ตายล่ะ คีย์อุทานเสียงดัง เขาลืมเอสยู โปรแกรมประหลาดที่หล่งได้ฝากเอาไว้ในไอพีของเขาไปเลย แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่ามันได้ช่วยพวกเขาเอาไว้หลายครั้งแล้ว แต่เขากลับยกไอพีให้กับคนอื่นไปโดยไม่ได้นึกถึงมันแม้แต่น้อย ...พึ่งมานึกเสียดายหรือไง หญิงสวมหน้ากากเอ่ยถาม โดยไม่ได้หันกลับมา เปล่าครับ...เพียงแต่ว่าในไอพีของผม มีโปรแกรมบางอย่างที่เพื่อนฝากเอาไว้ ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิจะยกมันให้คนอื่นไปแบบนี้ แต่เธอก็ให้เขาไปแล้ว ถ้าผมย้อนกลับไปตอนนี้... หญิงสวมหน้ากากหยุดเดิน ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาที่ซ่อนลึกอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น แลดูคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด ถ้าเธออยากตายก็เชิญ ...คุณพูดเรื่องอะไร คนเมืองอย่างเธอไม่เข้าใจกฏของผู้พเนจรอย่างพวกเรา ตอนนี้ถือว่าไอพีได้ตกเป็นของเขาโดยชอบธรรมแล้ว หากเธอย้อนกลับไปทวงถาม นั่นจะถือเป็นการดูหมิ่น...และเขาอาจฆ่าเธอด้วยเรื่องนี้ได้ คุณล้อเล่นใช่ไหม เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่หญิงสวมหน้ากากพูดออกมานัก แต่เธอไม่ตอบพร้อมกับเริ่มออกเดินอีกครั้ง เขาอดเหลียวมองกลับไปทางด้านหลังไม่ได้ ไกลออกไปบนท้องฟ้าคล้ายมีกลุ่มควันจางๆ ลอยวนอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะกำลังก่อไฟเพื่อจัดการกับเนื้อเหล่านั้นก็เป็นได้ 'ถ้าย้อนกลับไปขอไอพีคืน เขาจะฆ่าเราจริงหรือ' เรื่องราวโหดร้ายแบบนี้เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ไม่มีใครในโรงเรียนพูดถึง ไม่มีบันทึก หรือข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันฟังดูเหลือเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่เขาเคยอยู่ เคยรู้จัก โลกในเมืองที่มีแต่ความสะดวก ปลอดภัย 'ไม่สิ' เขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่มันเป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปในสมัยที่มนุษย์พึ่งเริ่มก้าวเดินเข้าสู่วิถีแห่งความเจริญ ถึงกับเคยมีกฏหมาย การดวลดาบ หรือปืน ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคสมัยนั้นๆ เพื่อใช้หาข้อยุติให้กับความขัดแย้งต่างๆ ที่มักจบลงด้วยความตาย เขานึกไม่ถึงว่า โลกภายนอกในปัจจุบันจะย้อนกลับไปอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกครั้ง แปลกใจใช่ไหม หญิงสวมหน้ากากเอ่ยถาม ราวกับสามารถอ่านความคิดของเขาได้ แปลกใจ...เรื่องอะไรครับ เขาถามย้อนกลับไปเพื่อให้แน่ใจ ว่าเธอหมายถึงเรื่องเดียวกับที่เขากำลังคิดอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าขมุกขมัว ก่อนมองเลยไปยังตัวอาคารที่เขาคาดว่าคงเป็นที่ตั้งของแชงกรีล่าซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง บางที เธออาจจะประเมินเวลาการเดินทางที่เหลืออยู่ก็เป็นได้ เธอหยุดเดินอีกครั้ง พร้อมหันกลับมา ดวงตาที่งดงามอย่างแปลกประหลาดคู่นั้น คล้ายกับจะสามารถมองทะลุเข้าไปในหัวใจของเขาได้ โลกภายนอก...ไม่เหมือนกับที่เธอเคยคิดว่ารู้จักใช่ไหม ...ใช่ครับ เขาตอบเพียงสั้นๆ ไม่อยากบอกเธอว่าตนเองรู้สึกผิดหวังกับความเป็นจริงนี้มากแค่ไหน ความจริงแล้ว มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น และโลกภายในเมืองเอง ก็ไม่ได้งดงามอย่างที่เธอเข้าใจเช่นกัน...ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันมากแค่ไหน แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเดิม ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ...ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ผมว่าพวกเรามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน 'สุดท้าย เขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนเมืองทั้งหลาย' ความสนใจในประวัติศาสตร์ของเขา ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขามองทะลุเปลือกนอกสวยหรูที่ฉาบทับความเป็นจริงเอาไว้ ปัญหา การแก่งแย่ง ความขัดแย้ง สงคราม ไม่ว่าหน้าตาของมันจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ในแต่ละยุคสมัย แต่แก่นแท้ภายในของมันกลับยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นคือเกิดจากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์นั่นเอง ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากความต้องการพื้นฐานในการมีชีวิต ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อก้าวผ่านไปได้ ความต้องการก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากความสะดวกสบาย พัฒนาขึ้นสู่ความหรูหรา ฟุ่มเฟือย ฯลฯ หลังจากนั้นก็จะเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว และไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การเติมเต็มทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความต้องการทางใจด้วย ไม่ว่าจะเป็น คำเยินยอ อำนาจ บารมี ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่ไม่มีวันเติมให้เต็มได้ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ไม่มีความแตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนในยุคก่อน ผู้พเนจร คนเมือง และยังอาจรวมถึงคนในยุคสมัยต่อไปด้วย 'ถ้ายังมีมนุษย์เหลือรอดอีกนะ' คุณพูดเหมือนกับว่า...เคยอยู่ในเมืองมาก่อน เธอพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับ เขาจึงเริ่มคิดว่าบางทีเรื่องเล่าที่ซูฟียึดถืออยู่นั้น อาจมีความเป็นจริงซุกซ่อนอยู่มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนสถานะจากผู้พเนจรกลายเป็นคนเมืองนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขาก็เชื่อว่าเธอพูดความจริง เธอจะไปแชงกรีล่าเพื่ออะไร แล้วทำไมถึงต้องหลบหนีเจ้าหน้าที่พิเศษด้วย เธอตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกว่าตัวเองกำลังหลบหนีเจ้าหน้าที่พิเศษ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขา จะทำให้คนเหล่านี้สามารถคาดเดาได้ไม่ยาก เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนตอบออกไป ...ผม...ก็ไม่รู้เหมือนกัน แววตาของเธอที่จ้องมา ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ คำตอบของเขายังคงไม่เพียงพอ และเขาพยายามจะหาคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้หญิงลึกลับผู้นี้พึงพอใจ ...ผมแค่พยายามจะทำตามคำสั่งเสียของพ่อ ท่านบอกให้ผมเปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเพชร แล้วนำ...ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ผมเองก็ยังไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และไม่รู้ว่าทำไมสำนักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ พอพูดจบเขาก็รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองเล่าเรื่องนี้ให้คนแปลกหน้าอย่างเธอฟัง ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นความลับ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้บอกเรื่องฐานดวงจันทร์ออกไป เขาพึ่งรู้ตัวว่า เธอยังคงจ้องมองอย่างไม่วางตา และเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่พูดอะไรออกไปให้มากกว่านี้ 'นี่มันแปลกเกินไปแล้ว' เดินทางกันต่อดีกว่า เธอละสายตาจากเขา และความรู้สึกราวกับถูกสะกดนั้นก็หายไปด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกันเงียบๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ตัวเลยว่า การก้าวเดินของเธอช้าลงกว่าในตอนแรก และร่างเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นก็มีเหงื่อออกราวกับว่าเธอพึ่งผ่านการออกแรงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งๆ ที่เพียงแค่หยุดยืนพูดคุยกับเขาเท่านั้น อาคารเบื้องหน้านี้แลดูไม่ค่อยคุ้นตา บางทีอาจเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาเดินทางมาด้วยรถ และผ่านเข้าออกจากบริเวณที่จอดรถซึ่งอยู่ด้านบนตัวอาคาร แต่ตอนนี้หญิงสวมหน้ากากกำลังนำเขาไปยังประตูเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้ถูกใช้จนกลายเป็นทางหลักไปเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมาย เขาจึงตัดสินใจถามบางเรื่องที่ยังข้องใจอยู่ออกไป เพราะไม่แน่ว่าจะต้องแยกจากเธอไปเมื่อไร ...ทำไม พวกเขาถึงเรียกคุณเป็นผู้อาวุโสด้วยครับ เธอตอบคำถามนี้โดยไม่หันกลับมา ก็เพราะ...ฉันเป็นผู้อาวุโสน่ะสิ เธอเอื้อมมือไปจับคันโยกบนบานประตู ออกแรงบิดจนมีเสียงดัง อากาศจากภายในถูกดันออกมาผ่านช่องเปิด ก่อนที่บานประตูหนาหนักจะค่อยๆ แง้มกว้างออก ผมไม่เข้าใจ คุณเองก็ยังดูไม่น่าจะมี...อายุมากขนาดนั้น เธอหันกลับมาพร้อมกับหัวเราะ ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทั้งสองได้พบเจอกัน ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน มีอีกหลายเรื่องที่เธอยังไม่รู้ และฉันก็ไม่อยากเป็นคนบอกเธอด้วย เป็นคำตอบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรให้กับเขาเลย ...แล้ว ทำไมถึงต้องสวมหน้ากากด้วยครับ ก็เพราะฉันไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าน่ะสิ เธอหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง เขาได้แต่คิดในใจว่าไม่น่าจะถามคำถามทั้งหมดนี้ให้เสียเวลาเลย เข้าไปกันเถอะ...อ้อ ยินดีต้อนรับสู่แชงกรีล่า เขายกแขนขึ้นเพื่อดูข้อมูลในไอพีตามความเคยชิน ก่อนจะพบเจอกับความว่างเปล่า 'ลืมไปเลย' เขาทำท่าแก้เขินด้วยการยืดเหยียดแขนทำท่าเหมือนกับจะขับไล่ความเมื่อยล้า ก่อนก้าวเดินเข้าไปในความทึบทึมภายใน หญิงสวมหน้ากากก้าวติดตามมา พร้อมกับปิดประตูตามหลัง ทั้งสองเดินไปตามทางเดินแคบๆ เขายังคงทำหน้าที่นำทางต่อไป เพราะทางเดินสายนี้ไม่มีทางแยก เพียงแต่วนไปเวียนมา และดูเหมือนจะลาดเอียงลงไปเรื่อยๆ แสงสลัวที่ส่องลงมาจากเพดาน ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นเวลากลางคืนที่โรงเรียน นอกจากนี้เขายังรู้สึกอึดอัดอย่างแปลกประหลาดอีกด้วย พวกเราไม่มีพลังงานให้ใช้มากมาย ทั้งแสงสว่าง และระบบปรับอากาศจึงไม่มีทางเทียบกับในเมืองได้เลย อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบเจอกับทางแยกเป็นครั้งแรก เขาต้องเตือนตัวเองไม่ให้ยกแขนซึ่งไร้ไอพีขึ้นมาดูตามความเคยชิน ก่อนจะใช้วิธีการที่ไม่ปกติธรรมดาในการหาเส้นทางที่ต้องการ วิธีการที่คนเมืองอย่างเขาหลงลืมไปนานแล้ว ...