Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนต์ไพร บทที่ 15 : ดำรงชีพในป่า ติดต่อทีมงาน

บทที่  15


ไม่มีคำตอบจากอีกคนนอกจากมือที่หยุดชะงักไปนิดหนึ่ง

“เสร็จแล้วค่ะ”

ฝากฟ้าบอกเสียงเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ความจริงแล้วทั้งหน้าและตัวกำลังร้อนวูบวาบไปหมด เธอโยนให้เป็นผลของอาการปวดตามร่างกายที่เริ่มรุมเร้าและทำให้อยากนอนพัก ไม่ใช่คำพูดของอีกฝ่าย

“ขอฝากนอนพักก่อนนะคะ ไม่ไหวแล้ว” พูดอุบอิบแล้วก็โยนสำลีเข้ากองไฟ หลบสีหน้าจากสายตาแวววาว

อีกฝ่ายกุลีกุจอดึงเป้มาวางแล้วประคองเธอนอนลง “เอาเป้หนุนดีกว่า อีกสักพักพี่จะกางเต็นท์จะได้นอนในเต็นท์คงอุ่นและสบายกว่าเดิม” จากนั้นก็จัดผ้าห่มให้เรียบร้อย

ฝากฟ้าลอบมองหน้าคมสันแล้วรีบหลับตาลงเมื่อเขาเบนหน้ามา เธอจึงไม่อาจเห็นสายตาที่มองมาอย่างห่วงใยและมีความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้ง

ใจหนึ่งวนาสณฑ์ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขากับเจ้าของรูปในกระเป๋าได้มาใกล้ชิดกันในตอนนี้ แต่อีกใจก็กังวลเหลือเกินว่า นี่คือป่า และเป็นป่าที่เขาไม่เคยเข้ามา และไม่คุ้นเคย คิดแล้วก็เอามืออังหน้าผากเนียน แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไอร้อนแผ่มาสู่มือ

ชายหนุ่มยกมือดูนาฬิกาเดินป่าคู่ใจ ฟ้ายังไม่มืดสนิทดีนัก สถานการณ์เช่นนี้การติดตามหาคณะคงเป็นไปได้ยาก เขาตัดสินใจในทันทีว่าการเอาชีวิตตัวเองกับฝากฟ้าให้รอดและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คิดได้ดังนั้นจึงเอาพลาสติกที่เหลือมาคลุมตัวแล้วเอาชายสองด้านมัดไว้ใต้คาง  หยิบมีดมาถือไว้แล้วเดินตรงไปยังกอไผ่ที่เห็นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พักนัก ความจริงเขามีเสื้อกันฝน แต่มันอยู่ในเป้และเขาก็ไม่อยากรบกวนคนที่นอนหลับตาอยู่

ไม้ไผ่กับไม้โตขนาดสองนิ้วท่อนยาวประมาณสองเมตรถูกวางลงห่างจากกองไฟเล็กน้อย วนาสณฑ์เหลือบมองคนที่นอนอยู่เห็นฝ่ายนั้นปรือตามอง สีหน้าที่เริ่มแดงก่ำทำให้ชายหนุ่มใจไม่ดี

“เป็นยังไงบ้าง” เขาปราดเข้าไปถามพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เอามือแตะหน้าผากเผือดซีด

“หนาวค่ะ” เธอตอบเสียงเครือ

ไม่มีทางใดนอกจากอุ้มเธอขยับมาใกล้กองไฟกว่าเดิม เพราะผ้าห่มเขาไม่มีเหลือแล้ว “ทนเอาหน่อยนะ สักพักคงจะอุ่นขึ้น เดี๋ยวพี่จะทำอะไรให้กินจะได้รีบกินยา พอดีมีเสบียงติดกระเป๋าพี่มาบ้าง”

