Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๗ การเดินทางของวสันต์) ติดต่อทีมงาน

ความลับฤดูหนาว  (บทที่ ๑ ศพเดินได้)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11309801/W11309801.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๒ คนบ้าในกรงขัง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11321605/W11321605.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๓ ชายหนุ่มและสมมุติฐาน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11331282/W11331282.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๔ รูปจำลองเสมือนจริง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11338619/W11338619.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๕ คำเตือนของอัศวิน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11350818/W11350818.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๖ จดหมายจากแดนไกล)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11358855/W11358855.html




บทที่ ๗ การเดินทางของวสันต์

เช้านี้อรอนงค์ปลุกฟ้าฉายตื่นแต่เช้ามืด เมื่อได้ทราบเหตุผลจากอีกฝ่ายหญิงสาวจึงรีบตะลีตะลานลุกไปคว้าเอาเสื้อกันหนาวตัวหนา รีบสาวเท้าวิ่งตามเพื่อนสาวไปยังหน้าเรือนคานพิภพหลังกลางที่แวดล้อมด้วยเหล่าสมาชิกในตระกูลคานพิภพ

วสันต์กำลังจะออกเดินทางไปศรีสะเกษ... เพราะว่าปู่ของเขาเกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน เมื่อฟ้าฉายไปถึงก็เห็นวสันต์หันมายกมือไหว้นางไพรินทร์และเหล่าน้าๆ ก่อนผินหน้ามายังนายท่านเหมราช คานพิภพที่ใช้ไม้เท้าพยุงกายโดยมีนางพิมพ์พาคอยประคองอยู่

ชายสูงวัยพยักหน้าเนิบนาบก่อนที่วสันต์จะยกมือไหว้ลา ฟ้าฉายอดหันไปมองเศรษฐพงษ์ไม่ได้... สายตาของเขายามทอดมองวสันต์เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาและอาวรณ์ แต่ก็แสดงออกมาได้ไม่มาก ช่างเป็นความอึดอัดใจเสียเหลือเกินจะบรรยาย หากว่าเธอเป็นเขา...ขอตัดใจยังจะดีกว่า พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดและเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังจะฝืนอีก !

วสันต์เดินขึ้นไปนั่งบนเกวียนก่อนที่คนนำทางจะพามันเคลื่อนออกจากบ้านคานพิภพไป อรอนงค์บอกว่าเขาต้องนั่งเกวียนเล่มนั้นเข้าเมือง จากนั้นจึงต่อรถที่สถานีขนส่งอีกทอดหนึ่งสู่จังหวัดศรีสะเกษ เหตุที่ไม่เอารถยนต์ของเศรษฐพงษ์ไปส่งนั้นก็เพราะว่านายทรงพลนำเข้าเมืองตั้งแต่เช้า ส่วนรถในโรงไม้ก็ใช้ขนไม้ไปส่งให้กับลูกค้ายังต่างอำเภอ กว่าจะว่างก็คงเป็นช่วงเย็น แต่ทว่าฟ้าฉายก็อดน้อยใจแทนวสันต์ไม่ได้... เธอคิดว่านายเหมราชไม่ค่อยจะเหลียวแลหลานชายคนสุดท้องแห่งคานพิภพสักเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับเศรษฐพงษ์และอรอนงค์หรือแม้แต่แสงดาวกับสกาวเดือน หรืออาจจะเป็นเพราะนางไพรินทร์เคยเกิดมีปากเสียงกับเหมราช ความเกลียดชังนี้จึงถูกส่งมาถึงลูกของเธอ...

ฟ้าฉายทอดมองเกวียนที่ค่อยๆ หายไปกับไอหมอกสีขาวโพลนยามเช้า ลูกยางนาสีแดงสดปลิดปลิวร่วงหล่นลงจากต้นเมื่อเกวียนเคลื่อนผ่าน คล้ายกับว่าอวยพรแก่ชายหนุ่มผู้กำลังเดินทางสู่แดนไกลให้ปลอดภัย


ฟ้าฉายเดินกลับเรือนพักพร้อมกับอรอนงค์และเศรษฐพงษ์ ระหว่างทานมื้อเช้าหญิงสาวต้องคอยหลบสายตาหวานฉ่ำที่นายภูมิพงษ์ส่งให้ตลอดเวลาทานอาหาร มันทำให้เธอกลัวว่าอรอนงค์จะรู้ว่าพ่อของตัวเองคิดอะไรอยู่ในใจ หากแต่สายตาเรียบเฉยที่ฟ้าฉายมอบให้เขาก็ทำให้ภูมิพงษ์เพ่งมองเธออย่างสับสน... เขาคงกำลังอยากจะรู้ความต้องการแท้จริงของฟ้าฉายแน่...

