Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เหมันต์จันทร์ธารา บรรพ 6. ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11339283/W11339283.html


ทักทาย


ขอบคุณ คุณ แก้วกังไส ที่ให้ Give ครับ


scottie : อ่านทวนดู...ชื่อเยอะไปจริงๆ ด้วย จะเก็บไปปรับปรุงครับ ^^''

เพชรรุ้งพราย : ขอบคุณที่ติดตามครับ ^____^

แก้วกังไส : ขอบคุณที่กลับมาอ่านอีกครับ ^____^



**********************************************************************




ขุนพลศรุตเดินนำบุลินกับวาสิตา ลงสู่ห้องท้องเรืออันกว้างขวาง

แคว้นทักษิณาประเทศสมเป็นเจ้าแห่งมหานที เรือรบลำใหญ่นี้มีถึงสี่เสากระโดง เสากระโดงหลักสองต้นและเสากระโดงรองอีกสอง ด้วยขนาดและน้ำหนักบรรทุกที่มากกว่าเขี้ยววายุกว่าสองเท่า แต่เมื่อกางใบเรือทั้งหมดรับกระแสลมเต็มที่ ยังแล่นตัดกระแสน้ำด้วยความเร็วดุจสายลมหอบ

ห้องท้องเรือมีถึงสามชั้น แต่ละชั้นแบ่งห้องแยกย่อย ชั้นล่างสุดเก็บเสบียง สินค้า เครื่องศาสตราและวัสดุอุปกรณ์ทุกชนิด ชั้นกลางด้านหลังเป็นห้องของเจ้าฟ้าชายกรินทร์ ขุนพลศรุต รวมถึงเหล่านายทหารองครักษ์พิเศษ ส่วนที่เหลือรวมถึงชั้นบนเป็นห้องเหล่านักรบองครักษ์

ขุนพลศรุตเลือกห้องใหญ่ชั้นบนด้านหลังหนึ่งห้องให้นารทกับบุลิน ส่วนวาสิตาพักห้องขนาดเล็กกว่าอีกห้องซึ่งอยู่ตรงข้าม ขุนพลหนุ่มแม้ภายนอกคล้ายเคร่งขรึมดุดัน แท้จริงกลับเปี่ยมอัธยาศัยไมตรี บอกเล่าความเป็นมาทั้งชี้ชวนดูส่วนประกอบต่างๆ ของเรือรบซึ่งชาวกษมปราการแสนจะภาคภูมิใจ ให้บุลินกับวาสิตาฟังตลอดทางที่เดินไปห้องพัก

บุลินย่อมรับฟังจนตาโต จดจำทุกคำบอกเล่าของขุนพลหนุ่ม มิยอมให้ประโยคใดตกหล่นไป สนุกสนานคุยเจื้อยแจ้วกระทั่งถึงห้องพัก วาสิตานั้นจะเอ่ยต่อเมื่อถูกถาม หญิงสาวคล้ายระแวงระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงห้องพักก็ปฏิเสธไม่ต้องการรับประทานอาหาร ด้วยยามนี้ดึกมากแล้วนางต้องการหลับพักผ่อน ขุนพลศรุตหลังจัดการเรื่องห้องพักและอาหารให้ทั้งสอง ก็ปลีกตัวไปปรึกษาหารือกับเจ้าฟ้าชายกรินทร์และนารท

มายากรหนุ่มรู้สึกหิวโหยอย่างยิ่ง หวนนึกได้ว่าหากเป็นเช่นที่นารทกล่าว ทั้งสามสลบไสลมาสามวันก็แปลว่า สามวันแล้วที่ไม่มีทั้งน้ำและอาหารตกถึงท้อง ร่างกายนี้ทนอยู่ได้อย่างไรโดยไม่เสียชีวิต แม้เปี่ยมด้วยความสงสัย บุลินก็ไม่รู้จะหาคำตอบให้ตัวเองได้อย่างไร จะถามนารทหรือวาสิตาก็ไม่รู้ว่าทั้งสองจะยอมอธิบายหรือไม่ แล้วถึงทั้งสองจะยอมอธิบายก็ไม่แน่ว่าตนจะเข้าใจ

เมื่อครุ่นคิดไปก็ไม่ได้คำตอบใด มายากรหนุ่มจึงลงมือรับประทานอาหาร ไม่รู้ว่าเพราะหิวโหยหรืออย่างไร ดึกดื่นค่อนคืนยังรับประทานได้มากกว่าปกติ ซ้ำหลังอิ่มหนำยังไม่รู้สึกง่วงนอน เดินไปเดินมาในห้องครู่หนึ่ง ค่อยยื่นหน้าออกไปถามทหารองครักษ์ที่ด้านนอก ด้วยอยากจะขอขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือ

ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นไปดังคาด ยามค่ำคืนไม่อนุญาตให้ผู้ใดขึ้นบนดาดฟ้าโดยพลการ และด้วยเหตุผลเพียงแค่อยากเดินเล่น ย่อมไม่ทำให้หัวหน้าเวรยามในคืนนี้อนุญาตตามที่บุลินต้องการ

มายากรหนุ่มยังไม่ละความพยายาม ในเมื่อนอนไม่หลับก็ต้องหาสิ่งใดทำสักอย่าง จึงยื่นหน้าออกไปด้านนอกอีกครั้ง คราวนี้ขอม้วนกระดาษ พู่กัน และหมึกสำหรับเขียนหนังสือ เนื่องเพราะอุปกรณ์การเขียน รวมถึงอุปกรณ์มายากลของบุลิน อยู่บนเรือของเฒ่าเวทิตทั้งสิ้น ส่วนที่อยู่ติดกับตัวก็เปียกน้ำหมดใช้การไม่ได้แล้ว เวลานี้มายากรหนุ่มเหลือเพียงตัวเปล่า

คราวนี้ทหารองครักษ์หายไปครู่ใหญ่ ค่อยกลับมาพร้อมอุปกรณ์การเขียนครบครันดังบุลินต้องการ หลังได้ม้วนกระดาษ มายากรหนุ่มเริ่มผสมหมึกจรดปลายพู่กัน ลำดับเรื่องราวมหัศจรรย์ที่ได้พบในห้วงคำนึง นับจากเจอนายเรือเฒ่าเวทิตที่ท่าหลวง การฝ่าห้วงดารานาถ กระทั่งเจอขุนพลอัฒฑ์ผู้หายสาบสูญ และหนีรอดมาได้เพราะฌานเวทของนารทและวาสิตา กระทั่งอยู่บนเรือรบขนาดใหญ่ของกษมปราการ

มายากรหนุ่มเรียบเรียงเรื่องราวที่พบเจอ แปรเปลี่ยนเป็นอักขระแล้วอักขระเล่ากระทั่งหมดสิ้น ทั้งยังคาดเดาจากเหตุการณ์ว่า เจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุตเดินทางไปพุทธินคราเพื่อเข้าร่วมสัประยุทธ์ ด้วยต้องการเกล็ดมังกรเพลิงหิมะเฉกเช่นขุนพลผู้ทแกล้วทั้งหลาย

บุลินเริ่มครุ่นคิด...ทำอย่างไรจึงจะได้ติดตามเจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุต ขึ้นสู่เทือกสูงสุดของตารกคีรี หากเอ่ยปากขอร้องต้องไม่มีผู้ใดยอมให้ตนติดตามไปเป็นภาระอย่างแน่นอน

แต่โอกาสอันดีเช่นนี้ยากจะพบพาน...

หากจะมีผู้ใดสามารถทำให้มังกรเพลิงหิมะสลัดเกล็ด ทั้งยังสามารถนำเกล็ดมังกรลงจากยอดเขาอย่างปลอดภัย คนผู้นั้นย่อมต้องเป็นเจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุต มายากรหนุ่มยังคิดเพลิดไปไกล หวนคำนึงถึงความฝันในวัยเยาว์

...ความฝันที่จะได้ติดตามรับใช้ขุนพลผู้ทแกล้ว จอมเวทย์ผู้ชาญมนตรา หรือนักปราชญ์ผู้เปี่ยมปรีชาญาณ ติดตามท่านเหล่านั้นไปทุกแห่งหน มีส่วนรับรู้ในวีรกรรมของพวกท่าน จดบันทึกความกล้าหาญคุณธรรมความดีของท่านเหล่านั้น เพื่อจารึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งอรุณวดีมหาทวีป...

บัดนี้ความฝันอันเคยแสนห่างไกลปรากฏตรงหน้าแล้ว...
ทำอย่างไรจะได้เป็นผู้ติดตาม เจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุต...

บุลินนิ่วหน้า ครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่ตก เหลียวมองช่องหน้าต่าง พบแสงอ่อนๆ เริ่มสาดลอดเข้ามา โดยไม่รู้ตัวกลับนั่งจนเกือบเช้าแล้ว ความง่วงค่อยคืบคลานจู่โจม ร่างกายเริ่มอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรง เปลือกตาก็หนักอึ้งแทบจะปิดในบัดดล

มายากรหนุ่มเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอน ขณะเคลิ้มๆ กำลังจะหลับ ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก นารทเดินเข้ามา แม้แสงเทียนในห้องสลัวเลือนราง บุลินยังมองออกว่า ดวงตาอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาเปี่ยมแววครุ่นคิด สีหน้ายิ่งเต็มไปด้วยรอยวิตกกังวลหนักใจ

บุลินแม้กำลังสะลึมละลือ ยังได้ยินเสียงตนเองเอ่ยปากถาม
“ท่านหนักใจเรื่องใดหรือ”

