Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๙ กระดาษและกระดุมเสื้อ) ติดต่อทีมงาน

ความลับฤดูหนาว  (บทที่ ๑ ศพเดินได้)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11309801/W11309801.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๒ คนบ้าในกรงขัง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11321605/W11321605.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๓ ชายหนุ่มและสมมุติฐาน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11331282/W11331282.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๔ รูปจำลองเสมือนจริง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11338619/W11338619.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๕ คำเตือนของอัศวิน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11350818/W11350818.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๖ จดหมายจากแดนไกล)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11358855/W11358855.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๗ การเดินทางของวสันต์)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11367272/W11367272.html
ความลับฤดูหนาว (บทที่ ๘ ดวงดาวผู้เป็นพยาน)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11379302/W11379302.html



บทที่ ๙ กระดาษและกระดุมเสื้อ

ในเรือนคานพิภพทั้งสามหลังมีแต่ความว่างเปล่า ตะเกียงไฟที่ตั้งไว้กลางเรือนหลังกลางเป็นแสงสว่างเพียงแห่งเดียวภายในบริเวณนี้ บัวเรียวรีบนำทางสองสาววิ่งไปทางหลังเรือน เดินฝ่าสวนดอกไม้ตรงสู่บ้านหลังเล็กๆ ของนายพัฒน์  ด้วยความที่ไม่ได้เอาตะเกียงไฟมาด้วย สามร่างจึงต้องจับมือกันไว้เป็นทอดๆ ต้นไม้รกครึ้มที่ขึ้นบดบังแสงดาวแสงเดือนทำให้มองเห็นเพียงแค่ความมืดมิด ก่อนจะได้เห็นแสงตะเกียงไฟสาดส่องออกมาจากดงไม้ที่อยู่ห่างออกไปอีกราวสามสิบเมตร บัวเรียวชะลอความเร็วลงจนกลายเป็นก้าวเดินฉับๆ อรอนงค์พยายามผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ฟ้าฉายยังคงจับมือเย็นเฉียบของผู้เป็นเพื่อนไว้แน่น แสงตะเกียงไฟเบื้องหน้าเผยให้เห็นคนหลายคนกำลังยืนสนทนากันอยู่เงียบๆ

“คุณพ่อ...” อรอนงค์โผเข้าไปหานายภูมิพงษ์ที่หันมามองบุตรสาวด้วยความตกใจ เขาไม่หมายจะให้ผู้หญิงอย่างอรอนงค์มาในที่เกิดเหตุแบบนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เหล่าสมาชิกคานพิภพต่างก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุทันทีที่นายบุญยงค์วิ่งแจ้นไปบอกคนที่บ้าน หนุ่มใหญ่บีบแขนลูกสาวที่ขวัญเสียเบาๆ ก่อนเบนสายตามายังฟ้าฉายที่กวาดมองรอบบริเวณอย่างตื่นตระหนก

เศรษฐพงษ์ยืนประคองนางไพรินทร์อยู่ไม่ไกลจากเธอนัก ส่วนพวกคนงานจากโรงไม้สามคนที่มานั่งดื่มกับภูมิพงษ์อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ราวสิบเมตร ฟ้าฉายหรี่ตามองฝ่าความมืด เห็นพวกเขากำลังแหงนหน้ามองบางอย่างที่เอนไหวอยู่บนต้นไม้สูง หญิงสาวลองมองตามสายตาคนงานชายเหล่านั้นขึ้นไป ก่อนจะได้พบกับภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่เธอไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต

ต้นไทรย้อยต้นใหญ่อายุคงเกือบร้อยปี รากอากาศของมันยาวย้อยลงจากต้นคล้ายเส้นผมมนุษย์ ยามเมื่อถูกสายลมยามดึกพัดพา รากอากาศเหล่านั้นก็จะพลิ้วไหวไปมาตามแรงลม  

แต่ทว่า...กลับมีบางอย่างที่โอนเอนไปตามรากของต้นไทรด้วย มันคือร่างอันผอมบางของหญิงสาวที่ถูกเชือกหนาผูกคอไว้แน่น ห้อยกับกิ่งใหญ่ของต้นไทร อยู่สูงไปจากพื้นดินราวสองเมตร เมื่อพวกคนงานยกไฟฉายขึ้นส่องที่ร่างไร้ชีวิตฟ้าฉายก็เลยพลอยได้เห็นใบหน้าอันขาวซีดและดวงตาที่แทบถลนออกมาจากเบ้า ศีรษะห้อยพับไปด้านซ้าย ลิ้นสีคล้ำจุกอยู่ที่ปาก...

