่อยกล่าวต่อ
“ขุนพลอัฒฑ์แห่งศานติธานีคือผู้ครอบครอง ‘วชิรภูตบดี’ ตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน แต่หลังจากเหตุการณ์ ณ ‘วังปิตุธาดาเทวะ’ กลางทะเลสาบใหญ่ ‘มัชฌิมสาคร’ เหล่าผู้ครอบครองเวทศาสตราทั้ง 6 ต่างหายสาบสูญสิ้น มีเพียงขุนพลเฒ่าอัฒฑ์ผู้เดียวที่ยังปรากฏกาย ตามห้วงน้ำต่างๆ เป็นบางครั้งในลักษณะสัญญาวิปลาศ”

บุลินกล่าวจบ ทำท่าให้รู้ว่าตนเองรู้เรื่องราวเพียงเท่านี้

นารทก็คาดไว้ว่าบุลินคงรู้เท่านี้ เพราะคนทั่วไปก็รู้เรื่องเพียงเท่านี้
“ผู้ที่อยู่พบเจอคือขุนพลอัฒฑ์ไม่ผิดแน่ อาจเป็นเพราะคืนจันทราเต็มดวงทำให้ท่านปรากฏตัวอีกครั้ง”

“แล้วเรือลึกลับสีดำลำนั้น...”
“นั่นเป็นเหล่าศิษย์ของท่านเทวปราชญ์ นันทนะ ประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ ครั้งแรกคิดว่าพวกเขาถูกส่งไปร่วมสัประยุทธ์ เพื่อนำเกล็ดมังกรเพลิงหิมะกลับมา แต่จากพฤติกรรมของทั้งสามที่ห้วงดารานาถดูเหมือนไม่น่าใช่”

บุลินฉุกคิดขึ้น อุทานอย่างตื่นตระหนก
“อย่างนั้นเฒ่าเวทิตล่ะ! นารท...ท่านพาพวกเราหนีมาด้วยกันใช่ไหม มาแล้วเฒ่าเวทิตล่ะ!”

“ไม่ต้องห่วงท่านผู้เฒ่าหรอก อย่างไรเสียท่านก็เอาตัวรอดได้”

แม้บุลินจะไม่ลงรอยกับนายเรือเฒ่า ยามนี้ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ หวนคิดถึงฤทธาอันร้อนแรงของไอระอุแห่งเพลิงอัคคี อดสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นมิได้

“เฒ่าเวทิตที่แท้เป็นใครกันแน่ ท่านต้องรู้ความจริงแน่เลย หอสมุดเมธาย่อมมีบันทึกทุกเรื่องในอรุณวดีมหาทวีปใช่หรือไม่”

นารทยิ้มน้อยๆ กล่าวเพียง
“ไว้เจ้าเจอท่านผู้เฒ่า ค่อยถามท่านเองเถอะ”

อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา นิ่งตรึกตรองชั่วครู่ ค่อยเอ่ยต่อ
“ข้าเป็นคนนำพวกเจ้ามาถึงที่นี่ก็จริง แต่หญิงสาวผู้นี้ต่างหากเป็นคนกำบังพวกเรา พ้นจากเขตฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ ไม่เช่นนั้นแม้ข้าพาพวกเจ้าหลบหนีมาไกลเพียงไร ฤทธาแห่งฌานเวทของขุนพลอัฒฑ์ยังสามารถติดตามเผาผลาญพวกเราได้”

บุลินนิ่งฟัง ห้วงความคิดประมวลเรื่อวราวอย่างรวดเร็ว รีบเอ่ยถาม
“ท่านทั้งสองต้องการเกล็ดมังกรเพลิงหิมะหรือ”

นารทพยักหน้าน้อยๆ อีกครั้ง
“ใช่ แต่ข้าไม่รู้จักนาง และไม่รู้ว่านางต้องการไปพุทธินคราเพื่ออะไร”

ห้วงความคิดบุลินยังงุนงง ด้วยข้อมูลแปลกประหลาดที่เพิ่งรับรู้ เมื่อฉุกคิดจึงถามขึ้นอีก
“แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน”

“เราควรยังอยู่ต้นมหานทีศศิกันทรา ฌานเวทของข้าไม่มีพลังพาพวกเราทั้งสามไปไกลเกินนี้ จากตำแหน่งนี้ถ้าเดินทางโดยเรือสินค้า คงใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งอาทิตย์จึงจะถึงพุทธินครา”

