วันนี้จู่ ๆ รำลึกถึงครูยูโด ของโรงเรียนแสงทองวิทยาขึ้นมาได้ ยังจำได้ว่าครูชื่อ ครูสมภพ (จำนามสกุลไม่ได้) มาเป็นครูสอนประจำที่โรงเรียน รับวิชาสอนภาษาอังกฤษ เพราะแกจบมาจากจีนไต้หวันสมัยก่อน ต่อมาแกเปิดสอนยูโดที่บ้านพักของแก มีนักเรียนแสงทองไปสมัครเรียนกับแกหลายคน นัยว่าแกได้ยูโดสายดำดั้งสี่จากไต้หวัน แต่มีบางคนสวด(นินทา)ว่าแกไม่ได้จบมาจริง เพราะในรุ่นนั้นที่เรียนร่วมกันแก แกยังไม่ได้ยูโดสายดำแต่อย่างใด แต่พอแกมาสอนที่หาดใหญ่ มีรูปถ่ายและบัตรโชว์ว่าได้สายดำเป็นครูสอนได้แล้ว
สมัยนั้นมีภาพยนตร์ทีวีสีขาวดำญี่ปุ่นเรื่อง ซันชิโร ต่อมามีอีกเรื่อง (จำชื่อพระเอกกับชือเรื่องไม่ได้) เป็นนักยูโดเหมือนกันแต่ไม่เก่งเลย เวลาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ไรมักจะชนะแบบฟลุค ๆ เรียกว่า เป็นหมูสนามซ้อม แต่เป็นสิงห์สนามต่อสู้ ทำให้ความนิยมในการเรียนยูโดของเด็กนักเรียนมีมาก เพราะอินกับภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนหนึ่ง
เช่นกันมีตำรวจหาดใหญ่บางส่วนมาเรียนยูโดกับแกด้วย ที่จำได้ดีคือ พันตำรวจโทสล้าง บุนนาค (ยศสมัยนั้น) มาเรียนและมาซ้อมกับครูสมภพสม่ำเสมอ นัยว่าแกได้ยูโดสายดำดั้งสองมาหรือไง นักเรียนวัยโค่งของโรงเรียนที่มาเรียนยูโด มักจะขยาดเวลาซ้อมกับผู้การสล้าง เพราะแกเล่นแบบจริง ๆ จัง ๆ เรียกว่าเจ็บตัวกันไปหลายคน เรื่องนี้เพื่อนสนิทคนหนึ่งมาจากเบตง ความที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด จึงมักจะถูกเพื่อนล้อเล่นว่า ไอ้จีนแดง แกไปเรียนกับครูสมภพด้วย มักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนยูโดให้ฟังตามประสาวัยเด็ก ไม่เจอแกอีกเลยหลังจากจบจากโรงเรียนหลายสีบปีแล้ว
ครูสมภพหลังจากสอนอยู่หลายปี ได้ขอลาออกมาสอนเป็นอาจารย์พิเศษ สอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมศึกษา จำคลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อหนังสือ Living English หรือไง ที่สนิทกับแก เพราะแกมักจะเกร็งท้องให้แข็ง แล้วให้นักเรียนชกพุงแกเล่น แบบว่าเป็นการอวดความแข็งแรงและการเป็นครูยูโด ผมเคยชกเล่นพุงแกเล่นเหมือนกัน เรียกว่าช่วงเจอกับแกตอนจะเดินเข้าห้องเรียนเวลาเจอแก ปีละไม่ต่ำกว่ายี่สิบสามสิบครั้งที่ได้ชกพุงแกเล่น
หลังจากจบจากโรงเรียนแล้วไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทำให้ขาดการติดต่อไปหลายปี เมื่อกลับมาทำงานที่บ้านเกิด เคยเจอแกตอนขึ้นรถตุ๊ก ๆ ที่แกขับทำมาหากิน จะจ่ายเงินค่ารถให้แก แกไม่ยอมรับ เพราะแกยังจำผมได้และผมก็ทักสวัสดีแกว่า มาสเตอร์ เป็นการแสดงความเคารพของเด็กนักเรียนโรงเรียนเก่า
