ตอนที่ 20 ::. นางฟ้าของพ่อ .::
ฟังแผ่นเดิมต่อก็ได้ครับน้าเชิด
คนถูกทักชะงักมือที่กำลังปรับเครื่องเล่นซีดีในรถ เมื่อชำเลืองมองผ่านกระจกด้านหน้า ก็เห็นเจ้านายนั่งไขว่ห้างอยู่บนเบาะหลัง มือยังจับเอกสารพลิกอ่านกับอีกบางแฟ้มยังวางอยู่บนตัก ท่าทางจริงจังนั้นเมื่อเงยหน้ามาสบตาคนขับรถชราก็เปลี่ยนเป็นท่าทีกันเองที่ค่อนไปทางเคารพเลื่อมใส
ผมตั้งใจจะปิดนึกว่าคุณวินทร์อยากนั่งเงียบๆ เห็นเครียดกับเอกสาร ช่วงนี้ประชุมจนค่ำมืด วันนี้ก็ต้องไปเซ็นสัญญา คงเครียดน่าดูนะครับ
เชิดพูดถึงตารางงาน อันที่จริงวินทร์ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อมารดารู้ข่าวการเข้าไปดูแลพนักงานในอาณัติอย่างเปิดเผย ทำให้ผู้บริหารคนใหม่ถูกยัดเยียดตารางงานให้หนาแน่นขึ้นจนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหน
ไม่เป็นไรหรอกครับน้าเชิด ผมว่าเป็นโอกาสมากกว่า โรงพยาบาลนี้ยังต้องการการเติมเต็มอีกมากนะครับ ไหนๆคุณแม่ก็ให้อำนาจแล้ว วันนี้แค่ลงนามการเข้าร่วมมาตรา 7** เรื่องเดียว เดี๋ยวก็ว่างแล้วครับ
มาตรา 7 เห็นมีมานานแล้วนี่ครับ คุณนายปฏิเสธการเข้าร่วมมาตลอด เอ้อ...อย่าหาว่าผมสอดรู้สอดเห็นเลยนะครับ เมื่อก่อนขับรถให้ท่าน ได้ยินท่านบ่นอยู่บ่อยๆ ว่ามีหนังสือเชิญมาทุกปี ท่านก็ปฏิเสธไปเสียทุกปี คุณวินทร์ไปเซ็นยินยอมอย่างนี้ คุณนายไม่ว่าเอาหรือครับ
หึๆ ก็มีบ้างแหละครับ แรกๆก็บ่นว่าเสียภาพพจน์ของโรงพยาบาล ผู้บริหารคนอื่นๆ ก็เออออตามกันมาตลอด ผมถามว่าเสียภาพพจน์ตรงไหน แม่บอกว่าเราเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับวีไอพี การไปปะปนกับภาครัฐ จะทำให้เสียแบรนด์เดิมที่คุณแม่เพิ่งทำตลาดได้เมื่อไม่กี่ปีก่อน
แล้วคุณวินทร์กล่อมยังไงให้ท่านยอมล่ะครับ
โอย ไม่เสียเวลากล่อมหรอกน้าเชิด ขืนผมบอกว่า เราควรจะบริการประชาชน ผ่อนปรนภาระให้บ้านเมืองตามปณิธานของปู่ย่าตายายที่ช่วยกันก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นมา แม่มีหวังตะเพิดให้ผมกลับไปกินอุดมการณ์เหมือนเมื่อหลายปีก่อน รอบนี้ผมเลยบอกให้บัญชีเอาผลการเติบโตรายไตรมาสให้คุณแม่ดู เห็นชัดเลยว่าลดลงตามเศรษฐกิจ แล้วแทนที่เราจะต้องไปทุ่มเงินกับการออกตลาด เดินสายไปตามกลุ่มลูกค้าที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารัดเข็มขัดกันเต็มที่ เปลี่ยนมาเป็นการตั้งรับคนไข้ อุบัติเหตุมา 1 ครั้ง ญาติก็ตามมาเป็นโขยง ข้อดีแรกคือเรายังสามารถตั้งเบิกกับสปสช.ได้ ข้อดีที่สอง คือถ้าเราบริการดี ญาติคนไข้ที่จับพลัดจับผลูกันมานั่นแหละ จะช่วยทำการตลาดแบบปากต่อปากให้
อ้อ...นี่ล่ะครับ เป็นการกล่อมสไตล์คุณวินทร์
ยังไงฮะ น้าเชิด
วินทร์พูดเจือหัวเราะในลำคอ
ก็พูดในมุมของคนฟัง ไม่ใช่ดึงให้เขามาเข้าใจเหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียว เมื่อกี้ผมฟังคุณวินทร์อธิบาย พอจะนึกภาพตอนคุณวินทร์พูดในที่ประชุมออกเลยทีเดียว
