บทที่ 1
ร่างที่ว่างเปล่า
ร่างนั้นเปิดเปลือกตาตื่นขึ้นจากภาวะว่างเปล่า รอบตัวเขาเป็นผนังห้องสีเขียวอ่อน ๆ ผนังตรงด้านซ้ายมือใกล้ ๆ กับบานประตูเป็นนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ เลยออกไปทางปลายเท้าเป็นโต๊ะไม้และกล่องสี่เหลี่ยมสีขาว ๆ ตั้งอยู่ พื้นที่รองรับเบื้องล่างอบอุ่นและนุ่ม อากาศรอบตัวเย็นกำลังสบาย ร่างนั้นกำลังนอนหงาย เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหนือศีรษะพบเทวทูตตนหนึ่ง ผมสีทองยาวตรง ลำตัวหนาใหญ่ราวสัตว์ป่า หลับตาอ้าปาก ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานราวถูกเสียบด้วยหลาวแหลม มีโซ่คล้องพาดบ่า มือทั้งสองข้างแบกไม้กางเขนเอาไว้ในท่ากลับหัวลง วงรัศมีกระจายตัวออกจากจุดตัดกางเขนเหมือนระลอกคลื่นผิวน้ำ
ร่างนั้นขยับลุกขึ้นนั่ง สิ่งรอบตัวที่เขาเห็นขณะนี้ปราศจากความหมายในตัวมันไปทั้งสิ้น ท่อนแขนท่อนขาที่เขาจ้องอยู่ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เตียงที่รองรับร่างนี้อยู่ก็ไม่มีความหมาย อากาศรอบตัวดูจะไม่ใช่ปัจจัยในการมีอยู่ของเขา เขาไม่ใช่ร่างนี้ แต่เขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาของมัน
ขณะที่จ้องมองไปยังสุญตาเบื้องหน้า เสียงของใครคนหนึ่งดังแว่วมาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ เป็นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ร้องเรียกชื่อ บอย...บอย... เสียงนั้นดังแผ่ว ๆ เหมือนเป็นเสียงสะท้อนจากหุบเขา แต่ก็กลับดังขึ้น ๆ จนพิเคราะห์ได้ว่ามันดังอยู่เพียงด้านหลังของสัมปชัญญะนั่นเอง จากนั้นเสียงที่สะท้อนก้อง ๆ ก็ค่อยจางหายไป กลายเป็นเสียงเรียกที่ชัดเจน
บอย!
บอยตื่นเต็มตัวเมื่อเขาเรียกชื่อตัวเองออกมาดัง ๆ
เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกแม้อากาศในห้องไม่เย็นเท่าไหร่ เขาใส่ชั้นในบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวนั่งอยู่บนเตียง แม้จะรู้สึกถึงสัมผัสของสรรพสิ่งรอบกายแล้วเขาก็ยังคงนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น ตาจ้องไปยังจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะไม้ปลายเตียง เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งเบา ๆ นอกจากนั้นก็มีแต่เพียงเสียงหายใจของเขาที่เจ้าตัวไม่รับรู้
บอยไม่ชอบประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เลย เขาพยายามสลัดมันทิ้งแต่มันก็ยังวนเวียนอยู่ที่ห้วงลึกแห่งสัมปชัญญะ เขารีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มเก็บเรียบร้อย ในขณะนั้นนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงก็ส่งเสียงเจ้ากี้เจ้าการบอกเวลาหกโมงสิบห้า เสียงดนตรีหวีดหวิวทำให้ขนแขนบอยลุกเกรียวอีกเขาจึงรีบเดินไปกดปิดนาฬิกาแล้วหยิบรีโมทคอนโทรลที่หัวเตียงเพื่อปิดเครื่องปรับอากาศก่อนโยนมันกลับลงบนฟูกนอน เด็กหนุ่มยืนนิ่งขึงชั่วครู่แล้วเรียกชื่อตัวเองเบา ๆ อีกครั้ง