วันนี้หญิงสาวเข้านอนเร็วกว่าปกติ อากาศเย็นๆ แบบนี้มันทำให้เธอไม่อยากจะออกนอกเรือนเวลากลางคืน ส่วนอรอนงค์นั้นไปอ่านหนังสือให้นายท่านเหมราชฟังที่เรือนใหญ่ เมื่อไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยแล้วฟ้าฉายก็ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาออกจากห้อง เธออดคิดถึงเรื่องตอนที่เอาอาหารไปให้นายพัฒน์ยังเรือนพักเมื่อวันก่อนไม่ได้ สีหน้าและแววตาอันตื่นตระหนก และประโยคคำพูดที่เอ่ยถามเธอ ภูมิพงษ์กับเหมราชจะทำร้ายจันทร์หอม? คนทั้งสองนี้ต้องเคยทำอะไรบางอย่างกับจันทร์หอมแน่ แล้วพวกเขาทำอะไรกับเธอล่ะ?...
หญิงสาวหรี่แสงไฟในตะเกียงให้ต่ำลงก่อนซุกกายลงใต้ผ้าห่มนวมผืนหนา เสียงสายลมพัดใส่ต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อมรอบตัวเรือนดังกรูเกรียวอยู่เบื้องนอกก่อนที่สองหูจะได้ยินเสียงของนกกลางคืนที่ทำให้ฟ้าฉายขนลุกซู่...

เสียงนกแสก... มันร้องอยู่ที่สวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่ คนโบราณเชื่อว่าหากได้ยินเสียงนกแสกหรือหากว่ามันมาเกาะและส่งเสียงร้องที่บ้านใด ที่แห่งนั้นก็จะมีคนตาย...

ฟ้าฉายลุกจากเตียงก่อนเดินย่องไปยังหน้าต่างและแง้มมันออก เหม่อมองลอดทิวไม้ไปยังสวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่ เธอเห็นร่างเพรียวลมของบัวเรียวกับนางผุสดีที่กำลังตะโกนไล่เจ้านกผีไปให้พ้นจากเรือนคานพิภพ


เมื่อเห็นว่าทุกคนในบ้านดับไฟนอนกันหมดแล้วสกาวเดือนจึงรีบย่องออกมาจากห้องพัก ยาสลบที่เธอแอบใส่ลงไปในแก้วน้ำแสงดาวคงจะได้ผลดี มันคงทำให้พี่สาวเธอหลับไปจนถึงเช้าและกว่าจะรู้สึกตัวตื่นก็คงสายๆ นู้นแหละ คงไม่มีใครสงสัยเพราะว่าเธอทั้งสองต่างก็ตื่นสายด้วยกันทั้งคู่เป็นประจำอยู่แล้ว

เมื่อเดินลงบันไดแล้วร่างเพรียวบางในชุดนอนสีขาวคลุมเข่าก็ย่อตัวลงเดินย่องไปทางสวนดอกไม้ เสียงสุนัขที่เห่าหอนในราตรีอันหนาวเหน็บดังแว่วมาจากในหมู่บ้าน แม้ผ้าซิ่นผืนบางที่สวมใส่จะทำให้หญิงสาวรู้สึกหนาวจับใจหากแต่ว่าไอ้บุญยงค์ได้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าและเนินอกอวบอิ่มของเธอก็คงอดใจไว้ไม่ไหวแน่

เมื่อมาถึงยังบ้านไม้ที่ปลูกติดกับพื้นดินหลังเล็กๆ อันเป็นที่พักของคนรับใช้หนุ่ม หญิงสาวก็เคาะประตูเรียกคนข้างในเบาๆ สองสามที ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกทีละนิด แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้ากลับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

“ตกใจมากเหรอไง... อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าพี่แสงดาวแอบมาหานายตอนดึกๆ ดื่นๆ” สกาวเดือนจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่ชายหนุ่มจะยิ้มเจื่อนๆ ดวงตามันวาวชำเลืองมองไปยังเนินอกอวบอิ่มที่โผล่พ้นขอบเสื้อผืนบาง บุญยงค์เลียริมฝีปากตัวเองก่อนถอยกายให้อีกฝ่ายเข้ามาในที่พัก