ในแสงสลัวราง สีหน้าของนารทแปรเปลี่ยน คล้ายไม่คาดว่ามายากรหนุ่มยังตื่นอยู่ อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธานั่งบนเตียงของตนอีกด้านของห้อง เหลียวมองบุลินแวบหนึ่งดั่งจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าในที่สุดกลับทอดถอนใจ เพียงยิ้มเล็กน้อย

“ไม่มีเรื่องอันใด เจ้าหลับเถอะ”
บุลินเพียงรับคำแล้วหลับในทันที

หากนารทกลับมิอาจข่มตาหลับ ด้วยเรื่องราวที่รับรู้จากเจ้าฟ้าชายกรินทร์ วนเวียนวิ่งวุ่นในห้วงความคิด ทั้งไม่เข้าใจทั้งไม่สามารถหาทางแก้ไข ยิ่งเมื่อประมวลเหตุการณ์รวมเข้ากับเรื่องที่ เจ้าฟ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์ และรัญชน์ ได้รับคำสั่งให้ดักรอขุนพลอัฒฑ์กลางมหานที ทั้งหมดต้องเกี่ยวพันเป็นเรื่องเดียวกัน แต่อาลักษณ์หนุ่มไม่อาจปะติดปะต่อเชื่อมโยงเข้าหากันได้ ทว่าสัญชาตญาณระแวงระวังเริ่มตื่นเตือนเต็มที่

และยังมีอีกเรื่องที่ขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ...
เหตุใดนายเรือเฒ่าเวทิต จึงต้องให้พามายากรหนุ่มไปยังพุทธินครา...
เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดหรือไม่...

มายากรบุลินที่แท้เป็นใคร...มีความสำคัญอย่างไร...
นี่มิใช่เหตุการณ์ปกติ...กำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอรุณวดีมหาทวีปกันแน่...
นารทข่มจิตใจ ระงับความวิตกกังวลสงสัยทั้งมวล มุ่งจิตสู่สมาธิ ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

ราวเที่ยงวัน ทหารองครักษ์เคาะประตูปลุกบุลินกับนารท นำอาหารมื้อแรกของวันเข้ามาให้ทั้งสอง ทั้งบอกว่านำอาหารไปให้วาสิตาแล้วเช่นกัน บุลินงัวเงียตื่นขึ้นเพียงครู่แล้วผล็อยหลับไปดังเดิม

นารทรับประทานอาหารเพียงลำพังอย่างเงียบงัน นับวันเดินทางอีกกว่าหนึ่งอาทิตย์จะถึงพุทธินครา ไม่รู้ว่าในหลายวันนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้น ทั้งไม่มีเค้าให้ล่วงรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เวลาใด

วิธีรับมือดีที่สุดคือตระเตรียมการให้พร้อมสรรพ...แม้รู้ว่าอาจต้องพ่ายแพ้ก็ตาม...
นั่งครุ่นคิดในห้องเพียงครู่ จึงออกไปปรึกษาหารือกับเจ้าชายกรินทร์และขุนพลศรุต

อีกราวครึ่งชั่วยามบุลินค่อยตื่นขึ้น ทหารองครักษ์นำอาหารมาให้อีกครั้งตามที่นารทได้สั่งไว้ หลังนอนหลับและรับประทานอาหารเต็มที่ มายากรหนุ่มก็กระตือรือร้นกระฉับกระเฉงขึ้นอีกครั้ง ลุกไปนั่งที่โต๊ะนำม้วนกระดาษซึ่งจดบันทึกไว้เมื่อคืนมานั่งอ่านทวน เพิ่มเติมรายละเอียดเท่าที่นึกออกลงไปอีกครั้ง

หลังอ่านทวนซ้ำพบไม่มีสิ่งใดตกหล่น ค่อยออกจากห้องขึ้นไปบนดาดฟ้าพบวาสิตาอยู่บนนั้นแล้ว เหล่าทหารองครักษ์แจ้งให้บุลินทราบแล้วว่า หากเป็นยามกลางวันทั้งบุลินและวาสิตา สามารถเดินไปมาบนเรือได้อย่างอิสระ ยกเว้นเฉพาะเขตหวงห้ามเท่านั้น แต่เวลากลางคืนหากจะไปไหนต้องแจ้งเหล่าเวรยาม หรืออาจต้องให้หัวหน้ายามรักษาการณ์อนุญาตเสียก่อน

บุลินเดินไปหาวาสิตา มายากรหนุ่มค่อยเห็นหน้าหญิงสาวชัดถนัดตาในยามนี้เอง นางสูงใกล้เคียงเขาและนารท รูปร่างผอมบาง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มผูกรวบไว้ คิ้วเรียวเล็ก ริมฝีปากอิ่ม ใบหน้าหมดจดอ่อนเยาว์ ควรอายุใกล้เคียงกับตน รูปหน้าเรียวรีคลับคล้ายเป็นชาวปัจฉิมประเทศ