บุลินหน้าเสียด้วยความผิดหวัง
“พวกเรามีเพียงเรือเล็กลำนี้ แม้กระแสน้ำกระแสลมแรงเพียงใด แต่อีกกี่สัปดาห์กว่าจะไปถึง ที่สำคัญน้ำหรืออาหารก็ไม่มี พวกเราจะประทังชีวิตกันอย่างไร”

นารทยังคงยิ้มน้อยๆ เช่นเดิมตอบว่า
“ไม่ต้องห่วง กำลังมีเรือขนาดใหญ่มุ่งหน้ามาทางนี้”

บุลินเบิกตาโพลง งุนงงครู่หนึ่งค่อยคิดได้ เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เส้นทางเข้าสู่มหานทีศศิกันทรามีสองทาง หนึ่งคือจากมหานทีนิศาอัมพุโดยผ่านห้วงดารานาถ ส่วนอีกเส้นทางคือจากมหานทีจันทราชลธีผ่านคลองขุดทางช่องเขาแคบ เรือจากศานติธานีสามารถใช้เส้นทางนี้เข้าสู่มหานทีศศิกันทรา...”

ขบคิดอีกครู่แล้วเอ่ยต่อ
“นอกจากนี้ มหานทีศศิกันทรายังสามารถเชื่อมต่อกับมหานทีอินทุธารา โดยผ่านทะเลสาบใหญ่มัชฌิมสาคร ดังนั้นเรือจากกษมปราการจึงสามารถแล่นล่องจากมหานทีอินทุธารา ผ่านมัชฌิมสาครเข้าสู่มหานทีจันทราชลธี แล้วอาศัยคลองขุดทางช่องเขาเข้าสู่มหานทีศศิกันทรา”

“ถูกต้อง...อีกไม่ช้านานหรอก กำลังมีเรือมุ่งมาทางนี้...”

ใบหน้าบุลินแปรเปลี่ยนเป็นแช่มชื่น ตื่นเต้นยินดี
“ท่านทราบเพราะใช้ฌานเวทใช่หรือไม่ ข้าทราบมาว่าผู้สำเร็จวิชาแห่งปราชญ์ มีลำดับขั้นตอนเริ่มจากปราชญ์ฝึกหัด เมธาปราชญ์ มหาปราชญ์ เทวปราชญ์ ราชปราญ์ พรหมปราชญ์ นับแต่อดีตผู้สำเร็จขั้นพรหมปราชญ์มีเพียงท่านตรรก สำหรับท่านนันทนะ ประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์คนปัจจุบัน ว่ากันว่าท่านสำเร็จขั้นเทวปราชญ์...”

มายากรหนุ่ม มองวิเคราะห์นารทชั่วครู่ ค่อยเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“ท่านสูงอายุกว่าข้าไม่มาก น่าจะสำเร็จขั้นเมธาปราชญ์ใช่หรือไม่...”

ทว่าหลังเอ่ยออกไป บุลินก็รู้สึกนั่นเป็นคำถามที่หยาบคายยิ่ง ไม่ต่างจากการสอบถามอายุของหญิงสาว ดังนั้นรีบละล่ำละลักขอโทษขอโพย

“ข้าไม่ควรเอ่ยถาม ขออภัยเถอะท่าน ข้าพลั้งปากไป...”
“ไม่เป็นไร...ข้าไม่ถือว่าความสำเร็จของตนเป็นสิ่งที่ต้องปิดบัง และใช่...ข้าคือเมธาปราชญ์”

เอ่ยเพียงเท่านั้น พลางหันไปทางหญิงสาว กล่าวว่า
“นางฟื้นแล้ว”

บุลินรีบขยับเข้าไปดูอาการหญิงสาว
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง”

หญิงสาวนามวาสิตา ขมวดคิ้วสับสนอยู่ครู่ใหญ่ สุ้มเสียงกังวานใส เอ่ยด้วยความงุนงง
“ข้า...ข้าไม่เป็นไร พวกเราอยู่ที่ไหน...”

นารทไม่ตอบคำถามของนาง หากเขม้นมองไกลยังห้วงน้ำกว้าง
“เรือกำลังมาแล้ว...”

ทั้งสามหันไปมองทางเดียวดุจนัดกันไว้ บุลินยังมองไม่เห็นสิ่งใด แต่วาสิตาเอ่ยน้ำเสียงแผ่ว
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะอาศัยโดยสารเรือลำนี้ นี่มัน...”