ชายหนุ่มลุกขึ้นไปจุดตะเกียงไฟแต่ผ่อนแสงไม่ให้สว่างมาก สกาวเดือนทรุดนั่งอยู่บนแคร่ที่มีเพียงเสื่อผืนเล็กๆ ปูอยู่ในขณะที่บุญยงค์ยืนเก้กังอยู่เบื้องหน้า

หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองร่างบึกบึนของบุรุษหนุ่มก่อนคลี่ยิ้มหวานเยิ้ม “ฉันอยากจะรู้นักว่า...พี่แสงดาวเค้าติดใจอะไรนายนักหนา... ช่วยทำให้ฉันรู้ได้มั้ยบุญยงค์...” สกาวเดือนเอนกายลงยังแคร่ ทอดสายตามองร่างหนาที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาก่อนคร่อมร่างเธอไว้ มือสากๆ ของชายหนุ่มลูบไล้ไปบนต้นขาเนียนขาว ไล่ขึ้นไปนวดคลึงหน้าอกอวบอัดของหญิงสาวเบาๆ สกาวเดือนเอามือแกะเม็ดกระดุมเสื้อชายรับใช้ออกจนหมด มือเรียวสวยลูบไล้ไปบนแผงอกหนาเข้มพลางครางออกมาอย่างสุขสม เมื่อริมฝีปากหยาบหนาพรมจูบที่ซอกคอ

“นายจะรออะไรอยู่อีกล่ะ... ฉันต้องการมัน ได้โปรด...”


จู่ๆ ฟ้าฉายก็สะดุ้งเฮือกขึ้นกลางดึก หญิงสาวหอบหายใจสามสี่ครั้ง ในห้องมืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น ยังดีที่หน้าต่างทางทิศตะวันตกได้รับแสงจันทร์ที่เคลื่อนที่จากทิศตะวันออกมา แสงสีขาวขุ่นสาดเข้ามาทางฝ้ากระดานที่มีรูโหว่ พอจะทำให้มองเห็นอย่างลางเลือน หญิงสาวหันมามองใบหน้ากลมอิ่มของอรอนงค์ที่พริ้มตาหลับข้างกาย ก่อนที่สองตากลมใสจะเบิกโพลงขึ้นในทันใด เสียงซออันแสนโศกเศร้าดังแว่วมาตามสายลมยามดึกสงัด...

เสียงทุ้มต่ำที่ครวญครางดังสลับกับเสียงแหลมสูงอันเกรี้ยวกราดทำให้หญิงสาวขนลุกซู่ขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์โกรธ เคียดแค้นและเสียใจที่ปรากฏอยู่ในท่วงทำนองของเสียงซอนั้น แล้วใครจะมานั่งสีซอดึกดื่นแบบนี้กันเล่า?

แม้จะรู้สึกกลัวจับใจแต่เพราะความอยากรู้จึงทำให้หญิงสาวกล้าดีดตัวลุกจากเตียงนอน ฟ้าฉายค่อยๆ เปิดประตูออกพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอก ไอเย็นแผ่เข้าใส่ใบหน้าขาวเนียนจนชาวาบไปชั่วขณะ เสียงซอนั้นยังคงแว่วมาตามสายลม เธอแน่ใจว่าทิศทางของมันคงมาจากสวนดอกไม้หลังเรือนใหญ่เป็นแน่

เมื่อหันไปปิดประตูห้องเรียบแล้วจึงค่อยๆ สาวเท้าเดินมายังบันไดด้านหลังเรือน ฟ้าฉายค่อยๆ ก้าวขาลงทีละขั้นอย่างระมัดระวัง

ร่างระหงเดินกอดอกเข้าไปในสวนดอกไม้ที่ได้รับแสงจันทร์สาดส่อง เสียงซอยังคงคร่ำครวญมาตามสายลมยามดึก สองตากลมใสเบิกมองไปรอบสวนดอกไม้เพื่อหาคนที่ทำให้เกิดเสียงนั่นก่อนที่ใครบางคนที่ทรุดนั่งอยู่ใต้ร่มแก้วเจ้าจอมที่สูงราวห้าเมตรจะหยัดกายขึ้น

หญิงแก่ร่างท้วมเดินออกมาจากร่มไม้ดำมืดสู่ลานโล่ง แสงจันทร์สาดส่องลงยังใบหน้ายับย่นตามกาลเวลาขณะที่ฟ้าฉายเพ่งมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ที่มือซ้ายของนางผุสดีถือซอไว้แน่น