ขณะกำลังจะเอ่ยถามข้อข้องใจสงสัย วาสิตากลับยิ้มอย่างรู้ทัน ชิงเอ่ยดักขึ้นก่อน
“ข้าจะไม่ตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับตัวข้าทั้งสิ้น ดังนั้นเจ้าอย่าคิดถามเลย ข้าบอกได้เพียงมีธุระต้องไปกระทำที่พุทธินคราก่อนสิ้นเหมันต์”

บุลินชะงักเท้า หน้าเบ้ด้วยความผิดหวัง หัวเราะแฮะๆ
“ข้าไม่ได้คิดจะยุ่งหรือสอดรู้ในเรื่องของเจ้า ข้าเพียงแต่ทึ่งเพราะเจ้าอายุใกล้เคียงกับข้า แต่ทั้งรอบรู้เรื่องการเดินเรือ ทั้งเชี่ยวชาญฌานเวท เช่นนี้ย่อมเพราะเจ้าเป็นคนในตระกูลนักรบใช่หรือไม่”

วาสิตาหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าบอกแล้วว่า ไม่จะตอบคำถามเกี่ยวกับตัวข้า เจ้าก็ยังพยายามเลี้ยวลดถามจนได้”

มายากรหนุ่มหัวเราะแฮะๆ อีกครั้ง กระนั้นยังเลียบเคียงถาม
“เจ้าเดินทางไปพุทธินคราในช่วงเหมันต์ เพราะต้องการเกล็ดมังกรเพลิงหิมะหรือ”

วาสิตายิ้ม ส่ายหน้าอีกครั้ง
“มิใช่หรอก...ข้าเป็นคนส่งสาร ข้ามีสารต้องนำไปส่งที่พุทธินครา”

คำตอบเช่นนี้ของหญิงสาว ทำให้มายากรหนุ่มอับจนคำถาม เพราะถึงจะถามว่าเป็นสารอะไร หรือส่งให้ใครหญิงสาวก็คงไม่ตอบแน่นอน บุลินจึงเปลี่ยนเรื่องเปรยขึ้นว่า

“เรือรบของกษมปราการน่าเกรงขามสมคำเล่าลือจริงๆ เหล่าทหารองครักษ์บนเรือก็เข้มแข็งงามสง่า นั่นเจ้าดูสิท่านขุนพลศรุตก็ควบคุมบัญชาสั่งการอย่างเข้มงวด ด้วยเหตุนี้นี่เล่าแคว้นทักษิณาประเทศ จึงได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งมหานทีมาทุกยุคทุกสมัย”

สีหน้าวาสิตาฉายแววกังวล เอ่ยน้ำเสียงเรียบ
“นั่นเพราะ...ผู้ที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญเข้มแข็งกว่าพวกเขา พวกเขาไม่อาจประมาทได้”

บุลินหันขวับ ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยแววฉงนฉงายสงสัย
“เข้มแข็งกว่า...เจ้าหมายความว่ามีคนเข้มแข็งกว่าเจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุตอย่างนั้นหรือ!”

“ย่อมมีไม่มาก...แต่หากปรากฏก็ไม่ง่ายจะรับมือ เจ้าฟ้าชายกรินทร์รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องเผชิญคนผู้นั้น ในระหว่างการเดินทางไปพุทธินครา ดังนั้นจึงใช้เรือรบขนาดใหญ่ตระเตรียมเหล่าองครักษ์พร้อมสรรพ ทั้งให้ขุนพลศรุตควบคุมบัญชาการ แทนที่จะให้ท่านขุนพลอยู่รั้งกษมปราการ ในยามที่เจ้าฟ้าชายไม่อยู่ในเมือง และนั่นคือเหตุผลที่ทุกคนบนเรือ เหมือนตกอยู่ในภาวะตึงเครียดตลอดเวลา”

บุลินนิ่งครุ่นคิดรับฟัง เริ่มสังเกตเหล่าทหารองครักษ์และสภาพการณ์บนเรือ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปแล้วเริ่มเห็นจริงตามคำวาสิตา

หญิงสาวเอ่ยต่อว่า
“แม้แต่เจ้าฟ้าชายกรินทร์กับขุนพลศรุต ก็ยังไม่มั่นใจว่ารับมือสถานการณ์ได้ ดังนั้นเมื่อจู่ๆ พบท่านนารทย่อมปีติยินดี เพราะได้ผู้ช่วยอันเข้มแข็งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ทั้งหมดจึงปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อคืน แต่ดูเหมือนว่าท่านนารทเมื่อรับรู้สถานการณ์ก็วิตกกังวลไม่น้อย”

มายากรหนุ่มครุ่นคิด ค่อยพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ฉุกใจคิดถึงสีหน้าของนารทเมื่อคืน คงเพราะเหตุนี้อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาจึงเคร่งเครียดปานนั้น ทันใดพลันโพล่งขึ้น

“หรือคนผู้นั้นจะเป็นขุนพลเฒ่าอัฒฑ์!”

