Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๘ ดวงดาวผู้เป็นพยาน) ติดต่อทีมงาน

ความลับฤดูหนาว  (บทที่ ๑ ศพเดินได้)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11309801/W11309801.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๒ คนบ้าในกรงขัง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11321605/W11321605.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๓ ชายหนุ่มและสมมุติฐาน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11331282/W11331282.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๔ รูปจำลองเสมือนจริง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11338619/W11338619.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๕ คำเตือนของอัศวิน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11350818/W11350818.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๖ จดหมายจากแดนไกล)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11358855/W11358855.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๗ การเดินทางของวสันต์)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11367272/W11367272.html



บทที่ ๘ ดวงดาวผู้เป็นพยาน

อาจเพราะอยู่ในสมาธิและจิตมีความตั้งมั่นไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งที่มากระทบง่ายๆ จึงทำให้ฟ้าฉายไม่เห็นอาการหวั่นวิตกอยู่ในแววตาของภิกษุณีรูปนี้เลย ศีรษะที่โกนจนโล้นส่องกระทบกับแสงเทียนเหลืองอร่ามขณะที่แม่ชีขจีเกศก้มหน้าลงพร้อมกับถอนหายใจเมื่อสบสายตากับฟ้าฉาย ริมฝีปากของผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาพึมพำบางอย่างก่อนเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาว

“สบายดีกันรึ แล้วนี่...จะให้เพื่อนพักอยู่ที่บ้านสักกี่วันกันล่ะ”
อรอนงค์ยิ้มตอบแม่ชีขจีเกศก่อนบอก

“สบายดีค่ะ ยัยฟ้าบอกว่าจะอยู่ถึงวันที่ 12 ธันวาค่ะ ก็อีกประมาณสองอาทิตย์”
ฟ้าฉายคลี่ยิ้มเมื่อภิกษุณีสูงวัยหันมามองเธอ ใต้รอยคิ้วที่ถูกโกนออกจนหมดคือดวงตาที่ไร้ซึ่งประกายแห่งความสดใส สีหน้าเย็นชาคล้ายหุ่นที่ไม่มีชีวิต แต่ทว่าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงถี่ๆ ทำให้ฟ้าฉายเห็นความผิดปกติที่อีกฝ่ายตั้งใจปกปิดมันไว้

“ได้ยินข่าวว่าคุณปู่ของโยมวสันต์ไม่สบายใช่มั้ย” แม่ชีขจีเกศเอียงหน้ามาหาบุตรสาว

“ค่ะ เพิ่งออกเดินทางไปศรีสะเกษเมื่อเช้านี้เอง” อรอนงค์ว่า
ดูท่าเธอคงคิดถึงผู้เป็นแม่มาก จึงเอาแต่นั่งมองภิกษุณีตรงหน้าด้วยรอยยิ้มแห่งความคิดถึงโดยไม่หันไปมองทางไหนเลย

ฟ้าฉายไม่คิดจะเปิดปากถามแม่ชีขจีเกศในเรื่องที่เธออยากรู้แน่ แม้หัวใจของหญิงสาวจะร้อนรนปานถูกไฟเผาก็ตามที แม่ชีขจีเกศคือกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องออกบวชชีหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์จันทร์หอมมาไม่ถึงเดือน ทั้งที่เธอก็มีลูกถึงสองคน มีสามีและครอบครัวให้ดูแล หรือว่า...เธอจะรู้ว่าฆาตกรเป็นใครจึงประชดชีวิตด้วยการออกบวชเพื่อไถ่บาปที่ตัวเองไม่อาจจะปกป้องจันทร์หอมเอาไว้ หรือไม่แน่...เธออาจจะเป็นฆาตกรเสียเอง การฆ่าที่ไม่เจตนา... ตกลงว่าแม่ชีขจีเกศออกบวชเพราะอะไรกันนะ?

ทั้งสามเดินทางออกมาจากวัดป่าในเวลาเกือบหกโมงเย็น แน่นอนว่าสองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยความมืดเรียบร้อยแล้ว ฟ้าฉายเพิ่มแสงตะเกียงไฟเจ้าพายุให้แรงขึ้น ความสว่างของมันทำให้มองเห็นหนทางข้างหน้าไปไกลเกือบห้าเมตร จิ้งหรีดเรไรต่างแข่งกันกรีดร้องจนแสบแก้วหู อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แล้ว

เมื่อมาถึงหมู่บ้านอัศวินจึงแยกตัวกลับไปยังที่พัก ความจริงชายหนุ่มอาสาจะไปส่งสองสาวถึงบ้านคานพิภพ แต่ว่าฟ้าฉายก็รีบยกมือปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับทำตาค้อนใส่ บอร์ดี้การ์ดหนุ่มจึงต้องเดินถือตะเกียงไฟเล็กๆ เดินคอตกกลับบ้านไป

ฟ้าฉายเงยหน้าขึ้นมองดาวสามดวงที่เรียงตัวเป็นแนวเฉียงลอยเด่นอยู่ทางทิศตะวันออกเหมือนอย่างเคย  

“ดาวไถสวยจัง...” หญิงสาวรำพึง ก่อนหันมายิ้มให้อรอนงค์ ความจริงสองสาวมีแผนจะนอนดูดาวกันคืนนี้แต่ไม่รู้ว่านายภูมิพงษ์จะอนุญาตรึเปล่า

“วันนี้กะจะอยู่ถึงกี่ทุ่มดี...ฉันว่าเราหอบเสื่อไปนอนดูดาวกันกลางทุ่งนาดีกว่ามั้ย? ดูในบ้านมันมีต้นไม้บังเยอะ” อรอนงค์พูดขึ้นเสียงใสก่อนที่ฟ้าฉายจะหันขวับไปมองใบหน้าอิ่มเอิบข้างๆ

“คุณพ่อเธออนุญาตแล้วเหรอ?”  

คำถามที่ได้ยินทำเอาอรอนงค์ต้องหัวเราะน้อยๆ ใส่เพื่อนสาวคนสนิท

“จ้ะ...เรื่องแค่นี้พ่อไม่ว่าอะไรหรอก ให้บัวเรียวไปด้วย แล้วก็เอาขนมกับชาไปกินด้วย จากนั้นก็นอนห่มผ้าหนาๆ แหงนหน้าดูดาวสวยๆ บนฟ้า....” อรอนงค์พูดพร้อมแหงนหน้าขึ้นมองท้องนภาสีน้ำเงินเข้มที่ประดับด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่มากมายมหาศาลนับพันล้านดวง บรรยากาศอันแสนโรแมนติก ดาวน้อยใหญ่ส่งแสงวิบวับ สัมผัสไอหมอกที่พร่างพรูและลมหนาวยามดึก ฟังเสียงว่าวธนูที่ลอยต้านลมอยู่บนฟ้า หากได้ชายหนุ่มสักคนมานอนเคียงข้างให้เธอได้ซุกหน้าลงบนแผงอกก็คงดี...

“เมื่อกี้เราน่าจะลองชวนคุณอัศวินเค้ามาดูดาวด้วยกันนะฟ้า”

คำพูดของอรอนงค์ทำให้ริมฝีปากที่กำลังคลี่ยิ้มกว้างอย่างเคลิบเคลิ้มต้องอ้ากว้างอย่างไม่รู้ตัว ฟ้าฉายกระพริบตาถี่ๆ มองอรอนงค์อย่างกับเห็นผีจนหญิงสาวแห่งคานพิภพต้องฉีกยิ้ม

“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนี้ด้วยเนี่ย...เอ๊ะ หรือว่าคิดอะไรกับเขารึเปล่า?”  

“ปละ เปล่านะอร...บ้าเหรอ ใครจะไปคิดอะไรแบบนั้น” ฟ้าฉายตอบตะกุกตะกักก่อนเสเบือนหน้าหนี

“เขาก็ดูดีนี่ ทั้งหน้าตาและรูปร่าง อารมณ์ขัน คุยสนุกดี และยังสุภาพอีกต่างหาก”

“สุภาพเหรอ?... เชอะ จ้างให้ฉันก็ไม่เอานายนั่นมาเป็นแฟนหรอก ไอ้ผู้ชายชีกอ”

“อะไรนะ... เธอบอกว่าคุณอัศวินเค้ารูปหล่อเหรอ?”