พิมพ์พากรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสติกลับคืนหลังจากที่สลบไปนาน เธอรีบถลาเข้าไปหาร่างลูกสาวที่ยังห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ ก่อนที่นายทรงพลจะรีบฉุดรั้งภรรยาเอาไว้ เสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานของผู้เป็นแม่ดังก้องไปทั่วชายป่าหลังเรือนคานพิภพในค่ำคืนฤดูหนาวอันแสนสะพรึง จู่ๆ ฟ้าฉายก็นึกถึงเสียงร้องโหยหวนของนายพัฒน์ที่ได้ยินเมื่อวันแรกที่เธอล้มหัวลงนอนที่บ้านนี้ขึ้นมา

พวกผู้ใหญ่คุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนจะลงมติให้ไปเรียกผู้ใหญ่บ้านมาตรวจดูศพร่วมกัน ฟ้าฉายได้โอกาสจึงเดินไปบอกเศรษฐพงษ์ให้ฝากพวกคนงานไปบอกชายผู้หนึ่งซึ่งเธอต้องการพบให้มายังที่เกิดเหตุด้วย

“ให้ไปบอกผู้ชายที่ชื่ออัศวินด้วยใช่มั้ยครับ บอกให้เขามาที่นี่” เศรษฐพงษ์ทวนคำสั่งของหญิงสาว ก่อนหันไปยังคนงานชายสองคนที่จะเข้าไปหมู่บ้าน

“แล้วคุณอัศวินนี่ เผิ่นเป็นไผกันครับ...” หนุ่มคนงานอ้าปากถามฟ้าฉาย หญิงสาวพ่นลมหายใจออกเบาๆ ดวงตากลมใสเพ่งมองเศรษฐพงษ์ตรงๆ ก่อนหันมาบอกชายคนงาน

“เขาเป็นตำรวจค่ะ...สิบตำตรวจตรีอัศวิน บอกว่าคุณฟ้าฉายเรียกให้มาพบที่บ้านคานพิภพเดี๋ยวนี้ บอกเขาด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ทั้งเศรษฐพงษ์และคนงานหนุ่มนิ่งอึ้งไปแวบหนึ่งก่อนที่หนุ่มบ้านนาจะรีบวิ่งเข้าไปยังหมู่บ้าน แต่เศรษฐพงษ์ยังคงจ้องหน้าฟ้าฉายด้วยความฉงนฉงายอยู่ เมื่อหญิงสาวหันมาสบตาเขา เธอเห็นความหวั่นวิตกและความกังวลเจืออยู่ในสองตาคู่สวยของชายหนุ่ม

“พอดีว่าคุณพ่อของคุณอัศวินเป็นเพื่อนกับคุณพ่อของฟ้าน่ะค่ะ เราสองคนเลยรู้จักกัน ให้ตำรวจมาตรวจดูที่เกิดเหตุด้วยเผื่อจะได้เบาะแส...”

“แต่สกาวเดือนฆ่าตัวตาย...” เศรษฐพงษ์เม้มริมฝีปาก

“นั่นล่ะค่ะ  เราก็ต้องสอบปากคำจากคนในบ้าน จากผู้พบศพ หาที่มาที่ไป...” บุตรสาวของนายตำรวจใหญ่กล่าวก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนางพิมพ์พากรีดร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่งคล้ายคนกำลังเสียสติ เธอร้องไห้รำพึงรำพันรวมทั้งก่นด่าใครบางคนที่ทุกคนในบ้านคานพิภพไม่มีวันลืม...  
นังจันทร์หอม แกมันเป็นปีศาจ แกพรากชีวิตลูกสาวฉัน

ยิ่งเธอกรีดร้องและสาปแช่งจันทร์หอมมากเท่าใด เสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ยิ่งดังแว่วออกมาจากบ้านของนายพัฒน์มากขึ้นเท่านั้น เสียงสะอื่นไห้ด้วยความเสียใจอย่างสุดแสนทรมาน ดังผสมปนเปกับเสียงหัวเราะชอบใจของชายที่ทุกคนกล่าวหาว่าเขาบ้า  

อากาศยามดึกหนาวเหน็บลงทุกวินาที หญิงสาวทรุดนั่งลงเคียงข้างอรอนงค์ขณะที่นายภูมิพงษ์ไล่ให้ทั้งสองกลับเข้าบ้านไปอยู่กับนางผุสดีและนายเหมราชที่เรือนใหญ่ ฟ้าฉายจึงจำต้องประคองร่างอรอนงค์เดินกลับไปพร้อมกับบัวเรียวก่อนจะสวนทางกับอัศวินที่รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว


ผู้ใหญ่บ้าน คนงานชายจากโรงไม้สามคน อัศวินและสมศักดิ์ รวมทั้งนายภูมิพงษ์และลูกชายพร้อมกับนายทรงพลผู้เป็นบิดาของหญิงผู้ตายช่วยแก้เชือกที่ผูกไว้กับโคนต้นไทรย้อยออก เส้นทางเชือกคือผูกไว้กับโคนต้นไทรก่อนพาดกิ่งใหญ่ด้านซ้ายและหมุนรัดกิ่งไม้อีกหลายกิ่งก่อนจะโยงไปถึงกิ่งที่ตรึงร่างสกาวเดือนอยู่ นี่ไม่ใช่การฆ่าตายตัว... แต่เป็นการฆาตกรรมโดยจริงแท้
เหล่าชายหนุ่มต่างวางร่างไร้ชีวิตลงบนผืนผ้าขนาดเท่าตัวคนก่อนแยงไฟฉายสำรวจร่างเหยื่อ ศีรษะของเธอมีเลือดไหลอาบ คงเพราะถูกของแข็งตีอย่างแรง แต่ถึงกระนั้นมันคงไม่ได้ทำเธอตายในทันที รอยเขียวช้ำบนคอจากการรัดแน่นของเชือกที่ใช้มัดท่อนซุงน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอขาดใจตาย
พวกเขานำศพเธอมาวางไว้กลางเรือนหลังกลาง ภูมิพงษ์สั่งให้พวกคนงานไปเลื่อยไม้มาทำโลงก่อนรุ่งสาง ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังคงรวมตัวกันอยู่ที่เรือนใหญ่ ตะเกียงไฟถูกนำมาวางจนทั้งบ้านสว่างโร่ ฟ้าฉายรีบลากตัวอัศวินหลบมาคุยกันเงียบๆ เมื่อได้โอกาส

“มีคนฆ่าเธอครับ แต่อำพรางศพไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ ถ้าไอ้หมอนั่นมันผูกเชือกไว้กับกิ่งไม้ที่ยึดร่างคุณสกาวเดือนไว้โดยไม่ต้องโยงมาผูกไว้กับโคนต้นก็อาจจะพอมองได้ว่าเธอฆ่าตัวตาย แต่มันคงมีเวลาไม่มากอีกทั้งเหยื่อเองก็มีแผลบนศีรษะ มันบอกได้ว่าเธอถูกมันเอาบางอย่างตีหัวก่อนเอาเชือกผูกไว้ที่คอและดึงร่างเธอขึ้นไป...” ฟ้าฉายปิดตาสองข้างลง ไม่อยากนึกถึงภาพที่อัศวินเล่าเลย

หญิงสาวลืมตาขึ้น มองใบหน้าคมคายตรงๆ “แล้วเจอหลักฐานอื่นอีกมั้ย?”

“ยังครับ... มันคงเหวี่ยงไม้ที่ใช้ตีหัวเธอทิ้งเข้าป่า ขอเวลาซักพักนะครับ ให้ผมสืบหาหลักฐานทั้งที่ยังมืดๆ อย่างนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่” ฟ้าฉายเอนหน้าหนีเมื่อเขาพูดจบ คิดไม่ตกจริงๆ ใครคือฆาตกร แล้วจะฆ่าสกาวเดือนทำไม? ทำไมต้องฆ่าสกาวเดือน... หรือจะเป็นจันทร์หอม เธอย้อนกลับมาฆ่าสกาวเดือนงั้นเหรอ? แต่ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ก็คงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว คงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะปีนต้นไม้และดึงร่างของสกาวเดือนขึ้นมาห้อยคอแบบนั้นได้แน่ แล้วจะเป็นใครกันล่ะที่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตได้ถึงเพียงนี้...


