สุดท้ายกว่าเราจะ...กัน(บทที่ เก้า เบาะแส ครึ่งหลัง)
|
 |
สำหรับท่านที่อยากอ่านบทแรก เชิญที่บล็อคผมได้เลยครับ
บทที่เก้า เบาะแส(ครึ่งหลัง)
"แกได้ยินเรื่อง ฉันพูดกับยัยแก้วรึเปล่า "
"เออ..ได้ยิน เหลือเชื่อไปหน่อยว่ะ" เจ้าตัวพูดโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองก็เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อเหมือนกันนั่นล่ะ
"ฟังนะฉัน เห็นตอนที่แกรถคว่ำมี ใครบางคนฆ่าแก "
ไอ้หมอนั่นสูดลมหายใจด้วยความตกใจ "ตลกแล้ว "
"เกิดอะไรขึ้นตอน ที่รถแกคว่ำ" ผมถามพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย
เจ้านั่นหลับตาลง คิ้วคู่สวยถูกขมวดเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "ฉันไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ "
"จำไม่ได้ ....หมายความว่ายังไง " ผมอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
"ฉันไม่รู้ ฉันจำได้แค่ว่ามีแสงสว่าง แล้วก็เสียงดังแล้วจากนั้นก็ ตื่นมาเจอหน้าแก "
"แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ แกไปทำอะไรมา "
"เจ้านั่นทำท่าเดิมอีกครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้น ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง "ฉันจำได้แค่วันที่ ทะเลาะกับแกแค่นั้นเอง นอกจากนั้น" เจ้านั่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูด "ฉันจำไม่ได้ นึกไม่ออกจริงๆ บ้าเอ๊ยอะไรเนี่ย ทำไมจำไม่ได้วะ " มือบอบบางขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือ "บางที เราน่าจะขอกับสร้อยคอดู "
.........................
" แกว่า แกจะขอกับสร้อยคองั้นเหรอ " หมอนั่นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย "ใช่ฉันคิดว่าสร้อยคอนี่น่าจะช่วยเรื่องของแกได้ " ผมประมวลผลในสิ่งที่เห็นและเป็น
" มันจะเหลือเชื่อไปหน่อยมั้ง " เจ้าตัวตอบผมกลับมาโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตัวเองก็เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ เหมือนกันนั่นล่ะ
"ตอนที่ฉันเห็นแก อยู่ในร่างน้ำอุ่นฉันว่า แค่นี้ก็ไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อสำหรับฉันแล้วล่ะ ตอนนี้ถ้ามีคนบอกมาว่าประธานาธิปดีอเมริกา เป็นมนุษย์ต่างดาวฉันยังเชื่อเลย "
" เป็นๆจริงเหรอ เคยได้ยินมาเหมือนกัน เห็นเค้าพูดกันอยู่นะ " เมื่อเห็นสีหน้าที่อืมๆของผม หมอนั่นก็ยกมือเสมออกสัญลักษณ์เชิง ยอมแพ้ "โอเคตลกพอละ แล้วแกจะทำยังไง"
"อยู่เฉยๆแล้วกัน " ผมมองหน้าหมอนั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง ว่าแต่ไอ้เค้านี่มัน ใคร เห็นมีแต่คนพูด เค้าว่ากันว่า เค้าลือกัน ผมว่าคนที่ชื่อเค้านี่ มันต้องอยู่หน่วยสืบราชากรลับที่ไหนซักแห่ง เห็นรู้ไปหมดทุกเรื่อง ผมแนบหน้าผากเข้ากับมือที่กำเจ้าสร้อยคอเส้นนั้นเอาไว้
ผมอยากเห็นอดีตของคนข้างหน้าผม ผมนึกอย่างตั้งใจ ............. ........ ..... เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้จนกระทั่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีการร้อนขึ้น ไม่มีแสงสว่างอย่างที่ผมคิดว่ามันจะมี ผมลืมตาขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
"ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย " ไอ้เจ้าแบร์เอียงคอมองด้วยความสงสัย
"ก็ไม่มีน่ะสิ" ผมไม่เข้าใจเลย นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า ผมลองสังเกตุดูสร้อยคออย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อจะพบคำใบ้ แต่ก็ไม่มีสร้อยคอยังรูปลักษณ์เดิม " หรือว่าเราจะต้องสืบกันเอาเองวะเนี่ย " ผมได้แต่หงุดหงิด เด็กผู้ชายม.ปลาย สองคนจะไปทำอะไรได้ แถมอีกคนจะนับว่าเป็นผู้ชายเต็มปากก็ไม่ได้อีก
" เฮ้ยเอาน่า เดี๋ยวก็มีทางแก้ไข ว่าพรุ่งนี้วันหยุดนี่หว่า แกมีธุระที่ไหนรึเปล่า "
"เปล่า ว่าง มีอะไร "
"เออ......." หมอนั่นเม้มริมฝีปากก่อนจะหยุดพูดเล็กน้อย "ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้ร่างตัวเอง ฝังอยู่ที่ไหน "
..........................................
