เสียงโทรศัพท์มือถือของภาคีกรีดร้องขึ้นเมื่อเขาเดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ในป่าหลังบ้านพักของภานุพงศ์ เขากับพิมพ์พลอยและสำลีกลับมาที่บ้านพักได้หลายชั่วโมงแล้ว ในขณะนี้พิมพ์พลอยกำลังหลับอยู่ในห้องนอนด้วยความอ่อนเพลีย ภาคีเลือกที่จะออกมาเดินเล่นเพราะไม่อยากถูกป้าสมกับสำลีซักถามอะไรนัก และเขาก็ไม่อยากขึ้นไปรบกวนพิมพ์พลอยที่ผู้ดูแลบ้านจัดให้นอนห้องเดียวกับเขาตามประสาสามีภรรยา “ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?” เสียงของมหาสมุทรดังขึ้นเมื่อภาคีรับสายและยกโทรศัพท์แนบหู “ปลอดภัยดีใช่มั้ย?” “อ้าว ไอ้หมุด!” ภาคีร้องลั่นอย่างดีใจ “แกกับแพรเป็นไงบ้างวะ?” “เออ ฉันสบายมาก แพรก็พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ มีตำรวจคอยยืนคุ้มกันอยู่หน้าห้อง” มหาสมุทรลดเสียงลงเป็นกระซิบ “พวกแกล่ะ เป็นไง?” “สบายดี ฉันกับพิมพ์กำลังอยู่ที่กาญจนบุรี” ภาคีกระซิบตอบทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะรอบกายของเขาไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากต้นไม้และใบหญ้า “บรรยากาศสงบมาก พวกสส.เรืองชัยไม่น่าจะตามหาฉันได้ง่ายๆ” “อย่าคิดอะไรตื้นๆ แบบนั้นสิวะ” เสียงจากปลายสายเคร่งเครียดขึ้น “พวกกองพิสูจน์หลักฐานไปค้นที่บ้านของฉัน พวกนั้นเจอรอยนิ้วมือของแกกับพิมพ์พลอยเต็มไปหมดในที่เกิดเหตุ ผลตรวจรอยนิ้วมือจากแล็ปออกมาแล้ว และอีกไม่นานพวกตำรวจจะตามหาตัวแกให้ขวั่ก แม้ฉันจะปฏิเสธว่าพวกนายไม่รู้ไม่เห็นก็ตาม” “เฮ่ย เดี๋ยวนะ ตำรวจตามหาตัวฉันทำไม?” ภาคีถามอย่างตกใจ “ในฐานะพยาน ผู้ต้องหา หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะสอบปากคำแกเหมือนที่กำลังสอบปากคำฉันอยู่” มหาสมุทรตอบ “ตำรวจไม่พบรอยนิ้วมือของไอ้นักฆ่านั่นเพราะมันใส่ถุงมือ แต่โชคดีที่ยังพบรอยเลือดจากแผลที่มันถูกยิง ก็เลยทำให้พวกเรารู้ตัวแล้วว่ามันเป็นใคร” “ใครวะ?” นักเขียนหนุ่มสูดหายใจลึก “มันชื่อ นุกุล มิลเลอร์ เป็นลูกชายอดีตทหารจีไอที่แต่งงานกับผู้หญิงไทยตอนอเมริกามาทำสงครามกับพวกเวียดกงเสร็จใหม่ๆ นายนุกุลคนนี้หายตัวไปขณะหลบหนีออกจากสถานดัดสันดานตอนอายุสิบเจ็ด ซึ่งก็คือสิบห้าปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครพบตัวนายนุกุลอีกจนกลายเป็นบุคคลสาบสูญตามกฎหมายในที่สุด” มหาสมุทรกระซิบตอบยาวเหยียด “หายไปตั้งแต่อายุสิบเจ็ด?” ภาคีหรี่ตา “มันไปทำอะไรมาวะถึงได้เข้าไปอยู่ในสถานดัดสันดานแบบนั้น?” มหาสมุทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบออกมา “ใช้มีดแทงพ่อตัวเองจนเสียชีวิตตอนอายุสิบหก” “เวรกรรม” ภาคีถอนหายใจบ้าง ก่อนจะส่ายศีรษะด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก “แล้วหายไปสิบห้าปี โผล่มาอีกทีเป็นนักฆ่าได้ยังไง?” “ฉันก็ไม่รู้” มหาสมุทรตอบ “ถ้ามีเวลาฉันจะสืบค้นข้อมูลของมันดู แต่แกต้องระวังตัวให้ดีนะ อย่าเพิ่งวางใจอะไรง่ายๆ จากที่เห็นเมื่อคืนแกก็คงจะรู้ว่ามันเป็นคนบ้า” “เออน่า ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันแน่ใจว่าไม่มีใครตามรอยมาถึงที่นี่ได้หรอก” ภาคีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เพื่อนสบายใจ “ถ้าจะห่วงก็ห่วงตัวแกเองกับแพรเสียก่อนเถอะ ป่านนี้ไอ้นักฆ่านั่นมันคงไปบอกให้เจ้านายมันรู้แล้วว่าแกเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้” “แต่ตราบใดที่ฉันกับแพรยังอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจพวกมันคงไม่กล้าลงมือ” แฮ็กเกอร์หนุ่มตอบ “ตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องก็ลูกน้องเก่าแพรทั้งนั้น และอีกอย่างพวกเรายังคงมีความหวัง ตอนนี้สารวัตรเกษมคงเห็นอีเมล์ที่ฉันส่งไปแล้วล่ะ”
“ใช่ พวกเรายังมีความหวัง” ภาคีพูดราบเรียบก่อนจะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนย่องเข้ามาทางด้านหลัง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองหูฝาดหรือคิดไปเองหรือเปล่า เขาได้แต่แข็งค้างวินาทีหนึ่งก่อนได้สติและรีบหมุนตัวกลับไปทั้งที่ยังถือโทรศัพท์แนบหู
ว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
“มีอะไรรึเปล่า?” เสียงจากปลายสายถามขึ้นเพราะจับความเงียบอันผิดปกติได้
“เปล่า ไม่มีอะไร” ภาคีถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
“เออ ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แค่นี้ก่อนนะ เหมือนแพรจะตื่นแล้ว” มหาสมุทรกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น
“ขอให้แพรหายเร็วๆ นะเว้ย” ภาคีพูดก่อนอีกฝ่ายจะวางสายไป ในหัวใจของนักเขียนหนุ่มเริ่มกลับมายุ่งเหยิงอีกครั้งเมื่อยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงเพราะทิ้งกระเป๋าสะพายไว้บนห้องนอนพร้อมปืนทั้งสองกระบอก
ภาคีเพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองประมาทเพียงใดกับการเดินออกมาคนเดียวโดยไม่พกปืนมาด้วย หากมีใครมาดักรอเล่นงานเขาในป่า เขาก็คงจะไม่มีทางต่อสู้นัก เช่นเดียวกับความรู้สึกเมื่อครู่ ถ้ามีใครบางคนแอบย่องเข้ามาจู่โจมทางด้านหลัง เขาจะทำอย่างไร?
แต่ขณะที่ความคิดของชายหนุ่มยังไม่ทันหายไป ทันใดนั้นเอง มือของใครคนหนึ่งก็ตะปบลงบนไหล่ของเขาจากด้านหลัง
-------------------------------------
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ย. 54 12:10:28
|
|
|
|