Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 78 ติดต่อทีมงาน

หลังออกจากเรือนเพลิบบุปผา สือหย่งหลุนและฟ่านไป่หนิงจัดหาม้ามาคนละตัว มุ่งลงใต้ เป้าหมายคือถ้ำที่อยู่ของปราชญ์วิปลาส

พวกมันวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเพราะมีเงินเก็บไม่มากนัก แวะในเมืองเท่าที่จำเป็นด้วยการค้างแรมกลางป่าย่อมประหยัดกว่า และดรุณีน้อยยังให้สือหย่งหลุนรับปากว่า ต่อให้ถึงคราวจำเป็น...ก็จะไม่ข้องแวะกับเรื่องราวในยุทธจักรเด็ดขาด

ปฏิบัติตามแผนเช่นนี้ อย่าว่าแต่การพบปะเหล่าจอมยุทธ์เลย กระทั่งชาวบ้านปกติพวกมันยังเจอหน้าน้อยกว่าน้อย ดังนั้นการเดินทางแม้ไร้รสชาติ ทว่าราบรื่นยิ่ง

กระนั้นเหตุการณ์ระหว่างฝ่ายธรรมะกับพรรคอสุราอาฆาตใหญ่โตเกินไป ถึงสองหนุ่มสาวพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องราวเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อเข้าใกล้เมืองพนาไพศาลซึ่งกำลังจะถูกใช้เป็นที่ชุมนุมชาวยุทธ์ แม้คิดใช้สองมือปิดหู ข่าวคราวบางอย่างก็ยังเล็ดรอดให้ได้ยินวันยังค่ำ

เด็กหนุ่มทราบดีว่าตระกูลตนต้องมาร่วมงานชุมนุมดังกล่าว จึงตัดสินใจอ้อมทางไม่แวะเมืองพนาไพศาล ป้องกันการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ

ทว่ามันไม่อยากตอแยเรื่องยุ่งยาก หรือเรื่องยุ่งยากจะวิ่งมาหามันเองมิได้?

ตอนที่สองหนุ่มสาวกำลังลัดเลาะเส้นทางผ่านป่า เสียงเอ็ดตะโรบางอย่างพลันดังขึ้นเบื้องหน้า ทั้งคู่มองดูกัน บังคับม้าไปผูกซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่ ตนเองใช้วิชาตัวเบากระโจนขึ้นไปหลบยังกิ่งก้านเบื้องบน กบดานสำรวจสถานการณ์เงียบ ๆ

ไม่ถึงอึดใจ ชายชุดม่วงเกือบสิบคนล้วนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนผ่านต้นไม้ที่สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ สือหย่งหลุนกวาดตามองพวกมันแล้วนิ่วหน้า พอดรุณีน้อยไถ่ถามเด็กหนุ่มก็ตอบว่า

“ข้าจดจำบางคนได้ พวกมันเป็นคนงานที่เข้าพรรคอสุราอาฆาตพร้อมข้าตอนไปช่วยเหลือเจ้า”

“หืมม์ หรือพวกมันได้เลื่อนขั้นมาสวมใส่ชุดม่วงแล้ว”

“ก็นับว่าแปลก ปกติกว่าจะได้สวมชุดม่วงต้องเข้าพรรคอย่างน้อยสามปี ทั้งมีการคัดเลือกพิถีพิถัน ไฉนคราวนี้เปลี่ยนแปลงง่ายดายนัก”

เด็กหนุ่มไม่ทันคาดเดาต่อ พลันมีคนจากพรรคกระยกจกโผล่มาไล่ตามพวกชายชุดม่วงไม่ลดละ แล้วขอทานคนหนึ่งก็กระโดดเข้าจับชายชุดม่วงที่วิ่งหนีได้ช้าที่สุด ก่อนดึงตัวมันมาทุบตีอย่างทารุณ ชายชุดม่วงสองสามคนตัดใจหันกลับมาช่วยเพื่อน แต่ก็ต้องประสบชะตากรรมไม่แตกต่าง พักใหญ่พวกชายชุดม่วงล้วนถูกกวาดต้อนมารวมกันจนครบ และกลายเป็นเป้าหมายให้พรรคกระยาจกที่มีคนมากกว่ารุมทำร้ายด้วยความเมามัน