บอย... เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า
บอยโว้ย! เด็กหนุ่มส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
----------------------------------------------
บอยไปถึงโรงเรียนเลยเวลาเจ็ดโมงไปเล็กน้อยพร้อมกับเด็กอีกหลาย ๆ คน เวลาแต่งชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นเขาก็ดูไม่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่นทั่ว ๆ ไป แต่ความที่อายุใกล้จะสิบหกปีเต็มแล้วร่างกายจึงเติบโตใกล้เคียงผู้ใหญ่ หากในวันหยุดที่เขาแต่งองค์ทรงเครื่อง นุ่งยีนส์ขายาวก็จะดูเป็นหนุ่มเต็มตัวขึ้นมา ระหว่างทางเดินไปที่ห้องเรียนเด็กชายคนหนึ่งที่รุ่นราวคราวเดียวกันก็เดินเข้ามากอดคอทักทาย
หวัดดีเพื่อน เด็กชายเดินคอเอียงไปข้างหนึ่ง ผมส่วนหน้าที่ค่อนข้างยาวจึงปรกหน้าผากลงมาจรดเปลือกตา บอยหันไปยิ้มให้เพื่อนก่อนเอ่ยตอบ
หวัดดีเว้ย
กูเดาว่า เมิงคงทำเลขเสร็จแล้วอะดิ ต้อมพูดพร้อมอมยิ้มอย่างมีเลศนัย บอยเพียงปรายหางตามองเพื่อนอย่างรู้ทัน ต้อมไม่รอคำตอบจากเพื่อน เอ่ยต่อ ขอผมเอามาตรวจดูหน่อยนะครับ พี่บอยสุดที่รัก พร้อมยิ้มยิงฟันทะเล้น
เออ เมิงก็รักกูเฉพาะตอนนี้แหละ บอยแสร้งตัดพ้อ ต้อมหัวเราะสะใจพร้อมสะบัดปอยผมกลับขึ้นไปบนที่ที่ควรอยู่แล้วพลันเลิกคิ้วเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้
เออ เมิงจำพี่เจนได้รึเปล่า เชียร์ลีดเดอร์สีฟ้าปีที่แล้วอะ เอ็กซ์ ๆ หน่อยอะ บอยคิดคิ้วขมวดจนเพื่อนต้องช่วยนึกอีก ที่อกใหญ่ ๆ อะ เมื่อนั้นบอยจึงถึงบางอ้อ
อ๋อ... ต้อมยกมือตบท้ายทอยบอยเบา ๆ
:-) กูพูดถึงนมเมิงอ๋อเลยนะ
ไอ้เชี่ย ก็มันเป็นเครดิตของเขา... แล้วมีอะไรล่ะ
ก็เจ๊แกเป็นประธานเชียร์สีเราปีนี้ เมื่อวานมาตามหาเมิงที่ห้องแน่ะ จะเอาเมิงไปทำ... ลีด คำสุดท้ายแกล้งทิ้งช่วงยาวอย่างมีเลศนัย
เอาเข้าไป กูเต้นเป็นที่ไหนล่ะ
โฮ้ย เรื่องนั้นเมิงไม่ต้องห่วงหรอก กูว่าเจ๊:-)ยินดีสอนเมิงเต็มที่ เขาคงอยากให้เมิงไปเต้นแบบตัวต่อตัว... ตาต่อตา... ฟันต่อฟัน ต้อมพูดพลางทำหน้าทะลึ่ง บอยขมวดคิ้วส่ายหน้าก่อนเอ่ยปราม
เฮ้ย พูดดี ๆ หน่อย พี่เขาเสียหายหมด ต้อมเบะปากยิ้มทะเล้น แล้วเอ่ยต่อ
เมิงก็ทำตัวให้มันเท่น้อยลงหน่อยสิวะ บอยหันไปเลิกคิ้วใส่เพื่อนแล้วแย้ง
ได้ไงวะ กูยังไม่มีแฟนเลย
อะหนอย... ไอ้นี่ ต้อมยกมือข้างที่กอดคอบอยอยู่ขึ้นตบศีรษะเขาเบา ๆ อีกครั้ง คิดว่าหญิงเขาจะสนเมิงเหรอ ถ้ากูอยู่ด้วยอะ
นั่นสิ เมิงช่วยเอาความทุเรศไปไกล ๆ กูหน่อยได้ไหมล่ะ