ว่าแล้วก็ประคองศีรษะหญิงสาวมานอนบนตักตัวเองก่อนจากนั้นก็เปิดเป้เอาถุงเสบียง ไฟฉาย GPS และแผนที่ออกมาวางไว้ ก่อนจะวางเป้ลงเป็นหมอนจำเป็นเช่นเดิม ค่อยๆ วางศีรษะฝากฟ้าลงอย่างอ่อนโยน

“พี่จะไม่ยอมให้น้องฝากเป็นอะไรไปเด็ดขาด” กระซิบข้างหูเธอแผ่วเบา

เป็นเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินก่อนจะหลับไปอีกครั้ง

วนาสณฑ์จัดการเอาไม้ขนาดเขื่องทำคานเหนือกองไฟ จากนั้นตัดไม้ไผ่เป็นท่อนๆ โดยเหลือปล้องไว้ จัดการเอาข้าวสารกรอกลงในกระบอกไม้ไผ่ รองน้ำฝนซึ่งไหลตามร่องหินไม่ยอมหยุดใส่ลงไปเททิ้งไปหนึ่งรอบก่อนจะรองอีกรอบแล้วนำมาวางอิงบนไม้คาน เริ่มต้นเป็นพ่อครัวเพื่อการดำรงชีพในป่ายามยากจากเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดหมายว่าจะเกิดขึ้น

                            ******************

ดิตถ์ประคองฝนทองมาถึงเป้าหมาย ปล่อยให้เธอยืนกอดอกพิงก้อนหินส่วนตัวเองเอาพลาสติกปูพื้นแล้ววางกระเป๋าเป้ลง เปิดกระเป๋าตามด้วยถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มข้าวของด้านใดอีกชั้น ค้นเอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมายื่นให้หญิงสาวอ่อนวัยกว่า

“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”

ฝนทองมองเสื้อยืดสีเขียวแบบทหารกับกางเกงขาสั้นที่ผู้กองดิตถ์ยื่นมาให้อย่างชื่นชมในความรอบคอบของเขา หากไม่มีถุงพลาสติก ป่านนี้เธอเชื่อว่าทั้งเธอและดิตถ์คงจะต้องผจญกับความหนาวและปวดบวมแน่นอนกว่าจะเจอกับแดดอีกครั้ง

“แล้วพี่ผู้กองล่ะคะ”

ยังไม่จบประโยคดีเธอก็ต้องเบิกตาโต เมื่อฝ่ายนั้นถอดเสื้อยืดสีเขียวออกจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นลอน เธอหมุนตัวหันหลังขวับ นึกเข่นเขี้ยวในใจว่า ถอดโชว์ต่อหน้าต่อตาไม่มีอายเลย หันหลังหนีสักนิดจะเป็นไร

“อ้าว รีบเปลี่ยนสิน้องฝน เดี๋ยวปวดบวมกินหรอก เดี๋ยวพี่จะก่อไฟรอ เราคงต้องติดฝนกันเหมือนพระเอกนางเอกในหนังกันไปไหนไม่ได้จนกว่าฝนจะหยุด แต่ถ้ามืดก่อนยังไงก็คงต้องอยู่ตรงนี้ไปไหนไม่ได้อยู่ดี”

ฝนทองเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อหาจุดที่จะเปลี่ยนชุดได้โดยไม่ต้องระแวงกับสายตาของอีกคน

“เปลี่ยนตรงนี้ก็ได้ พี่จะหันหลังให้”

“บ้าเหรอคะ ใครจะกล้า”

“ไม่ต้องกลัวพี่มองหรอกน่า...หุ่นงามกว่านางแบบก็ยังเห็นมาแล้ว หุ่นเรียบๆ ธรรมดาแบบนี้พี่ไม่มองหรอก”

ฝนทองเข่นเขี้ยวในใจ หน็อย...หาว่าเราหุ่นเรียบๆ เดี๋ยวก็ถอดให้ดูเสียเลยว่า อย่างฝนทองน่ะซ่อนรูปนะจะบอกให้ เห็นแล้วจะตะลึง แล้วสายตาของฝนทองก็มองเห็นโขดหินอีกด้านหนึ่งอยู่ภายใต้ชะง่อนหินห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตร

“ห้ามหันมาทางนี้เด็ดขาดนะคะ ฝนจะเปลี่ยนชุด ถ้าหันมาอนาคตขอให้ตาบอด” เธอแช่งกันไว้ก่อน

“โห..เล่นแช่งกันถึงขั้นตาบอดเลยเหรอ เอาแค่ตาเป็นตากุ้งยิงก็ได้มั้ง เป็นไม่นาน หายเร็ว จะได้ลองเสี่ยงดู” เขายังมีแก่ใจแหย่

“บอกว่าให้หันไป” ฝนทองขึ้นเสียงสูงเพราะเธอกำลังจะถอดเสื้อ ในขณะที่ตายังมองเขาอย่างระแวง แต่ฝ่ายนั้นก็ยังมองตามมาพร้อมคำพูด

“ครับผม” เสียงรับคำนั้นดูยังไงก็ล้อเลียนอยู่ดี

ใช้เวลาเกือบสิบนาที เธอจึงเดินกลับมายืนดูกองไฟที่เริ่มติด ในขณะที่คนก่อหายไปไหนก็ไม่รู้ ยอมรับว่าเขาก่อไฟได้เร็วมากโดยอาศัยกิ่งไม้เล็กๆ ซึ่งอยู่ใต้ชะง่อนหิน อึดใจก็ได้ยินเสียงตัดไม้ดังมาจากอีกด้านหนึ่งแข่งกับเสียงฝนที่ยังตกลงมาไม่ยอมหยุด เธอวางเสื้อผ้าเปียกไว้บนพลาสติกก่อน ใช้มือสางผมลวกๆ ก่อนจะรวบทั้งหมดและปัดไปด้านหลังแล้วเดินไปตามเสียง เห็นผู้กองดิตถ์กำลังใช้มีดพกฟันไม้ที่ล้มพาดลงมาอยู่ใต้ชะง่อนหิน เธอยืนรอจนกิ่งไม้ขาดจากกันจึงเอ่ยอย่างมีน้ำใจ

“ฝนจะช่วยลากไปที่กองไฟเองค่ะ”

ดิตถ์ก้มลงมองกิ่งไม้ที่ไม่ใหญ่มากนัก ก่อนจะเงยหน้าพยักหน้ารับด้วยสายตาขอบใจ ฝนทองไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอลากกิ่งไม้ไปยังกองไฟ มีสายตาชื่นชมตามร่างไปด้วย

ผู้กองหนุ่มกำลังจะหันมาจัดการกับกิ่งต่อไป เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ชั่งใจอยู่อึดใจ ก่อนจะดึงเอาปืนสั้นที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาแล้วเล็งไปยังเป้าหมาย

“ปัง!”

“เสียงอะไรคะ พี่ผู้กองยิงปืนเหรอ” ฝนทองวิ่งหน้าตาตื่นมา

ดิตถ์มองหน้าหญิงสาวแวบหนึ่งแต่ไม่ตอบว่าอะไร นอกจากวิ่งฝ่าสายฝนออกไปเกือบสิบเมตรแล้วจับเอาสิ่งหนึ่งขึ้นมาก่อนจะวิ่งกลับเข้ามาตรงหน้าฝนทองพลางยกบางอย่างขึ้น ฝนทองเบิกตากว้าง

“นกนี่ พี่ยิงมันทำไมคะ” เธอถามเสียงแหลม ไม่พอใจอย่างมาก

“มันจะเป็นอาหารเย็นของเรา” เขาตอบหน้าตาเฉยพลางยื่นให้เธอถือไว้ แต่อีกฝ่ายยืนนิ่งทำตาวาวราวกับว่าถ้าทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งได้เธอก็ทำไปแล้ว

“เสบียงเราไม่มีเหรอคะทำไมต้องยิงสัตว์ป่าด้วย”

