“มาบ่อยเจ้าค่ะ มาพร้อมกับคุณภานุพงศ์นั่นล่ะ คุณท่านภาสกรแกเป็นโรคหัวใจ ต้องมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ่อยๆ” ป้าสมยังคงพูดไปยิ้มไป “แวบแรกที่ป้าเห็นคุณภาคี ป้าก็รู้ได้เลยว่าคุณคือลูกชายของคุณท่านภาสกรแน่ๆ” ภาคีตักขนมเข้าปากต่อไปได้อีกไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มตื้อจนต้องวางช้อนลง แล้วจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
พ่อเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เมื่อไหร่เขาไม่เคยรู้เลย และมันจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่านะที่ทำให้แม่ยอมพูดกับพ่ออีกครั้ง... “นั่นมือของคุณภาคีไปโดนอะไรมาหรือเจ้าคะ?” เสียงป้าสมถามดังเข้าหู ดึงภาคีออกมาจากห้วงคำนึง เขาพบว่าหญิงวัยกลางคนกำลังจับจ้องมองมือขวาที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลของเขาด้วยสายตาสงสัย “มีดบาดน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบและรู้สึกเจ็บแผลแปลบๆ ขึ้นมาในบัดดลเพราะยาแก้ปวดที่เขาทานไปสองเม็ดระหว่างเดินทางเริ่มคลายฤทธิ์ลงแล้ว เขาคิดจะขอยาทานพอดีเมื่อพิมพ์พลอยกล่าวขึ้นกับป้าสมว่า “เอ้อ ป้าค่ะ แล้วแถวนี้พอจะมีหมอบ้างไหมคะ?” เธอปรายตามองมาที่ภาคี เขาทราบดีว่าพิมพ์พลอยกำลังคิดอะไรอยู่ “มีค่ะ แต่ว่าอยู่ไกลหน่อย ออกถนนใหญ่วิ่งไปประมาณสิบกิโล เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ประจำตำบล คุณหนูพิมพ์ถามทำไมหรือเจ้าคะ?” ป้าสมตอบ “ก็ตั้งแต่โดนมีดบาด คุณภาคีของป้ายังไม่ยอมไปหาหมอเลยนี่คะ” หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง ก่อนจะหันมาทางภาคี “พิมพ์ว่าเดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลให้หมอดูบาดแผลของคุณก่อนดีกว่านะคะ ปล่อยไว้แบบนี้ เสี่ยงติดเชื่อเปล่า ๆ ” นักเขียนหนุ่มเพิ่งสังเกตพบว่าพิมพ์พลอยเรียกตัวเองว่าพิมพ์เวลาพูดคุยกับเขา ไม่ใช่คำว่าฉันเหมือนแต่ก่อน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเปลี่ยนสรรพนามตั้งแต่ตอนไหน แต่เขารู้สึกดีที่มันเป็นอย่างนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าหลุมบางอย่างในจิตใจของเขากำลังถูกเติมเต็มทีละนิด ภาคีไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนจริงจังนักมาหลายปีแล้วและเขาก็ไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงที่รู้จักกันแค่สองวันอย่างพิมพ์พลอย “นะคะ แผลก็ไม่ใช่รอยเล็กๆ “ หญิงสาวรบเร้า ความห่วงใยทอวูบในดวงตา ภาคีอ้าปากจะโต้แย้ง แผลแค่นี้เขาทนไหว แล้วเขาก็ไม่อยากจะออกไปไหนมากนัก ในฐานะที่กำลังหลบหนีจากอันตราย การเก็บตัวให้เงียบที่สุดคือสิ่งที่สมควรทำ
“นั่นสิเจ้าคะ ปล่อยไว้อักเสบตาย ป้าเคยมีคนรู้จักทำครัวด้วยกัน โดนมีดบาดแค่นิดเดียว มันไม่ยอมไปหาหมอแต่รอให้แผลหายเอง ผลสุดท้ายติดเชื้อต้องตัดมือทิ้ง” ป้าสมกล่าวเสริม ภาคีได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดที่เหมือนคนแก่ขู่เด็กดื้อของนาง