นารทเองก็ขมวดคิ้ว คล้ายพบเจอเรื่องคาดไม่ถึงเช่นกัน หากยังกล่าวว่า
“ลองดูลาดเลาก่อน ค่อยตัดสินใจเถอะ”

บุลินสลับมองหน้านารทกับวาสิตา ด้วยไม่เข้าใจว่าทั้งสองกล่าวถึงเรื่องอะไร
“ทำไมล่ะ เรือลำนั้นมีปัญหาอะไรหรือ”

วาสิตาทอดถอนใจ กล่าวว่า
“เรือขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาหาเรา...เป็นเรือรบ”

บุลินสะดุ้งเฮือก แม้สงสัยใคร่รู้ว่าคนทั้งสองรู้ได้อย่างไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะคิดได้ว่าทั้งสองเป็นผู้ใช้ฌานเวทย่อมต้องรู้ดีกว่าตนแน่ๆ ตอนนี้เหม่อมองไปกลางมหานทีก็ยังไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น

หญิงสาวหันมาเอ่ยกับบุลิน
“ข้าชื่อวาสิตา ข้าได้ยินท่านผู้เฒ่าเรียกท่านว่าบุลิน”

มายากรหนุ่มยิ้มรับเริงร่า แววสงสัยใคร่รู้เปี่ยมใบหน้า
“ท่านนารทบอกว่า เจ้าใช้ฌานเวทนำพวกเราหลุดจากเขตเวทของขุนพลอัฒฑ์ เจ้าที่แท้เป็นใครกัน”

วาสิตาเผยยิ้มน้อยๆ นิ่งไม่ตอบคำถาม

นารทยังเขม้นมองกลางห้วงน้ำอย่างใช้ความคิด เตือนทั้งสองว่า
“เว้นการสนทนาไว้สักครู่เถอะ”

บุลินกับวาสิตาต่างรับคำ มายากรหนุ่มย่อมไม่รู้เหตุผล ทว่าเพราะนารทผู้เป็นเมธาปราชญ์บอกเช่นนั้นจึงกระทำตาม สำหรับวาสิตาย่อมทราบความหมายในคำเตือนนั้น เพราะหญิงสาวก็รับรู้กระแสจิตอ่อนๆ จากเรือซึ่งกำลังมุ่งหน้ามา กระแสพลังนี้สำรวจตรวจสอบทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าเรือลำนั้น ดุจดั่งเป็นนัยน์ตา โสต นาสิก แจ้งทุกเรื่องราวแก่ผู้เป็นเจ้าของ ไม่เว้นกระทั่งการดำรงอยู่และกระแสพลังของพวกตนทั้งสาม

กระแสพลังจิตที่พุ่งแผ่กระทบนี้อ่อนจาง เนื่องเพราะผู้เป็นเจ้าของยังอยู่ห่างไกลโข แต่หากได้คิดว่าขนาดอยู่ห่างไกลเพียงนี้ ยังสามารถแผ่กระแสจิตสำรวจตรวจสอบสรรพสิ่ง นับว่าเจ้าของกระแสพลังผู้อยู่บนเรือ ย่อมมีความสำเร็จในฌานเวทขั้นสูง นับไปนับมาผู้มีฌานเวทขั้นนี้มีอยู่ไม่มาก ไม่รู้ว่าอีกสักครู่ต้องเผชิญกับผู้ใด

ทั้งสามรอคอยอย่างสงบมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก จันทราค่อยเคลื่อนผ่านนภากำลังจะตกสู่มหานทีกว้างใหญ่ อีกไม่กี่ชั่วยามพระสุริยาทิตย์จะทรงราชรถพ้นจากขอบฟ้า กระแสลมยิ่งเยียบเย็นแทบบาดผิวหนัง ทว่าจิตใจของผู้อยู่บนเรือเล็กทั้งสามกลับร้อนรุ่มด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

ทันใด กลางมหานทีเบื้องหลังเรือลำเล็ก บังเกิดเสียงสายลมตีปะทะใบเรือขนาดใหญ่ แว่วเข้าโสตของทั้งสามถนัดชัด ไม่นานนักเรือลำใหญ่ซึ่งมุ่งตรงมาก็ปรากฏแก่สายตา นั่นเป็นเรือรบขนาดใหญ่ ลำเรือนั้นใหญ่กว่าเขี้ยววายุกว่าหนึ่งเท่า ธงประจำเรือโบกสะบัดโต้กระแสลมแรง บ่งบอกว่าเป็นของกษมปราการ เมืองเอกแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ

ไม่เท่านั้นธงอีกผืนซึ่งโบกสะบัดเคียงข้าง บ่งบอกฐานะของผู้อยู่บนเรือ นั่นเป็นตราประจำตัวของประธานผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ!