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ช่างมันเถอะอร เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เราดูกันเฉพาะพวกเราก็พอแล้วหละ ถ้ามีผู้ชายมาด้วยมันจะไม่ดี คนอื่นเขาจะเข้าใจผิด”
ฟ้าฉายอธิบาย อีกราวร้อยเมตรก็จะถึงบ้านคานพิภพแล้ว

“ก็จริงอย่างที่เธอว่านะ... เกิดเป็นผู้หญิงนี่มันไม่ดีเอาเสียเลย” อรอนงค์หลุบตาลงต่ำ สีหน้าที่สลดลงไปของเธอทำให้ฟ้าฉายต้องยกอีกมือขึ้นตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ

“คิดถึงเรื่องงานหมั้นอยู่ใช่มั้ย? ไม่ต้องกังวลหรอกอร... หมั้นแล้วก็ใช่ว่าจะถอนหมั้นไม่ได้นี่...ลองคบกันไปก่อน” ฟ้าฉายนึกถึงลูกชายนายอำเภอแห่งเมือง Y ที่จะเข้าพิธีหมั้นกับอรอนงค์ปีหน้านี้แล้ว ดีนะที่พ่อของเธอไม่ใช้วิธีคลุมถุงชนแบบนี้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ยัยฟ้าฉายหนีป่าราบแน่นอนค่ะ

ทั้งสองมาถึงบ้านคานพิภพในเวลาหนึ่งทุ่มห้านาที บนบ้านบัวเรียวกำลังตั้งโต๊ะอาหาร เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบขอตัวไปช่วยนางผุสดีจัดโต๊ะอาหารที่เรือนหลังกลาง ส่วนใหญ่งานในบ้านอรอนงค์ก็ทำเองเกือบทั้งหมดเพราะเห็นใจหญิงแม่บ้านที่ต้องดูแลเรือนคานพิภพตั้งสามหลัง พวกเสื้อผ้าของบิดาเธอจะเป็นคนจัดการส่วนบัวเรียวจะคอยมาช่วยในเรื่องสำรับกับข้าวและคอยทำความสะอาดบ้านให้ อรอนงค์เปรยว่าปีหน้าจะหาแม่บ้านสักคนมาคอยช่วยบัวเรียวและนางผุสดีอีกแรง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากเหล่าสมาชิกและผู้ใหญ่ในบ้านคานพิภพเสียก่อน

มื้อเย็นวันนี้ฟ้าฉายไม่เห็นหน้านายภูมิพงษ์ เศรษฐพงษ์แจ้งว่าผู้เป็นพ่อไปนั่งดื่มเหล้ากับนายบุญยืนและพวกคนงานโรงไม้ที่ศาลานั่งเล่นหลังเรือนใหญ่ พอทานข้าวเสร็จอรอนงค์ก็รวบถ้วยจาน ก่อนยกไปล้างทำความสะอาดโดยมีฟ้าฉายคอยช่วย เมื่องานบ้านเสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันไปจัดเตรียมข้าวของสำหรับนำไปนอนดูดาวในคืนนี้ บัวเรียวที่รีบวิ่งมาเรือนซ้ายทันทีที่จัดการงานทุกอย่างเสร็จแล้วอาสาจะไปเตรียมของกินให้ ส่วนอรอนงค์ก็หอบได้เสื่อพับขนาดกว้างราวสามเมตร ฟ้าฉายหอบหมอนและผ้าห่มออกมาอย่างทุลักทุเลแต่ทว่าสีหน้ากลับยิ้มแย้มอย่างมีความสุข อรอนงค์ฉวยเอาหมอนอีกใบจากมือผู้เป็นเพื่อนก่อนเดินไปหยิบเอาตะเกียงไฟมาถือไว้ บัวเรียวถือตะกร้าใบใหญ่รีบเดินดุ่มๆ ออกมาจากห้องครัวพร้อมรอยยิ้ม

“บอกใครรึยังอร...” ฟ้าฉายหันมาถามอรอนงค์พร้อมเลิกคิ้วสูง

“จ้ะ ฉันบอกพี่พงษ์แล้ว ไปกันเถอะนะ” อรอนงค์ผายยิ้ม

ก่อนเดินนำหน้าสองสาวลงบันได มุ่งหน้าออกจากเขตบ้านคานพิภพสู่ท้องทุ่งโล่งๆ ที่อยู่ห่างออกไปอีกราวร้อยเมตร