กว่าฟ้าฉายและอรอนงค์จะได้เข้านอนก็ปาเข้าไปตีสามครึ่งแล้ว แม้จะตื่นขึ้นอย่างอ่อนเพลียแต่สองสาวก็รีบรุดไปช่วยงานที่เรือนใหญ่ตั้งแต่เช้าตรู่ สตรีสองนางที่อยู่ในอาภรณ์สีดำช่วยกันหาน้ำท่ามาบริการแขกที่มาเมื่อทราบข่าวขณะที่บัวเรียวกับนางผุสดีกำลังเร่งทำกับข้าวอยู่ในครัว

ฟ้าฉายแยกตัวมาพบนายอำพลผู้เป็นสหายของนายวชิระ ภายหลังจากที่เขาและนายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีสอบปากคำทุกคนในบ้านเสร็จเรียบร้อย แม้จะถูกจับตามองจากนายภูมิพงษ์และคนอื่นๆ ในบ้านคานพิภพ แต่หญิงสาวก็กลับไม่รู้สึกกังวลใจอีกต่อไปแล้ว คดีฆาตกรรมเปิดฉากแล้ว เธอและอัศวินไม่จำเป็นต้องซ่อนอยู่ในมุมมืดอีกต่อไปแล้ว เธอคือตัวแทนของบิดา นายตำรวจผู้ที่เคยรับผิดชอบเรื่องคดีจันทร์หอมเมื่อยี่สิบปีก่อน

“หนูคงรู้เรื่องดีๆ มาบ้างใช่มั้ยจ้ะ ช่วยเล่าให้ลุงฟังหน่อยได้มั้ย?” ผู้หมวดอำพลเอ่ยถาม ก่อนทรุดนั่งลงบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับฟ้าฉาย บนศาลาหน้าเรือนนายภูมิพงษ์ อัศวินรีบเดินดุ่มๆ ตรงมาหาทั้งคู่

“เท่าที่รู้คือสกาวเดือนเธอมีนิสัยคล้ายกับแสงดาวผู้เป็นพี่สาวน่ะค่ะ พี่น้องสองคนนี้ร่าเริง แจ่มใสดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีศัตรูที่ไหนรึเปล่า?...” ใบหน้าสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มมีริ้วรอยของชายคราวพ่อยับย่นขณะใช้ความคิด ก่อนจะหันมายิ้มให้ฟ้าฉาย

“ถ้าอย่างนั้นคุยกับไอ้วินไปก่อนนะหนู เดี๋ยวลุงขอไปสูบบุหรี่แปปนึง” อำพลลุกขึ้นเมื่อผู้เป็นลูกชายมาถึง ก่อนพยักหน้าให้ชายหนุ่มทรุดลงนั่งแทนที่ตน อัศวินมองตามหลังบิดาที่เดินไวๆ ไปหลบที่ใต้ร่มไม้ก่อนหยิบเอามวนยาสูบขึ้นมาใส่ปากคีบไว้และจุดไฟ

“คุณฟ้าทานอะไรรึยังครับ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เขาเอ่ยถามเสียงใสพร้อมกับคลี่ยิ้มเรียบๆ

“จะให้ฉันยิ้มอย่างมีความสุขได้ยังไงล่ะ มีคนตายในบ้านคานพิภพแบบนี้” เธอประชดประชันก่อนหันหน้าหนีและถอนหายใจจนอัศวินได้ยินเสียง

ชายหนุ่มเอนหน้าไปมองบิดาแวบนึงก่อนหันมาหาดวงหน้างดงามที่เย็นชืด “ผู้ชายก็อย่างนี้แหละครับ บุหรี่ช่วยทำให้คลายเครียดได้”

“ผู้ชายยังดีที่มีบุหรี่ให้สูบ มีเหล้าให้กินเวลาเครียด แต่ผู้หญิงนี่สิ...ลองถ้าได้กินเหล้า สูบบุหรี่ต่อหน้าคนอื่นเมื่อไหร่คงได้ถูกเอาไปนินทาสามบ้านแปดบ้าน” ชายหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อเธอพูดจบ เออ...ก็จริงอย่างที่หญิงสาวว่า แล้วถ้าผู้หญิงตกอยู่ในภาวะที่เครียดและกดดันมากๆ เข้า พวกเธอจะหาทางระบายมันออกเช่นไรหนอ  

อัศวินเพ่งมองเรียวคิ้วโค้งสวยและดวงตากลมใสอย่างสงสัยใคร่รู้ ริมฝีปากที่เชิดงอนเหมือนกับปลายจมูก ประกอบกันเป็นความลงตัวที่น่าทึ่ง เพศที่มีความคิดสลับซับซ้อน ซ่อนความน่าค้นหาไว้ภายในรูปลักษณ์ที่งดงามน่าทะนุถนอม โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีทั้งความอ่อนโยนและแข็งแกร่งอยู่ในตัวดังเช่นฟ้าฉาย... เธอทำให้เขาอยากจะปกป้องดูแลแต่ในขณะเดียวกันเธอก็ทำให้เขารู้สึกยกย่องชื่นชมในจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