วาสิตาสะดุ้งเฮือกถึงกับอุทานออกมา แต่นารทกลับมีสีหน้าปีติยินดี และยังไม่ทันที่ทั้งสามจะเอ่ยปากสิ่งใด เหล่าทหารองครักษ์ประจำบนเรือของกษมปรากการ ต่างส่งเสียงรายงานตะโกนโหวกเหวก ทั้งหมดเห็นเรือเล็กที่ลอยอยู่เบื้องหน้า กำลังตระเตรียมนำผู้อยู่บนเรือขึ้นเรือของตน

บัดนั้น คล้ายบังเกิดเสียงหัวร่อดังแว่วแผ่วเบา ดังจากบนเรือรบเบื้องหน้า กระแสเสียงนั่นปีติยินดียิ่ง

ทันใด วาสิตากับนารทสะดุ้งเฮือกขึ้นทั้งร่าง!
วาสิตาขมวดคิ้วมุ่น นิ่งขรึมไม่เอ่ยสิ่งใด

ทว่าสีหน้าของนารท ปรากฏแววยินดีเด่นชัด
“โชคเข้าข้างพวกเราแล้ว”

สิ้นประโยค เรือเล็กค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเรือรบลำใหญ่ วาสิตาแม้มีสีหน้าเคร่งขรึมหากท่าทียังเป็นปกติ บุลินทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นบนเรือรบของกษมปราการ เจ้าแห่งมหานทีผู้มีกองเรือยิ่งใหญ่และทรงประสิทธิภาพที่สุดในสี่แคว้น ที่ยินดีเพราะบนเรือมีเหล่านักรบองครักษ์มากมาย มายากรหนุ่มย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะสนทนากับเหล่าทหาร สอบถามเรื่องเล่าตำนานต่างๆ นานาแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ

บุลินมัวแต่กระหยิ่มยินดี นั่งครุ่นคิดคำถามประดามีมากมายตระเตรียมไว้ กลับไม่ได้สังเกตหรือเฉลียวใจฉุกคิดเลยว่า เรือเล็กกำลังเคลื่อนที่ต้านทั้งกระแสลมและกระแสน้ำ มุ่งตรงเข้าหาเรือรบด้วยความเร็วที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพียงอึดใจเดียวก็เข้าเทียบข้างเรือใหญ่

วาสิตาชำเลืองมองนารทด้วยสายตาเลื่อมใส ไม่บ่อยครั้งที่นางบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ต่อผู้มีอายุสูงวัยกว่านางไม่มาก เพราะนางภาคภูมิใจในความสำเร็จของตนเป็นที่ยิ่ง ด้วยรู้ดีว่าผู้อายุไล่เลี่ยเดียวกันแทบไม่มีใครเรียนรู้ฌานเวทขั้นสูงเฉกเช่นตนได้

ทว่านับจากขึ้นบนนาวาเขี้ยววายุ นางตระหนักในวาโยฌานเวทของนารท ผู้สำเร็จขั้นเมธาปราชญ์แห่งมาธาปุระหลายต่อหลายครั้งครา ฤทธาแห่งฌานเวทนั้นแทบมิใช่เมธาปราชญ์แล้ว หากกำลังเข้าสู่ขั้นมหาปราชญ์แทบจะสำเร็จในเร็ววัน ด้วยอายุที่มากกว่านางเพียงสองหรือสามปี นับเป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ

เหล่าทหารนักรบบนเรือลำใหญ่ ล้วนสังเกตเห็นการเคลื่อนที่อันผิดปกติของเรือเล็กเช่นกัน บ้างแตกตื่นฮือฮา บ้างซุบซิบสุ้มเสียงอื้ออึง แต่ทั้งหมดเตรียมการพร้อมสรรพอยู่ก่อน โยนบ่วงเชือกช่วยเหลือทั้งสามขึ้นบนเรือใหญ่ในชั่วอึดใจ

บนดาดฟ้าเรือ นักรบองครักษ์ยืนเรียงสองแถว ขนานไปกับกราบเรือทั้งสองด้าน ต่างสวมเครื่องเกราะวาววับกระชับอาวุธคมกล้าในมือ สีหน้าสงบเรียบเฉยนิ่งขรึมสภาพน่าเกรงขามยิ่ง กลางแถวทแกล้วทหารปรากฏร่างสูงตระหง่านของชายสองคน แม้ใต้เงารัตติกาลยังมิอาจบดบังประกายแห่งอำนาจอันน่าเกรงขาม และรังสีแห่งฤทธาที่แผ่ซ่านจากร่างชายทั้งสองได้