อืม ก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีเลยล่ะครับ ผมไม่อยากให้องค์กรที่ผมปกครอง กลายเป็นองค์กรที่แสวงหาแต่ผลกำไรอย่างเดียว ขณะเดียวกัน กำไรอย่างเดียวนี่แหละ เป็นที่ตั้งของโครงการทุกเรื่อง อ้อ...ผมไม่ได้ลืมดูใจตัวเองตอนเห็นผลโหวตของกรรมการบริหารนะครับ ตอนที่ทุกคนลงมติเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ ใจมันพองขึ้นมาอย่างกับจะทะลุออกมาข้างนอกได้ แต่พอรู้ทันมันก็หาย เก็บอาการแล้วนั่งนิ่งๆ คุยเรื่องอื่นต่อได้โดยไม่กลายเป็นลิงกระโดดโลดเต้นออกมา
โอ้... ได้ยินอย่างนี้ ผมดีใจยิ่งกว่าตอนได้ข่าวคุณวินทร์จะกลับมาจากเมืองนอกอีกครับ
ยังไงฮะ น้าเชิด
วินทร์ถามด้วยคำถามเดิม
ก็ครั้งนั้นคุณวินทร์กลับบ้าน แต่เป็นบ้านภายนอก แต่ครั้งนี้ผมเห็นคุณวินทร์กำลังเดินกลับบ้านภายในแล้วสินะครับ
บ้านภายใน หมายถึงในกายในใจเรา อย่างที่หลวงพ่อเทศน์ในซีดีใช่ไหมน้าเชิด
ถูกต้องขอรับ
เจ้านายหนุ่มกับคนขับรถชราคุยกันอย่างออกรส เชิดขับรถพานายออกมาจากที่พำนักระยะหนึ่งค่อยนึกได้
อืม แต่เซ็นสัญญาตั้งบ่ายไม่ใช่เหรอครับ คุณวินทร์เรียกผมมาแต่เช้า
ก็นี่ไงครับ เราไปวัดกันก่อน ออกจากวัดค่อยแวะไปหารสา ผมไม่ได้ติดต่อเธอหลายวันแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง"
เอ้อ... ครับ
การสนทนากลับติดขัด เชิดเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่กล้าบอก
มีอะไรหรือเปล่าน้าเชิด
เชิดนึกถึงเรื่องหลวงพ่อ แม่ชี กับวิญญาณเร่ร่อน ที่ตนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ พร้อมกับเรื่องบอกต่อกันมา ว่ามณฑาที่กุฏิของแม่ชีออกดอกสะพรั่งและกลิ่นหอมรัญจวนใจ ถ้าเป็นไปได้ ตนอยากจะไปกราบเรียนถามแม่ชีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ไม่รู้ซีครับ มันออกจะเหลือเชื่อไปสักหน่อย เอาเป็นว่า ผมอยากพาคุณวินทร์ไปดูต้นมณฑาที่วัดอยู่พอดีก็แล้วกันครับ
อือ ครับ น้าเชิด
วินทร์รับคำ ด้วยเข้าใจว่า เชิดจะไปสอบถามเรื่องพรรณไม้เพื่อจะหาไปปลูกในสวน ว่าพลางหยิบเอกสารขึ้นมาดูต่อ คนขับรถชราเงียบเสียง ในรถจึงมีเพียงเสียงเทศน์ธรรมะที่เปิดคลอเบาๆ...
.,¸,.*¯`.,¸,.*
(มีต่อค่ะ)
**หมายเหตุ**
มาตรา 7 หมายถึง
ความช่วยเหลือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน (มีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต) โรงพยาบาลเอกชนสามารถให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองโดยสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด(กรณีเป็นผู้ป่วยนอกเบิกได้ไม่เกิน 700 บาท ส่วนกรณีผู้ป่วยในเบิกได้ในอัตรา 4,500บาท/8,000บาท/14,000บาท) โดยส่วนเกินผู้ป่วย/ญาติต้องร่วมจ่าย
แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 08:12:31