แสดนะเมิง ต้อมเลิกคิ้วทำตาโตแล้วผลักบอยไปข้าง ๆ เต็มแรง ส่วนบอยไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลาไปตามแรงผลักและปะทะเข้ากับเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่เดินไล่หลังมาจนล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ เสียงร้อง ว้าย ที่ดังขึ้นทำให้บอยรู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง บอยรีบลุกขึ้นยืนแล้วสำรวจความเสียหายของคู่กรณี ไม่สนใจต้อมที่ยืนทำหน้าเสียอยู่ใกล้ ๆ
ขอโทษครับ บอยยืนขึ้นได้ก็กล่าวขอโทษเด็กสาวที่กำลังค่อยยันกายลุกขึ้นและก้มลงสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง บอยรีบเดินอ้อมไปเก็บกระเป๋าที่หล่นอยู่กับพื้นขึ้นมาส่งให้กับมือ ด้วยว่าเธอก้มหน้าอยู่ตลอดและมีความสูงเพียงหน้าอกของบอยเขาจึงมองเห็นหน้าเธอไม่ชัด ต่อเมื่อบอยก้มเก็บกระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงนั่นเองเขาจึงได้เห็นหน้าของเธอใกล้ ๆ เด็กหญิงดูน่ารักสดใสสมวัย ใบหน้าขาวใส แต่ไม่ได้สวยหรือน่ารักอะไรเป็นพิเศษ กระนั้นบอยกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างประหลาดและใจเขาจู่ ๆ ก็เต้นแรงขึ้นจนรู้สึกร้อนผ่าวที่สองข้างแก้ม ทุกสิ่งรอบข้างเหมือนจะดับวูบลงและจอรับภาพของนัยน์ตาเขาก็หรี่แคบลงมาที่ร่างของเด็กหญิงคนนี้เพียงคนเดียว เสียงต่าง ๆ หรี่ลงจนกระทั่งเด็กหญิงยื่นมือมาคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินจากไปอย่างเคือง ๆ โดยไม่ได้มองหน้าบอยเลย สายตาของเด็กชายมองตามร่างนั้นไปอย่างใจลอย ต้อมที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กลืนน้ำลายอึกหนึ่งด้วยความโล่งใจก่อนขยับเข้ามาหา
รอดตัวอย่างฉิวเฉียด ต้อมเอ่ย บอยหันมามองหน้าผู้พูด
เมิงง่ะจะไม่รอด เล่นไรเป็นเด็ก
ใครจะไปรู้ว่าเมิงจะไม่มีกระดูกขนาดนั้น ปัดนิดเดียวสำออยกระเด็นไปเป็นโลเลยนะเมิง ต้อมพูดพลางก้มสำรวจร่างกายเพื่อน ผิวเนื้อที่เข่าข้างที่ล้มมีรอยถลอกและเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ๆ เจ็บป่าววะ
หึ บอยส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วเดินต่อไปยังห้องเรียนโดยมีต้อมเดิมกอดคอตามมาด้วย
-----------------------------
เมื่อถึงห้อง บอยก็วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะเรียนโดยไม่สนใจต้อมที่จัดแจงรื้อค้น หยิบสมุดคณิตศาสตร์ออกมา แล้วนั่งคัดลอกการบ้านลงใส่สมุดของตัวเองอย่างขะมักเขม้นโดยมีเพื่อนอีกสองสามคนมารอต่อคิวอยู่ บอยเดินออกมานั่งตรงม้านั่งที่ริมทางเดินหน้าห้องซึ่งอยู่ชั้นห้าของตึกเรียนแล้วเหม่อมองลงไปที่ลานกีฬาด้านล่าง เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมยังเดินกันพลุกพล่านพัลวัน เด็กโต ๆ จัดทีมเล่นฟุตบอลกันแต่เช้า บางคนเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยออกมานอกกางเกง แต่หลายคนจะถอดเสื้อนักเรียนวางไว้และเล่นด้วยเสื้อชั้นในหรือเสื้อสำรอง เหงื่อโทรมกาย เด็กเล็ก ๆ และนักเรียนหญิงจะเดินเลี่ยงสนามระวังระไวลูกฟุตบอลที่บ่อยครั้งปลิวหวือผิดทิศผิดทางออกไปด้านนอก ที่มุมตึกตรงข้ามมีอาจารย์ผู้ชายในชุดกางเกงสแล็คเสื้อเชิ้ตแขนสั้นยืนทำหน้าบึ้งตึงคอยสอดส่องดูแลเด็ก ๆ อยู่เงียบ ๆ
แล้วภาพของเด็กหญิงที่ตัวเองชนล้มเมื่อสักครู่ก็ปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ หัวใจบอยเต้นแรงขึ้นจนทำให้เขาใจหวิว เจ็บแปลบที่ทรวงอก บอยรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กหญิงอย่างประหลาด ที่อกเสื้อของเธอปักเครื่องหมายว่าอยู่ชั้นมัธยมห้าเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะอาจจะเคยเห็นหน้ากันมาอยู่บ้าง แต่หากย้อนกลับไปปีที่แล้วซึ่งบอยยังมีรูปร่างอย่างเด็กมากกว่าที่จะเป็นวัยรุ่น เพศตรงข้ามจะยังไม่มีอิทธิพลกับความรู้สึกของเขาแต่อย่างใด แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมห้า บอยก็รู้สึกสนใจในเพื่อนต่างเพศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องใด ๆ ก็ตามที่แตกต่างไปจากผู้ชายอย่างตน แต่คุณครูวิชาสุขศึกษาเหมือนจะขัดเขินที่จะสอนในหัวข้อนี้ บอยและเพื่อนวัยเดียวกันจึงต้องศึกษาหาความรู้เองบ้างทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งความรู้ที่ได้มาหลาย ๆ ครั้งมักมีสิ่งอื่นสอดแทรกมาด้วย กระนั้นบอยก็ยังไม่เคยรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ความรัก เหมือนเช่นเพื่อน ๆ บางคน ซึ่งเคยแม้กระทั่งร้องไห้เพราะอกหักไปแล้วก็มี
บอยนึกขึ้นได้ว่าเด็กหญิงจะต้องอยู่ที่ห้องใดห้องหนึ่งในชั้นเดียวกับเขานี้แน่นอนเขาจึงสอดสายตามองไปที่ระเบียงหน้าห้องอื่น ๆ ขณะที่เขาลุกยืนและชั่งใจว่าจะเดินตามหาเธอดีหรือไม่เด็กนักเรียนหญิงชั้นมัธยมต้นสองคนก็เดินมาถึงตัวบอย ทั้งสองคนตัวไล่ ๆ กัน และเตี้ยกว่าบอยเพียงหน้าอกเห็นจะได้ คนหนึ่งก้มหน้าแต่เหลือบตามองบอยด้วยท่าทีขัดเขิน อีกคนส่งยิ้มหวานดูท่าทางไม่กลัวใครในมือมีกระดาษสีขาวพับเรียบร้อยอยู่ รัศมีความกล้าของเด็กคนที่สองทำให้เด็กคนแรกจมหายไปกับความเขินอาย เธอยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้บอยพร้อมเอ่ยบอก