ชายร่างสูงตระหง่านผู้ยืนกลางแถวทหาร คนหนึ่งมิได้สวมเครื่องเกราะและอาวุธ คิ้วหนาคมเข้ม ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมคมสันเหี้ยมหาญ ผิวกายและใบหน้าเป็นสีทองแดง ผมสั้นคาดด้วยรัดเกล้าทองคำประดับอัญมณีวาววับ อายุควรราวสามสิบเศษ จมูกโด่งริมฝีปากบางเฉียบ แสดงถึงความหยิ่งทระนงเชื่อมั่นในอำนาจแห่งตน และคุ้นชินกับการออกคำสั่งผู้คน นัยน์ตายิ่งดำขลับลึกลับสุดหยั่ง

แม้มิได้กุมศาสตราใด แต่ทั้งบุลิน นารท วาสิตา ต่างรู้สึกเหมือนกันว่าคมศรที่มองไม่เห็น อาจพุ่งจากมือชายผู้นี้ทะลุหัวใจทั้งสามดวงในเสี้ยวพริบตา บุลินนั้นถึงกับร่างสั่นสะท้านด้วยความกลัว

ส่วนชายอีกคนผู้ยืนด้านข้างเยื้องทางด้านหลัง สวมเครื่องเกราะเงินแวววาวระยับ ทั้งสวยงามสง่าทั้งน่าเกรงขาม บ่งบอกชัดว่าศักดิ์ฐานะต่างจากเหล่านักรบองครักษ์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง กระนั้นก็ไม่ปรากฏศาสตราใดบนร่างตระหง่าน ชายผู้นี้ใบหน้าคมสันรูปไข่ ผิวคล้ายสีขาวนวลดั่งคนแคว้นเหนือ ใบหน้านั้นสงบเรียบเฉย แววตานิ่งสงบดั่งสายธารนุ่มละมุนดุจเมฆา บ่งบอกถึงความเยือกเย็นและอ่อนโยน อายุสูงวัยกว่าอีกคนสามหรือสี่ปี

ชายผู้คาดรัดเกล้าทองคำ ก้าวยาวๆ ตรงเข้ามาแตะไหล่นารท
“ช่างเป็นโชคดีของข้า มาเถอะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาหารือกับเจ้า”

สีหน้าของนารทย่อมปีติยินดีไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ชายหนุ่มคล้ายตื้นตันกระทั่งไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใด ทว่าจากสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย อาลักษณ์แห่งเมธาปุระรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ คล้ายอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือจากเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องใดทำให้ชายผู้นี้เป็นกังวล ขนาดต้องการความช่วยเหลือจากตน

ชายผู้สวมรัดเกล้าทองคำ ค่อยหันมากล่าวกับบุลินและวาสิตา
“ข้า ‘กรินทร์’ ยินดีต้อนรับพวกเจ้า ขออภัยตอนนี้ข้ากำลังมีเรื่องยุ่งยาก ต้องปรึกษาหารือกับนารทในทันที” พลางหันไปพยักหน้า สั่งการชายผู้สวมเครื่องเกราะเงินแวววาว

“‘ศรุต’ ท่านพาอาคันตุกะทั้งสองไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

ชายสวมเครื่องเกราะเงิน ผู้มีนามว่าศรุตรับคำ ส่วนบุลินเวลานี้ได้แต่ยืนตะลึงปากอ้าตาค้าง!

เนื่องเพราะ ‘เจ้าฟ้าชายกรินทร์’ เป็น ประธานผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นทักษิณาประเทศ ส่วน ‘ขุนพลศรุต’ ก็เป็นขุนพลคู่ใจ กล่าวกันว่าตระกูลนักรบผู้เข้มแข็งที่สุดแห่งสี่แคว้น ก็คือเจ้าฟ้าชายกรินทร์และขุนพลศรุต!

และอย่าว่าแต่ในหมู่ราชตระกูลและเหล่าขุนพลนักรบเลย แม้กระทั่งในเหล่าปราชญ์ผู้ปรีชาญาณ เวลานี้คงมีเพียงท่านเทวปราชญ์ นันทนะและธันยา เท่านั้นกระมังที่มีฌานเวททัดเทียบชายทั้งสองคน!

จากคุณ : big pigdaddy
เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 11:07:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com