ฟ่านไป่หนิงขมวดคิ้ว ตั้งข้อสังเกตว่า “ชายชุดม่วงกลุ่มนี้ฝีมือต่ำต้อยนัก”

“นั่นเพราะพวกมันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ไร้วิทยายุทธ์ ไม่มีทางสู้คนเหล่านี้ได้แน่” สือหย่งหลุนเอ่ยเสียงเครียด ดรุณีน้อยจับตาดูมันแล้วต้องลอบถอนใจ
นางรู้จักสีหน้าเช่นนี้ดี เพราะตอนที่สือหย่งหลุนเอาตัวเข้าช่วยนางครั้งแรก มันก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน

“พี่รับปากข้าแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุทธจักร”

“ใช่” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด “พวกเราก็ไปกันเถอะ”

“เหตุใดต้องรีบร้อน?” พอเห็นแววตาแปลกใจของอีกฝ่าย นางจึงเผยรอยยิ้มกว้าง “พี่รับปากข้าไว้ แต่ข้ามิได้รับปากพี่เลยนี่”

กล่าวจบไม่รอคำตอบจากมัน ฟ่านไป่หนิงพุ่งตัวลงข้างล่าง ปรี่เข้าผลักขอทานออกจากร่างชายชุดม่วงทันที ทำแบบเดียวกันอีกสองสามครั้ง พรรคกระยาจกค่อยหยุดมือมาจับจ้องนางเป็นตาเดียว

“เจ้าเป็นใคร!” หนึ่งในนั้นกระชากเสียงถาม

“เป็นใครก็ช่าง อย่างน้อยมิใช่คนที่เอาแต่รังแกผู้อ่อนแอกว่าเป็นแน่”

ดรุณีน้อยตัดสินใจยื่นมือยุ่งเกี่ยวเพราะไม่ต้องการให้สือหย่งหลุนไม่สบายใจ อีกทั้งนางเองเริ่มเบื่อหน่ายการเดินทางแสนจืดชืดเต็มที ได้ก่อกวนผู้คนฆ่าเวลาเสียบ้างนับว่าสมใจอยู่

การปะทะคารมระหว่างฟ่านไป่หนิงกับขอทานยังไม่ทันดำเนินต่อ สือหย่งหลุนก็ติดตามมาถึงพอดี เหล่าชายชุดม่วงจดจำเด็กหนุ่มได้ จึงตะเบ็งเสียงเซ็งแซ่

“อาหลุน นี่เจ้าเอง” “หายไปไหนมา” “เจ้ามาช่วยแล้ว”

ขอทานผู้หนึ่งสาวเท้ามาข้างหน้า หลังเสื้อคนผู้นั้นสะพายถุงกระสอบจำนวนห้าใบ มากที่สุดในหมู่คนพรรคกระยาจกเหล่านี้ ดูท่ามันคงเป็นหัวหน้ากลุ่ม ขอทานห้ากระสอบเห็นกิริยาที่ชายชุดม่วงแสดงต่อสือหย่งหลุนแล้วถึงกับมีอาการเคร่งเครียด ชี้นิ้วใส่เด็กหนุ่มว่า

“เจ้าเป็นใคร”

สือหย่งหลุนเม้มริมฝีปากแน่น หากเป็นสมัยก่อน มันคงรีบเอ่ยว่าตนคือคนของตระกูลสืออย่างเต็มภาคภูมิ ทว่าภายหลังเกิดเหตุการณ์มากมาย คำพูดเหล่านี้ย่อมมิอาจกล่าวเด็ดขาด จึงกัดฟันตอบว่า

“ข้าเป็นสหายพวกมัน ขอพวกท่านอย่าได้กระทำรุนแรงเลย”

“ลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่เปิดเผยตัว มิหนำซ้ำยังเข้าข้างชายชุดม่วงอีก หรือเจ้าเป็นคนของพรรคอสุราอาฆาต”

“ข้ามิได้เป็นคนของฝ่ายอธรรมแน่”

“เช่นนั้นก็ถอยไป!”