“คุณ...คุณยายผุสดีมานั่งสีซออะไรดึกดื่นแบบนี้คะ” เอ่ยทักเสียงตะกุกตะกักก่อนที่นางผุสดีจะยกยิ้มเมื่อเห็นอาการหวาดกลัวบนใบหน้าหญิงสาวคราวหลาน สองตาหม่นแสงของหญิงแม่บ้านสูงวัยจ้องมองฟ้าฉายปานจะกลืนกิน เหมือนกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ของบางอย่าง

“เราก็แค่ทำให้พวกเขากลัว เราทำได้แค่นั้น...” เสียงรำพันแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากขณะที่แขกสาวจากต่างเมืองย่นคิ้วครุ่นคิด แต่ขณะกำลังจะอ้าปากถามหญิงสูงวัยก็ได้สติเสียก่อน

“นี่มันก็ดึกมากแล้วสินะ... หนูรีบขึ้นเรือนไปนอนเถอะ ยายก็จะกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน” ฟ้าฉายคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับอีกฝ่าย จ้องมองหญิงวัยย่างเจ็ดสิบปีเดินละลิ่วหายไปกับเงาไม้ยามค่ำคืน


วันนี้ฟ้าฉายตื่นสายกว่าทุกวัน อาจจะเพราะการสนทนายามดึกระหว่างเธอกับคุณยายผุสดีเมื่อคืนนี้เลยทำให้เธอนอนไม่หลับต่อจากนั้น กว่าจะข่มตาลงได้ไก่ก็ขันเสียแล้ว... คำพูดของคุณยายผุสดีฟังดูน่าสงสัยยังไงพิกล เธอพูดเหมือนกับว่าจงใจจะทำให้คนในบ้านคานพิภพกลัวกับเสียงซออันโหยหวนและคร่ำครวญนั่น

“นั่นเป็นซอที่พี่จันทร์หอมเคยสีน่ะค่ะ เพลงที่คุณยายผุสดีเล่นเมื่อคืนก็เป็นเพลงที่พี่จันทร์หอมชอบเล่น” บัวเรียวเอ่ยบอกเสียงเบาหลังจากที่ฟ้าฉายเรียกตัวมาถามเรื่องเสียงซอเมื่อคืนนี้ สีหน้าของหญิงแม่บ้านไม่สู้ดีเท่าไหร่นักหากเธอก็ยังยอมเปิดปากเล่าในทุกอย่างที่เธอรู้ และหากว่าบัวเรียวพูดจริง... คุณยายผุสดีคงต้องมีจุดประสงค์เหมือนกับคำที่เธอพูดออกมาเมื่อคืนนี้แน่ เธอต้องการจะทำให้คนในบ้านคานพิภพกลัว โดยการทำทุกอย่างให้พวกเขาระลึกถึงจันทร์หอม เตือนให้คานพิภพไม่ให้ลืมเรื่องราวของเธอ
“เสร็จรึยังฟ้า คุยอะไรกันอยู่เหรอ?” เสียงร้องถามของอรอนงค์ดังมาจากหน้าเรือนฉุดให้ฟ้าฉายต้องรีบชะโงกหน้าไปหา

“จ้ะ...ลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มขอบใจบัวเรียวก่อนรีบวิ่งดุ่มๆ ลงบันไดไปหาอรอนงค์ วันนี้เธอทั้งสองต้องเดินทางไปพบแม่ชีขจีเกศที่วัดป่า คนสำคัญที่ฟ้าฉายอยากจะเห็นหน้านักหนา...

สองสาวอยู่ในชุดเสื้อฝ้ายแขนยาวสีขาวและผ้าซิ่นสีน้ำเงินหม่นๆ ฟ้าฉายได้ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่เพื่อป้องกันความหนาวไว้ ส่วนอรอนงค์ก็ได้เสื้อกันหนาวผืนบางไว้สวมใส่ ทั้งสองเดินออกจากบ้านคานพิภพในราวๆ ห้าโมงเย็น ตรงเข้าสู่หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตรและกว่าจะเดินถึงวัดป่าซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปอีกสองกิโลเมตรก็คงกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

เมื่อออกมาจากหมู่บ้านแล้วฟ้าฉายก็ทอดมองกลุ่มชาวนาที่ช่วยกันขนกองข้าวที่มัดเรียบร้อยแล้ว ไปยังกองข้าวที่วางอยู่กลางทุ่ง เพื่อใช้สำหรับตีเอาเมล็ด ชายร่างท้วมวัยห้าสิบคนหนึ่งที่ยืนสั่งพวกชาวบ้านอยู่บนคันแทนาหันมาเรียกอรอนงค์ด้วยใบหน้าแจ่มใส

“อ้าวหนูอร...สบายดีเหรอจ้ะ?” เสียงร้องทักทำให้อรอนงค์ต้องหันไปตอบ
“ค่ะ...ลุงผู้ใหญ่เกี่ยวข้าวเสร็จรึยังคะ?”