“ไปเถอะค่ะ พิมพ์รู้ว่าคุณไม่อยากออกไปไหน แต่มันจำเป็นนี่คะ แล้วพอคุณหาหมอเสร็จ พิมพ์ก็จะได้ไปหาซื้อเสื้อผ้าของพิมพ์ด้วย และหลังจากนั้นเราก็จะอยู่แต่ที่นี่ ไม่ออกไปไหนอีก”พิมพ์พลอยพูดอีกครั้งอย่างแข็งขัน
ภาคีหลุบตามองดูมือที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผล เขาไม่อยากจินตนาการว่าในตอนนี้บาดแผลใต้ผ้าจะเป็นอย่างไรบ้าง มันคงบวมช้ำและอักเสบ มันคงจะทวีความเจ็บปวดมากกว่านี้อีกหลายเท่าหากมันระบม ชายหนุ่มถอนหายใจ เงยหน้าสบตามองหญิงสาว
แล้วเขาก็ยอมแพ้
“ครับ ไปก็ไป” ภาคีตอบ “แต่พิมพ์ต้องนอนพักก่อนนะ ขับรถมาทั้งวัน”
นักเขียนหนุ่มรู้สึกเก้อๆ ที่เรียกหญิงสาวโดยตัดคำว่าคุณออกไป แต่ความรู้สึกนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสารอย่างรวดเร็วเมื่อภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอหวนกลับมาฉายในจิตใจของเขา ภาคีไม่แน่ใจว่าหากเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอและอยู่ในช่วงอายุของเธอ ตัวเขาเองจะมีสภาพเช่นไรบ้าง มันทำให้ภาคีรู้สึกว่า เรื่องที่เขาประสบเมื่อห้าปีก่อนเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากไปโดยปริยาย
“ไม่เป็นไรค่ะ พิมพ์ยังไม่เหนื่อย” หญิงสาวว่า พร้อมกับวางช้อนลงในถ้วยบัวลอยที่ยังเหลืออีกครึ่งถ้วย “พิมพ์ว่าเรารีบไปโรงพยาบาลกันเลยดีกว่า เช้าๆ แบบนี้คนไม่น่าจะเยอะเท่าไหร่ คุณว่าไงคะ?”
“จะไม่พักก่อนจริงๆ หรอ พิมพ์?” ภาคีถามกลับอย่างเป็นห่วง
พิมพ์พลอยส่ายศีรษะ ส่งยิ้มบอกว่าเธอสบายมาก
นักเขียนหนุ่มพยักหน้า ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะ “งั้นก็ดีเหมือนกัน จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยในเช้านี้ หลังจากนั้นก็จะได้มีเวลาพักกันเต็มๆ ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้นังสำลีนั่งไปด้วยนะเจ้าคะ คุณภาคีกับคุณหนูพิมพ์เพิ่งมาถึงใหม่ๆ คงยังไม่รู้จักเส้นทางนัก” ป้าสมแทรกขึ้นด้วยความหวังดี
“จ้ะ ป้า ขอบคุณมาก” พิมพ์พลอยกล่าวอย่างยิ้มแย้ม ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะส่งเสียงตะโกนเรียกหลานสาวลั่นบ้าน
********
“ซื้อเสื้อผ้าเยอะแบบนี้ พี่พิมพ์จะอยู่กับเราอีกนานใช่ไหมคะ?” สำลีพูดอย่างดีใจขณะช่วยพิมพ์พลอยหิ้วถุงใส่ข้าวของพะรุงพะรังมายังช่องเก็บของท้ายรถเก๋งที่ภาคีนำข้าวของชุดแรกมาเก็บไว้ก่อนแล้ว “จริงๆ ก็คิดจะลงหลักปักฐานที่นี่กันเลยนั่นแหล่ะ สำลี” นักเขียนหนุ่มส่งเสียงกระเซ้า มือของเขาได้รับการเย็บแผลและทำการรักษาตามหลักการแพทย์จากโรงพยาบาลขนาดกลางประจำตำบลเรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกดีขึ้นมาก แม้จะมีอาการปวดแผลตุบๆ เป็นระยะบ้างก็ตาม “จริงหรือเปล่าคะ!” สำลีหันมาถามพิมพ์พลอยด้วยความกระตือรือร้น