“กระเป๋าพี่มีเสบียงนิดเดียว เพราะส่วนใหญ่อยู่กับจ่าแก้วกับจ่าขวด เพราะฉะนั้นถ้าไม่ทำเพื่อดำรงชีวิตล่ะก็เราจะตายเสียก่อนจะรอดออกไปตามหาคนอื่น”

“แต่เราหาอย่างอื่นก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องยิงนกเลย”

“แล้วจะให้พี่หาอะไร ปลา หรือว่าจิ้งหรีดดีล่ะ แต่เอ...ช่วงเวลาอย่างนี้ กบ เขียด คงจะออกเยอะ”

“พี่ผู้กอง” ฝนทองร้องเสียงเขียว “ทำงานร่วมกับนักอนุรักษ์ทำไมไม่รู้จักอนุรักษ์เลย”

“อนุรักษ์ในขณะที่ตัวเองกำลังจะตาย จะเลือกเอาแบบไหนล่ะ”

ฝนทองเม้มปาก แต่สายตาบอกว่าไม่เห็นด้วย และไม่พอใจผู้กองดิตถ์เป็นที่สุด เธอเหลือบมองนกสีเทาในมือของอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ็บปวด

ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเครียดที่ริมฝีปากก่อนจะเดินไปยังกองไฟ เขาไม่ได้อยากทำอย่างนี้เท่าไหร่นักหรอก แต่ก็เพราะปากท้องของเธอต่างหาก ตัวเขาเคยลำบาก เคยอดอาหารได้หลายวันขอเพียงมีน้ำกรอกปาก ส่วนฝนทองจะทนได้แค่ไหน ในกระเป๋าเขามีข้าวสารกับอาหารเพียงนิดหน่อย ซึ่งต้องสำรองไว้เพราะยังไม่รู้อนาคต แต่รายนั้นคงจะมัวคิดเรื่องอุดมการณ์ การอนุรักษ์จนลืมเรื่องปากท้อง เขาเข้าใจ แต่ก็อยากให้เธอเข้าใจเขาหน่อยว่าเขาทำเพื่อเธอ...

                           *********************

ฝากฟ้าปรือตาอย่างงงๆ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา รู้สึกถึงความมืดที่รายล้อมพอมองถ้วนถี่จึงรู้ว่าอยู่ในเต็นท์ เสียงฝนกระทบพื้นดังชัดเจนต่อเนื่องเช่นเดิม กลิ่นหอมลอยมาเข้าจมูก  ศีรษะถูกประคองขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสที่เอวจนเธอมาอยู่ในท่านั่ง

“กินข้าวก่อนเถอะฝากฟ้า จะได้กินยาแล้วเข้าไปนอนในเต็นท์”

ฝากฟ้าเหลือบไปเห็นเต็นท์นอนขนาดสองคนนอนกางอยู่ไม่ไกลจากกองไฟนัก

“มืดแล้วเหรอคะ น่ากลัวจัง”

“ใช่ แต่ไม่ต้องกลัวหรอก พี่สนอยู่นี่แล้ว ถ้าเป็นอะไรพี่ก็ต้องเป็นก่อนหรือไม่ก็เป็นด้วยกันนี่แหละเพราะพี่จะกอดน้องฝากไว้จนกว่าจะเช้า”

ความหมายของคำพูดบอกตามนั้นเพราะอ้อมแขนโอบรอบเอวและใช้เรือนร่างตัวเองให้เป็นที่พิงให้เธอ

“กี่ทุ่มแล้วคะ”

“ทุ่มครึ่ง”

ช้อนตักข้าวหอมกับกุนเชียงย่างหอมกรุ่นถูกยื่นมาจ่อตรงปาก ดวงหน้าสีแทนแจ่มชัดเมื่อเขาก้มลงมาใกล้และคะยั้นคะยอให้อ้าปาก

กินได้ประมาณสิบกว่าคำเธอก็อิ่ม กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำอุ่นถูกจ่อริมฝีปาก พอดื่มน้ำแล้วยาสองเม็ดก็ตามมา

“ยาพารา กินสองเม็ดเลย”