วาสิตาขมวดคิ้วส่ายหน้า
“มิใช่หรอก ขุนพลอัฒฑ์จะไม่ปรากฏตัวง่ายๆ การปรากฏตัวแต่ละครั้งต้องเป็นช่วงเวลาและสถานที่จำเพาะ ไม่เช่นนั้นสี่สิบเก้าปีนี้คงไม่มีคนพบท่านจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย หากข้าคาดไม่ผิด...คนผู้นั้นอาจเป็น...”

“เจ้าคาดเดาว่าเป็นใครหรือ!”

หญิงสาวนิ่งครุ่นคิด เพียงแต่ยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบ กล่าวเพียง
“หากข้าคาดไม่ผิด เมื่อใกล้ถึงพุทธินครา คนผู้นั้นจะปรากฏตัวเอง...”

วาสิตาเหม่อไปยังมหานทีกว้างเบื้องหน้าแวบหนึ่ง หันมากล่าวว่า
“ข้ากลับเข้าห้องพักก่อนนะ” กล่าวจบหญิงสาวก็ผละจากดาดฟ้าตรงไปยังห้องท้องเรือ

บุลินไม่รู้จะรั้งตัวหญิงสาวให้สนทนากับตนด้วยเรื่องอันใดดี ดังนั้นได้แต่ปล่อยให้นางกลับห้องพักไป

ช่วงเที่ยงถึงยามบ่าย การวางเวรยามประจำการน้อยกว่ายามค่ำคืนอยู่บ้าง ดังนั้นมีเหล่าองครักษ์จำนวนหนึ่งมีเวลาพักผ่อนยามว่าง มายากรหนุ่มรีบเข้าไปสนทนาตีสนิทกับเหล่าทหารองครักษ์เหล่านั้น

เหล่านักรบองครักษ์ทราบว่าบุลิน นารท วาสิตาเป็นอาคันตุกะของเจ้านายแห่งตน ดังนั้นให้ความสะดวกทั้งแสดงความนบนอบอยู่ในที และบุลินย่อมมีวิธีเข้าถึงตีสนิทผู้คน เพียงอาศัยการแสดงมายากลเล็กๆ น้อยๆ แม้ไม่มีอุปกรณ์ใดช่วย แต่บนเรือซึ่งไม่มีสิ่งบันเทิงใจใด ทั้งทุกคนต่างเคร่งเครียดตั้งแต่ออกเดินทางจากกษมปราการ เหล่าองครักษ์จึงตื่นตาตื่นใจปรบมือชมเปาะ ชื่นชมยกย่องฝีมือการแสดงของบุลินเป็นการใหญ่

มายากรหนุ่มกระหยิ่มใจในความสำเร็จอีกครั้งของตน รีบถือโอกาสสอบถามสภาพบ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ พิธีกรรม วัฒนธรรมของของชาวทักษิณาประเทศ สิ่งเหล่านี้แม้เคยอ่านผ่านตาจากหนังสือบันทึก จะอย่างไรย่อมไม่เหมือนได้รับฟังจากผู้คนเจ้าของแคว้นเอง ฝ่ายเหล่าองครักษ์ก็ยินดีเล่าให้ฟังอย่างเต็มใจ

เช่นนี้ในแต่ละวันมายากรหนุ่มจึงไม่มีเวลาว่าง ทุกวันบุลินจะสนทนาพูดคุยกับเหล่าองครักษ์ที่ว่างจากเวรยามประจำการ จากนั้นนำเรื่องราวที่ได้รับรู้ในแต่ละวัน เขียนบันทึกในม้วนกระดาษทันที ยิ่งเหล่าองครักษ์รู้ว่าบุลินสอบถามเรื่องของพวกตน เพื่อรวบรวมเขียนเป็นบันทึกเก็บไว้ ยิ่งพากันเล่าเรื่องสนุกสนานน่าตื่นเต้นทั้งหลายให้บุลินฟังเป็นการใหญ่

มายากรหนุ่มรู้สึกสนุกสนานกับการเดินทาง วันคืนจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งมีสิ่งสนใจประจำวันจนไม่มีเวลาว่าง จึงลืมเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น จดจ่อกับงานของตนจนไม่สนใจสิ่งใด หลายวันนี้แทบไม่พบหน้าเจ้าฟ้าชายกรินทร์ ขุนพลศรุตและนารท ทราบจากเหล่าองครักษ์ว่าทั้งสามเก็บตัว บำเพ็ญสมาธิในเขตหวงห้ามท้ายเรือ สำหรับวาสิตาแม้พบหน้ากันบ้างบนดาดฟ้า แต่หญิงสาวก็เก็บถ้อยคำ สนทนาเพียงครู่ก็กลับเข้าห้องพัก