พระจันทร์ครึ่งดวงในวันขึ้นแปดค่ำพอจะให้แสงสว่างได้บ้าง อรอนงค์เดินเคียงคู่ไปกับบัวเรียวเพราะว่าอีกฝ่ายชำนาญเส้นทางมากกว่า ฟ้าฉายเองก็เกือบจะสะดุดล้มลงจากคันแทนาหลายรอบเพราะหลุมบ่อที่มองไม่ค่อยจะเห็นเนื่องจากเธออยู่ท้ายขบวน เสียงลมหนาวยามดึกพัดเสียดต้นตาลที่เรียงตัวอยู่อีกฟากของท้องทุ่งดังหวีดหวิว จนเมื่อได้ทำเลเหมาะๆ แล้วบัวเรียวจึงวางตะกร้าลงพื้นและเดินหาไม้เพื่อตีตอฟางให้ล้มเป็นแนวราบกับพื้นดิน เสียงเหยียบย่ำตอฟางข้าวที่แห้งกรอบดังสวบสาบแข่งกับเสียงลมหนาวที่พัดมาปะทะสามร่าง

เมื่อปูเสื่อและจัดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฟ้าฉายจึงได้ทรุดนั่งลงพร้อมกับระบายลมหายใจยาวก่อนสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด สองตากลมใสแหงนมองท้องนภาที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวนับพัน อา...ช่างงดงามจริงๆ

“ถ้ามีดาวตกนี่จะดีมากเลยนะฟ้า...” อรอนงค์ว่าขึ้นเสียงใสขณะทิ้งตัวลงนอนและรื้อผ้าห่มนวมขึ้นคลุมร่างกาย ฟ้าผายยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้มองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และหมู่ดาวอย่างเต็มตาก่อนที่บัวเรียวจะร้องโหยงขึ้นมา

“นั่น...นั่นไงคะ ดาวตก” อรอนงค์รีบดีดตัวลุกนั่งทันที สองสาวรีบหันไปตามนิ้วชี้ของหญิงแม่บ้าน รัศมีสีเขียวสลับฟ้ากระจายรอบวัตถุที่วิ่งผ่านท้องฟ้าคล้ายคนระบายพู่กันลงบนกระดาษ ฟ้าฉายรีบพริ้มตาหลับและกลั้นหายใจ ในเวลาที่จำกัดและสมองที่สับสนทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่จะอธิษฐานไม่ออก ก่อนที่ริมฝีปากจะพูดออกไปอย่างไม่มีเสียงว่า ขอให้ความลับในบ้านคานพิภพคลี่คลายในเร็ววันด้วยเถิด...

หญิงสาวลืมตาขึ้นมองท้องนภาสีน้ำเงินเข้มเบื้องบนอีกครั้ง สองตากลมใสนิ่งค้างอยู่เพราะคำอธิษฐานของตัวเองก่อนจะถอนหายใจด้วยความทดท้อ หวังว่าคำอธิษฐานของเธอจะเป็นจริงนะ... อย่างน้อยท้องฟ้า พระจันทร์ และหมู่ดาวก็คงได้เห็นเหตุการณ์และเรื่องราวปริศนาที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแน่

บัวเรียวก้มลงไปหยิบข้าวต้มมัดและขนมใส่ไส้จากตะกร้าขึ้นมาแกะใส่จานก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อเธอลืมของสำคัญ นั่นคือน้ำและชาร้อนๆ ที่อรอนงค์ชอบ
“คุณอร คุณฟ้า...เดี๋ยวบัวเรียววิ่งกลับไปเอาน้ำกับน้ำชาที่บ้านก่อนนะคะ พอดีลืม...” เธอยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้สองสาว อรอนงค์แกล้งทำตาเขียวใส่ก่อนพยักหน้าสองสามครั้ง

“รีบไปรีบมานะจ้ะ อ้อ...เอายาหม่องมาด้วยก็ดีนะบัวเรียว รู้สึกว่ายุงจะชุมเสียด้วย”
ฟ้าฉายเสริมก่อนที่บัวเรียวจะรีบวิ่งกลับบ้านคานพิภพโดยไม่ใช้ตะเกียงไฟ ฟ้าฉายมองตามร่างเพรียวลมที่ไต่คันแทนาไปอย่างรวดเร็วเพราะความเป็นลูกชาวนาจึงมีความชำนาญกว่าหญิงจากเมืองหลวงเช่นเธอ บัวเรียววิ่งอ้อมไปใช้เส้นทางลัดซึ่งจะไปโผล่ทางหลังบ้านเพราะใกล้กว่าการอ้อมไปเข้าจากทางหน้าบ้าน พลันนั้นเองหญิงแม่บ้านก็หยุดกึกกลางทาง เธอเพ่งสายตามองไปยังหลังเรือนคานพิภพพร้อมกับฟ้าฉายที่พยายามหรี่ตามองแสงเทียนจางๆ ที่สว่างวาบอยู่ทางชายป่าด้านหลังสวนดอกไม้ของเรือนหลังกลาง ไม่กี่อึดใจบัวเรียวก็ออกวิ่งอีกครั้งก่อนหายเข้าไปในดงไม้หลังเรือนคานพิภพ