มาทราบจากเพื่อนอีกทีว่า แกไม่ได้สอนที่โรงเรียนแสงทองหลายปีแล้ว แต่ไปเลี้ยงหมูอยู่แถวคลองหวะ อำเภอหาดใหญ่ เรียกว่าได้บ้างเสียบ้างจากอาชีพนี้ หลังจากความนิยมในการเรียนยูโดลดลง เพราะนักเรียนเรียนกันหนักขึ้นในช่วงหลัง กอปรกับนิยมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยท้องถิ่นกับกรุงเทพฯ
รวมทั้งเด็ก ๆ มักจะนิยมเรียนคาราเต้และเทควันโด เพราะรู้สึกทะมัดทะแมงและต่อสู้ได้ดุเดือดกว่า มีความนิยมมากกว่าในช่วงหลัง ๆ ทำให้กิจการสอนพิเศษยูโดของแกต้องเลิกไป ยามว่างแกจึงมาขับรถตุ๊ก ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม
สมัยนั้นคนมาเลย์เข้ามาเที่ยวหาดใหญ่ยังมีน้อยมาก โทรศัพท์มือถือยังแพงและมีน้อยมาก ยังไม่รวมโทรศัพท์บ้านที่เรียกว่า จองคิวกับยาวเลย สามสี่ปียังไม่ได้สักเบอร์ เบอรโทรศัพท์ที่บ้านผมรอคิวสี่ปีจึงจะได้ติดตั้ง พร้อมกับต้องจ่ายค่าประกันประมาณสามพันบาท เมื่อรวมค่าติดตั้งแล้วประมาณห้าพันบาทในสมัยนั้น พอมาช่วงหลัง ๆ ติดต่อขอติดตั้งโทรศัพท์บ้าน ไม่เกินอาทิตย์ก็มาติดตั้งให้เสร็จแล้ว
ทำให้อาชีพขับรถตุ๊ก ๆ ของครูสมภพ และเป็นไกด์ในตัวแบบปัจจุบัน ที่ทำมาหากินคล่องกว่าอดีตมาก เพราะสามารถติดต่อล่วงหน้ากับลูกค้าได้สะดวก สามารถนัดหมายเวลาและสถานที่ที่จะพบเจอกับลูกค้า รวมทั้งนำพาแขกมาเลย์ที่พูดจีนได้ท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ได้ เรียกว่า ผิดกันกับสมัยก่อนมากทีเดียว
ทราบข่าวครั้งสุดท้ายร่วมสิบกว่าปีแล้ว มีเพื่อนสนิทมาเล่าให้ฟังว่า ครูสมภพได้เจอกับเพื่อนผมคนหนึ่ง หน้าธนาคารไทยแห่งแรกที่สายสาม ท่าทางของแกเครียดมาก บอกว่าช่วยหางานให้แกทำด้วย จะเป็นคนขับรถยนต์ก็ได้ หรือให้ไปเฝ้าสวนยางพาราก็ได้ เพราะแกไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
ตอนนั้นแกน่าจะอายุห้าสิบกว่าแล้ว เพื่อนผมก็คิดไม่ออกว่าจะช่วยแกอย่างไรได้บ้าง ได้แต่ยืนงงและพูดคุยกับแกสักเล็กน้อย พอสักพักแกก็เดินผละหายไปบนฟุตบาททางเท้าของหาดใหญ่ จากนั้นก็ไม่ได้พบเจอแกอีกเลยในหาดใหญ่ เป็นตายร้ายดีเช่นใดก็ไม่มีใครรู้ เพราะสอบถามหลายคนก่อนจะเขียนเรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่า แกไปที่แห่งหนตำบลใดอีกแล้ว ไม่เคยมีใครพบเจอแกที่หาดใหญ่อีกเลย
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนสายลมที่พัดผ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 54 23:28:42
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
25 พ.ย. 54 23:02:21
|
|
|
|