การเดินทางผ่านไปอย่างราบรื่นร่วมหนึ่งอาทิตย์ ภายในวันพรุ่งจะถึงพุทธินคราแล้ว

เช้าวันนี้สายหมอกหนาทึบกว่าทุกวัน เรือใหญ่ต้องค่อยๆ แล่นอย่างเชื่องช้า สองวันมานี้เหล่าทหารองครักษ์ได้รับคำสั่งเตรียมพร้อม เวรยามรักษาการณ์ประจำเต็มอัตราทั้งกลางวันกลางคืน ยามนี้กระทั่งบุลินยังรับรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์จากแรงกดดันของทุกคน

เจ้าฟ้าชายกรินทร์อยู่ในห้องพักตลอดเวลา ขุนพลศรุตและนารทสีหน้ายิ่งเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาดูแลความเรียบร้อยบนดาดฟ้า ตลอดทั้งวันคืนโดยไม่หยุดพักผ่อน

บุลินค่อยหวนคิดถึงสิ่งที่วาสิตาเคยกล่าวไว้
‘หากข้าคาดไม่ผิด เมื่อใกล้ถึงพุทธินครา คนผู้นั้นจะปรากฏตัวเอง...’

พรุ่งนี้ก็จะถึงพุทธินคราแล้ว บางทีคนผู้นั้นอาจปรากฏตัวในวันนี้ก็เป็นได้...

ทันใด ทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หัวเรือ ส่งเสียงร้องตะโกนลั่น
“เรือ! มีเรือลำหนึ่ง ทอดสมออยู่เบื้องหน้า!”

เพียงสิ้นประโยค เหล่าทหารองครักษ์ทั้งสิ้นประจำการพร้อมรบ ขุนพลศรุต นารท บุลิน วาสิตา รีบมายังกราบเรือพร้อมกัน เบื้องหน้านั้นเป็นเรือขนาดเล็กเท่าเรือสินค้าลำหนึ่ง ทิ้งสมอนิ่งกลางมหานทีศศิกันทรา!

กระแสเสียงนุ่มกังวานแห่งสตรี ทว่าแฝงแววเยือกเย็นเฉียบขาด เอ่ยจากเรือลำนั้น
“เราคงไม่ต้องอธิบายสิ่งใดกระมังฝ่าบาท ขอพระองค์กลับกษมปราการเถอะ ไม่เช่นนั้นเราจำเป็นต้องขัดขวางพระองค์”

เจ้าฟ้าชายกรินทร์ก้าวขึ้นจากห้องท้องเรือ น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยตอบ
“เราเข้าใจจุดประสงค์ของท่านดี แต่เราในฐานะประธานผู้สำเร็จราชการแห่งกษมปราการ ไม่อาจทำตามความประสงค์ของท่านได้ เราขอร้องท่านจงเปิดทางให้เราเถอะ”

กระแสเสียงนุ่มกังวานนั้นทอดถอนใจ กล่าวว่า
“เช่นนั้น...เราย่อมก็ไม่มีหนทางเลือกอย่างอื่น ฝ่าบาทย่อมทราบว่าพวกเราไม่มีจุดประสงค์ จะล่วงเกินแคว้นทักษิณาประเทศ เหตุที่ต้องทำให้ฝ่าบาทขัดเคืองพระทัย ก็ด้วยความจำเป็นดังแจ้งในสารแล้ว ดังนั้นเช่นนี้เถอะ...เราจะตั้งปริศนาข้อหนึ่ง หากผู้ใดก็ตามที่อยู่บนเรือของฝ่าบาทสามารถแก้ปริศนาของเราได้ เราจะปล่อยให้เรือของท่านผ่านไป”

กระแสเสียงนั้น หยุดเงียบหายชั่วครู่ คล้ายหัวเราะแผ่วเบา ค่อยกล่าวต่อว่า
“นารท...เจ้าจะช่วยฝ่าบาทก็ได้ เจ้าก็รู้ว่าแม้แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามเจ้าทำสิ่งใด...”

นารทนิ่งเงียบสงบปากคำ ยามนี้สีหน้าเรียบเฉยแทบจะกลายเป็นเย็นชา ปรากฏแววขุ่นเคืองขึ้นวูบหนึ่ง

บัดนั้น กระแสเสียงนุ่มกังวานพลันแปรเปลี่ยน
“เมื่อเข้าใจตรงกันก็อย่าเสียเวลา! ‘อักขราเทวะ’ จงสถิตแก่ข้า!”

สิ้นประโยคนั้น บนเรือเบื้องหน้า บังเกิดประกายแสงขาวนวลคลุมเรือทั้งลำไว้วูบหนึ่ง!