สิบนาทีต่อมาขณะที่ฟ้าฉายกับอรอนงค์กำลังคุยกันถึงเรื่องผู้ชายในฝันและการงานที่อยากจะทำในอนาคตบัวเรียวก็ร้องโหวกเหวกโวยวายมาแต่ไกล เธอวิ่งตะลีตะลานมาบนคันแทนาจนพลาดท่าล้มไปหลายครั้งจนฟ้าฉายต้องป้องปากหัวเราะ หญิงวัยสามสิบเลิกผ้าถุงขึ้นเหนือเข่าก่อนวิ่งลัดลงสู่ผืนนาตรงมาหาหญิงสาวทั้งสองอย่างหน้าตาตื่น อรอนงค์เห็นท่าไม่ดีจึงดีดตัวลุกขึ้นยืนเมื่อผู้รับใช้มาถึง

บัวเรียวทรุดนั่งลงหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่แทบพื้นก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงหน้าคมขำของบัวเรียวบิดเบี้ยวไม่เป็นรูป หางคิ้วทั้งสองข้างตกลู่ลง ปากสั่นระริกเอ่ยบอกอรอนงค์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“เกิดเรื่องที่บ้านค่ะคุณอร มีคนผูกคอตาย...มีคนผูกคอตายค่ะ” เธอตะโกนก้อง เสียงนั้นสะท้อนดังทั่วท้องทุ่งอยู่สองสามครั้งเหมือนกับจะย้ำให้ผู้ฟังทั้งสองได้รับรู้ ไรขนอ่อนๆ ที่ท้ายทอยของฟ้าฉายลุกซู่เพราะไอเย็นยามดึกที่ลอยมาปะทะ อรอนงค์เอียงคอด้วยความสับสน ฟ้าฉายได้ยินเสียงหายใจของเธอดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ

“ว่าอะไรนะบัวเรียว ใคร...ใครผูกคอตาย...” นายสาวตวาดถามเสียงดัง บัวเรียวจ้องหน้าอรอนงค์ตรงๆ ก่อนเม้มปากบอกช้าชัด

“คุณสกาวเดือน คุณสกาวเดือนผูกคอตายที่ต้นไทรย้อยท้ายเรือนคุณพัฒน์ค่ะ...” ฟ้าฉายดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที เธอหันไปมองอรอนงค์ที่ยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก บัวเรียวเองก็ตัวสั่นเทาเพราะความตกใจ หญิงสาวรีบเข้าไปจับแขนคนเป็นเพื่อนไว้ก่อนบีบเบาๆ

“รีบกลับบ้านเถอะอร...” อรอนงค์นิ่วหน้าก่อนมองตาฟ้าฉาย ในแววตาของเธอมันเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว ฟ้าฉายสะบัดหน้ามาหาบัวเรียวก่อนสั่งให้รีบนำทางไปยังที่เกิดเหตุ

คราวนี้ที่ต้องเป็นเธอและอรอนงค์บ้างที่ต้องวิ่งตะลีตะลานกลับบ้านอย่างล้มลุกคลุกคลาน สองเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำพื้นดินและตอฟางที่เปียกชื้นเพราะหยาดน้ำค้าง หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้ กระแสลมพัดตีใส่สามร่างที่ก้าวขาวิ่งฉับๆ ไปอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยโดยมีเสียงว่าวธนูที่ดังขึ้นๆ ลงๆ เร้าจังหวะความตื่นตระหนกให้พุ่งแรง ฟ้าฉายเบิกมองหลังคาบ้านคานพิภพที่อยู่อีกไม่ไกล คำเตือนของพ่อเธอดังแว่วเข้ามาในหู หรือที่นี่ไม่ปลอดภัยจริงๆ ดังที่พ่อเธอว่า ผู้คนในบ้านหลังนี้น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่า หรือการตายของสกาวเดือนครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการหายไปของจันทร์หอม หรือว่านี่คือการแก้แค้นจากเธอ....

แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 54 11:53:06

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 12:09:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com