ผมกำลังรอเวลา... ผมนัดหมอนั่นไว้ที่นี่นา แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก เมื่อคืนผมหาทั้งคืนเลยนะว่า หมอนั่นอยู่วัดไหนในอินเตอร์เนตก็ลงแต่ข่าวการตายของ หมอนั่น แต่ไม่มีที่ไหนเลยที่บอกเราว่า อัฐิหมอนั่นอยู่ไหน ผมเลยบอกไปตามตรง ว่าหาไม่เจอ เราเลยตั้งใจจะไปถามที่สนพที่ลงข่าวเป็นที่แรกเพื่อจะได้อะไรดีๆ ว่าแต่ไอ้นี่เมื่อจะมากันล่ะเนี่ยร้อนก็ร้อน เฮ้อ.....ให้ตายเถอะ
ผมมองดูผู้คนที่ผ่านไป ผ่านมา แดดที่ร้อนแรงตามช่วงเวลา ส่งผลให้ไออากาศที่อยู่ตรงหน้าพร่าเลือน เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอน สติผมก็ใกล้จะเลือนๆตามอากาศแล้วนะเนี่ย
"สวัสดีค่ะพี่ดี " น้ำอุ่นนั่นเองเธออยู่ในชุดเสื้อกระโปรงวันพีช สีฟ้าอ่อนขับผิวขาว ที่ตอนนี้ขึ้นสีชมพูเพราะฤทธิแดดให้ดูผุดผ่องมากขึ้น ผู้ชายที่อยู่แถวนั้นต่างมองน้ำอุ่นเป็นตาเดียว บ้าเอ๊ย!! ทำไมผมถึงอยากทิ่มตาคนมาเฉยๆซะอย่างงั้น
"ร้อนไหม " ผมหยิบซองเอกสารที่ปริ๊นมาเมื่อคืนบังแดดให้เธอ
"นิดหน่อยค่ะ" เธอส่งยิ้มบางๆมาให้ผม ตึก.... ใจผมเต้นอีกแล้ว หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ท่องไว้ นั่นน่ะน้องสาว น้องสาวนะ ผมหมุนตัวหันหลัง ออกเดินนำเธอ โดยพยามไม่มองหน้า เพื่อจะได้ลดอาการเต้นของหัวใจได้บ้าง หลังมือของผมกระทบกับมือบอบบางของเธอ ถ้าผมเลือกกุมมือเธอเอาไว้จะผิดไหมนะ ถ้าไม่อยากให้เธอไปไหนจะดูแปลกไปหรือเปล่า ความคิดไม่เป็นสาระวิ่งวุ่นอยู่ในหัว แล้ว.....สัมผัสบางเบาก็ตามมา แผ่วบางจนแทบไม่รู้สึก จนคิดว่ารู้สึกไปเอง ปลายก้อยของผมถูกสัมผัสอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเพิ่มขึ้นเมื่อถูกกุมเบาๆทั้งฝ่ามือ ริมฝีปากแดงระเรื่อถูกเม้มขึ้นด้วยความเขินอาย แววตาประหม่าถูกส่งผ่านมา "คนเยอะ น้ำอุ่นกลัวหลงน่ะค่ะ " ในหัวผมได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง นี่ผมเป็นอะไรไปนะ
"หมอนั่นว่ายังไงบ้าง "
"เค้าขอร้องน้ำอุ่นให้มาน่ะค่ะ เค้าบอกว่าใจจริงเค้าอยากมาเอง แต่ว่าเค้าออกมาไม่ได้ "
ผมสังเกตคนข้างกาย แววตาของเธออ่อนโยนและสดใส เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน นี่คือน้ำอุ่นแน่นอน ผมว่าผม พอจะเข้าใจกฏเกณฑ์ การสลับตัวของหมอนั่นกับน้ำอุ่นบ้างแล้วล่ะ ถ้าสลับตัวกัน อีกคนจะไม่เชิงหลับไป แต่รับรู้การกระทำของอีกฝ่าย แล้วเมื่อกลับเข้าไป จะออกมาไม่ได้อีกในเวลาหนึ่งวัน เพียงแต่ว่า ผมไม่รู้ว่าถ้าไม่เป็นตามนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราเดินกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง จากซอยหนึ่ง ก็ผ่านเข้าสู่อีกซอยหนึ่ง จากตรอกหนึ่งก็ผ่านเข้าสู่ถนนอีกเส้น ในที่สุดเราก็ผ่านความแออัด ที่เราพยามหลีกเลี่ยงมาได้ เราเดินผ่านโบสถ์คริสตร์แห่งหนึ่ง ล้อมไปด้วยรั้วสี่เหลี่ยมสูงแค่เอวเท่านั้น ราวกับอยู่อีกโลกหนึ่งไม่มีสิ่งใดที่เคลื่อนไหว บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ใจกลางเมืองหลวง เมืองฟ้าที่หลายคนมอง แม้ว่าในบางครั้ง จะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ
ผมมองเห็นรถสีเหลืองที่ดูคุ้นตา นั่นมันรถไอ้เจ้าแบรนี่ ผมจำได้ ผมเห็นชายคนหนึ่งอายุราวสี่สิบปลายๆ กำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด สุทสีดำที่ใส่และบุคคลิก ทำให้เหมือนมีคำว่า เจ้านาย ลอยเด่นอยู่บนหัว ผู้ชายคนนั้นพับโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะเปิดรั้วเข้าไปใบริเวณโบสถ์
"พ่อ...." เสียงสั่นเครือดังมาจากปากของคนข้างตัว ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พ่อของน้ำอุ่นงั้นก็ต้องเป็น พ่อของไอ้เจ้าแบร์ ผมหันไปมองคนข้างตัวแววตาที่ส่งผ่านมามีแต่ความแข็งกร้าว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ผมคิดเอาไว้มันก็ผิดหมดน่ะสิ ก็นี่มันยังไม่ครบวันเลยนี่นา เพียงแต่ว่าในความแข็งกร้าวนั่นมี...ความโหยหาปนอยู่ด้วย มันอะไรกันนะ ทันใดนั้นเอง "โอ๊ย!!" เสียงหลงที่เกิดจากอาการเจ็บปวดมาจากคนข้างตัว มือบอบบางกุมข้างศรีษะ
"น้ำอุ่น!!! " ผมได้แต่ตกใจโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเก่า แล้วภาพที่ผมเห็นใช้คำว่าเหลือเชื่อดูมันจะน้อยไปกับสิ่งที่ผมเห็น น้ำอุ่นกับไอ้เจ้าแบร์กำลังซ้อน อยู่ในภาพเดียวกัน บางครั้งน้ำอุ่นก็ดูจะชัดเจนบางครั้งก็ดูเลือนลาง ทั้งสองสลับกันอยู่อย่างนี้ แต่แล้วน้ำอุ่นกลับดูจางลงทุกที ขณะที่ไอ้เจ้าแบร์กลับชัดเจนขึ้น
"กริ๊ด!!!!! " เสียงร้องที่เกิดจากความเจ็บปวด ดังออกมาจากปากของเธอ ตอนนนี้เธอลงไปนอนที่พื้นแล้วผมได้แต่กอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก โดยหวังแค่เพียงจะให้เธอหายเจ็บปวด ผมจะทำไงดี ทำไมไม่มีใครออกมาเลย เธอยังไม่หยุดดิ้นเลย มือที่อยู่ข้างหัวจับแน่นราวกับคีม
ทันใดนั้นเอง ประตูโบสถ์ที่อยู่ข้างหน้าก็เปิดออก บาทหลวงชรารูปหนึ่งเดินออกมา
ท่านมองดูผมด้วยดวงตาที่เป็นสีเทาขุ่น บาทหลวงรูปนี้ตาบอดงั้นเหรอ ร่างบอบบางยัง ดิ้นอย่างรุนแรงในอ้อมกอดเพียงแต่ว่าไม่มีเสียงร้อง ไม่รู้ว่าเธอร้องไม่ออกหรือว่า อาการดีขึ้นกันแน่ ท่านคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนจะหยิบขวดเล็กๆขึ้นมา แล้วสบัดน้ำที่อยู่ในนั้นรอบตัวเธอ ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนผม ดิ้นน้อยลง น้อยลง จนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด คิ้วที่เคยขมวดแน่น ก็กลับเป็นผ่อนคลาย
ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดีนอกจากคำว่า "ขอบคุณครับ "
บาทหลวงรูปนั้นเก็บน้ำมนตร์เข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างเดิม "ทำไมร่างนี้ถึงมีวิญญาณสองดวง "
"ท่านรู้..เหรอครับ "
ดวงตาสีเทาไม่ได้บอกอะไรผม เพียงลุกขึ้นยืนแล้วออกเดิน บางอย่างในตัวผม บอกให้ตามบาทหลวงรูปนี้เข้าไป ผมอุ้มน้ำอุ่นที่สีหน้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ตามหลังท่านเข้าไป
ทันทีที่ผมเดินพ้นผ่านธรณีประตู ความร้อนของอากาศก็ดูจะจะมลายหายไป บรรยากาศที่เงียบขรึมและเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ ผมมองเพดานสูงที่วาดภาพเรื่องราวในพระคำภีร์ แม้ว่าผมจะนับถือพุทธแต่ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความเคารพสถานที่แห่งนี้ ผมวางร่างของน้ำอุ่นไว้ที่แท่น หน้าไม้กางเขน ใจผมที่เคยร้อนรุ่มกลับสงบลงอย่างประหลาด
แอ๊ด.....เสียงเปิดประตู ทำให้ผมละความสนใจจากไม้กางเขนที่อยู่บนหัว บาทหลวงดวงตาสีเทา เดินเข้ามาในมือของท่านมีขวดเท่าฝ่ามือที่บรรจุน้ำที่ผมคิดเอาว่ามันเป็นน้ำมนตร์
"เกิดอะไรขึ้นกับน้ำอุ่นครับ " แม้ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะตอบคำถามผมได้หรือไม่ แต่ใจผมกลับยับยั้งไว้ไม่ทัน
บาทหลวงรูปนั้นไม่ตอบคำถามผม ท่านเทน้ำใส่ฝ่ามือ ก่อนพรมลงบนใบหน้าของน้ำอุ่น สีหน้าของเธอที่เคยซีดจาง บัดนี้กลับมีเลือดฝาดขึ้น
"กายเด็กคนนี้มีวิญญาณสองดวง มันผิดธรรมชาติ วิญญาณสองดวงจะอยู่ในร่างเดียวกันไม่ได้ ถ้าฝืนร่างเนื้อจะรับไม่ไหว "
นี่เอง สาเหตุที่ทำให้น้ำอุ่นเป็นแบบนี้ ตอนที่ผมเจอไอ้เจ้าแบร์ครั้งแรกในร่างน้ำอุ่นก็เป็นแบบนี้ ครั้งนั้นน้ำอุ่นคงจะพยามจะออกมา พร้อมกับไอ้เจ้าแบร์ ครั้งที่ช่วยผมก็เหมือนกัน " แล้วจะเกิดอะไรขึ้นครับ "
"วิญญาณดวงใดดวงหนึ่งจะแตกสลาย หรือทั้งสองดวง พ่อบอกไม่ได้ แต่เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ "
" มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ "
"วิญญาณดวงหนึ่ง ไม่อยู่ที่ควรอยู่ ติดอยู่ในโลกนี้เพราะใครบางคนใช้อำนาจบางอย่าง หรือเพราะวิญญาณนี้มีห่วงจนไม่อาจละทิ้งได้ พ่อเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ต้องถามเจ้าตัว "
"เจ้าตัว เค้าจำไม่ได้ครับ "