กล่าวจบดันตัวเด็กหนุ่มพ้นทางแล้วสาวเท้าเข้าหากลุ่มชายชุดม่วง สหายสือหย่งหลุนถอยกรูดด้วยอาการประหวั่น ส่งเสียงระงมเซ็งแซ่

สือหย่งหลุนหมุนตัวมาขวางขอทานห้ากระสอบอีกครา ยกสองมือคำนับพลางฝืนยิ้ม “พี่ท่านตัดสินใจเด็ดขาด มิทราบชายพวกนี้กระทำเลวร้ายอันใดหรือ”

“ข้าเพียงเห็นพวกมันเดินอยู่ชานเมือง แต่ชายชุดม่วงล้วนไม่มีตัวดี”

“หากพวกมันยังไม่ได้ทำผิด ก็ใช่เหตุให้พี่ท่านต้องเปลืองแรงสั่งสอน เช่นนี้เถอะ...ข้าจะให้พวกมันสาบานว่าไม่หวนกลับพรรคอสุราอาฆาตอีก จากนั้นก็เลิกแล้วกันไปเถิด”

กลุ่มชายชุดม่วงขานรับสือหย่งหลุนแทบเป็นเสียงเดียว ทว่าขอทานห้ากระสอบพลันแค่นเสียงดังเฮอะ ยกนิ้วมือตะกุยใบหน้าเด็กหนุ่มทันควัน สือหย่งหลุนเบี่ยงศีรษะหลบฉิวเฉียด ถอนหายใจเอ่ยว่า

“การใช้กำลังตัดสินมีแต่ยิ่งเลวร้าย”

“พรรคอสุราอาฆาตชั่วช้า ข้าไม่มีทางปล่อยปละละเว้น!”

กรงเล็บที่พลาดจากหน้าสือหย่งหลุนพลิกกลับโจมตีต่ออย่างว่องไว เด็กหนุ่มจำต้องยกแขนขึ้นต้านรับ พร้อมชกใส่ส่วนอกมันจนกระเด็น ขอทานสี่กระสอบจำนวนหกคนเห็นหัวหน้าพลาดท่าก็วิ่งเข้ามาหมายกรุ้มรุมสือหย่งหลุน ส่วนขอทานที่เหลือฝีมือด้อยจึงเชื่องช้ากว่า พอรู้สึกตัวจะติดตามเข้าร่วมก็ถูกฟ่านไป่หนิงโฉบมากั้นหน้าไว้ ดรุณีน้อยผายมือกว้าง ยิ้มหวานขณะบอกว่า

“อยู่เล่นกับข้าก่อนเถิด”

สิ้นคำฝ่ามือนางสะบัดตบหน้าขอทานฉาดใหญ่ พอที่เหลือเตรียมวิ่งใส่ ร่างฟ่านไป่หนิงพลันหายวูบไปโผล่ยังกลางวงพวกมันเอง ขอทานอีกคนโดดเข้าตะครุบนาง ดรุณีน้อยก็อันตรธานไปอีกครั้งจนมันชนเข้ากับสหายในกลุ่มดังพลั่ก ส่วนฟ่านไป่หนิงหนีไปสะกิดหลังขอทานคนถัดมา เมื่อขอทานดังกล่าวตกใจเผลอกำหมัดชกใส่ นางเพียงเบี่ยงเท้าเฉียง ๆ ผู้เคราะห์ร้ายกลับกลายเป็นขอทานที่ยืนด้านหลังไปเสียนี่ เหตุการณ์ชุลมุนสุดระงับ โดยมีเสียงหัวเราะร่าของดรุณีน้อยผู้ลดเลี้ยวไปก่อกวนคนโน้นคนนี้ดังไม่หยุดหย่อน พวกขอทานโดนไม้นี้เข้าก็จนปัญญาจะไปเสริมกำลังกับพรรคพวกที่กำลังรุมจู่โจมสือหย่งหลุนอยู่ก่อนแล้ว