พอกลืนยาตามด้วยน้ำไปแล้ว เธอก็หลับตาลง รู้สึกถึงลมหายใจที่กระทบตรงขมับอย่างสม่ำเสมอ อึดใจรับรู้ว่าแผ่นหลังเธอสัมผัสกับอกเขาแม้จะมีผ้าห่มกั้นอยู่

“หลับเสีย” เสียงเขาบอก

“พี่สนกินข้าวหรือยังคะ” เธองึมงำถามทั้งที่ยังหลับตา

มือที่โอบเอวอยู่กระชับขึ้น “เรียบร้อยแล้ว กินก่อนจะปลุกฝาก เพราะจะได้ดูแลคนไข้ได้เต็มที่”

“แย่จังนะคะ ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้ งานก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย”

“ใครจะห้ามได้ล่ะ หือ... ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก”

พลันร่างของฝากฟ้าก็เกร็ง ถามออกมาเหมือนนึกได้ “จริงสิคะ...แล้วคนอื่นล่ะ”

“พี่เชื่อว่าทุกคนจะปลอดภัย”

แม้จะบอกไปอย่างนั้น แต่วนาสณฑ์รู้ดีว่าเขาไม่ได้เชื่อมั่นอะไรเลย บางทีเขาจะคิดผิด ทิวาอาจพูดถูกก็เป็นได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งเขาคงจะรู้สึกผิดมาก และถ้าถึงขนาดเป็นอะไรถึงแก่ชีวิต เขาถือว่าเป็นความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ และคงไม่กล้าจะทำงานในสายงานนี้ต่อไปเพราะมันคงเป็นภาพหลอนและตราบาปไปตลอดชีวิต

ที่สำคัญและมีผลต่อหัวใจเขามากที่สุดคือคนในอ้อมแขนของเขา อาปลา อาพันเดช รวมทั้งพ่อเขาคงไม่ให้อภัยเขาถ้าฝากฟ้าเป็นอะไรไป...

ฝนซาลงแล้ว แต่บางคราวลมเบาๆ ก็พัดเอาน้ำฝนที่ค้างบนเรือนยอดร่วงกราวลงกระทบพื้น วนาสณฑ์มองกองไฟผ่านประตูเต็นท์ที่เปิดเอาไว้ ความเงียบเริ่มปกคลุมป่าเป็นระยะ ชายหนุ่มจับพระเครื่องออกมา นึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ แล้วยกขึ้นจรดศีรษะ พอเอียงหน้ามองอีกคนแสงสว่างจากไฟด้านนอกทำให้เห็นดวงตาสุกใสของอีกฝ่ายจ้องอยู่

“ยังไม่หลับอีกหรือ”

นั่นสิ เธอน่าจะหลับไปแล้ว แต่ทำไมยังตื่นอยู่ รับรู้กับลมหายใจและแก้มสากที่ชักจะเลื่อนลงมาแนบแก้มเธอ

“ตัวร้อนขึ้นหรือเปล่านี่”

ร้อนเพราะพี่สนนั่นแหละค่ะ เธอบอกในใจ พลันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดความคิด เป็นเสียงดังคำรามมาจากที่ใดที่หนึ่งไกลๆ

“เสียงอะไรคะพี่สน” มือเธอกำแน่นที่แขนแข็งแกร่ง

“เสียงของพวกสัตว์ป่า แต่ไม่ต้องกลัวหรอก พี่ก่อไฟไว้แล้ว ปืนก็อยู่ข้างๆ นี่ หลับเสีย ไม่ต้องกลัว หลับอย่างนี้แหละ นอนสบายไหม”

“พี่สนไม่มีผ้าห่มนี่คะ”

“ก็ใช่ แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่อาศัยไออุ่นจากกองไฟก็ได้ ถึงมันจะไกลหน่อยก็เถอะ” เขาบอกง่ายๆ ทั้งที่ไอร้อนจากกองไฟไม่มีอำนาจมากพอจะแผ่เข้ามาถึงในเต็นท์