มีคนฝากมาให้พี่บอยนะ บอยไม่รู้จักเด็กหญิงทั้งสองคนนี้ ถึงจะอยู่โรงเรียนเดียวกันแต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นสองคนนี้มาก่อน กระนั้นเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจที่ทั้งคู่จะรู้จักชื่อเขา บอยเป็นเด็กที่เรียนดีมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งความจริงข้อนี้ทำให้เขามีเพื่อนเข้ามาคบหาด้วยมากมายตั้งแต่เล็ก แต่เพิ่งเมื่อไม่นานนี้เองที่ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่พูดถึงบ่อย ๆ ในหมู่นักเรียนหญิง บอยรู้สึกว่าตัวเองมีรูปร่างหน้าตาดี แต่เขาก็ไม่เคยมั่นใจในความเห็นข้อนี้ เขาเป็นคนประเภทที่ต้องการการพิสูจน์ในเรื่องต่าง ๆ เขาตระหนักว่าตัวเองมีมันสมองที่ดี ไม่ใช่เพราะเขาคิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่งกว่าเพื่อนวัยเดียวกันจนครูหลาย ๆ คนชื่นชม แต่เป็นเพราะเขาได้คะแนนดีในการสอบทุกครั้ง เขารู้ว่าตัวเองเล่นดนตรีเก่งไม่ใช่เพราะญาติ ๆ ชมเปาะหรือเพราะเขามีความสุขกับมัน แต่เป็นเพราะเคยได้ถ้วยรางวัลมาแล้ว ดังนั้นการที่เขาไม่เคยได้รับรางวัลหรือเกียรติบัตรอย่างเป็นทางการเพื่อรับรองว่าเขาเป็นเด็กชายวัยรุ่นที่มีรูปร่างหน้าตาดีเหนือกว่าเด็กชายวัยเดียวกันโดยทั่วไปจึงไม่สามารถทำให้เขามั่นใจในข้อสรุปที่ว่า บอยเป็นเด็กรูปหล่อ ได้สนิทใจนัก
เอาละ นอกเหนือจากความจริงที่เขาเรียนดี เล่นดนตรีเก่ง (ซึ่งเพื่อนน้อยคนที่จะรู้) และมีรูปร่างหน้าตาถูกใจเด็กสาว ๆ แล้ว ทุกครั้งที่เขาลงสนามบาสฯ หรือเตะฟุตบอลกับเพื่อน สาว ๆ ก็จะมาห้อมล้อมมุงดูอยู่ริมสนาม ซึ่งความสามารถในด้านการกีฬาของบอยนั้น เขาไม่ต้องรอให้ใครมาตัดสินให้และไม่หวังจะได้ประกาศเกียรติคุณใด ๆ บอยรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์อันใดเลย เขามักได้ยินเสียงสาว ๆ ร้องหวีดว้ายด้วยความชื่นชมเสมอเวลาที่เขาทำบอลออกนอกเส้นข้างสนามหรือจ่ายลูกให้ฝ่ายตรงข้าม
เดี๋ยวพักเที่ยงหนูจะมาหาพี่อีกทีนะ มาเอาคำตอบ เด็กสาวยังยื่นกระดาษให้บอย บอยเลิกคิ้วด้วยความสนเท่ห์ก่อนรับกระดาษนั้นไว้ เสียงผิวปากหวีดหวิวดังออกมาจากในห้องเรียน
เบื่อคนหล่อเว้ย
บอยยิ้มเนือย ๆ ก่อนเอ่ยกับเด็กรุ่นน้องทั้งสอง
ขอบคุณครับ เด็กคนที่ก้มหน้าก้มตายิ้มเขิน มุดหน้าหลบหลังแขนเพื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจแต่บอยไม่ได้สังเกตเห็น เด็กคนที่กล้ากว่ายกมือโบกลาก่อนลากเพื่อนเดินย้อนกลับไปตามทางเดินพร้อมหัวเราะคิกคักให้กัน
บอยเดินถือแผ่นกระดาษกลับเข้าห้อง แต่ก็ไม่พ้นเพื่อนคนหนึ่งคว้าไปจากมือแล้วเปิดอ่าน เพื่อนคนอื่น ๆ เข้ามารุมล้อม ร่วมกันอ่านดัง ๆ หยอกล้อบอย แต่เขาไม่ได้ใส่ใจฟังนัก รู้ดีว่ายิ่งไล่แย่งคืน ก็จะยิ่งไม่ได้คืน จึงกลับไปนั่งเฉย ๆ ที่โต๊ะในขณะที่เพื่อนยังส่งเสียงหยอกล้ออยู่ตลอดเวลา ใจของบอยยังคงคิดถึงแต่ใบหน้าของเด็กหญิงที่ตัวเองลอบมองอยู่ จนแม้เพื่อนหมดสนุกเลิกล้อและโยนแผ่นกระดาษคืนให้บนโต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มก็หยิบมันใส่กระเป๋าเสื้อและไม่ได้สนใจมันอีกเลย