“ดูคุณไม่มีความกังวลหรือกลัวเลย...” อัศวินว่าขึ้นลอยๆ ดวงหน้างอนงามสะบัดมามองตาเขียวทันที

“เหรอ...นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่กลัว” หญิงสาวเชิดหน้าก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะน้อยๆ

“ก็ถ้าคุณกลัวจริงๆ ก็คงหนีกลับบ้านไปตั้งแต่คราวที่ผมส่งจดหมายบอกให้รู้ว่านายภูมิพงษ์กำลังจับตามองคุณอยู่ แต่นี่คุณยังอยู่...” อัศวินจ้องตาคู่สวยจริงจัง

“ไม่รู้สิ ฉันคงอยากเห็นหน้านายนานๆ มั้ง เลยไม่อยากจะกลับ”

“อย่าทำให้ผมใจเต้นสิครับ...อย่าให้ความหวังกันถ้าไม่คิดจะจริงจัง” ฟ้าฉายจุดยิ้มก่อนรีบเบือนหน้าหนีสายตามีเลศนัยน์ของชายหนุ่ม

“สอบปากคำเป็นไงบ้าง” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องคุย อัศวินกระแอมเสียงสองสามทีก่อนหุบยิ้มและเริ่มเล่า

“ผมคิดว่าเป็นคนในบ้านครับ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าภูมิพงษ์เก็บเชือกไว้ที่ใต้ถุนเรือน เชือกที่ชัดรัดคอเป็นเชือกที่อยู่ในเรือนนายภูมิพงษ์ และที่สำคัญเราพบกระดุมเสื้อเม็ดนึงตกอยู่ในที่เกิดเหตุหลังจากที่ออกไปหาหลักฐานตอนเช้าตรู่อีกครั้ง”

“กระดุมเสื้อ...” ฟ้าฉายหันขวับมาพร้อมกับลากเสียงค้าง

อัศวินยักไหล่ก่อนเอ่ยต่อ “เป็นกระดุมสีฟ้าครับ ตอนนี้เรากำลังค้นหากันอยู่ว่าในบ้านนี้มีใครมีเสื้อสีฟ้าที่มีกระดุมแบบเดียวกับที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุรึเปล่า?” จู่ๆ ฟ้าฉายก็นึกไปถึงภาพที่เศรษฐพงษ์ส่งเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนให้กับวสันต์ ใบหน้างดงามซีดเผือดลงไปในทันใด... จะใช่เหรอฟ้า... เธอคงคิดมากไปแน่ๆ

“นายบุญยงค์บอกว่าไปเจอศพเพราะจะถือปืนไปยิงนกเค้าแมวแถวหลังเรือน จากนั้นจึงรีบวิ่งกลับมาบอกคนในบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ก็อ้างว่าตัวเองอยู่ในบ้านกันหมด นายภูมิพงษ์นั่งกินเหล้ากับพวกคนงานบนเรือนของเขา”

“เอ๊ะ...ลุงภูมิไม่ได้นั่งกินเหล้าที่ศาลาหลังเรือนเหรอ ตอนฉันออกไปดูดาวกับอรเขานั่งอยู่ทางศาลาหลังเรือนนะ”

“เขาบอกว่าหลังจากที่คุณและคุณอรอนงค์ไปดูดาวพวกเขาและคนงานก็ย้ายกันขึ้นมานั่งดื่มบนเรือนเพราะข้างล่างยุงมันชุม ส่วนเศรษฐพงษ์บอกว่านั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องและไม่ได้ออกไปไหนเลย พวกที่นั่งกินเหล้าก็ยืนยันได้ นางผุสดีอยู่ที่เรือนใหญ่กับนายเหมราชพร้อมกับนางพิมพ์พาและสามีที่นั่งทำบัญชีหลังรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวบ้านมาได้หลายเกวียน ส่วนคนสุดท้ายคือแสงดาว เธอบอกว่าลงมาเก็บดอกไม้กับสกาวเดือนที่สวนดอกไม้ เธอขอตัวกลับขึ้นเรือนแต่ว่าสกาวเดือนยังอยู่เก็บดอกไม้ต่อ จากนั้นราวครึ่งชั่วโมงต่อมานายบุญยงค์ก็วิ่งมาบอกคนทั้งบ้านว่าพบสกาวเดือนผูกคอตายที่ท้ายเรือนนายพัฒน์”