“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ผ้าห่มด้วยกันนะคะ” เธอบอกเสียงเบา พลางขยับตัวและจัดผ้าห่ม

“ขอบใจนะฝากฟ้า...ขอบใจคนดี” ชายหนุ่มบอกเสียงเบา

เหตุผลที่เขาขอบใจไม่ใช่เพราะว่าเขาจะหายหนาวจากผ้าห่มผืนบางนี้หรอก แต่เพราะเขาจะได้โอบกอดน้องน้อยไว้ทั้งคืนอย่างนี้และได้เป็นผู้ปกป้องเธอจากภยันตรายต่างหากเล่า

ริมฝีปากชื้นกดจูบแผ่วเบาตรงไรผมนิ่งนาน ก่อนจะกลับมาอยู่ในท่าระวังตัว โชคดีว่าปืนเอชเคกับปืนสั้นอยู่กับตัวเขาครบ สร้างความอุ่นใจได้ในมากแต่คืนนี้ยังไงเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่หลับ

                               ******************

ฝนทองไม่หลอกตัวเองเลยว่ากลิ่นนกย่างที่ถูกไม้เสียบอยู่บนกองไฟเรียกน้ำย่อยเธอได้ไม่น้อย แต่ปฏิกิริยาทางกายที่ตอบสนองผิดกับความต่อต้านทางใจ เธอปรายตามองนายทหารหนุ่มที่จับไม้ลงมาวางบนใบไม้เปียกน้ำฝน

“วันนี้กินนกไปก่อน ส่วนเสบียงของเราที่ติดตัวมาเอาไว้พรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน บางทีอาจรวมถึงมื้อต่อๆ ไปด้วยก็ได้ถ้ายังไม่เจอคนอื่น”

ไม่มีเสียงตอบจากป่าไม้สาว

“ไม่เอาน่าน้องฝน...ละทิ้งอุดมการณ์สักวันไม่ได้หรือ เราทำเพื่อความอยู่รอดนะ แล้วนี่ก็คงไม่ใช่สัตว์ป่าสงวนที่กำลังจะสูญพันธ์หรอกมั้ง” หางเสียงตอนท้ายดูไม่ค่อยมั่นใจนักเช่นกัน

“ถึงมันไม่ใช่สัตว์ป่าสงวนแต่ก็อาจเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และสักวันหนึ่งมันก็ต้องหมดถ้าคนเราอ้างอย่างที่พี่ผู้กองอ้างกันทุกคน”

“แล้วจะให้ตัวเองอดตายอย่างนั้นหรือ ก็บอกแล้วไงว่า เรื่องการอนุรักษ์น่ะเป็นเรื่องดี...แต่ถ้าคนที่อนุรักษ์กำลังจะอดตายมันก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่รู้จะทำเพื่อใคร”

“แล้วทำไมไม่เอาเสบียงนั่นออกมากินก่อนล่ะคะ ประทังชีวิตไว้ก่อน พอเจอกับคนอื่นเราก็ไม่ต้องล่าสัตว์” ฝนทองยังไม่ยอมแพ้

“ก็บอกแล้วไงว่าเก็บไว้ก่อน โธ่...น้องฝนนี่พูดไม่รู้เรื่อง”

“พูดไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูดค่ะ ฝนจะนอนแล้ว เชิญตามสบายนะคะ”

หญิงสาวกระแทกเสียงอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทที่ดีของคนอ่อนวัยกว่า เธอหมุนตัวจะผลุบเข้าเต็นท์ที่ตัวเองกางระหว่างดิตถ์จัดการถอนขนนก แต่ถูกคว้าข้อมือไว้และดึงรั้งให้เข้าไปหาเขา

“อย่าทำตัวดื้อเหมือนเด็กได้ไหมฝน รักตัวเองบ้าง”

ฝนทองเม้มปาก เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าด้วยสายตาวอนขอ เมื่อเห็นแววจริงใจในสายตาคู่นั้นหญิงสาวจึงถอนใจเฮือกยาวและยอมกินนกย่างอย่างยอมจำนน