เด็กหญิงดีใจที่ต่อไปนี้หากที่บ้านพักหลังใหญ่มีผู้มาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เธอก็จะได้ไม่ต้องทนเหงาเวลาปิดเทอมอีกต่อไป “จริงจ้ะ” พิมพ์พลอยตอบอย่างนึกสนุก “พวกพี่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย” ภาคียิ้ม ยืนมองพิมพ์พลอยกับสำลีหัวเราะด้วยกันอย่างเบิกบาน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพิมพ์พลอยสดใสขึ้นมากตั้งแต่มาถึงที่นี่ สีหน้าของเธอแทบเป็นปกติดีทุกอย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรยากาศอันสวยงามและอากาศที่บริสุทธิ์ชวนให้ลืมเลือนเรื่องราวได้อย่างสนิทใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยเหมือนอันตรายที่พวกเขาเผชิญมาเมื่อวานอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งอันตรายเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจนไม่สามารถมากล้ำกรายโลกที่พวกเขากำลังอยู่ตอนนี้ได้ และภาคีมั่นใจว่า พิมพ์พลอยก็ต้องรู้สึกเหมือนกันกับเขาเช่นกัน พวกเขาทั้งสามคนกลับเข้ามานั่งในรถอีกครั้งเมื่อเก็บของใส่ท้ายรถเรียบร้อย ภาคียังคงปล่อยให้พิมพ์พลอยเป็นคนขับตามที่เธออาสา โดยมีสำลีนั่งอยู่บนเบาะหลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาตลอดทาง เด็กหญิงเป็นคนช่างพูดช่างจา ภาคีรู้สึกว่าพิมพ์พลอยจะถูกชะตากับเด็กคนนี้มากทีเดียว
แต่ทันใดนั้น ภาคีก็ต้องสะดุ้งโหยง “คุณยังไม่ได้ให้ใครทำบุญไปให้คุณทับทิมเลยนะ” เสียงของไม้เมืองดังแทรกเสียงพูดของสำลีขึ้นมากลางปล้อง ตอนแรกภาคีคิดว่าเขาหูฝาด แต่เขาก็แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาดเมื่อเห็นไม้เมืองนั่งอยู่ข้างเด็กหญิงในกระจกมองหลัง “คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าควรทำอะไรบ้าง” ภาคีเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไม่ชอบใจน้ำเสียงติเตียนของไม้เมือง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเขาลืมนึกถึงทับทิมจริงๆ เขาแทบลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหากผีหนุ่มไม่รื้อฟื้นขึ้นมา นักเขียนหนุ่มดึงสายตาชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของพิมพ์พลอย แล้วเขาก็เหลียวหน้าไปยังเบาะด้านหลังเพื่อถามเด็กหญิงโดยไม่สนใจมองไม้เมืองที่กำลังจ้องมา “เอ่อ นี่สำลี แถวนี้วัดที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนเหรอ?” ภาคีเห็นทางหางตาว่าพิมพ์พลอยกำลังชำเลืองมองเขาอย่างประหลาดใจ “อยู่ข้างหน้า แล่นตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายอีกห้า – หกกิโลค่ะ” สำลีตอบ “ทำไมหรือคะ?” พิมพ์พลอยเอ่ยถาม ชะลอความเร็วของรถลงเล็กน้อย ภาคีหันไปมองตาเธอ ส่งยิ้มและพูดเสียงราบเรียบว่า “ผมคิดว่าเราแวะทำบุญที่วัดกันสักหน่อยก็ดีนะ”
----------------------------------
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
27 พ.ย. 54 09:08:47
|
|
|
|