จะต้องไปทางไหนครับ วิธีที่ว่าก็คือการเอ่ยปากถามนั่นเอง การไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในโลกภายนอกนั้น ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่อเข้ามาอยู่ภายในตัวอาคารเช่นนี้ มันกลับสร้างความรู้สึกหวาดกลัวสั่นคลอนจิตใจได้อย่างแปลกประหลาด ถ้าเธอต้องการติดต่อกับฝ่ายกิจการภายนอก ก็ต้องเลี้ยวไปทางขวา ...ฝ่ายกิจการภายนอก อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนเมือง เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายกิจการภายนอก ส่วนที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายกิจการภายใน เขาพยักหน้ารับแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ในขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปทางขวานั้น หูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง 'เสียงเพลงอย่างนั้นหรือ' มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่ขึ้นลงสูงต่ำเป็นท่วงทำนอง โดยไม่มีเสียงของเครื่องดนตรีชนิดอื่นใดให้ได้ยินอีก เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน ...หญิงงามแหวกว่ายทะเลดารา แสวงหาคำพิพากษาที่สูญหาย... เธอจะไปไหน เสียงเรียกของหญิงสวมหน้ากากทำให้เขารู้สึกตัว ว่าเขากำลังเดินเลี้ยวไปทางซ้าย ตามเสียงเพลงที่ได้ยินนั้นไป ผม...ผมอยากเดินไปดูทางด้านนั้นสักครู่ก่อนครับ ดวงตาวาวคู่นั้นจับจ้องมองมาที่เขาอีกครั้ง 'เธอไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น' ความจริงแล้วเธอไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ความหมายนั้นกลับกระจ่างชัดขึ้นมาภายในใจของเขา 'ใช่แล้ว ต้องรีบไปเอาเพชร แล้วหาทางไปฐานดวงจันทร์ให้เร็วที่สุด' ...ซึ่งซุกซ่อนเก็บไว้ในใจชาย ที่เธอหมายครองคู่อยู่ชั่วกาล... เขาละสายตาจากเธอ รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่แฝงมาในเสียงหวาน ก่อนหันมองไปยังที่มาของเสียงเพลงนั้นอีกครั้ง และตัดสินใจว่า จะต้องไปพบกับเจ้าของบทเพลงนี้ให้ได้ ผมอยากจะแวะไปหาเธอก่อน เขาพูดออกไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 'เธอ' ที่ว่านั้นเป็นใคร ครั้งนี้หญิงสวมหน้ากากเพียงพยักหน้า พร้อมกับเดินตามเขาไปเงียบๆ ทางเดินข้างหน้าค่อยๆ เปิดออกสู่ห้องโถงขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากม้านั่งหลายตัวที่วางอย่างเป็นระเบียบแล้ว เขาก็ไม่อาจมองเห็นรายละเอียดอื่นๆ เนื่องจากแสงไฟด้านในสว่างน้อยกว่าทางเดินเสียอีก เขาไม่ทันได้มองว่ามีผู้คนนั่งอยู่มากน้อยเพียงใด สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังร่างเล็กๆ ในชุดสีขาวสะอาดตา ซึ่งยืนอยู่บนแท่นยกพื้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องโถง เด็กหญิงผมดำ ที่มีดวงตากลมโตสีดำสนิท จบบทเพลงหวานปนเศร้าของเธอลงเมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องโถง เขาไม่แน่ใจว่าบทเพลงนั้นจบลงเพียงเท่านี้ หรือเป็นเธอที่หยุดร้องไปเอง เพราะหญิงงามในบทเพลงนั้นยังไม่ได้พบเจอกับชายคนรัก และคำพิพากษาที่สูญหาย ก็ยังไม่ได้ตอบว่าหาเจอหรือไม่ มีใจความว่าอย่างไร ความสั่นสะเทือนจากเสียงเพลงของเด็กหญิงยังคงก้องสะท้อนอยู่ภายในความเงียบของห้องโถง เธอส่งยิ้ม มองมา ราวกับว่ากำลังรอคอยเขาอยู่ ก่อนค่อยๆ ก้าวเดินจากแท่นตรงมาหาเขา ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน และท่านผู้อาวุโส เธอก้มหัวให้หญิงสวมหน้ากากเล็กน้อย ซึ่งมองเธอด้วยสายตาหวาดระแวง สวัสดีครับ ผม...