"อะไรนะ ไหนดูซิ " ท่านเอามืออังหน้าผากมนของน้ำอุ่นก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีเทาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ "มีคนปิดกั้นความทรงจำของ วิญญาณดวงนี้ "
"แล้วเราจะทำไงดีครับ "
รอยยิ้มบางๆ ที่ผมนึกไม่ออก ว่าเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหน ถูกส่งมาให้ผม "สิ่งที่อยู่ในอกเสื้อเธอน่าจะช่วยได้นะ "
ผมคลำอกเสื้อโดยไม่รู้ตัว สำผัสเรียบลื่นและเยือกเย็นยังคงเหมือนเคย "ผมลองไปแล้วครับ "
"นั่นเพราะบรรดาเจ้าของคนก่อน ยังไม่สมหวัง " บาทหลวงรูปนั้น ตอบกลับมา
เจ้าของคนก่อนก็ พวกเจ๊ๆน่ะสิ แล้วบาทหลวงรูปนี้รู้ได้ไงนะ "แล้วเจ้าของคนก่อน เค้าอธิฐานอะไร หลองพ่อพอจะรู้มั้ยครับ "
ท่านไม่ตอบว่าอะไร เพียงแต่หันหน้าไปทางรูปปั้นเทวดาองค์เล็กถือคันสรเป็นรูปหัวใจ เทพแห่งความรัก
" ความรักงั้นเหรอ.....แล้วท่านรู้ได้....."เมื่อผมหันมา บาทหลวงรูปนั้นก็หายไปแล้ว อะไรกันนะ แต่ถึงอย่างไร แม้ว่าผมจะยังไม่เข้าใจอะไรในหลายๆอย่าง แต่ว่าผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างรำไรแล้วล่ะ แต่จะว่าไปมีแสงสว่างจริงๆด้วย แสงของดวงอาทิตย์ลอดผ่านบางอย่างออกมา ตัวกับบรรยากาศสลัวภายในนี้อย่างชัดเจน แสงสว่างทำให้ ผมสงสัยจนผมต้องเดินไปดู ประตูไม้หลังแท่นบูชาถูกเปิดทิ้งไว้ บาทหลวงรูปนั้นคงจะเดินออกไปทางนี้
" อือ....พี่ดี " เสียงเล็ก ฟังดูอ่อนแรงดังขึ้น ทำให้ผมต้องรีบหันไปดู ร่างเล็กบางเริ่มมีการขยับ
"น้ำอุ่นเป็นไงบ้าง " ผมลูบหน้าผากมนเบาๆ
"ที่นี่ที่ไหนคะ " ดวงตาคู่สวยมองไปมายังรอบๆตัว
"ในโบสถ์ แถวที่เราเป็นลมน่ะ " เธอยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองไปรอบๆ
"ยืนไหวรึเปล่า " ผมประคองเธอให้ค่อยๆลุกขึ้นยืน เธอลงจากแท่นที่ใช้นอน ก่อนจะก้าวลงอย่างทุลักทุเล ขาของของเธอยังสั่นอยู่เลย "พี่ว่าเราไปสูดอากาศข้างนอกดีกว่ามั้ย"
"ก็ดีเหมือนกันค่ะ " ใบหน้าของเธอแม้จะมีเลือดฝาดมาบ้างแล้วแต่ยังคงไม่สู้ดีนัก
ผมค่อยๆประคองเธอไปยังประตูที่บาทหลวงคนนั้นเปิดทิ้งไว้ เราผ่านประตูนั้นออกไปสู่ภายนอกก็พบกับแสงสว่างที่ชวนให้แสบตา ด้านหลังมีที่กว้างจนไม่น่าเชื่อ เมื่อมองจากภายนอก จะไม่รู้เลยว่ามีสถานที่กว้างขวางขนาดนี้ตั้งอยู่ แท่งหินตั้งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นป้ายหลุมฝังศพนั่นเองสีเขียวสดของสนามหญ้าราวพรมเนื้อนุ่มชั้นดี คงมีไม่กี่คนที่จะเห็นว่าสถานที่นี้น่ากลัว
ผมพาเธอมานั่งที่ใต้ร่มไม้ สายลมเบาพัดเอากลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้ามาตามลม ผมลูบหน้าผากมนเบาๆก่อนจะเอ่ย
"ดีขึ้นมั้ย "
ใบหน้าเล็กๆนั่นพยักเบาเชิงคำตอบ
ทางนี้......