ทันใดเบื้องหน้ากลางมหานที ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์คล้ายเป็นดั่งม่านผืนใหญ่ ขวางกั้นทั้งมหานทีไว้สิ้น ไม่มีช่องว่างให้เรือขนาดใดแล่นลอดผ่านไปได้ ทว่าที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่านั้นคือ ม่านมนตราทั้งผืนประกอบขึ้นจากอักขราสีทองอร่ามนับหมื่นนับแสนตัว!

บุลินปากคอสั่น ละล่ำละลักหันไปเอ่ยถามวาสิตา
“ข้า...ข้า...เคยได้ยินมา...อักขราเทวะ...ผู้ที่อยู่บนเรือคือท่าน ‘เทวปราชญ์ ธันยา’ หรือ!”

วาสิตาเพียงพยักหน้าน้อยๆ
“อืม...”

มายากรหนุ่มอุทานอย่างตื่นตระหนก ไม่คาดคิดว่าผู้ที่ขวางทางเบื้องหน้าคือ รองประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ท่านเทวปราชญ์ ธันยา ผู้มีฤทธาอำนาจปกครองเหล่าปราชญ์นับหมื่นแห่งเมธาปุระ จะเป็นรองก็เพียงท่านเทวปราชญ์ นันทนะ ผู้เป็นประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์เท่านั้น!

บัดนี้ บุลินค่อยเข้าใจความตึงเครียด รอยวิตกกังวลบนสีหน้าเจ้าฟ้าชายกรินทร์ ขุนพลศรุต และนารท

เนื่องเพราะทั้งหมดรู้ดีว่า ผู้ที่ต้องการขัดขวางการเดินทางคือท่านเทวปราชญ์ ธันยา หากเกิดการปะทะ แม้ทั้งสามคนร่วมมือกันยังยากจะเอาชนะ ทั้งจะสร้างความบาดหมางให้เกิดแก่สองแคว้น แต่ด้วยศักดิ์ศรีแห่งประธานผู้สำเร็จราชการ เจ้าฟ้าชายกรินทร์ย่อมไม่ยอมหันหลังกลับกษมปราการแน่นอน

ปริศนางั้นหรือ...นี่อาจเป็นวิธีละมุนละม่อมที่สุดในการแก้ปัญหา...ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ...

บุลินพยายามระงับอาการตกประหม่า จ้องม่านอักขราเบื้องหน้าไม่วางตา ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“นั่นคืออะไร...ปริศนาอะไรหรือ แล้วจะแก้ยังไงล่ะ”

วาสิตาขมวดคิ้วเป็นปม ขบคิดแล้วกล่าวว่า
“ม่านอักขราเป็นดั่งกำแพง สิ่งที่เราต้องการคือลูกกุญแจ...”

ทั้งนารทและขุนพลศรุตหันไปมองวาสิตาเป็นตาเดียว

เจ้าฟ้าชายกรินทร์พยักหน้าช้าๆ กล่าวอย่างครุ่นคิด
“ถูกต้อง...หากหากุญแจดอกนั้น พบเราก็ผ่านไปได้”

บุลินยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว ละล่ำละลักถามว่า
“แล้วเราจะหากุญแจดอกนั้น ได้จากไหนล่ะฝ่าบาท”

เจ้าฟ้าชายกรินทร์นิ่งครุ่นคิดชัวครู่ ค่อยหันไปเอ่ยถาม
“นารท...เจ้าคิดว่าอย่างไร”

อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา ขบคิดแล้วตอบว่า
“ลูกกุญแจคือคำหนึ่งคำ...คำหนึ่งคำซึ่งซ่อนอยู่ท่ามกลางอักขรานับหมื่นนับแสนตัว เบื้องหน้าพวกเรา!”

ขุนพลศรุตครางฮือ สุ้มเสียงเปี่ยมความหนักใจ เอ่ยถามนารท
“คำนั้นควรเป็นคำว่าอะไร”

คราวนี้นารทได้ส่ายหน้า นิ่งครุ่นคิดเนิ่นนานยังได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ ปรายตาเชิงไต่ถามไปยังวาสิตา ทว่าหญิงสาวก็ได้แต่ส่ายหน้า สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้มอับจนปัญญาเช่นกัน

บุลินเอ่ยโพล่งขึ้น
“ลองไล่ไปเรื่อยๆ ทีละคำได้หรือไม่”

นารทส่ายหน้า กล่าวว่า
“ไม่ได้หรอก ปริศนาเช่นนี้ย่อมจำกัดจำนวนครั้ง ที่สามารถทายไว้ด้วย ไม่อาจทายไปเรื่อยๆ ได้หรอก”

“อย่างนั้นทำประการใดดี เรามิต้องติดอยู่ที่นี่หรือ!”

นารททอดถอนใจ กล่าวว่า
“ฤทธาฌานเวทของท่านธันยา มิใช่เพียงสร้างม่านขวางกั้นเส้นทาง สังเกตหรือไม่ม่านอักขราค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาพวกเราแล้ว...”