“ยังเลย... นี่ก็เหลืออีกสองสามไร่น่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นภาษาอีสานที่ฟ้าฉายฟังเข้าใจดี ก่อนที่ผู้ใหญ่บ้านจะชี้ไม้ชี้มือมายังฟ้าฉายที่ยืนอยู่เคียงข้างอรอนงค์

“นี่ฟ้าฉายค่ะ...เพื่อนอรเอง” ฟ้าฉายยกมือไหว้ชายสูงวัยกว่า ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายมองเธอราวกับว่าเห็นผี ผู้ใหญ่บ้านคงต้องเคยได้พบหน้าจันทร์หอมแน่นอน

อรอนงค์ต้องรีบบอกลาเพราะต้องเดินทางไปให้ถึงวัดก่อนตะวันตกดิน เหนือต้นข้าวที่ออกรวงเหลืองอร่ามเริ่มมีไอหมอกสีขาวปกคลุม เมื่อสองสาวเดินเข้าสู่ชายป่ารกครึ้มก็ได้พบกับชายหนุ่มที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบหน้า

อัศวินฉีกยิ้มกว้างจนแทบถึงหูก่อนที่อรอนงค์จะเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงใส “สวัสดีค่ะคุณอัศวิน นี่กำลังจะไปไหนเหรอคะ?” สองสาวสำรวจมองชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ฟ้าฉายจุดยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องมองโสร่งที่เขาสวมใส่ทำให้ดูคล้ายพวกทหารมอญในสมัยโบราณยังไงไม่รู้

“พอดีว่าผ่านมาทางนี้น่ะครับ ว่าแต่คุณสองคนกำลังจะไปไหนเหรอครับ” คิ้วดำเข้มเลิกขึ้นสูง ขณะที่ดวงตาคมคายหันมาหาฟ้าฉาย

“กำลังจะไปวัดค่ะ...” ฟ้าฉายว่าก่อนที่คนตรงหน้าจะพยักหน้าพร้อมกับจุดยิ้ม

“งั้น...ผมขอไปด้วยคนได้มั้ยครับ มาค้างที่บ้านเพื่อนได้หลายวันแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปวัดป่าสักที” ฟ้าฉายขึงตามองอีกฝ่ายตรงๆ เอาแล้วไง...หวังว่านี่คงไม่ใช่แผนพิทักษ์เธอหรอกนะ หรือนายนี่จะหาโอกาสเข้าใกล้เรานะ

“ดีเลยค่ะ มีคุณอัศวินไปด้วยเราสองคนจะได้อุ่นใจ” อรอนงค์ยิ้มแก้มปริก่อนหันมาหาฟ้าฉาย อีกฝ่ายทำทีเป็นพยักเพยิดหน้าเห็นด้วยกับชายหนุ่มที่จะร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อจบการสนทนาอรอนงค์ก็เดินนำทั้งคณะมุ่งสู่วัดป่าที่อยู่อีกไม่ไกล  

วัดตั้งอยู่ลึกเข้าไปจากชายป่าราวครึ่งกิโลเมตร ภายในแยกพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ฝั่งซ้ายเป็นสำนักของสงฆ์ส่วนฝั่งขวาเป็นสำนักของภิกษุณี อรอนงค์ยังคงเดินนำหน้าไปกระทั่งถึงศาลาหลังย่อมที่ตั้งอยู่กลางลานโล่งซึ่งแวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่สูงลิบลิ่ว ด้านหลังศาลาหลังนี้คือที่พักของเหล่าภิกษุณีที่มีอยู่ทั้งหมดหกรูป

อรอนงค์นำทางสองหนุ่มสาวเดินขึ้นไปบนศาลาที่มีเทียนเล่มใหญ่หน้าพระประธานจุดให้แสงสว่าง บนศาลามีชาวบ้านราวสิบคนที่กำลังนั่งพนมมือสวดมนต์ไหว้พระกันอยู่ เมื่อพิธีเสร็จสิ้นอรอนงค์จึงพาฟ้าฉายไปพบแม่ชีขจีเกศในขณะที่อัศวินก็คอยเดินด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าศาลา

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 17:33:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com