"อื๋อ...น้ำอุ่นพูดว่าอะไรนะ "
เธอส่ายหัวปฏิเสธ "เปล่านี่คะ "
อยู่ทางนี้.......... ทันใดนั้นเองสายลมที่พัดมาเอื่อยๆก็เปลี่ยนแรงทันที ผมหันหน้าไปตามทิศทางลม ก็พบกับแท่นสุสาน ที่มีดอกไม้ช่อหนึ่ง อะไรบางอย่างทำให้ผมเดินไปหาแท่นสุสานนั้น
ป้ายสุสานนั้นสะอาดเอี่ยมเหมือนมีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี ดอกไม้ยังคงสดอยู่เหมือนพึ่งมีคนมาวางไว้ผมลองก้มลงไปดูชื่อ ก็พบว่าชื่อในป้ายนั่นก็คือ...
ไอ้เจ้าแบร์
"เธอเป็นอะไรกับลูกชายฉัน " เสียงทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นด้านหลัง ผมหัวไปดูก็พบกับผู้ชายคนนั้น ดวงตาที่ทรงอำนาจ ทำให้ผมรู้สึกประหม่านิดๆ
"ผมเป็นเพื่อนน่ะครับ "
แววตานั่นอ่อนแสงลง ก่อนเอ่ย "งั้นเหรอ เธอเป็นเพื่อนกับไอ้เจ้าลูกโง่ของฉันงั้นเหรอ "
" พี่ดีคะ "น้ำอุ่นเดินมาเกาะแขนของผมพร้อมกับมองชายวัยกลางคนอย่างสนใจ ดวงตาทรงอำนาจสีเทาสบตาสีน้ำตาลคู่สวย
"สวัสดีสาวน้อย " สายทรงอำนาจนั่นดูอ่อนโยน เมื่อมองน้ำอุ่น
"เอ่อ...สวัสดีค่ะ "ร่างเล็กเบียดเข้าหาด้านหลังผม ด้วยความหวาดระแวง
ชายคนอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย "เธอรู้จักลูกชายฉันด้วยเหรอ "
"ทำไมเอ่อ...คุณลุงถึงว่าพี่เค้าโง่ล่ะคะ พี่เค้า.... เอ่อ....ดูเป็นคนฉลาดออกนะคะ" เธอเอ่ยทักท้วง อย่างสงสัย
"โง่สิ เด็กคนนนั้นไม่รู้อะไรเลย แม้กระทั่ง " เสียงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย "ไม่รู้ว่า ลูกชายควรจะมาฝังพ่อไม่ใช่.....พ่อต้องมา "คำมีพูดเพียงเท่านั้น ก่อนที่มือหนาจะลูบหน้าแล้วเบือนไปทางอื่น ริ้วรอยบรรยากาศแห่งความเศร้าปกคลุมแผ่นหลัง ที่ดูเหมือนจะหดเล็กลง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ชายวัยกลางคนต้องกดรับ ก่อนที่ แววตาที่อ่อนแอจากความโศกเศร้า จะกลับมาดุดันและทรงอำนาจอีกครั้ง ร่างของวัยกลางคนเคลื่อนห่างออกไปทุกที
"พี่ดีคะ "
" หืม ว่าไง "
"พี่ดีช่วยผู้ชายคนนั้นด้วยนะคะ "
"เราไม่บอกพี่ก็จะทำอยู่แล้ว " ผมวางมือบนหัวทุยได้รูปเบาๆ แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นทางไหนเลยก็ตาม
.........................................................
จากคุณ |
:
sillfai
|
เขียนเมื่อ |
:
28 พ.ย. 54 07:50:09
|
|
|
|