สกาวเดือนคงถูกฆ่าขณะที่เธอ อรอนงค์และบัวเรียวกำลังเดินไต่อยู่บนคันแทนาเพื่อออกไปนอนดูดาว จังหวะที่นายภูมิพงษ์และคนงานเดินกลับขึ้นมาบนเรือน ฆาตกรคงอาศัยเวลาช่วงนั้นย่องมาเอาเชือกใต้ถุนเรือน หากนับเวลาแล้วจากที่ฆาตกรลงมือและบุญยงค์มาพบศพ มันไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ ไม่แน่ตอนที่นายบุญยงค์ไปเจอศพฆาตกรอาจจะยังซ่อนอยู่ในบริเวณนั้นก็ได้

“แล้วคุณไพรินทร์ล่ะ?...” ฟ้าฉายอ้าปากถาม

“คุณไพรินทร์เธออยู่ในบ้านครับ”

“ไม่มีพยานอ้างที่อยู่ของเธอขณะเกิดเหตุใช่มั้ย”

“ครับ...แต่เราก็ไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่าเธอคือฆาตกร ผู้หญิงอายุห้าสิบกว่าแบบนั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงจะฆ่าคนได้มั้งครับคุณฟ้า”

“มันก็ไม่แน่เสมอไปนักหรอก คุณไพรินทร์กับคุณพิมพ์พาไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่นะ คุณพิมพ์พาทำให้นายท่านเหมราชเกลียดคุณไพรินทร์... แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่เธอจะทำถึงขนาดนี้...” ฟ้าฉายนิ่วหน้า อยากรู้เดี๋ยวนี้เลยว่ากระดุมสีฟ้านั่นมันเป็นของใคร

“อ้อ...ผมลืมบอกคุณไปอย่างหนึ่ง นอกจากกระดุมเสื้อนั่นแล้ว เมื่อเช้านี้เราพบกระดาษแผ่นเล็กๆ สอดไว้ที่โคนต้นไทรย้อยต้นนั้นด้วยครับ นี่ครับ...” ฟ้าฉายอ้าปากค้างขณะจ้องมองอัศวิน เธอยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นเล็กๆ จากชายหนุ่ม ดวงหน้านวลเนียนบิดเบี้ยวคล้ายกำลังถูกบางอย่างบีบอัดอย่างช้าๆ ดวงตากลมใสค่อยๆ ก้มลงไปอ่านตัวอักษรที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษที่ถืออยู่ในมือ

ขอให้คานพิภพจงพบแต่ความวิบัติย่อยยับ สืบลูก ชั่วหลาน แม้เลือด...และความตาย ก็มิอาจลบล้างความชั่วทั้งหลายทั้งปวงที่คานพิภพได้กระทำลงไปได้...

ฟ้าฉายปิดดวงเนตรสองข้างลงช้าๆ รู้สึกมวนท้องจนต้องเอามืออีกข้างกุมไว้ คงเพราะนอนน้อยและยังไม่ได้ทานอาหารเช้า เลยทำให้เธอรู้สึกหน้ามืด อัศวินถลาเข้ามาประคองเธอก่อนที่หญิงสาวจะยื่นกระดาษส่งคืนให้กับเขา
ฟ้าฉายพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นมองเรือนคานพิภพหลังกลางที่กำลังตกอยู่ในบรรยากาศของความโศกเศร้า “คนในบ้านรู้เรื่องกระดาษแผ่นนี้รึยัง?...” เธอหันมาถามชายหนุ่มเสียงเรียบ

“ผมยังไม่ได้แจ้งให้ใครทราบครับ แต่ผมคิดว่าคงต้องแจ้งให้พวกเขาทราบ...” อัศวินเม้มริมฝีปาก

“ว่าแต่...นายมีต้นฉบับกระดาษที่เขียนคำสาปแช่งคนตระกูลคานพิภพเมื่อคราวเกิดเรื่องจันทร์หอมอยู่ใช่มั้ย?”

“มีครับ...มี” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเอียงคอมองหญิงสาว ฟ้าฉายหรี่ตาจ้องมองผู้คนที่เดินเทียวขึ้นเทียวลงเรือนหลังใหญ่ให้พุ่งพล่าน สงสัยเธอคงต้องได้เล่นเกมจับขโมยเหมือนที่เคยเล่นกับบิดาสมัยเด็กๆ เป็นแน่

“นายต้องเอาไปเปรียบเทียบลายมือดูว่ากระดาษทั้งสองแผ่นถูกเขียนโดยคนๆ เดียวกันรึเปล่า?”

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 09:44:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com