คืนนั้นฝนทองไม่อาจข่มตาหลับได้ง่ายๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยนอนกับผู้ชายสองต่อสองแม้กระทั่งพ่อของตัวเอง แต่นี่เรือนร่างใหญ่โตแข็งแรงกำลังนอนอยู่เคียงข้างเธอภายในเต็นท์เดียวกัน ห่างออกไปไม่ถึงฟุต ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจ ทั้งที่เสียงฝนยังกระทบเรือนยอดตกลงมาที่พื้นดินดังออกขนาดนั้น

“ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะทำอะไรหรอก เพราะพี่ไม่คิดจะทำอะไรผู้หญิงที่ไม่เต็มใจ เสียพลังงานเปล่าๆ สู้เก็บแรงไว้เดินตามหาพรรคพวกดีกว่า”

ฝนทองนึกเข่นเขี้ยวในใจ ฮึ! คงจะมีสาวๆ เต็มใจดาหน้ามาหาจนไม่ต้องเสียพลังงานกับสาวไม่เต็มใจล่ะสิ เสน่ห์แรงจริงนะ

“ขอให้จริงเถอะค่ะ แล้วก็ห้ามละเมอมาใกล้ มาแตะต้องตัวฝนด้วยไม่งั้นกลับไปฝนจะปรับค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายให้หมดตัว” เธอขู่

ดิตถ์หัวเราะเสียงไม่เบานัก “เอางั้นเลยเหรอ เอ...ของอย่างนี้มันห้ามกันไม่ได้นะพี่ว่า ถ้ามีสติเต็มๆ แล้วไปแตะไปเข้าใกล้ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าไม่มีสติก็ถือว่าไม่ได้เจตนา คนไม่มีเจตนาก็ถือว่าไม่ผิด”

“ผิดทุกประตู” ฝนทองตอบทันควัน

“เรื่องอะไรเล่า ใครจะยอมรับผิดง่ายๆ”

ฝนทองลืมตัวจากที่นอนหันหลังให้ก็พลิกตัวหันหน้ามาทางอีกคน “ยังไงก็ห้าม จะหลับหรือตื่นก็ห้ามทำอะไรทั้งนั้น”

“เหรอ” ดิตถ์ลากเสียงได้น่าหมั่นไส้ที่สุดในความคิดของฝนทอง “ถ้าอย่างนั้นก็หาเถาวัลย์มามัดพี่ไว้สิ เอาแบบกระดุกกระดิกไม่ได้เลยนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษก็แล้วกันว่าไม่ยอมช่วยเหลือ”

ป่าไม้สาวเม้มปาก พูดไม่ออก สิ้นคำตอบโต้จึงพลิกตัวกลับไปนอนตะแคงตัวหันหลังให้ตามเดิม แต่ยังมีเสียงตามมาก่อกวนโสตประสาทอีก

“หันหนีไปไหนล่ะ ถ้ายังไม่ง่วงก็หันมาคุยกันต่อสิ”

“ง่วงแล้วค่ะ”

“โอเค...ถ้าง่วงก็นอนเสีย แต่ระวังอย่าละเมอมาใกล้พี่แล้วก็แตะต้องตัวพี่นะ ไม่งั้นกลับไปจะปรับสินไหมทดแทนเหมือนกัน แล้วก็ไม่ต้องแกล้งหลับเอามือมาลูบไล้กันล่ะ เผื่อพี่เกิดอารมณ์ขึ้นมาจะถือว่าให้ท่าและเต็มใจนะ”

โอ๊ย...คนอะไรพูดจายอกย้อนได้กวนประสาทที่สุดเลย ใจร้ายก็เท่านั้น เข้าข้างความคิดตัวเองก็ที่หนึ่ง

ฝนทองกรีดร้องในใจอย่างหมั่นไส้แกมขุ่นเคือง

                     ******************

จากคุณ : permanent stream
เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 06:32:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com