ด้านสือหย่งหลุนยังตั้งรับศัตรูอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มไม่คิดใช้วิชาภูตฉกฉวยเข้าต่อกรด้วยเห็นว่าออกจะเอาเปรียบจนเกินไป อีกทั้งยามนี้มันมิใช่บุคคลไร้ฝีมืออย่างแต่ก่อนแล้ว อาศัยแค่ลมปราณกลับทิศขั้นที่สี่ ร่วมกับการควบคุมลมปราณที่ฝึกฝนมาจากการทำสวนให้ซินแสเทวะ ขอทานห้ากระสอบและสี่กระสอบก็คล้ายเป็นเพียงเด็กอ่อนหัด อย่าว่าจะทำร้ายสือหย่งหลุนเลย แค่ป้องกันตัวเองจากการโจมตีของเด็กหนุ่มก็นับว่าเต็มกลืนมากแล้ว

กระทั่งในจังหวะที่พวกมันเหนื่อยแทบขาดใจ ใกล้ล้มลงอยู่รอมร่อ สือหย่งหลุนพลันดึงมือกลับมาแสดงท่าคำนับพวกมันอีกครั้ง กล่าวเสียงเรียบ

“พี่ท่านออมมือให้แล้ว ทุกอย่างสิ้นสุดแค่นี้เถอะ”

เด็กหนุ่มยั้งมือไว้ไมตรีถึงเพียงนี้ จะหาจังหวะใดล่าถอยได้เหมาะสมไปกว่า ขอทานห้ากระสอบตะโกนคำสั่งหนึ่งครั้ง บรรดาศิษย์พรรคกระยาจกต่างรีบวิ่งลนลานหายไปกับพงไพร ฟ่านไป่หนิงเดินมาประกบข้างสือหย่งหลุน บ่นอย่างเสียดาย

“ปล่อยพวกมันง่ายดายเกินไปหรือไม่”

“ยามนี้มีแต่ความขัดแย้งทุกหย่อมหญ้า พรรคกระยาจกเพียงปฏิบัติตัวตามกระแส หากไม่จำเป็นข้าก็ไม่ต้องการลงมือรุนแรง”

จากนั้นสาวเท้าไปหากลุ่มชายชุดม่วง ไถ่ถามอาการบาดเจ็บจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสาหัส แล้วจึงเอ่ยถึงเรื่องค้างคาใจ

“พวกท่านไฉนได้สวมใส่ชุดม่วงเล่า”

สือหย่งหลุนกลายเป็นผู้มีคุณของพวกมัน แม้ตอนที่เด็กหนุ่มหลบหนีออกจากหุบเขาแดนสุรบถจะก่อปัญหาไว้หลายอย่าง สหายเหล่านี้ก็ยังยินดีให้ข้อมูลไม่อิดออด

“ช่วงหลังพวกข้าถูกเกณฑ์ไปซ่อมแซมกำแพงกั้นทางเข้าหุบเขาจนแน่นหนา พอเสร็จงานก็ได้รับชุดม่วงมาสวมใส่ ทางพรรคบอกว่าพวกข้าทำงานดีสมควรมีการเลื่อนขั้น แล้วส่งพวกข้ามาที่เมืองพนาไพศาล สั่งให้คอยเดินไปมาในเมืองเท่านั้น”

สองหนุ่มสาวสบตากันวูบ ความจริงคนเหล่านี้เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ยินยอมเข้าพรรคอสุราอาฆาตเพราะไม่ต้องการอดตายเท่านั้น เรื่องภายในยุทธจักรล้วนไม่เคยล่วงรู้ ทว่าผู้ที่ส่งพวกมันมาย่อมเป็นตรงกันข้าม ในเมื่อตอนนี้พนาไพศาลมีแต่จอมยุทธฝ่ายธรรมะเต็มเมือง การส่งชายกลุ่มนี้มาก็เสมือนต้องการให้เกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นนั่นเอง