ทั้งหมดอุทานด้วยความตระหนก จริงดั่งนารทกล่าว เมื่อเขม้นมองจึงเห็นชัด ขอบของม่านอักขราค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเรือลำใหญ่ช้าๆ แม้ไม่รวดเร็ว แต่ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ ชั่วไม่กี่อึดใจก็จะปะทะเรือใหญ่ลำนี้แล้ว!

อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา สุ้มเสียงเคร่งเครียดจริงจัง
“หากเราไม่อาจแก้ปริศนาทันเวลา ม่านอักขราเมื่อสัมผัสขอบเรือ จะหอบม้วนกลืนเรือทั้งลำลงสู่มหานที! หนทางเดียวคือพวกเราต้องหนี! เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากต้องการมุ่งหน้าต่อไปต้องไขปริศนาให้ได้!”

กระแสเสียงนุ่มกังวาน ทว่าเยือกเย็นยิ่ง กล่าวอย่างเฉื่อยชา
“คำปริศนามีเพียงหนึ่งคำ สามารถทายได้เพียงครั้งเดียว ขบคิดให้ดีก่อนจะตอบ”

ยิ่งเมื่อรับทราบเช่นนี้ จิตใจทุกคนยิ่งเคร่งเครียดหนักอึ้ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยทายคำใดออกมา ยิ่งนานเวลายิ่งผ่านพ้น ม่านอักขรายิ่งเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะ เจ้าฟ้าชายกรินทร์ ขุนพลศรุต ต่างจนปัญหา วูบนั้น ขุนพลศรุตขยับก้าวไปเบื้องหน้าคล้ายคิดกระทำสิ่งใด ทว่าเจ้าฟ้าชายกรินทร์กลับส่ายหน้าเป็นเชิงปรามไว้

นารทเองก็ขบคิดสิ่งใดไม่ออก แม้มีบางคำอยากลองทาย แต่ในเมื่อสามารถทายได้เพียงครั้งเดียว ย่อมไม่อาจทดลองใดๆ ได้ นอกจากจะมั่นใจในคำๆ นั้นจริงๆ ภายใต้อักขรานับหมื่นแสนตัว จะหาเพียงหนึ่งคำในนั้นพบได้อย่างไร เมื่อเหลียวไปมองวาสิตาแวบหนึ่ง หญิงสาวก็ได้แต่ส่ายหน้าแสดงว่าอับจนปัญญาเช่นกัน

ทุกคนบนเรือใหญ่ถูกความเครียดสะกดนิ่ง ปริศนาสามารถตอบได้เพียงครั้งเดียว ใครเล่าจะกล้าเอ่ยคำใดจากปาก เวลายิ่งผ่านพ้นรวดเร็วโดยทุกคนไม่ทันรู้ตัว ที่สุดม่านอักขราอยู่เบื้องหน้า แทบปะทะหัวเรือแล้ว!

ทันใด บุลินโพล่งขึ้น สุ้มเสียงก้องกังวาน
“สกันทะ!”

บัดนั้น เจ้าของกระแสเสียงนุ่มกังวาน อุทานขึ้นเฮือกหนึ่งร่างสั่นสะท้าน ชั่วอึดใจใหญ่ ค่อยหัวร่อแผ่วเบาไม่ทราบแฝงความหมายใด สุ้มเสียงเยือกเย็นสะกดทุกความรู้สึกแห่งตน

“เจ้าหนุ่ม...เจ้าเก่งมาก เราไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร ใช้วิธีใดจึงแก้ปริศนาของเราได้ แต่สัญญาย่อมเป็นสัญญา เราเมื่อเอ่ยปากไม่เคยบิดพลิ้วมาก่อน” พริบตานั้น ม่านอักขราซึ่งหยุดชะงักเบื้องหน้าเรือใหญ่ พลันสลายหายวับ

กระแสเสียงเทวปราชญ์ ธันยา กล่าวอย่างเฉื่อยชา
“สำหรับเจ้าผู้ไขปริศนาแห่งเราได้ เราจะให้เจ้าไปถึงพุทธินคราเร็วกว่าผู้อื่น!”

สิ้นประโยค กระแสลมหอบหนึ่งพุ่งจากเรือเบื้องหน้า นารทกับวาสิตาสะดุ้งเฮือก รีบตรงเข้าจับแขนบุลินไว้มั่นพร้อมกัน ขุนพลศรุตรีบกระโดดเข้าขวางหน้า เกราะสีเงินส่องประกายระยับ ทว่ากลับไม่ทันการณ์แล้ว สายลมหอบนั้นพัดม้วนทั้งบุลิน นารท และวาสิตาลอยขึ้นสูงกลางนภา แล้วหายลับไปจากสายตาทุกผู้ในบัดดล!

จากคุณ : big pigdaddy
เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 11:36:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com