เอ่อ ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะแบบนี้ เธอยังคงยิ้มอย่างอ่อนหวานไม่เปลี่ยนแปลง เราชื่อ แพรดาว ในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จัก ...ผม ประพันธ์ หรือเรียกว่า คีย์ ดีกว่าครับ เป็นคำทักทายที่แปลกหู 'ในที่สุดก็ได้พบกัน' เธอหันไปมองหญิงสวมหน้ากากแวบหนึ่ง ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ผมขอโทษที่เข้ามาอย่างเสียมารยาทแบบนี้ เขาพึ่งได้คิดว่าบางทีการร้องเพลงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของพีธีการอะไรบางอย่าง เสียงเพลง กับพิธีกรรมนั้นมีความเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เธอไม่ได้รบกวนสิ่งใดทั้งสิ้น เธอเอียงคอมองสำรวจดู จนเขารู้สึกเขินขึ้นมา เธอมีคำถามใช่ไหม เอ่อ...ใช่ครับ...เพลงเมื่อครู่นี้ชื่ออะไรครับ เพลงดวงดาว ...แล้วเธอในบทเพลงนั้น ได้พบเจอกับชายที่รักหรือเปล่า และคำพิพากษาที่สูญหายมีข้อความว่าอย่างไรหรือครับ รอยยิ้มของเธอยิ่งลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม มันเป็นคำถาม...ที่เราเองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน เธอคงต้องไปถามมันกับคนที่รู้คำตอบเองแล้ว ชั่วขณะนั้นดูคล้ายกับเธอจะมองไปทางหญิงสวมหน้ากากอย่างไม่ตั้งใจ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คำถามที่เธออยากถามจริงๆ ใช่ไหม เธอควรจะคิดให้ดีก่อนที่จะเอ่ยถาม และเราคงต้องจบบทสนทนาเพียงเท่านี้แล้ว ชายหนุ่มผิวคล้ำ ผมดำ ในชุดสีขาวที่คล้ายกับของเธอ ลุกขึ้นจากม้านั่งแถวหน้า พร้อมกับเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังอย่างนอบน้อม เรารู้ว่าเธอมีธุระสำคัญ เนวิ จะเป็นผู้นำทางให้กับเธอเอง เราไม่ต้องการคนนำทาง... หญิงสวมหน้ากากพูดขัดขึ้น แต่แววตาวาวของเด็กหญิงก็ทำให้เธอต้องเงียบเสียงลง และเปลี่ยนท่าทีในทันใด ...แต่มีสักคนก็ดี เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจจากหญิงสวมหน้ากากผู้นี้ เด็กหญิงพยักหน้าอย่างพอใจ คล้ายกับได้บรรลุถึงทุกสิ่งที่เธอต้องการแล้ว ขอจักรวาลจงคุ้มครองพวกเธอ ทั้งสามคนเดินออกจากห้องโถง ก่อนที่เสียงเพลงจะดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการร้องประสานเสียง ซึ่งทำให้เขารู้ว่าภายในห้องโถงนั้นมีคนอยู่มากกว่าที่เขาคิด เพลงที่ร้องในครั้งนี้ไม่ใช่ เพลงดวงดาว และเขาจับใจความอะไรไม่ได้เลย บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเสียงร้องที่ไม่มีคำพูดที่มีความหมายอยู่เลยก็เป็นได้ คุณต้องการไปยังที่ใด เนวิส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงเพลง แต่เสียงทุ้มนั้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ผมจะไปรับเพชรที่สั่งเอาไว้ครับ เขาตอบเสียงดัง เนวิเพียงพยักหน้าพร้อมกับออกเดินนำไปในทางเดิน เขาจึงรีบเดินตาม หญิงสวมหน้ากากมองดูด้านหลังของเนวิอย่างไม่วางตา แต่ก็ก้าวติดตามไปโดยไม่ได้พูดอะไร
จากคุณ |
:
zoi
|
เขียนเมื่อ |
:
25 พ.ย. 54 01:29:55
|
|
|
|