ฟ่านไป่หนิงฉุดสือหย่งหลุนไปกระซิบยังอีกทาง

“ดูท่าพวกมันคงเป็นแค่ตัวล่อ เพราะพรรคอสุราอาฆาตไม่ต้องการใช้งานแล้ว สู้หลอกมาเพื่อแสดงให้ฝ่ายธรรมมะเห็นว่ายังมีคนของพรรคเพ่นพ่านอยู่จนตายใจ หากกำลังที่แท้จริงกลับซ่องสุมเก็บออมไว้”

“ที่เจ้าคาดเดามาก็น่าคิด” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยแววตาสมเพชเวทนา ในยุคสมัยเช่นนี้ คนอ่อนแอคงเป็นได้แค่ตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น มันจึงย้อนกลับไปหาพรรคพวกสมัยก่อน เอ่ยว่า

“ข้ามีสองทางเลือกแก่พวกท่าน หนึ่งคือกลับสู่พรรคอสุราอาฆาต หรือไม่ก็ถอดชุดม่วงทิ้งแล้วหนีไปเสียให้ไกล”

“ตะ...แต่พวกข้าจะไปไหนได้”

“ข้ามีคนรู้จักชื่อเศรษฐีทัง” ดรุณีน้อยกล่าวพลางแจกแจงที่อยู่ของทังฟู่กุ้ยผู้เคยเกี่ยวพันกันเพราะเรื่องคดีหลักฐานตระกูลทังมาก่อน “ขอแค่อ้างชื่อพี่หย่งหลุน ทางนั้นคงรับพวกท่านไว้ทำงาน”

ชายชุดม่วงปรึกษากันไม่นาน ก็ตัดสินใจเลือกทางที่สองอย่างไม่ลังเล สือหย่งหลุนพยักหน้าพอใจ ควักเงินที่ติดตัวมาทั้งหมดให้พวกมัน กระทั่งม้าสองตัวก็ไม่ละเว้น ก่อนว่า

“พวกท่านขายม้าและนำเงินไปเป็นค่ารักษาตัวกับค่าเดินทางเถอะ แต่จงจำไว้ว่า หากคราวหน้าข้าเจอพวกท่านในชุดม่วงเช่นนี้อีก คนที่จะลงมือสั่งสอนพวกท่านเป็นคนแรก...ก็คือข้า!”

เหล่าชายชุดม่วงผู้กำลังจะเป็นอดีตล้วนรับคำสือหย่งหลุนหนักแน่น ก่อนหนึ่งในนั้นจะพึมพำว่า

“อาหลุน ข้ามีข่าวคราวอยากบอกกับเจ้า แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นประโยชน์ไหม”

“ข่าวอันใดรึ”

“ตอนอยู่ในเมืองพนาไพศาล คลับคล้ายว่ามีเรื่องบางอย่างทำให้คนของฝ่ายธรรมะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ชนชั้นสูงในพรรคอสุราอาฆาตก็ดูจะลนลานกับเรื่องนี้ไม่เบาทีเดียว”

“หือ...หรือจะเป็นการชุมนุมชาวยุทธ์?”

“ไม่ใช่แน่ ข่าวการชุมนุมชาวยุทธ์นั้นพรรคอสุราอาฆาตล่วงรู้มานานแล้ว แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นเรื่องใหม่ เสียดายที่พวกข้าเพิ่งมาประจำอยู่ได้ไม่กี่วัน จึงไม่ล่วงรู้รายละเอียดแน่ชัด”

สือหย่งหลุนฟังแล้วขมวดคิ้ว พอเหลือบมองทางด้านข้าง ฟ่านไป่หนิงเองก็มีสีหน้าไม่ต่างจากมันนัก

เกิดเรื่องอันใดกัน...แล้วไฉนจึงดูมีความสำคัญกว่าการชุมนุมชาวยุทธ์ไปได้?

**********

แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 54 18:39:44

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 18:25:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com